ข่าวดีเกี่ยวกับ TF ในระยะยาว (ไม่ใช่ระยะสั้น)
โพสต์แล้ว: พุธ ก.พ. 25, 2004 10:21 pm
จากกรุงเทพธุรกิจ ฉบับ 25/02/04 ครับ
สำหรับเป็นข้อมูลเท่านั้นนะครับ
ทีเอฟยึด'มาม่า' ขายแทนสหพัฒน์ ชี้ถูกกดราคา30 ปี
ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ ยึด"มาม่า"ขายเอง หลังแบกภาระต้นทุนการผลิตสูงต่อเนื่อง แต่ขึ้นราคาไม่ได้ เหตุสหพัฒน์กดราคาหน้าโรงงาน นานกว่า 30 ปี จนกำไรหด ประเดิมขายผ่าน 20 โมเดิร์นเทรดรายใหญ่ 1 มี.ค.นี้ เตรียมตั้งบริษัทจัดจำหน่ายสินค้าเองปีหน้า
นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) (TF) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปภายใต้ยี่ห้อ "มาม่า" ผู้นำตลาดที่มีมาร์เก็ตแชร์ถึง 52.5% กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.นี้ บริษัทจะเปลี่ยนการกระจายสินค้า"มาม่า" ใหม่ โดยจะนำมาดำเนินการเองทั้งหมด ซึ่งจะเริ่มจัดจำหน่ายผ่านกลุ่มโมเดิร์นเทรดรายใหญ่ 20 รายก่อน จากเดิมที่ให้บริษัทสหพัฒพิบูล จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าให้ทั้งหมด
ทั้งนี้การปรับแผนกระจายสินค้าดังกล่าว จะช่วยคู่ค้าลดต้นทุนบริหารการขายลงถึง 30% ซึ่งส่วนนี้ทีเอฟคงต้องเข้าไปแบกภาระแทน เนื่องจากต้อง โอนลูกค้าที่เป็นโมเดิร์นเทรดมาทั้งหมด ซึ่งหากการลงทุนเบื้องต้นตั้งแต่เดือนมี.ค.เป็นต้นไปทีเอฟต้องใช้เงินลงทุนราว 1.5-7 ล้านบาท จากอัตราค่าขนส่งเฉลี่ย ที่ 1.5 ล้านบาทต่อ 1 แสน หีบ
ตัดตอนกระจายสินค้าจากโรงงานเอง
"เดิมระบบการกระจายสินค้าสหพัฒน์จะทำผ่าน 2 ขั้นตอน คือรับจากหน้าโรงงานทีเอฟ ไปเก็บไว้ในคลัง (เดโป้) จากนั้นจะขนส่งสินค้าจากคลัง ไปสู่ร้านค้าส่งรายใหญ่ แต่การปรับรูปแบบการกระจายสินค้าใหม่ครั้งนี้ ทีเอฟ จะเป็นผู้ดำเนินการกระจายสินค้าจากโรงงานผลิต ไปสู่โมเดิร์นเทรดทั้ง 20 รายโดยตรง ซึ่งจะทำให้สินค้าคงความสดและใหม่อยู่ และรูปแบบนี้จะช่วยให้บริษัทลดต้นทุนการบริหารการขายลงได้ถึง 30% โดยทีเอฟจะเริ่มต้นลงทุนส่วนนี้เอง" นายพิพัฒกล่าว
โดยแนวทางการปรับรูปแบบการกระจายสินค้าครั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากผลกำไรของบริษัทที่ลดลงจาก 548 ล้านบาทในปี 2545 เหลือ 420 ล้านบาท ในปี 2546 มีรายได้เฉพาะมาม่า อยู่ที่ 4,311 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบหลัก 2 ตัว คือแป้งและน้ำมันปาล์ม คิดเป็นสัดส่วนต้นทุนกว่า 90% ที่นำมาใช้ในการผลิตเพิ่มสูงขึ้น กล่าวคือ แป้งสาลี มีต้นทุนเพิ่มขึ้น 20% จากราคาซื้อ กระสอบละ (22.5 กก.) 300 บาท เป็น 360 บาท ส่วน ราคาน้ำมันปาล์ม เพิ่มขึ้นจากกก.ละ 14 บาทเป็น 28 บาท นอกจากนี้การที่เศรษฐกิจของประเทศจีนเริ่มขยายตัวขึ้น ทำให้บริษัทขนส่งเรียกเก็บค่าระวางเพิ่มขึ้นอีกกว่า 2 เท่าตัว ทำให้ไม่สามารถปรับราคาขายส่งได้ ซึ่งเป็นราคาเดิมมานานกว่า 30 ปี
เล็งตั้งบริษัทกระจายสินค้า
นายพิพัฒ กล่าวว่า แม้ขณะนี้จะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการขยายงานในส่วนของการกระจายสินค้าเพิ่มขึ้น โดยเลือกกระจายสินค้าให้กลุ่มโมเดิร์นเทรดรายใหญ่ 20 รายก่อน โดยมองจากสัดส่วนการขายทั้งหมดของมาม่าของกลุ่มนี้ครองตลาดกว่า 80% ของยอดรวม อย่างไรก็ตามบริษัทจะทดลองและดูผลการดำเนินการก่อนจะตัดสินใจขยายธุรกิจออกไปอีก โดยขณะนี้บริษัทยังไม่แยกหน่วยงานออกมาตั้งบริษัทกระจายสินค้าใหม่โดยเฉพาะ แต่ในอนาคต เมื่อบริษัทเพิ่มปริมาณกระจายสินค้าได้มากพอก็จะพิจารณาอีกครั้ง โดยอาจต้องลงทุนกว่า 90 ล้านบาท หากปริมาณการส่งสินค้าสูงถึง 5แสนหีบ
ลงทุนเพิ่มคาดกำไรหด 100 ล้านบาท
นายพิพัฒ กล่าวว่า จากการปรับแผนธุรกิจครั้งใหม่ แม้ว่าจะคาดการณ์ว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของตลาดโดยรวมประมาณ 91 ล้านบาท เป็น 4,402 ล้านบาทปีนี้ แต่จากประมาณการผลกำไรคาดว่าจะลดลงจาก 420 ล้านบาทในปี 2546 เหลือเพียง 312 ล้านบาทปีนี้ เนื่องจากการลงทุนด้านขนส่งและการขยายกำลังการผลิตมาม่าชนิดถ้วย หรือ คัพนู้ดเดิ้ล
"รายได้ของทีเอฟในส่วนของมาม่า แม้จะเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ก็เป็นการเพิ่มรายได้ที่น้อยมาก จากรายได้ในปี 2545 เท่ากับ 4,252 ล้านบาท เป็น 4,311 ล้านบาทในปี 2546 แต่กำไรกลับลดลง จาก 548 ล้านบาทในปี 2545 เหลือ 420 ล้านบาท ในปี 2546 บวกกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในขณะที่ไม่สามารถปรับราคาได้ ทำให้ผลกำไรหดหายลง "
เปิดแผนปีนี้ดัน "คัพนู้ดเดิ้ล" เพิ่มรายได้
สำหรับแผนการตลาดในปีนี้ บริษัทจะเน้นให้ความสำคัญกับบะหมี่ถ้วย ซึ่งเป็นตลาดที่จะทำรายได้ให้บริษัท แม้ว่าปัจจุบันจะมีปริมาณเพียง 5% ของตลาด แต่ มูลค่ามีมากถึง 12% ซึ่งถือว่าขยายตัวรวดเร็วจากปีที่ผ่านมาที่มีอัตราเติบโตถึง 30% ขณะที่ยอดขายมาม่าคัพปี 46 มีรายได้ 229 ล้านบาทแต่บริษัทตั้งเป้าเพิ่มยอดขายเป็น 300 ล้านบาทในปี 2547 หรือคิดเป็นสัดส่วน 10% ของตลาดรวม โดยปีนี้บริษัทจะใช้งบประมาณโฆษณามาม่าคัพ 20 ล้านบาท
ส่วนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขนาดบิ๊กแพ็ค หรือขนาด 90 กรัม เน้นพบว่ามีอัตราเติบโตที่น่าพอใจอัตรา 4% ขึ้นไป ทำให้บริษัทต้องรองรับการขยายตัวของบิ๊กแพ็ค โดยใช้เงินลงทุนกว่า 200 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 8% ของกำลังการผลิตหรือคิดเป็น 6 ล้านซองต่อวัน จากการเพิ่มเครื่องจักรขนาด 60 กรัมและ 90 กรัม
สำหรับเป็นข้อมูลเท่านั้นนะครับ
ทีเอฟยึด'มาม่า' ขายแทนสหพัฒน์ ชี้ถูกกดราคา30 ปี
ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ ยึด"มาม่า"ขายเอง หลังแบกภาระต้นทุนการผลิตสูงต่อเนื่อง แต่ขึ้นราคาไม่ได้ เหตุสหพัฒน์กดราคาหน้าโรงงาน นานกว่า 30 ปี จนกำไรหด ประเดิมขายผ่าน 20 โมเดิร์นเทรดรายใหญ่ 1 มี.ค.นี้ เตรียมตั้งบริษัทจัดจำหน่ายสินค้าเองปีหน้า
นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) (TF) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปภายใต้ยี่ห้อ "มาม่า" ผู้นำตลาดที่มีมาร์เก็ตแชร์ถึง 52.5% กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.นี้ บริษัทจะเปลี่ยนการกระจายสินค้า"มาม่า" ใหม่ โดยจะนำมาดำเนินการเองทั้งหมด ซึ่งจะเริ่มจัดจำหน่ายผ่านกลุ่มโมเดิร์นเทรดรายใหญ่ 20 รายก่อน จากเดิมที่ให้บริษัทสหพัฒพิบูล จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าให้ทั้งหมด
ทั้งนี้การปรับแผนกระจายสินค้าดังกล่าว จะช่วยคู่ค้าลดต้นทุนบริหารการขายลงถึง 30% ซึ่งส่วนนี้ทีเอฟคงต้องเข้าไปแบกภาระแทน เนื่องจากต้อง โอนลูกค้าที่เป็นโมเดิร์นเทรดมาทั้งหมด ซึ่งหากการลงทุนเบื้องต้นตั้งแต่เดือนมี.ค.เป็นต้นไปทีเอฟต้องใช้เงินลงทุนราว 1.5-7 ล้านบาท จากอัตราค่าขนส่งเฉลี่ย ที่ 1.5 ล้านบาทต่อ 1 แสน หีบ
ตัดตอนกระจายสินค้าจากโรงงานเอง
"เดิมระบบการกระจายสินค้าสหพัฒน์จะทำผ่าน 2 ขั้นตอน คือรับจากหน้าโรงงานทีเอฟ ไปเก็บไว้ในคลัง (เดโป้) จากนั้นจะขนส่งสินค้าจากคลัง ไปสู่ร้านค้าส่งรายใหญ่ แต่การปรับรูปแบบการกระจายสินค้าใหม่ครั้งนี้ ทีเอฟ จะเป็นผู้ดำเนินการกระจายสินค้าจากโรงงานผลิต ไปสู่โมเดิร์นเทรดทั้ง 20 รายโดยตรง ซึ่งจะทำให้สินค้าคงความสดและใหม่อยู่ และรูปแบบนี้จะช่วยให้บริษัทลดต้นทุนการบริหารการขายลงได้ถึง 30% โดยทีเอฟจะเริ่มต้นลงทุนส่วนนี้เอง" นายพิพัฒกล่าว
โดยแนวทางการปรับรูปแบบการกระจายสินค้าครั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากผลกำไรของบริษัทที่ลดลงจาก 548 ล้านบาทในปี 2545 เหลือ 420 ล้านบาท ในปี 2546 มีรายได้เฉพาะมาม่า อยู่ที่ 4,311 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบหลัก 2 ตัว คือแป้งและน้ำมันปาล์ม คิดเป็นสัดส่วนต้นทุนกว่า 90% ที่นำมาใช้ในการผลิตเพิ่มสูงขึ้น กล่าวคือ แป้งสาลี มีต้นทุนเพิ่มขึ้น 20% จากราคาซื้อ กระสอบละ (22.5 กก.) 300 บาท เป็น 360 บาท ส่วน ราคาน้ำมันปาล์ม เพิ่มขึ้นจากกก.ละ 14 บาทเป็น 28 บาท นอกจากนี้การที่เศรษฐกิจของประเทศจีนเริ่มขยายตัวขึ้น ทำให้บริษัทขนส่งเรียกเก็บค่าระวางเพิ่มขึ้นอีกกว่า 2 เท่าตัว ทำให้ไม่สามารถปรับราคาขายส่งได้ ซึ่งเป็นราคาเดิมมานานกว่า 30 ปี
เล็งตั้งบริษัทกระจายสินค้า
นายพิพัฒ กล่าวว่า แม้ขณะนี้จะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการขยายงานในส่วนของการกระจายสินค้าเพิ่มขึ้น โดยเลือกกระจายสินค้าให้กลุ่มโมเดิร์นเทรดรายใหญ่ 20 รายก่อน โดยมองจากสัดส่วนการขายทั้งหมดของมาม่าของกลุ่มนี้ครองตลาดกว่า 80% ของยอดรวม อย่างไรก็ตามบริษัทจะทดลองและดูผลการดำเนินการก่อนจะตัดสินใจขยายธุรกิจออกไปอีก โดยขณะนี้บริษัทยังไม่แยกหน่วยงานออกมาตั้งบริษัทกระจายสินค้าใหม่โดยเฉพาะ แต่ในอนาคต เมื่อบริษัทเพิ่มปริมาณกระจายสินค้าได้มากพอก็จะพิจารณาอีกครั้ง โดยอาจต้องลงทุนกว่า 90 ล้านบาท หากปริมาณการส่งสินค้าสูงถึง 5แสนหีบ
ลงทุนเพิ่มคาดกำไรหด 100 ล้านบาท
นายพิพัฒ กล่าวว่า จากการปรับแผนธุรกิจครั้งใหม่ แม้ว่าจะคาดการณ์ว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของตลาดโดยรวมประมาณ 91 ล้านบาท เป็น 4,402 ล้านบาทปีนี้ แต่จากประมาณการผลกำไรคาดว่าจะลดลงจาก 420 ล้านบาทในปี 2546 เหลือเพียง 312 ล้านบาทปีนี้ เนื่องจากการลงทุนด้านขนส่งและการขยายกำลังการผลิตมาม่าชนิดถ้วย หรือ คัพนู้ดเดิ้ล
"รายได้ของทีเอฟในส่วนของมาม่า แม้จะเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ก็เป็นการเพิ่มรายได้ที่น้อยมาก จากรายได้ในปี 2545 เท่ากับ 4,252 ล้านบาท เป็น 4,311 ล้านบาทในปี 2546 แต่กำไรกลับลดลง จาก 548 ล้านบาทในปี 2545 เหลือ 420 ล้านบาท ในปี 2546 บวกกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในขณะที่ไม่สามารถปรับราคาได้ ทำให้ผลกำไรหดหายลง "
เปิดแผนปีนี้ดัน "คัพนู้ดเดิ้ล" เพิ่มรายได้
สำหรับแผนการตลาดในปีนี้ บริษัทจะเน้นให้ความสำคัญกับบะหมี่ถ้วย ซึ่งเป็นตลาดที่จะทำรายได้ให้บริษัท แม้ว่าปัจจุบันจะมีปริมาณเพียง 5% ของตลาด แต่ มูลค่ามีมากถึง 12% ซึ่งถือว่าขยายตัวรวดเร็วจากปีที่ผ่านมาที่มีอัตราเติบโตถึง 30% ขณะที่ยอดขายมาม่าคัพปี 46 มีรายได้ 229 ล้านบาทแต่บริษัทตั้งเป้าเพิ่มยอดขายเป็น 300 ล้านบาทในปี 2547 หรือคิดเป็นสัดส่วน 10% ของตลาดรวม โดยปีนี้บริษัทจะใช้งบประมาณโฆษณามาม่าคัพ 20 ล้านบาท
ส่วนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขนาดบิ๊กแพ็ค หรือขนาด 90 กรัม เน้นพบว่ามีอัตราเติบโตที่น่าพอใจอัตรา 4% ขึ้นไป ทำให้บริษัทต้องรองรับการขยายตัวของบิ๊กแพ็ค โดยใช้เงินลงทุนกว่า 200 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 8% ของกำลังการผลิตหรือคิดเป็น 6 ล้านซองต่อวัน จากการเพิ่มเครื่องจักรขนาด 60 กรัมและ 90 กรัม
ขณะนี้โลกกำลังพัฒนา