Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

เคยสงสัยกันไหมว่า  ค่าที่เราคำนวณได้จากสูตร ROA บอกอะไรเรา

แล้ว R ทำไมต้องบวกกลับ ดอกเบี้ยจ่าย และ ภาษีเงินได้

สินทรัพย์ของบริษัททั้งหมด ประกอบด้วย
ส่วนของเจ้าหนี้ + ส่วนของผู้ถือหุ้น +(ส่วนรัฐบาลถือหุ้นลม รับแต่กำไร 30% ขาดทุนไม่เกี่ยว :lol: ค่าคุ้มครองสิทธิต่างๆ

แล้วเราควรคิดเฉพาะทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการดำเนินงานของบริษัทไหมครับ

น่าจะคิดจากสินทรัพย์ทั้งหมดน่ะครับพี่
เพราะเงินสด ที่เก็บไว้ แต่ไม่ได้ใช้ ก็ถือว่าเป็น การใช้สินทรัพย์ที่ไม่เกิดประโยชน์ ทำให้ไม่เกิดประโยชน์สูงสุด

เงินสดที่บริษัท มีเหลือเกินความจำเป็น ก็ควรจะปันผลออกมา

ใช่ไหมครับพี่

พี่ฉัตรชัยหมายความว่า สมมติในกรณีทีดินขนาดเท่ากัน อยู่ติดกัน 2 แปลง

แปลงแรก บริษัท A บันทึกราคาเมื่อ 20 ปีก่อนไว้
แปลงสอง บริษัท B บันทึกราคาปัจจุบัน

ทั้งสองแปลงให้ บริษัท C เช่า โดย A และ B ได้ค่าเช่าจาก C ปีละเท่า ๆ กัน

อย่างนี้ ผู้บริหาร A กับ B ใครเก่งกว่ากัน ในแง่การนำสินทรัพย์ไปก่อให้เกิดรายได้

อย่างนี้หรือเปล่าครับ

ถ้าเป็นกรณีอย่างที่คุณakekarat ยกมา ความสามารถเท่ากัน

ทุกๆบริษัท ที่ดินอาคารต่างต้องคิดในราคาประเมินที่เป็นปัจจุบัน เหมือนกัน
ถึงจะสามารถนำ ROA มาเปรียบเทียบกันได้

ปัญหาคือ ROA ที่แสดงอยู่ มันนำมาจากตัวเลขในบัญชีน่ะสิครับ เกิดเหตุการณ์แบบนี้จริง ๆ จะมีซักกี่คนที่รู้ว่า ROA ควรประเมินจากมูลค่าปัจจุบัน

เพราะหลาย ๆ บริษัทใน SET ก็เป็นอยู่

อย่างนั้นเราก็คงต้องมานั่ง ประเมินสินทรัพย์ แล้วก็ค่อยมาคำนวณ ROA ใหม่

ครรชิต ไพศาล เขียน:ROA บอกถึงความสามารถ ของผู้บริหารธุรกิจของบริษัทนั้นๆ  ว่า สามารถสร้างผลตอบแทนทั้งหมด จากการใช้สินทรัพย์เฉลี่ยที่มีอยู่ทั้งหมด ได้มากน้อยเท่าใด

ผมกลับคิดว่า ROE บอกถึงความสามารถของผู้บริหาร  เพราะ  การจัดสรรแหล่งที่มาของเงินทุนอย่างเหมาะสมก็เป็นความสามารถของผู้บริหารเช่นกัน

ผู้บริหารธุรกิจของบริษัท จะเก่งมากขึ้น ถ้าสามารถหาแหล่งเงินทุนที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าธุรกิจอื่นๆ

ผู้บริหารธุรกิจของบริษัท จะเก่งมากขึ้น ถ้าสามารถหาทำให้ได้ลดหย่อนภาษีจ่ายภาษีน้อยลงกว่าธุรกิจอื่นๆ


นั้นหมายถึง ส่วนแบ่งในส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ กำไรสุทธิ ย่อมสูงขึ้น
ซึ่งจะแสดงออกมาในค่า ROE

ROE บอกถึงความสามารถ ของผู้บริหารธุรกิจของบริษัทนั้นๆ

บริษัท A  ดำเนินธุรกิจเป็น Holding Company
มีส่วนผู้ถือหุ้น 100 ล้านบาท  ไม่มีหนี้สิน

ถือหุ้นลงทุนอยู่ 4 บริษัท   คือ  ก  ข  ค  และ  ง  จำนวนเงินบริษัทละ 25 ล้านบาท  คิดเป็นสัดส่วน 25% ของแต่ละบริษัท

บริษัท ก ข ค และ ง  มีการกู้ยืมเงิน  และมีหนี้สินอื่น  รวมเป็นหนี้สินทั้งหมด 200 ล้านบาท (ส่วนผู้ถือหุ้นแต่ละบริษัท 100 ล้านบาท)  

บริษัททั้ง 4  มีผลการดำเนินงานกำไรบริษัทละ 30 ล้านบาท  (ROA 10%)

บริษัท A  จะรับรู้ผลกำไรจากทั้ง 4 บริษัทในงบรวมจำนวนทั้งหมด 30 ล้านบาท  ROA ของ บริษัท A  จะสูงถึง 30%

ปัจจัยอะไรทำให้ A มี ROA สูงถึงขนาดนั้น

ROA สูง บอกความสามารถของธุรกิจ ที่สามารถทำกำไรได้สูง และผู้บริหารก็สามารถทำให้โอกาสในการทำกำไรได้สูง เป็นจริง

ROE สูง บอกความสามารถของผู้บริหารที่มีความสามารถในการทำกำไรได้สูง แต่อย่างไรก็ตาม หากกู้เงินเยอะๆ ต่อให้มีความสามารถสูง ก็อาจจะมีโอกาส พลิกกลับเป็นกำไรได้น้อยลง เพราะ ยอดขายน้อยลง และ หรือ ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น

ROA สูง จึ่งมีความเสียง น้อยกว่า ROE สูง แต่หนี้มาก

ROA = ผลตอบแทนจากเงินทุนทั้งหมด คือทั้งหนี้และทุน

และที่บวกกลับ ดอกเบี้ยและภาษีก็เพราะดอกเบี้ยคือต้นทุนของหนี้ และภาษีคือผลประโยชน์ที่ได้จากการก่อหนี้ หากไม่บวกกลับแล้วเอามาคิดเลยจะเป็นการDouble count

ROA ต้องการดูอย่างเดียวว่าเงินทุนของบริษัท(หนี้บวกทุน)นั้น เอามาลงทุนในสินทรัพย์แล้วให้ผลตอบแทนเท่าไร

การดูว่า ROAนั้นสูงอย่างเดียวไม่บอกอะไรเรา เราต้องไปดูเทียบกับต้นทุนเงินทุน เช่น

ROA = 20% แต่ ต้นทุนเงินทุน = 22% อย่างนี้ROAสูงก็ไม่มีประโยชน์ เพราะต้นทุนเงินทุนสูงกว่า เอาไปลงทุนแล้วได้น้อยกว่าตั้ง 2%

ส่วนธุรกิจBANK ต้องดูให้ดีๆครับว่า วัตถุดิบของเขาคืออะไร และเงินที่มาปล่อยกู้ ลงทุนนั้น เป็นวัตถุดิบ หรือเงินทุน ดังนั้นใช้ ROAคิดกับธุรกิจพวกนี้จะไม่ถูกต้องนัก

ส่วน ROE สูงๆ ให้ดูว่าสูงเพราะ ROA สูงหรือ มีหนี้มากแต่จ่ายดอกเบี้ยน้อย

[quote="chatchai"]บริษัท A

ROA มักใช้ EBIT
1  เพื่อให้สะท้อนความสามารถในการสร้างกําไรได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงเพราะ แต่ละบริษัทมี ต้นทุนทางการเงินที่ต่างกัน และภาษีที่ต่างกัน
จะได้นํามาเทียบ Roaของค่าเฉลี่ยอุตสหกรรมได้

2 แต่บริษัทที่มี หนี้เยอะ ทําให้ ดอกเบี้ยจ่ายมักจะ สูงเป็นธรรมดา
เวลาบวก กลับ เข้าไป จะทําให้ EBITมีค่าสูง ROAก็สูงตาม

3 ROA บอกความสามารถในการบริหาร Assetให้เกิดกําไรสุทธิว่าบริหารได้ดีขนาดใหน  คล้าย ROIที่ บอก ผลตอบแทนต่อเงินลงทุนทั้งหมด
ที่รวม หนี้+ทุน

บริษัท B  มีสินทรัพย์รวม 1000 ล้านบาท  แต่เป็นเงินสดจำนวน 400 ล้านบาท  สินทรัพย์อื่นๆ 600 ล้านบาท  ไม่มีหนี้สิน  มีกำไร 90 ล้านบาท  เราจะได้ ROA 9%

ต่อมา  นักลงทุน ศรราม  ได้เข้ามาซื้อกิจการบริษัท B

หลังจากนั้น  ก็ได้มีการจ่ายเงินปันผลออกมาจำนวน 400 ล้านบาท  ทำให้บริษัทมีสินทรัพย์รวมเหลือ 600 ล้านบาท  ผลการดำเนินงานในปีต่อมากำไร 60 ล้านบาท  ROA 10%

ROA ในปีหลังที่สูงกว่าปีก่อน  แสดงว่า  นักลงทุน ศรราม บริหารกิจการบริษัท B ได้ดีขึ้น  จริงไหมครับ

ผมว่า ในส่วนของ บริษัท B
9% กับ 10% ค่าความต่างกันน้อยไป
ผู้บริหารคนเดิมก็อาจทำได้ หรืออาจมากกว่าก็ได้

แต่ที่แน่ๆ เงินปันผล ได้ถูกนำไปลงทุนอย่างอื่นทางใดทางหนึ่งให้งอกเงยแล้ว ดีกว่าเก็บเงินไว้เฉยๆ

ถ้าปันผลทั้งหมดเป็นของ ศรราม แล้ว ศรราม เอาเงินปันผลนั้นไปทำงอกเงยขึ้นทางอื่นด้วย

ศรรามก็เก่งกว่า ผู้บริหารคนเดิม ที่เก็บเงินไว้เฉยๆ ไม่บริหารสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

แต่เอ...ถ้าสมมุติ บริษัท B มี 10 ล้านหุ้น กำไรปีที่แล้ว EPS 9 บาท
มาปีนี้คุณ ศรราม ทำ EPS 6 บาท

หลังปันผลไปแล้ว ราคาลดลง 40 บาท
พอ งบรายได้ออกมา EPS 6
ราคาหุ้นร่วงเยอะแน่ๆ ไม่หล่อแล้ว ศรราม

ได้ความรู้เพิ่มอีกแล้วคร้าบ...พี่น้องคร้าบ

มาแอบฟังอาจารย์สอน

[quote="chatchai"]บริษัท B

โห สุดยอดลึกซึ้งมากเลยครับ แค่เพียง ROA กับ ROE ต้องมองกันลึกขนาดนี้แน่ะ เก็บความรู้ได้เพียบเลย  :D

จริงๆ ก็น่าคิดน่ะครับ
ปีแรก ทำกำไร ได้ 90 ล้านบาท ROA 9 %
ปีต่อมา บริษัททำกำไรได้ลดลง เหลือ 60 ล้านบาท
แต่ ROA เพิ่มขึ้น
ทั้งที่ดูๆไป แล้วความสามารถในการทำกำไร ลดลงแท้ๆ แต่การจ่ายปันผลออกมาทำให้ ROA ดูดีขึ้น
อย่างนี้จะถือว่าเป็น ผู้บริหารศรราม ใช้สินทรัพย์เก่งกว่าคนเก่าก็คงไม่ถูก
เพราะสินทรัพย์หลักในการทำงาน ยังเท่ากับ 600 ล้านเท่าเดิมแต่คนใหม่สร้างรายได้ ลดลงจาก 90 --> 60 ล้านบาท  :shock:

พี่ฉัตรชัยต้องการสื่อ เรื่องสูตร ROA , PE หรือเปล่าครับ
ว่าการพิจารณา ตัวเลขเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้ ดูปัจจัยรายละเอียดอื่นๆประกอบอาจไม่เพียงพอ

บริษัท B  มีสินทรัพย์รวม 1000 ล้านบาท  แต่เป็นเงินสดจำนวน 400 ล้านบาท  สินทรัพย์อื่นๆ 600 ล้านบาท  ไม่มีหนี้สิน  มีกำไร 90 ล้านบาท  เราจะได้ ROA 9%

ต่อมา  นักลงทุน ศรราม  ได้เข้ามาซื้อกิจการบริษัท B

หลังจากนั้น  ก็ได้มีการจ่ายเงินปันผลออกมาจำนวน 400 ล้านบาท  ทำให้บริษัทมีสินทรัพย์รวมเหลือ 600 ล้านบาท  ผลการดำเนินงานในปีต่อมากำไร 60 ล้านบาท  ROA 10%

ROA ในปีหลังที่สูงกว่าปีก่อน  แสดงว่า  นักลงทุน ศรราม บริหารกิจการบริษัท B ได้ดีขึ้น  จริงไหมครับ

เงินสด 400 ลบ. คิดว่าเป็นเงินสดส่วนเกินในการดำเนินธุรกิจ
ROA ปีแรกน่าจะ   90/600 = 15%
ROA ปีต่อมาน่าจะ 60/600 = 10 %
หรือเปล่าครับ โปรดชี้แนะด้วยครับ

[quote="chatchai"]บริษัท B

ไอ้หย๋า ตอนผมคิด ROA เอง ดันใช้ Net Profit มาตลอดเลย  :oops:  ถึงว่าๆทำไมไม่เคยเห็นบริษัทที่ ROA ต่ำว่า ROE เลย  :oops:

พี่มลสอนเรื่องนี้ไว้ดีมากเลยครับตาม link นี้
http://www.thaivi.com/article/value-way/487-roe.html

ขอตัวไปแก้ excel file ทั้งหมด & ซ่อมหน้า ก่อนหล่ะครับ  :oops:

รบกวนถามพี่ๆครับว่าทำไมถึงไม่ใช้ ROIC แทน ROA เหรอครับ

เพราะ Asset โดยรวมนั้น แท้จริงแล้วถูก finance ส่วนนึงมาจาก Liability ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน ดังนั้นเวลาคิด Asset จึงควรจะนำ operating current asset มาหักลบก่อนรึเปล่าครับ

เพื่อจะได้รู้ asset ที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียลงทุนจริงๆ

เช่นสมมติว่าบริษัท A มี Asset 100 แต่มี operating current liability 50 ได้ return 10

จะได้ ROA = 10% แต่ ROIC = 20%

Ratio ตัวไหนที่จะบอกความสามารถในการทำกำไรเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ที่ลงทุนไปได้ดีกว่ากันครับ  :roll:

chatchai เขียน:บริษัท B  มีสินทรัพย์รวม 1000 ล้านบาท  แต่เป็นเงินสดจำนวน 400 ล้านบาท  สินทรัพย์อื่นๆ 600 ล้านบาท  ไม่มีหนี้สิน  มีกำไร 90 ล้านบาท  เราจะได้ ROA 9%

ต่อมา  นักลงทุน ศรราม  ได้เข้ามาซื้อกิจการบริษัท B

หลังจากนั้น  ก็ได้มีการจ่ายเงินปันผลออกมาจำนวน 400 ล้านบาท  ทำให้บริษัทมีสินทรัพย์รวมเหลือ 600 ล้านบาท  ผลการดำเนินงานในปีต่อมากำไร 60 ล้านบาท  ROA 10%

ROA ในปีหลังที่สูงกว่าปีก่อน  แสดงว่า  นักลงทุน ศรราม บริหารกิจการบริษัท B ได้ดีขึ้น  จริงไหมครับ

ครรชิต ไพศาล เขียน:ถ้าสมมุติ บริษัท B มี 10 ล้านหุ้น กำไรปีที่แล้ว EPS 9 บาท

  ปีที่ 1                                          ปีที่ 2 นำเงินสดไปปันผล
สินทรัพย์                                           สินทรัพย์
    เงินสด          400   ล.บ.                     เงินสด              -   ล.บ.
    สินทรัพย์อื่น   600  ล.บ.                     สินทรัพย์อื่น   600  ล.บ.
                     1,000  ล.บ.                                         600  ล.บ.

หนี้สินและส่วนของเจ้าของ                  หนี้สินและส่วนของเจ้าของ
     หนี้สิน                     -                                  หนี้สิน                    -
     ส่วนของเจ้าของ  1,000  ล.บ.                      ส่วนของเจ้าของ  600  ล.บ.

      กำไร                      90  ล.บ.                       กำไร                   60  ล.บ.

ลองทำดูแล้วงงๆ ว่ากำไรเพิ่มขึ้น 60 ล.บ. แต่ทำไมส่วนของเจ้าของเท่าเดิม เอาเป็นว่าผมตัดประเด็นนี้ออกแล้วกัน
ขอเพิ่มโจทย์นิดนึงนะครับพี่ฉัตรชัย อัตรากำไรสุทธิทั้ง 2 ปี เท่ากัน
Ratio      ปีที่ 1      ปีที่ 2     อัตราเพิ่มขึ้น(ลดลง)
ROA      9.00%      10.00%       11.11%
ROE      9.00%      10.00%       11.11%
กำไร      90.00        60.00         -33.33%
อัตรากำไร เท่ากัน    เท่ากัน            0.00%
รายได้สุทธิ  xxx      xxx            -33.33%
EPS         9 บาท     6 บาท        -33.33%

ถ้าดูแต่ ROA เพิ่มขึ้น 11.11% แล้วถือว่า การใช้สินทรัพย์ในการทำกำไรดีขึ้น
แต่ถ้าดู EPS ลดลงถึง 33.33% ถามใครก็คงบอกว่าแย่ลง

พี่ฉัตรชัยคงอยากบอกว่า Ratio แค่ไม่กี่ตัวคงไม่สามารถบอกได้ว่าผู้บริหารมีความสามารถหรือไม่ ควรดูหลายๆ ตัวประกอบกัน

ถ้าสมมุติ ศรราม เป็นผู้บริหารโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งปกติคนเต็มตลอด
ตัดสินใจเอาเงินทุนส่วนหนึ่งไปลงทุนซื้ออาคารหลังใหม่เพื่อหวังขยายกิจการ

ช่วงแรกทำให้กำไรต้องลดลงไปมาก เนื่องจากการลงทุนเพิ่มด้านต่างๆ+ค่าเสื่อมราคา และดอกเบี้ย

เราก็คงเห็นกำไร และ ROA ที่ตกต่ำลงมากเช่นกัน(ในขณะที่P/Eสูงขึ้น) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ศรรามไม่เก่ง

กรณีแบบนี้คงต้องติดตามรายละเอียดดูว่า เหตุใดจึงเกิดการเปลี่ยนแปลง.... ก่อนจะรีบตัดสินใจว่าศรรามไม่เก่ง

แต่ทำไมต้องเป็นศรรามด้วยครับ คุณฉัตรชัย ...