เงินจะไหลมา ( หรือเปล่า ) !!!!!
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 19, 2008 11:08 pm
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0212คำเตือน "เศรษฐี" "พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก" ประกาศแล้ว แสนล้านหมื่นล้านได้คืนแค่ "ล้านเดียว"
พระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ.2551 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2551 พ.ร.บ.ฉบับนี้จะใช้บังคับเมื่อพ้น 180 วัน หรือ 6 เดือน นับจากวันที่ 13 ก.พ.
หลักการและเหตุผล คือ การฝากเงินกับสถาบันการเงินเป็นประโยชน์ ในการออมเงินของผู้ฝากเงินในอนาคต และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบัน รัฐบาลคุ้มครองเงินฝากในสถาบันการเงินเต็มจำนวน ซึ่งหลักการดังกล่าวเป็นผลให้เกิดภาระการคลังแก่รัฐมากเกินไป อีกทั้งยังไม่มีกลไกดำเนินการที่เหมาะสม
ดังนั้น เพื่อลดภาระการคลัง สมควรนำระบบการคุ้มครองเงินฝากแบบจำกัดวงเงินมาใช้ พร้อมกำหนดกลไกต่างๆ ในการคุ้มครองเงินฝาก อย่างเป็นระบบ ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบ สถาบันการเงิน อันจะเป็นการสนับสนุนการออมเงินของประเทศและเสริมสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินภาพรวม
โครงสร้างของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
(1) การจัดตั้ง กำหนดให้สถาบันมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย และเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายอื่น
(2) วัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ วัตถุประสงค์ของสถาบันมี 3 ประการ คือ คุ้มครองเงินฝากในสถาบันการเงิน เสริมสร้างความมั่นคง และเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน และดำเนินการกับสถาบันการเงิน ที่ถูกควบคุม และชำระบัญชีสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
สถาบันมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายกำหนด เช่น บริหารจัดการกองทุน ทุนและทรัพย์สินของสถาบัน มีอำนาจกระทำนิติกรรมใดๆ ทั้งในและนอกราชอาณาจักรออกตั๋วเงินหรือตราสารทางการเงินตลอดจนลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้และมีอำนาจหน้าที่ประการสำคัญ คือเรียกเก็บเงินที่สถาบันการเงินนำส่งเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากและจ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากเงินหรือจ่ายเงินให้แก่สถาบันการเงินที่ควบหรือรับโอนกิจการหรือสถาบันการเงินที่รับโอนเงินฝาก ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด
(3) เงินทุนกำหนดให้รัฐบาลจัดสรรทุนประเดิมให้แก่สถาบันเป็นวงเงิน ไม่เกินหนึ่งพันล้านบาท และกำหนดทุนของสถาบัน ได้แก่ (ก) เงินทุนที่รัฐบาลจัดสรรให้ (ข) เงินหรือทรัพย์สินที่ตกเป็นของสถาบัน (ค) เงินหรือทรัพย์สินอื่นที่มีผู้มอบให้ (ง) ดอกผลของกองทุนที่คณะกรรมการจัดสรรให้ (จ) ดอกผลหรือรายได้จากเงินหรือทรัพย์สินของสถาบัน
(4) การเงินและการบัญชี กำหนดให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก สถาบันต้องจัดทำรายงานประจำปีเสนอต่อรัฐมนตรีภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีด้วย
(5) คณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
จำนวนกรรมการและวาระการดำรงตำแหน่ง คณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝากมีจำนวนอย่างน้อย 7 คน แต่ไม่เกิน 9 คน ซึ่งประกอบด้วย (1) กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนธนาคารแห่งปรเทศไทย (2) กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของ คณะรัฐมนตรี ได้แก่ ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี โดยในวาระเริ่มแรกเมื่อครบกำหนดสองปีให้ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิออกจากตำแหน่งเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งโดยวิธีจับสลาก และ (3) ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นกรรมการและเลขานุการ
องค์ประชุมของคณะกรรมการสถาบัน และการลงคะแนนเสียงในที่ประชุม กำหนดให้กรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการ ที่มีอยู่ทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม
อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ได้แก่
- อำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไป ซึ่งกิจการของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก เช่น ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการมอบอำนาจ และการทำการแทนหรือการรักษาการแทนในตำแหน่งผู้อำนวยการ ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล การเงิน การบัญชี การงบประมาณ และการพัสดุ ตลอดจนอนุมัติรายงานประจำปีของสถาบัน
- อำนาจหน้าที่เฉพาะเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก เช่น การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการนำส่งเงินเข้ากองทุน การยื่นคำขอรับเงิน การจ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากเงิน กำหนดรายละเอียดของประเภทเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครอง ตลอดจนการออกข้อบังคับให้สถาบันการเงินใช้เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์เพื่อ แสดงว่าเป็นสถาบันการเงินที่ได้รับการคุ้มครองเงินฝาก
นอกจากนี้ กำหนดเพิ่มเติมให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้ง คณะอนุกรรมการ หรือที่ปรึกษาคณะกรรมการเพื่อดำเนินการใดๆตามที่คณะกรรมการมอบหมายให้
สำหรับผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งโดย คำแนะนำของรัฐมนตรี ทำหน้าที่บริหารงานของสถาบันและเป็นผู้แทนของสถาบันในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก โดยผู้อำนวยการมีวาระการ ดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระไม่ได้
การคุ้มครองเงินฝาก
แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ กองทุนคุ้มครองเงินฝาก เงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองและการจ่ายเงินแก่ผู้ฝากเงิน
ส่วนที่หนึ่ง กองทุนคุ้มครองเงินฝาก
ประกอบด้วย เงินที่สถาบันการเงินนำส่ง ดอกผลของกองทุน และเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการชำระบัญชี ทั้งนี้สถาบันการเงินมีหน้าที่ต้อง นำส่งเงินเข้ากองทุนตามอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา แต่ไม่เกินร้อยละหนึ่งต่อปีของยอดเงินฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครอง และเมื่อนำส่งเงินเข้ากองทุนแล้วสถาบันการเงินจะไม่ต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามกฎหมาย ว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทยต่อไป หากสถาบันการเงินใดไม่นำส่ง หรือนำส่งไม่ครบ จะต้องเสียเงินเพิ่มอีกไม่เกินหนึ่งเท่าของจำนวนเงินดังกล่าว และให้ถือว่าเงินที่ส่งเข้ากองทุนและเงินเพิ่มเป็นหนี้บุริมสิทธิลำดับต่อจากหนี้ภาษีอากรของสถาบันการเงิน
ส่วนที่สอง เงินฝากที่ได้รับการคุ้มครอง ประกอบด้วย
(1) เงินฝากทุกประเภทของสถาบันการเงินที่นำมาคำนวณยอดเงินฝากถัวเฉลี่ย และดอกเบี้ยค้างจ่ายที่เกิดจากเงินฝากนั้นจนถึงวันที่สถาบันการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน และ
(2) เงินฝากดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข คือ ต้องเป็นเงินฝากและ ดอกเบี้ยที่เป็นเงินบาท ต้องเป็นเงินฝากในบัญชีเงินฝากภายในประเทศ โดยต้องมิใช่เงินฝากในบัญชีประเภทบัญชีเงินฝากของบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ นอกประเทศตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินและให้ คณะกรรมการประกาศรายละเอียดประเภทเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครอง ในราชกิจจานุเบกษา
ส่วนที่สาม การจ่ายเงินแก่ผู้ฝากเงิน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เกิดขึ้น ภายหลังจากที่สถาบันการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินแล้ว จึงเป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ตลอดจนสิทธิของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
(1) กำหนดให้สถาบันในฐานะผู้ชำระบัญชีเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินตลอดจนเอกสารทั้งปวงของสถาบันการเงิน และกำหนดให้คณะกรรมการควบคุม หรือผู้แทนนิติบุคคลของสถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้ดูแลจัดการทรัพย์สินของสถาบันการเงินมีหน้าที่ต้องส่งมอบเงินและทรัพย์สิน ตลอดจนเอกสาร ทั้งปวงให้แก่สถาบันในฐานะผู้ชำระบัญชีภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่สถาบัน การเงินนั้นถูกเพิกถอนใบอนุญาต
(2) กำหนดหน้าที่ของสถาบันที่จะต้องประกาศกำหนดให้ผู้ฝากเงินมายื่นคำขอรับเงินภายในสี่สิบวันนับแต่วันที่สถาบันการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาต
(3) กำหนดให้ผู้ฝากเงินมีหน้าที่ที่จะต้องยื่นคำขอรับเงินและแสดงพยานหลักฐานเพื่อขอรับเงินภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่สถาบันประกาศกำหนดให้มายื่นคำขอรับเงิน ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวนี้ หากรัฐมนตรีเห็นว่ามีความจำเป็น รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งขยายได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินเก้าสิบวัน
(4) กำหนดให้สถาบันต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากเงินแต่ละรายผู้มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีหรือทายาทภายในระยะเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้ฝากเงินยื่นขอรับเงินโดยสถาบันจะจ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากเงินตามจำนวนเงินที่ฝากไว้สำหรับทุกบัญชีรวมกันในแต่ละสถาบันการเงิน แต่หากเงินฝากทุกบัญชีรวมกันดังกล่าวมีจำนวนเกินกว่าหนึ่งล้านบาท ให้จ่ายเงินเป็นจำนวนหนึ่งล้านบาท (มาตรา 53)
ในกรณีที่มีชื่อบุคคลหลายคนร่วมกันเป็นเจ้าของบัญชี ให้สถาบันจ่ายเงินให้แก่ผู้มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีแต่ละคนตามส่วนที่บุคคลนั้นมีสิทธิในบัญชีเงินฝาก หากไม่อาจทราบจำนวนเงินฝากที่แต่ละคนมีส่วนในบัญชี ให้ถือว่าผู้ฝากเงินดังกล่าวมีส่วนเท่ากัน
การจ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากเงินให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด
(5) เมื่อสถาบันจ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากเงินตาม (4) แล้ว ให้สถาบันเข้ารับช่วงสิทธิของผู้ฝากเงินเท่ากับจำนวนเงินที่ได้จ่ายไปแล้ว และมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในจำนวนเงินนั้นจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือผู้ชำระบัญชี โดยมีบุริมสิทธิเหนือเจ้าหนี้สามัญของสถาบันการเงินนั้นทั้งหมด
การชำระบัญชีสถาบันการเงิน
ภายหลังที่สถาบันการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาต ให้สถาบันเป็นผู้ชำระบัญชีสถาบันการเงิน และการใดที่เป็นอำนาจหน้าที่ของที่ประชุมผู้ถือหุ้น ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสถาบัน
นอกจากนี้ การโอนสินทรัพย์ตามร่างพระราชบัญญัตินี้กำหนดให้การ โอนสินทรัพย์ที่เป็นหลักประกันของสถาบันการเงิน ให้ตกเป็นของสถาบัน การเงินที่รับโอนกิจการนั้น เว้นแต่เป็นสิทธิตามที่กฎหมายกำหนดให้ตกแก่ผู้รับโอนตามมาตรา 305 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น จำนอง จำนวน หรือค้ำประกัน ซึ่งถ้าในการดำเนินการมีการฟ้องบังคับสิทธิเรียกร้องเป็นคดีอยู่ในศาล ให้สถาบันการเงินที่รับโอนเข้าสวมสิทธิ์เป็น คู่ความแทนในคดีได้ และในกรณีที่ศาลได้มีคำพิพากษาบังคับตามสิทธิ เรียกร้องนั้นแล้วให้สวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้
กรณีที่สถาบันได้จ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากเงินหรือสถาบันการเงินที่รับโอนเงินฝากให้อำนาจสถาบันจัดการทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้ได้ และภายหลังที่ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วให้สถาบันยื่นคำร้องขอเพื่อเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย โดยสถาบันพ้นจากอำนาจหน้าที่ในฐานะผู้ชำระบัญชีและให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลายต่อไป นอกจากนี้นับแต่วันที่สถาบันการเงินถูก เพิกถอนใบอนุญาต จนถึงวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ห้ามมิให้ผู้ใดฟ้องร้องสถาบันการเงินเป็นคดีล้มละลายหรือฟ้องร้องบังคับคดีเกี่ยวกับ ทรัพย์สินของสถาบันการเงิน รวมทั้งให้ระงับการพิจารณาคดีที่มีผู้ฟ้องสถาบันการเงินนั้นสำหรับสิทธิใดๆ ต่อศาลไว้ก่อน
บทกำหนดโทษ กรณีที่บุคคลใดนอกจากสถาบันการเงินใช้เครื่องหมายเพื่อแสดงว่าธุรกิจของตนเป็นสถาบันการเงินที่ได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัตินี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนอยู่ และหากผู้ใดล่วงรู้กิจการของสถาบันการเงิน เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่และนำข้อมูลดังกล่าวไปเปิดเผยต่อบุคคลอื่นโดยมิชอบต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
บทเฉพาะกาล
เมื่อมีการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากขึ้นแล้ว ให้ยกเลิกการประกันผู้ฝากเงินของสถาบันการเงิน โดยรัฐบาลที่มีอยู่ก่อนการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก และใน 4 ปีแรกของการบังคับใช้กฎหมาย ให้จ่ายเงินแก่ ผู้ฝากเงิน ตามหลักเกณฑ์ (มาตรา 53) โดยกำหนดจำนวนเงินที่ให้ความคุ้มครองไม่เกินจำนวน ดังนี้
(1) ปีที่หนึ่ง เต็มตามจำนวนเงินที่ปรากฏในบัญชี
(2) ปีที่สอง หนึ่งร้อยล้าน
(3) ปีที่สาม ห้าสิบล้านบาท
(4) ปีที่สี่ สิบล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วง 4 ปีแรกของการบังคับใช้กฎหมาย หากภาวะเศรษฐกิจ และระบบการเงินเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ อันเป็นเหตุให้ต้องกำหนดจำนวนเงินที่ให้ความคุ้มครองเงินฝากเพิ่มขึ้น จากที่กำหนดให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา