บริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เดี๋ยวนี้ยังมีอีกไหมครับ
- SunShine@Night
- Verified User
- โพสต์: 2196
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เดี๋ยวนี้ยังมีอีกไหมครับ
โพสต์ที่ 1
บริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เดี๋ยวนี้ยังมีอีกไหมครับ เท่าที่ผมดูคร่าวๆ ไม่ค่อยเห็นเลยครับ
อ่านในหนังสือของ ลินซ์ รู้สึกเขาจะชื่นชอบกับบริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เพื่อนๆพี่ๆ มีความคิดเห็นกันว่ายังไงบ้างครับ
อ่านในหนังสือของ ลินซ์ รู้สึกเขาจะชื่นชอบกับบริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เพื่อนๆพี่ๆ มีความคิดเห็นกันว่ายังไงบ้างครับ
VI ฝึกหัด สำนักปีเตอร์ ลินช์
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
- SunShine@Night
- Verified User
- โพสต์: 2196
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เดี๋ยวนี้ยังมีอีกไหมครับ
โพสต์ที่ 4
SE-ED เนี้ย ซื้อคืนไปเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ใช่ไหมครับ
แต่ยังมีบริษัทที่ซื้อคืนสม่ำเสมอหรือเปล่า
แต่ยังมีบริษัทที่ซื้อคืนสม่ำเสมอหรือเปล่า
VI ฝึกหัด สำนักปีเตอร์ ลินช์
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เดี๋ยวนี้ยังมีอีกไหมครับ
โพสต์ที่ 8
ก็มีเยอะนะครับ แต่ขอตั้งข้อสังเกตเรื่องการซื้อหุ้นคืนชองบริษัทแถวบ้านเราบ้างว่า
1. กฎเกณฑ์
- การซื้อหุ้นคืนบ้านเราติดเกณฑ์ 10% 3 ปี และต้องกันกำไรสะสมไว้เท่ากับจำนวนเงินที่จ่ายซื้อหุ้นคืน การซื้อหุ้นคืนกว่าจะส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นจึงกินเวลานาน หุ้นที่หายไป 10% สามารถทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมมีส่วนความเป็นเจ้าของกิจการเพิ่มขึ้นได้ 11.11% แต่พอเอา 3 หาร คิดเป็นต่อปีมันก็ไม่มากไม่มายอะไรนัก
เรื่องนี้ต่างจากแถว NYSE เพราะไม่ติดกฎแบบเรา บริษัทขนาดใหญ่ของเขาประกอบกิจการมานาน มีรากฐานมั่นคงกระแสเงินสดแข็งแกร่ง และเพราะเขาโตมานานจึงอาจไม่ค่อยมีแนวคิดดีๆ สำหรับการลงทุนเพื่อขยายกิจการ การซื้อหุ้นคืนจึงทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เงินสดถูกจ่ายโครมๆๆ ดูแล้วบางทีก็ขนลุก ผ่านไป 3-4 ปี บางทีเขาจ่ายเงินสดรวมทั้งสิ้นออกไปพอๆ กับส่วนของผู้ถือหุ้นทีเดียว ผลดีต่อผู้ถือหุ้นจึงเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน
2. วัตถุประสงค์
- เวลาซื้อหุ้นคืนเขาก็ย่อมอ้างเหตุผลต่างๆ นาๆ ว่ามันดี แต่ที่จริงหลายครั้งมันมีวาระซ่อนเร้น บางทีก็ทำเป็นแฟชั่นไปอย่างนั้นเอง แถวบ้านเรานี้มีหลายครั้งมากที่เกิดการซื้อหุ้นคืนแบบโง่ๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นความโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่
ลักษณะที่โดดเด่นอย่างหนึ่งคือการอุ้มหุ้นตัวเอง เวลาที่กิจการประสบกับปัญหาจนทำให้กำไรร่วง แน่นอนว่าราคาหุ้นก็มักร่วงตาม บางครั้งก็จะเกิดการซื้อหุ้นคืนขึ้น ราคาหุ้นอาจทรงตัวไประยะหนึ่งจากนั้นก็ร่วงลงอีก และพอถึงตอนนั้นบริษัทก็มักไม่ยอมซื้อหุ้นคืนเพิ่มแม้วงเงินจะเหลือ ทำแบบนี้เพื่ออะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน
3. ผลลัพธ์
- การซื้อหุ้นคืนทำให้จำนวนหุ้นลดลง ถ้าเป็นบริษัทขนาดใหญ่นั้นปัญหาเรื่องสภาพคล่องคงมีไม่มาก แต่กับบริษัทขนาดเล็กย่อมเกิดปัญหา หุ้นบ้านเรานั้นมักดัดจริต ปกติจะกลัวหุ้นขาดสภาพคล่องมากกว่า ซื้อหุ้นคืนแป๊บๆ ก็ขายคืนซะแล้ว กำไรบ้างขาดทุนบ้าง สร้างความสลดสมเพชให้คนที่นั่งดูอยู่เพราะมองย้อนไปย่อมเห็นชัดว่าเขาไม่จริงใจจะซื้อหุ้นคืนแต่แรก เพียงหวังอุ้มหุ้นชั่วครั้งชั่วคราวสบโอกาสเมื่อไหร่ก็จะขายคืนตลาด
1. กฎเกณฑ์
- การซื้อหุ้นคืนบ้านเราติดเกณฑ์ 10% 3 ปี และต้องกันกำไรสะสมไว้เท่ากับจำนวนเงินที่จ่ายซื้อหุ้นคืน การซื้อหุ้นคืนกว่าจะส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นจึงกินเวลานาน หุ้นที่หายไป 10% สามารถทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมมีส่วนความเป็นเจ้าของกิจการเพิ่มขึ้นได้ 11.11% แต่พอเอา 3 หาร คิดเป็นต่อปีมันก็ไม่มากไม่มายอะไรนัก
เรื่องนี้ต่างจากแถว NYSE เพราะไม่ติดกฎแบบเรา บริษัทขนาดใหญ่ของเขาประกอบกิจการมานาน มีรากฐานมั่นคงกระแสเงินสดแข็งแกร่ง และเพราะเขาโตมานานจึงอาจไม่ค่อยมีแนวคิดดีๆ สำหรับการลงทุนเพื่อขยายกิจการ การซื้อหุ้นคืนจึงทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เงินสดถูกจ่ายโครมๆๆ ดูแล้วบางทีก็ขนลุก ผ่านไป 3-4 ปี บางทีเขาจ่ายเงินสดรวมทั้งสิ้นออกไปพอๆ กับส่วนของผู้ถือหุ้นทีเดียว ผลดีต่อผู้ถือหุ้นจึงเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน
2. วัตถุประสงค์
- เวลาซื้อหุ้นคืนเขาก็ย่อมอ้างเหตุผลต่างๆ นาๆ ว่ามันดี แต่ที่จริงหลายครั้งมันมีวาระซ่อนเร้น บางทีก็ทำเป็นแฟชั่นไปอย่างนั้นเอง แถวบ้านเรานี้มีหลายครั้งมากที่เกิดการซื้อหุ้นคืนแบบโง่ๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นความโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่
ลักษณะที่โดดเด่นอย่างหนึ่งคือการอุ้มหุ้นตัวเอง เวลาที่กิจการประสบกับปัญหาจนทำให้กำไรร่วง แน่นอนว่าราคาหุ้นก็มักร่วงตาม บางครั้งก็จะเกิดการซื้อหุ้นคืนขึ้น ราคาหุ้นอาจทรงตัวไประยะหนึ่งจากนั้นก็ร่วงลงอีก และพอถึงตอนนั้นบริษัทก็มักไม่ยอมซื้อหุ้นคืนเพิ่มแม้วงเงินจะเหลือ ทำแบบนี้เพื่ออะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน
3. ผลลัพธ์
- การซื้อหุ้นคืนทำให้จำนวนหุ้นลดลง ถ้าเป็นบริษัทขนาดใหญ่นั้นปัญหาเรื่องสภาพคล่องคงมีไม่มาก แต่กับบริษัทขนาดเล็กย่อมเกิดปัญหา หุ้นบ้านเรานั้นมักดัดจริต ปกติจะกลัวหุ้นขาดสภาพคล่องมากกว่า ซื้อหุ้นคืนแป๊บๆ ก็ขายคืนซะแล้ว กำไรบ้างขาดทุนบ้าง สร้างความสลดสมเพชให้คนที่นั่งดูอยู่เพราะมองย้อนไปย่อมเห็นชัดว่าเขาไม่จริงใจจะซื้อหุ้นคืนแต่แรก เพียงหวังอุ้มหุ้นชั่วครั้งชั่วคราวสบโอกาสเมื่อไหร่ก็จะขายคืนตลาด
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เดี๋ยวนี้ยังมีอีกไหมครับ
โพสต์ที่ 9
สมัยก่อนยังเห็นหุ้น พาร์ 100 เดี๋ยวนี้ พาร์ 10 พาร์ 5 ก็หายาก อีกหน่อยคงได้เห็นแข่งกันแตกเป็นพาร์ 10 สตางค์ 1 สตางค์ บางบริษัทเขาก็ไม่อายฟ้าไม่อายดิน รวมหุ้นมาหมาดๆ ได้ปีหนึ่งก็แตกหุ้นเป็นพาร์ 10 สตางค์ เป็นต้น
ดูอย่าง PSL ที่ซื้อหุ้นคืน พอราคาหุ้นวิ่งขึ้นตามกระแสหุ้นเรืออีกครั้ง ก็ขายมาทำกำไรซะ ได้มา 172 ล้าน ซึ่งก็ยังดี แม้ความเป็นเจ้าของกิจการของผู้ถือหุ้นจะไม่เพิ่มแต่ส่วนของผู้ถือหุ้นก็มากขึ้น
ดูอย่าง LST มั่ง ทำท่าเป็นซื้อหุ้นคืน แต่พอจะครบ 3 ปี เป็นตะครั่นตะครอ กลัวจำนวนหุ้นจะลดเลยชิงขายหุ้นคืนตลาดหมด ตอนซื้อคืนใช้เงินไป 127 ล้าน ลงท้ายได้กำไรมา 5 ล้าน สร้างความอนาถสมเพชได้ตามสมควร
อย่าง SE-ED ก็ใช่ย่อย ซื้อหุ้นคืนหุ้นละ 6.20 บาท แต่พอราคาร่วงลงมาเหลือ 4 บาทกว่าๆ ก็ไม่ยอมซื้อคืนเพิ่มทั้งๆ ที่ยังไม่เต็ม 10% จะบอกว่าในขณะเดียวกันเขาก็ออก ESOP ต่างๆ แจกกรรมการและผู้บริหารไปพร้อมกัน เมื่อมองดูจึงรู้สึกเหมือนเขาซื้อหุ้นคืนเพราะไม่อยากให้เกิด dilution เท่านั้นเอง ไม่ได้หวังประโยชน์จริงจังอะไรกับผู้ถือหุ้น
น้อง SUSCO ก็ดูเหมือนจะเค้าข่ายสำคัญตัวเองผิด อาจเพราะราคาหุ้นร่วงเยอะทั้งๆ ที่กิจการเขาไม่ได้มีกระแสเงินสดที่น่าชื่นชมอะไรเลยแต่ก็ยังซื้อหุ้นคืนไปราคาหุ้นละ 70 สตางค์ ราคาตลาดตอนนี้เหลือครึ่งเดียวจากตอนที่ซื้อหุ้นคืน อยากรู้ว่าทำไมไม่ซื้อหุ้นคืนต่ออีก
CVD ก็น่าสนใจ ปี 41-45 เขาขาดทุนรวมกัน 684 ล้าน พอปี 47 รึว่าอดอยากปากแห้งมานานก็อ้างกันซื่อๆ ว่ากระแสเงินสดข้าพเจ้าเหลือเยอะ ประกาศซื้อหุ้นคืนหุ้นละ 50 บาท ก่อนหน้านั้นเห็นหุ้นวิ่ง 8 บาท 10 บาท จะซื้อแพงหา lance อะไรตั้ง 50 บาท ซื้อคืนแล้วก็เห็นหุ้นวิ่งอยู่แถว 10 กว่า 20 กว่า ยังดีนะที่สุดท้ายก็ยอมตัดหุ้นซื้อคืนทิ้ง
กรณีที่คลาสสิกมากต้องยกให้ GMMM เข้ามา IPO ปลายปี 45 หุ้นละ 30 บาท เข้าปี 46 ได้ไม่กี่เดือน ประกาศซื้อหุ้นคืนซะงั้น (แล้วจะเข้าตลาดมาหาอะไรฟะ ) ราคาซื้อคืนเฉลี่ยก็ 30 บาท ดูเหมือนตั้งใจพยุงหุ้นตัวเองที่ร่วงไปแถว 20 กว่าๆ แต่มันเด็ดที่สุดก็เพราะตอนปี 48 อากู๋แกอยากซื้อ MATI แต่เงินไม่พอ เลยเอาหุ้นที่ซื้อคืนมา 7.7 ล้านหุ้น ขายไปราคา 12.20 บาท เบ็ดเสร็จจึงเกิดผลขาดทุนราว 137 ล้านบาท ผมนั่งดูแล้วก็สลดลังเวชแทนผู้ถือหุ้น GMMM จริงๆ
การซื้อหุ้น MATI ครั้งนั้นก็ไม่ได้เป็นการลงทุนในราคาที่เฉลียวฉลาดอะไรเลย เห็นราคาจากที่เคยเฟื่องฟูแถว 40 บาท ในที่สุดลงไปเหลือ 6 บาท กว่าๆ ยอมรับจริงๆ ครับว่าผม สม water face แกมาก :la: แต่ตอนนี้ก็ฟื้นมาบ้างแล้วละนะ แต่คงต้องรออีกสักพักล่ะกว่าจะวิ่งได้มากๆ เพราะนักลงทุนคงเข็ดอุจจาระอ่อนอุจจาระแก่ฤทธิ์เดชอากู๋อยู่ ยังไม่ลืมกันง่ายๆ ว่างั้น :?
ทิ้งท้ายกรณีดีๆ สักนิดคือ SCCC เพราะรู้สึกว่าเขาซื้อหุ้นคืนคล้ายๆ บริษัทขนาดใหญ่ในต่างประเทศ ชมซะหน่อย :8)
เรื่องในทฤษฎีฟังดูสวยหรูก็จริง แต่สำหรับตลาดหุ้นบ้านเรา ส่วนใหญ่ต้องไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งครับ :8)
ดูอย่าง PSL ที่ซื้อหุ้นคืน พอราคาหุ้นวิ่งขึ้นตามกระแสหุ้นเรืออีกครั้ง ก็ขายมาทำกำไรซะ ได้มา 172 ล้าน ซึ่งก็ยังดี แม้ความเป็นเจ้าของกิจการของผู้ถือหุ้นจะไม่เพิ่มแต่ส่วนของผู้ถือหุ้นก็มากขึ้น
ดูอย่าง LST มั่ง ทำท่าเป็นซื้อหุ้นคืน แต่พอจะครบ 3 ปี เป็นตะครั่นตะครอ กลัวจำนวนหุ้นจะลดเลยชิงขายหุ้นคืนตลาดหมด ตอนซื้อคืนใช้เงินไป 127 ล้าน ลงท้ายได้กำไรมา 5 ล้าน สร้างความอนาถสมเพชได้ตามสมควร
อย่าง SE-ED ก็ใช่ย่อย ซื้อหุ้นคืนหุ้นละ 6.20 บาท แต่พอราคาร่วงลงมาเหลือ 4 บาทกว่าๆ ก็ไม่ยอมซื้อคืนเพิ่มทั้งๆ ที่ยังไม่เต็ม 10% จะบอกว่าในขณะเดียวกันเขาก็ออก ESOP ต่างๆ แจกกรรมการและผู้บริหารไปพร้อมกัน เมื่อมองดูจึงรู้สึกเหมือนเขาซื้อหุ้นคืนเพราะไม่อยากให้เกิด dilution เท่านั้นเอง ไม่ได้หวังประโยชน์จริงจังอะไรกับผู้ถือหุ้น
น้อง SUSCO ก็ดูเหมือนจะเค้าข่ายสำคัญตัวเองผิด อาจเพราะราคาหุ้นร่วงเยอะทั้งๆ ที่กิจการเขาไม่ได้มีกระแสเงินสดที่น่าชื่นชมอะไรเลยแต่ก็ยังซื้อหุ้นคืนไปราคาหุ้นละ 70 สตางค์ ราคาตลาดตอนนี้เหลือครึ่งเดียวจากตอนที่ซื้อหุ้นคืน อยากรู้ว่าทำไมไม่ซื้อหุ้นคืนต่ออีก
CVD ก็น่าสนใจ ปี 41-45 เขาขาดทุนรวมกัน 684 ล้าน พอปี 47 รึว่าอดอยากปากแห้งมานานก็อ้างกันซื่อๆ ว่ากระแสเงินสดข้าพเจ้าเหลือเยอะ ประกาศซื้อหุ้นคืนหุ้นละ 50 บาท ก่อนหน้านั้นเห็นหุ้นวิ่ง 8 บาท 10 บาท จะซื้อแพงหา lance อะไรตั้ง 50 บาท ซื้อคืนแล้วก็เห็นหุ้นวิ่งอยู่แถว 10 กว่า 20 กว่า ยังดีนะที่สุดท้ายก็ยอมตัดหุ้นซื้อคืนทิ้ง
กรณีที่คลาสสิกมากต้องยกให้ GMMM เข้ามา IPO ปลายปี 45 หุ้นละ 30 บาท เข้าปี 46 ได้ไม่กี่เดือน ประกาศซื้อหุ้นคืนซะงั้น (แล้วจะเข้าตลาดมาหาอะไรฟะ ) ราคาซื้อคืนเฉลี่ยก็ 30 บาท ดูเหมือนตั้งใจพยุงหุ้นตัวเองที่ร่วงไปแถว 20 กว่าๆ แต่มันเด็ดที่สุดก็เพราะตอนปี 48 อากู๋แกอยากซื้อ MATI แต่เงินไม่พอ เลยเอาหุ้นที่ซื้อคืนมา 7.7 ล้านหุ้น ขายไปราคา 12.20 บาท เบ็ดเสร็จจึงเกิดผลขาดทุนราว 137 ล้านบาท ผมนั่งดูแล้วก็สลดลังเวชแทนผู้ถือหุ้น GMMM จริงๆ
การซื้อหุ้น MATI ครั้งนั้นก็ไม่ได้เป็นการลงทุนในราคาที่เฉลียวฉลาดอะไรเลย เห็นราคาจากที่เคยเฟื่องฟูแถว 40 บาท ในที่สุดลงไปเหลือ 6 บาท กว่าๆ ยอมรับจริงๆ ครับว่าผม สม water face แกมาก :la: แต่ตอนนี้ก็ฟื้นมาบ้างแล้วละนะ แต่คงต้องรออีกสักพักล่ะกว่าจะวิ่งได้มากๆ เพราะนักลงทุนคงเข็ดอุจจาระอ่อนอุจจาระแก่ฤทธิ์เดชอากู๋อยู่ ยังไม่ลืมกันง่ายๆ ว่างั้น :?
ทิ้งท้ายกรณีดีๆ สักนิดคือ SCCC เพราะรู้สึกว่าเขาซื้อหุ้นคืนคล้ายๆ บริษัทขนาดใหญ่ในต่างประเทศ ชมซะหน่อย :8)
เรื่องในทฤษฎีฟังดูสวยหรูก็จริง แต่สำหรับตลาดหุ้นบ้านเรา ส่วนใหญ่ต้องไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งครับ :8)
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
-
- Verified User
- โพสต์: 1288
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เดี๋ยวนี้ยังมีอีกไหมครับ
โพสต์ที่ 10
รบกวนเล่าให้ฟังเป็นวิทยาทานหน่อยได้ไหมครับ :DRyuga เขียน: ทิ้งท้ายกรณีดีๆ สักนิดคือ SCCC เพราะรู้สึกว่าเขาซื้อหุ้นคืนคล้ายๆ บริษัทขนาดใหญ่ในต่างประเทศ ชมซะหน่อย :8)
^
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
-
- Verified User
- โพสต์: 209
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เดี๋ยวนี้ยังมีอีกไหมครับ
โพสต์ที่ 11
SCCC เป็นหุ้นที่มีกระแสเงินสดอิสระสูงมาก (หลังจากปรับโครงสร้างหนี้ได้กลุ่งทุนจากสวิซ คือโฮลซิม) นอกจากปันผลต่อหุ้นในปริมาณสูงแล้วยังมีการซื้อหุ้นคืนอีกด้วยMindTrick เขียน: รบกวนเล่าให้ฟังเป็นวิทยาทานหน่อยได้ไหมครับ :D
จนถึงปัจจุบันมีการซื้อหุ้นคืน 2 ครั้ง
ครั้งแรก ครึ่งปีแรก 47 12.5 ล้านหุ้น
ครั้งที่สอง ครึ่งปีหลัง 49 7.5 ล้านหุ้น
ที่สำคัญคือ การซื้อหุ้นคืน ของ sccc ซื้อที่ราคาดีครับ ไม่ได้ซื้อที่ราคาแพงสุดโต่ง หรือซื้อเล่นเพื่อให้ข่าวสร้างราคาหุ้น แล้วไปขายเวลาต้องการใช้เงิน แต่การซื้อหุ้นคืนเพราะมีสภาพคล่องส่วนเกินสูง แล้วก็ไม่ได้ไปขายคืนเมื่อครบสามปีตามกฎ กลต
ล่าสุดครับ 3 พฤษภาคม 2550 ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯมีมติอนุมัติให้บริษัทฯ ลดทุนชำระแล้วโดยวิธีตัดหุ้นทุนที่ซื้อคืนและยังไม่ได้จำหน่ายออกไปภายใต้โครงการซื้อหุ้นคืนครั้งที่ 1 จำนวน 12.5 ล้านหุ้น
เท่ากับหุ้นในบริษัทเหลือ 237.5 ล้านหุ้น จาก 250 ล้านหุ้น เท่ากับตัวหารน้อยลง :D
ผิดถูกอย่างไรพี่ริวแก้ไขให้ด้วยครับ
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เดี๋ยวนี้ยังมีอีกไหมครับ
โพสต์ที่ 12
พี่ tanate@man แจ๋วมากเลยครับ
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
-
- Verified User
- โพสต์: 27
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เดี๋ยวนี้ยังมีอีกไหมครับ
โพสต์ที่ 15
MBK ก็ซื้อหุ้นคืนนะครับ
- SEHJU
- Verified User
- โพสต์: 1238
- ผู้ติดตาม: 0
ครับ
โพสต์ที่ 16
โอ้โห.. ความรู้มหาศาล ไม่เคยรู้มาก่อนเลยครับ
คุณริวกะสุดยอดจริงๆ..
ใครก็ได้ครับ ช่วยมาเอาคุณริวกะไปออกมันนี่ทอล์กทีเหอะ
อยากเห็นหน้าแกอ่ะครับ............
คุณริวกะสุดยอดจริงๆ..
ใครก็ได้ครับ ช่วยมาเอาคุณริวกะไปออกมันนี่ทอล์กทีเหอะ
อยากเห็นหน้าแกอ่ะครับ............
-
- Verified User
- โพสต์: 17
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เดี๋ยวนี้ยังมีอีกไหมครับ
โพสต์ที่ 18
คุณ Ryuga พอจะรู้ข้อมูลหรือช่วยวิเคราะห์ EPCO ได้ไหมครับ
เนื่องจากมีโครงการจะซื้อหุ้นคืนเร็วๆนี้ โดยเข้าที่ประชุมวันที่ 27 มี.ค. 08
http://www.settrade.com/simsImg/news/2008/08004003.t08
เนื่องจากมีโครงการจะซื้อหุ้นคืนเร็วๆนี้ โดยเข้าที่ประชุมวันที่ 27 มี.ค. 08
http://www.settrade.com/simsImg/news/2008/08004003.t08
-
- Verified User
- โพสต์: 99
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เดี๋ยวนี้ยังมีอีกไหมครับ
โพสต์ที่ 19
ถ้าจำไม่ผิด AIS ก็มีรายการนี้เหมือนกัน ซื้อแถวราคาประมาณ 30 บาท หลังจากนั้นไม่นาน ราคาก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่แน่ใจว่าท้ายที่สุดขายกลับลงกระดานหรือลดทุน
ขอโทษที่เขียนขึ้นมาลอยๆ เพราะไม่ทราบว่าช่วงปีไหน วานผู้รู้ช่วยวิจารณ์ตัวนี้ด้วยครับ
ขอโทษที่เขียนขึ้นมาลอยๆ เพราะไม่ทราบว่าช่วงปีไหน วานผู้รู้ช่วยวิจารณ์ตัวนี้ด้วยครับ
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เดี๋ยวนี้ยังมีอีกไหมครับ
โพสต์ที่ 21
กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนาเสมอครับ ตอนจะซื้อหุ้นคืนก็พูดดีหมดแหละ แต่หลังฉากซ่อนอะไรไว้ก็ไม่ทราบเหมือนกัน
โดยส่วนใหญ่แล้วการซื้อหุ้นคืนบ้านเราต่างมีจุดประสงค์เคลือบแฝงกัน เขาอาจใช้คำพูดหรูๆ ว่าการบริหารทางการเงินหรืออะไรทำนองนั้น ทั้งที่จริงอาจต้องเรียกว่าเล่นหุ้นตัวเอง ลองสังเกตนะครับว่าการซื้อหุ้นคืนสามารถทำให้เกิด demand เทียมต่อราคาหุ้นได้ หมายความว่ามันไปบิดเบือนราคาหุ้นที่ควรจะเป็นจากอารมณ์ตลาด หลังจากซื้อหุ้นคืนไปแล้วจึงมีโอกาสที่ต่อมาราคาหุ้นจะร่วงเพราะราคารับซื้อสูงกว่าราคาที่ตลาดให้
หากบริษัทแห่งใดๆ ก็ตามประกาศซื้อหุ้นคืนนั้น โดยทฤษฎีที่เราได้ยินได้ฟังมาเขาจะถือเป็นข่าวดี แต่นั่นไม่จริงสำหรับตลาดบ้านเราหรอก ผมพอได้ฟังก็เฉยๆ เพราะมันต้องดูกันต่อว่าเขาตั้งใจจริงอย่างที่ว่าไหมซึ่งบางครั้งมันก็ต้องดูนานกว่าจะออกลาย
เมื่อซื้อหุ้นคืนสมมุติว่าซื้อจนเต็มเพดาน 10% ส่วนความเป็นเจ้าของกิจการของผู้ถือหุ้นเดิมจะเพิ่มขึ้นทันที 11.11% แต่ที่ผมบอกว่าต้องเอา 3 หารก็เพราะแถวบ้านเรานั้นไม่ค่อยจะจริงใจกันแต่แรก หนำซ้ำการซื้อหุ้นคืนมันทำขณะที่ผลการดำเนินงานแย่ลง ราคาหุ้นตกต่ำ การมีส่วนเป็นของเจ้าของกิจการเพิ่มขึ้น 11.11% ในขณะที่กำไรของบริษัทร่วงลงครึ่งหนึ่งหรือไม่แน่อาจพลิกไปขาดทุนเลยนั้นไม่นับเป็นศิริมงคลอันใด เงินปันผลต่อหุ้นแทนที่จะเพิ่มอาจกลายเป็นลดลงหรืออาจไม่จ่ายก็เป็นได้ แย่ไปกว่านั้นเพราะหากราคาหุ้นฟื้น ความไม่จริงใจในการซื้อหุ้นคืนก็จะสำแดงเดชโดยการขายหุ้นต้านออกมาเพราะเขาสะบัดร้อนสะบัดหนาวกลัวจำนวนหุ้นจะลดเมื่อครบ 3 ปี ลงท้าย นักลงทุนที่ถือหุ้นผ่านเวลามายาวนานก็เพียงมีชื่อว่า ได้มีส่วนเป็นเจ้าของกิจการเพิ่มขึ้น 11.11% เป็นการชั่วคราว :lol:
การซื้อหุ้นคืนอาจเป็นการอุ้มหุ้นตัวเองไม่ให้ร่วงด้วยการต้านอารมณ์ตลาดไว้ และในทางกลับกันมันก็จะเป็นแรงกดดันราคาหุ้นเมื่อขาขึ้นกลับมาอีกครั้งหากเขาขายต้าน ความจริงใจในการซื้อหุ้นคืนจึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณากันเป็นอันดับหนึ่ง
EPCO นี่ ผมจะไม่วิจารณ์ครับ ต่างคนต่างพิจารณาได้ โดยทั่วไปเขาก็นับว่าอยู่ในฐานะที่ซื้อหุ้นคืนได้ครับ จำได้ว่าปีที่แล้วเห็นพี่นริศกับพี่ลูกอิสานคุยกันสองต่อสองด้วยนี่ครับ เรื่อง CSL เห็นพูดเรื่องซื้อหุ้นคืนด้วย อย่างที่กล่าวว่าพอได้ยินเรื่องซื้อหุ้นคืนปกติผมจะเฉยๆ กรณี CSL นี่ ซื้อหุ้นคืนเสร็จแล้วเป็นร่วงเลยทีเดียวแม้ 3 ไตรมาสหลังนี้จะประกาศผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตลอดแต่ตลาดไม่ค่อยตอบสนอง ยิ่งตอนนี้บริษัทถูกครอบงำโดย คุณก็รู้ว่าใคร เลยถึงขั้นลดพาร์มาจ่ายปันผลพิเศษกันเลยทีเดียวเชียว
โดยส่วนใหญ่แล้วการซื้อหุ้นคืนบ้านเราต่างมีจุดประสงค์เคลือบแฝงกัน เขาอาจใช้คำพูดหรูๆ ว่าการบริหารทางการเงินหรืออะไรทำนองนั้น ทั้งที่จริงอาจต้องเรียกว่าเล่นหุ้นตัวเอง ลองสังเกตนะครับว่าการซื้อหุ้นคืนสามารถทำให้เกิด demand เทียมต่อราคาหุ้นได้ หมายความว่ามันไปบิดเบือนราคาหุ้นที่ควรจะเป็นจากอารมณ์ตลาด หลังจากซื้อหุ้นคืนไปแล้วจึงมีโอกาสที่ต่อมาราคาหุ้นจะร่วงเพราะราคารับซื้อสูงกว่าราคาที่ตลาดให้
หากบริษัทแห่งใดๆ ก็ตามประกาศซื้อหุ้นคืนนั้น โดยทฤษฎีที่เราได้ยินได้ฟังมาเขาจะถือเป็นข่าวดี แต่นั่นไม่จริงสำหรับตลาดบ้านเราหรอก ผมพอได้ฟังก็เฉยๆ เพราะมันต้องดูกันต่อว่าเขาตั้งใจจริงอย่างที่ว่าไหมซึ่งบางครั้งมันก็ต้องดูนานกว่าจะออกลาย
เมื่อซื้อหุ้นคืนสมมุติว่าซื้อจนเต็มเพดาน 10% ส่วนความเป็นเจ้าของกิจการของผู้ถือหุ้นเดิมจะเพิ่มขึ้นทันที 11.11% แต่ที่ผมบอกว่าต้องเอา 3 หารก็เพราะแถวบ้านเรานั้นไม่ค่อยจะจริงใจกันแต่แรก หนำซ้ำการซื้อหุ้นคืนมันทำขณะที่ผลการดำเนินงานแย่ลง ราคาหุ้นตกต่ำ การมีส่วนเป็นของเจ้าของกิจการเพิ่มขึ้น 11.11% ในขณะที่กำไรของบริษัทร่วงลงครึ่งหนึ่งหรือไม่แน่อาจพลิกไปขาดทุนเลยนั้นไม่นับเป็นศิริมงคลอันใด เงินปันผลต่อหุ้นแทนที่จะเพิ่มอาจกลายเป็นลดลงหรืออาจไม่จ่ายก็เป็นได้ แย่ไปกว่านั้นเพราะหากราคาหุ้นฟื้น ความไม่จริงใจในการซื้อหุ้นคืนก็จะสำแดงเดชโดยการขายหุ้นต้านออกมาเพราะเขาสะบัดร้อนสะบัดหนาวกลัวจำนวนหุ้นจะลดเมื่อครบ 3 ปี ลงท้าย นักลงทุนที่ถือหุ้นผ่านเวลามายาวนานก็เพียงมีชื่อว่า ได้มีส่วนเป็นเจ้าของกิจการเพิ่มขึ้น 11.11% เป็นการชั่วคราว :lol:
การซื้อหุ้นคืนอาจเป็นการอุ้มหุ้นตัวเองไม่ให้ร่วงด้วยการต้านอารมณ์ตลาดไว้ และในทางกลับกันมันก็จะเป็นแรงกดดันราคาหุ้นเมื่อขาขึ้นกลับมาอีกครั้งหากเขาขายต้าน ความจริงใจในการซื้อหุ้นคืนจึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณากันเป็นอันดับหนึ่ง
EPCO นี่ ผมจะไม่วิจารณ์ครับ ต่างคนต่างพิจารณาได้ โดยทั่วไปเขาก็นับว่าอยู่ในฐานะที่ซื้อหุ้นคืนได้ครับ จำได้ว่าปีที่แล้วเห็นพี่นริศกับพี่ลูกอิสานคุยกันสองต่อสองด้วยนี่ครับ เรื่อง CSL เห็นพูดเรื่องซื้อหุ้นคืนด้วย อย่างที่กล่าวว่าพอได้ยินเรื่องซื้อหุ้นคืนปกติผมจะเฉยๆ กรณี CSL นี่ ซื้อหุ้นคืนเสร็จแล้วเป็นร่วงเลยทีเดียวแม้ 3 ไตรมาสหลังนี้จะประกาศผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตลอดแต่ตลาดไม่ค่อยตอบสนอง ยิ่งตอนนี้บริษัทถูกครอบงำโดย คุณก็รู้ว่าใคร เลยถึงขั้นลดพาร์มาจ่ายปันผลพิเศษกันเลยทีเดียวเชียว
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เดี๋ยวนี้ยังมีอีกไหมครับ
โพสต์ที่ 24
กรณี ADVANC นี่ผมก็คุ้นๆ ว่ามีเหมือนกันแต่จำรายละเอียดไม่ได้ ย้อนดูรู้สึกว่ามีมติตั้งแต่ปี 45 ปี 46 ก็เริ่มซื้อคืนซึ่งมันก็จิ๊บจริงๆ แค่ 83 ล้านบาท 2.54 ล้านหุ้น (เฉลี่ยหุ้นละ 32 บาทกว่าๆ ) จากหุ้นทั้งหมดที่มีมากกว่า 2,900 ล้านหุ้น ถึงปี 49 ก็ตัดทุนจดทะเบียนลงไปเรียบร้อย ก็ไม่ค่อยจะมีผลอะไรครับเพราะเขาเล่นออกสารพัด ESOP มาตลอดทาง
ปีนี้ผมก็รอลุ้นอยู่ว่าเสี่ยประยุทธ์แกจะเอาไง เป็นที่รู้กันดีว่าธุรกิจเหล็กนั้นมีกระแสเงินสดรับจากการดำเนินงานห่วยๆ เป็นปกติ แต่เพราะปี 48 ราคาเหล็กร่วงแรง หุ้น IKNOCK ของเสี่ยแกพึ่งเข้ามา IPO ก็ร่วงระเนระนาดไปกะเขาด้วย แต่นัยว่าคนใหญ่คนโตที่หลวมตัวไปซื้อหุ้นแกก็เยอะอยู่ อาจจะทนเสียงก่นด่าไม่ไหวหรืออะไรทำนองนั้นแกก็เลยซื้อหุ้นคืนเมื่อปลาย 48 ช่วยฉุดราคาหุ้นที่ร่วงต่ำกว่าบาท ขึ้นมายืนแถว 1.20 บาท ได้พักหนึ่ง พอเลิกซื้อก็ร่วงกลับลงไปใหม่
ธุรกิจที่กระแสเงินสดรับแย่ ไม่เพิ่มทุนก็บุญนักหนาแล้วจะมาซื้อหุ้นคืนอะไรกัน หากสิ้นท่ากันจริงๆ ก็ต้องขายหุ้นทิ้งเพื่อคืนเงินสดกลับเข้าบริษัท TYCN ก็น่าสนใจนะครับ
Q4/48 ซื้อหุ้นคืน 2.2157 ล้านหุ้น ต้นทุนเฉลี่ย 7.14 บาท ก็ยังไม่มีอะไรแปลก
Q1/49 ซื้อเพิ่มอีก 7.1168 ล้านหุ้น เฉลี่ย 8.09 บาท ก็ยังไม่มีอะไรแปลก
แต่ Q2/49 ซื้อเพิ่มอีก 13.4479 ล้านหุ้น เฉลี่ย 10.12 บาท ทั้งๆ ที่ราคาตลาดอยู่แถว 8.50 บาท ถึง 7.00 บาท ต้นทุนที่ 10 บาท มันมาได้ยังไงน้า
กระทู้ชักจะมีสาระมากไปแล้ว เพราะพี่พอใจไม่อยู่ ไม่รู้จะคุยไร้สาระกับใคร ว่าจะลากพี่นริศเจ้าพ่อคุณไสยมาคุยด้วยน่ะครับ :mrgreen: ว่างๆ สอนวิชาคุณไสยให้ผมบ้างซิครับ :oops: :oops: จะเอาไว้สาปแช่งพวกซื้อหุ้นคืนโดยมีวาระซ่อนเร้นให้อุจจาระราดน่ะครับ :lol:
ปีนี้ผมก็รอลุ้นอยู่ว่าเสี่ยประยุทธ์แกจะเอาไง เป็นที่รู้กันดีว่าธุรกิจเหล็กนั้นมีกระแสเงินสดรับจากการดำเนินงานห่วยๆ เป็นปกติ แต่เพราะปี 48 ราคาเหล็กร่วงแรง หุ้น IKNOCK ของเสี่ยแกพึ่งเข้ามา IPO ก็ร่วงระเนระนาดไปกะเขาด้วย แต่นัยว่าคนใหญ่คนโตที่หลวมตัวไปซื้อหุ้นแกก็เยอะอยู่ อาจจะทนเสียงก่นด่าไม่ไหวหรืออะไรทำนองนั้นแกก็เลยซื้อหุ้นคืนเมื่อปลาย 48 ช่วยฉุดราคาหุ้นที่ร่วงต่ำกว่าบาท ขึ้นมายืนแถว 1.20 บาท ได้พักหนึ่ง พอเลิกซื้อก็ร่วงกลับลงไปใหม่
ธุรกิจที่กระแสเงินสดรับแย่ ไม่เพิ่มทุนก็บุญนักหนาแล้วจะมาซื้อหุ้นคืนอะไรกัน หากสิ้นท่ากันจริงๆ ก็ต้องขายหุ้นทิ้งเพื่อคืนเงินสดกลับเข้าบริษัท TYCN ก็น่าสนใจนะครับ
Q4/48 ซื้อหุ้นคืน 2.2157 ล้านหุ้น ต้นทุนเฉลี่ย 7.14 บาท ก็ยังไม่มีอะไรแปลก
Q1/49 ซื้อเพิ่มอีก 7.1168 ล้านหุ้น เฉลี่ย 8.09 บาท ก็ยังไม่มีอะไรแปลก
แต่ Q2/49 ซื้อเพิ่มอีก 13.4479 ล้านหุ้น เฉลี่ย 10.12 บาท ทั้งๆ ที่ราคาตลาดอยู่แถว 8.50 บาท ถึง 7.00 บาท ต้นทุนที่ 10 บาท มันมาได้ยังไงน้า
กระทู้ชักจะมีสาระมากไปแล้ว เพราะพี่พอใจไม่อยู่ ไม่รู้จะคุยไร้สาระกับใคร ว่าจะลากพี่นริศเจ้าพ่อคุณไสยมาคุยด้วยน่ะครับ :mrgreen: ว่างๆ สอนวิชาคุณไสยให้ผมบ้างซิครับ :oops: :oops: จะเอาไว้สาปแช่งพวกซื้อหุ้นคืนโดยมีวาระซ่อนเร้นให้อุจจาระราดน่ะครับ :lol:
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
- กระทิงแดง
- Verified User
- โพสต์: 952
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เดี๋ยวนี้ยังมีอีกไหมครับ
โพสต์ที่ 26
ธุรกิจ CSL มาจาก 2 หลักก็คือการให้บริการ internet และ yellow page ซึ่งเป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนต่ำ และ growth ก็ไม่มากด้วยRyuga เขียน:เรื่อง CSL เห็นพูดเรื่องซื้อหุ้นคืนด้วย อย่างที่กล่าวว่าพอได้ยินเรื่องซื้อหุ้นคืนปกติผมจะเฉยๆ กรณี CSL นี่ ซื้อหุ้นคืนเสร็จแล้วเป็นร่วงเลยทีเดียวแม้ 3 ไตรมาสหลังนี้จะประกาศผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตลอดแต่ตลาดไม่ค่อยตอบสนอง ยิ่งตอนนี้บริษัทถูกครอบงำโดย คุณก็รู้ว่าใคร เลยถึงขั้นลดพาร์มาจ่ายปันผลพิเศษกันเลยทีเดียวเชียว
ส่วนตัวผมว่า ถ้า บมจ. มี free cash flow เยอะ ก็ควรปันผลออกมา ไม่ทางใด ก็ทางนึงนะครับ (เพื่อผู้ถือหุ้นโดยรวม เพราะใครๆก็ยากได้เงินลงทุนคืนครับ)
ถ้าให้ผมมองในฐานะนักลงทุน ก็สมควรคืนเงินครับ... :lol: :lol: :lol:
ส่วนเรื่องราคาหุ้น ไม่รับข่าวการซื้อหุ้นคืน อาจเป็นเพราะ
1. สภาพคล่องต่ำครับ
2. นักลงทุนบางส่วน ไม่ใช่ประเภท เน้นปันผลครับ พอบริษัทไม่น่าจะมี growth ก็ไม่คิดลงทุน
3. นักลงทุนบางส่วน อาจมองว่าหุ้นอย่างเช่น EMC, LIVE, BLISS น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าครับ... :lol: :lol: :lol:
"The enemy is a very good teacher" Dalai Lama
"Confidence doesn't come from being right all the time; it comes
from surviving the many occasions of being wrong." B.N. Steenbarger
"Luck is where preparation meets opportunity"
"Confidence doesn't come from being right all the time; it comes
from surviving the many occasions of being wrong." B.N. Steenbarger
"Luck is where preparation meets opportunity"
- zolomon
- Verified User
- โพสต์: 365
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เดี๋ยวนี้ยังมีอีกไหมครับ
โพสต์ที่ 27
CSL ตอนแรกก็เหมือนจะดูดี แต่รู้สึกเดือนสองเดือนที่ผ่านมาผู้บริหารให้สัมภาษณ์ว่า ถ้ามีโอกาส ก็คงขายหุ้นที่ซื้อไปคืน ทำเอาผมงง ไปว่าแล้วจะซื้อคืนทำ_อก อะไร ถ้ากำไรก็โอเค แต่ถ้าขายขาดทุนนี่ ฮึ่ม :evil:
แต่การจ่ายปันผลออกมาเยอะ ๆ นี่ผมเห็นด้วยนะครับ เพราะถ้าไม่รู้จะไปขยายกิจการอะไร จ่ายออกมาแบบนี้ดีกว่า ดีกว่า GMMM ที่เอาเงินไปละลายทิ้งกับ MATI, POST ที่จนบัดนี้ขาดทุนไปเท่าไหร่แล้ว
อีกบริษั่ทหนึ่งที่น่าชื่นชมคือ MBK ซื้อหุ้นคืนไปสามปีกว่าได้แล้วมั๊ง จนป่านนี้ยังไม่มีทีท่าจะขายคืน และคงไม่ขายแล้ว
แต่การจ่ายปันผลออกมาเยอะ ๆ นี่ผมเห็นด้วยนะครับ เพราะถ้าไม่รู้จะไปขยายกิจการอะไร จ่ายออกมาแบบนี้ดีกว่า ดีกว่า GMMM ที่เอาเงินไปละลายทิ้งกับ MATI, POST ที่จนบัดนี้ขาดทุนไปเท่าไหร่แล้ว
อีกบริษั่ทหนึ่งที่น่าชื่นชมคือ MBK ซื้อหุ้นคืนไปสามปีกว่าได้แล้วมั๊ง จนป่านนี้ยังไม่มีทีท่าจะขายคืน และคงไม่ขายแล้ว
“If we wait for the moment when everything, absolutely everything is ready, we shall never begin.”
Ivan Turgenev
Ivan Turgenev
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เดี๋ยวนี้ยังมีอีกไหมครับ
โพสต์ที่ 28
ลองสำรวจดู บริษัทที่ปัจจุบันนี้มีหุ้นซื้อคืนหรือหุ้นบริษัทที่ถือโดยบริษัทย่อยนอกเหนือจากที่ระบุในกระทู้มาแล้ว ประกอบไปด้วย
CPF, MINT, PAF, SUC, MODERN, SITHAI, SUN, JCT, FNS, AH, TPIPL, CNT, M-CHAI, RAM, MATI, MEDIAS, P-FCB, ASIA, DTC, KCE, JAS, PT
สำหรับตลาดหุ้นเกิดใหม่อย่างบ้านเรา เขาต้องการให้เกิดการระดมทุนกันเยอะๆ มากกว่าที่จะมานั่งซื้อหุ้นคืนซึ่งเป็นเรื่องของกิจการที่โตเต็มที่จนเหลือกระแสเงินสดส่วนเกินมากมาย เรื่องตามทฤษฎีจากหนังสือหนังหาก็ไม่ได้ผิดพลาดอันใดเพียงแต่เขากล่าวถึงตลาดทุนที่โตมากแล้วแถวบ้านเขา ซึ่งไม่เหมือนกับบ้านเรา
ลองพิจารณาตามความเป็นจริง ตลาดบ้านเรานั้นอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ซึ่งผมยกไว้เป็นข้อสังเกตข้อแรกด้วยเรื่องซื้อคืนได้แค่ 10% และต้องถือไป 3 ปี หากบริษัทซื้อหุ้นคืนอย่างสม่ำเสมอแล้ว
สิ้นปีที่ 3 จะเหลือหุ้น 90% จากเริ่มต้น
สิ้นปีที่ 6 จะเหลือหุ้น 81% จากเริ่มต้น
สิ้นปีที่ 9 จะเหลือหุ้น 72.9% จากเริ่มต้น
สิ้นปีที่ 12 จะเหลือหุ้น 65.61% จากเริ่มต้น
สิ้นปีที่ 15 จะเหลือหุ้น 59.05% จากเริ่มต้น
สิ้นปีที่ 18 จะเหลือหุ้น 53.14% จากเริ่มต้น
เพื่อความง่าย อนุโลมว่าเมื่อสิ้นปีที่ 18 หุ้นจะลดลงไปครึ่งหนึ่ง
การมีส่วนเป็นเจ้าของกิจการเพิ่มขึ้น 100% ภายในเวลา 18 ปี คิดเป็นอัตราผลตอบแทนทบต้นต่อปีได้แค่ 3.93% เท่านั้น ห่วยแตกเสียไม่มี ลองนึกว่าหากกิจการนี้ไม่โต เพราะแกไม่ได้เอาเงินไปขยายกิจการแต่เอามาซื้อหุ้นคืน ผลก็จะออกมาแบบนี้
เรื่องนี้ต่างกับฟาก USA มาก เพราะเขาไม่มีกฎถ่วงความเจริญเหมือนบ้านเรา อยากซื้อหุ้นคืนท่าไหร่ ถ้ามีปัญญาพอก็ซื้อไปเลย นั่นสามารถทำให้จำนวนหุ้นลดลงไปได้ครึ่งหนึ่งภายในเวลาไม่กี่ปีและราคาหุ้นก็จะสูงขึ้นมาก จากนั้นเขาก็จะแตกหุ้นเพราะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ค่อนข้างแพร่หลายใน wall street ที่บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ไม่อยากเห็นราคาหุ้นของตัวเองยืนสูงกว่า 100 เหรียญ ทำให้จำนวนหุ้นไม่ลดลงแต่ความเป็นเจ้าของกิจการของผู้ถือหุ้นเดิมเพิ่มขึ้น
CPF, MINT, PAF, SUC, MODERN, SITHAI, SUN, JCT, FNS, AH, TPIPL, CNT, M-CHAI, RAM, MATI, MEDIAS, P-FCB, ASIA, DTC, KCE, JAS, PT
สำหรับตลาดหุ้นเกิดใหม่อย่างบ้านเรา เขาต้องการให้เกิดการระดมทุนกันเยอะๆ มากกว่าที่จะมานั่งซื้อหุ้นคืนซึ่งเป็นเรื่องของกิจการที่โตเต็มที่จนเหลือกระแสเงินสดส่วนเกินมากมาย เรื่องตามทฤษฎีจากหนังสือหนังหาก็ไม่ได้ผิดพลาดอันใดเพียงแต่เขากล่าวถึงตลาดทุนที่โตมากแล้วแถวบ้านเขา ซึ่งไม่เหมือนกับบ้านเรา
ลองพิจารณาตามความเป็นจริง ตลาดบ้านเรานั้นอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ซึ่งผมยกไว้เป็นข้อสังเกตข้อแรกด้วยเรื่องซื้อคืนได้แค่ 10% และต้องถือไป 3 ปี หากบริษัทซื้อหุ้นคืนอย่างสม่ำเสมอแล้ว
สิ้นปีที่ 3 จะเหลือหุ้น 90% จากเริ่มต้น
สิ้นปีที่ 6 จะเหลือหุ้น 81% จากเริ่มต้น
สิ้นปีที่ 9 จะเหลือหุ้น 72.9% จากเริ่มต้น
สิ้นปีที่ 12 จะเหลือหุ้น 65.61% จากเริ่มต้น
สิ้นปีที่ 15 จะเหลือหุ้น 59.05% จากเริ่มต้น
สิ้นปีที่ 18 จะเหลือหุ้น 53.14% จากเริ่มต้น
เพื่อความง่าย อนุโลมว่าเมื่อสิ้นปีที่ 18 หุ้นจะลดลงไปครึ่งหนึ่ง
การมีส่วนเป็นเจ้าของกิจการเพิ่มขึ้น 100% ภายในเวลา 18 ปี คิดเป็นอัตราผลตอบแทนทบต้นต่อปีได้แค่ 3.93% เท่านั้น ห่วยแตกเสียไม่มี ลองนึกว่าหากกิจการนี้ไม่โต เพราะแกไม่ได้เอาเงินไปขยายกิจการแต่เอามาซื้อหุ้นคืน ผลก็จะออกมาแบบนี้
เรื่องนี้ต่างกับฟาก USA มาก เพราะเขาไม่มีกฎถ่วงความเจริญเหมือนบ้านเรา อยากซื้อหุ้นคืนท่าไหร่ ถ้ามีปัญญาพอก็ซื้อไปเลย นั่นสามารถทำให้จำนวนหุ้นลดลงไปได้ครึ่งหนึ่งภายในเวลาไม่กี่ปีและราคาหุ้นก็จะสูงขึ้นมาก จากนั้นเขาก็จะแตกหุ้นเพราะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ค่อนข้างแพร่หลายใน wall street ที่บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ไม่อยากเห็นราคาหุ้นของตัวเองยืนสูงกว่า 100 เหรียญ ทำให้จำนวนหุ้นไม่ลดลงแต่ความเป็นเจ้าของกิจการของผู้ถือหุ้นเดิมเพิ่มขึ้น
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เดี๋ยวนี้ยังมีอีกไหมครับ
โพสต์ที่ 29
นักลงทุนไม่ว่าจะที่ไหนก็มักเป็นพวกซื้อๆ ขายๆ VI นั้นถือเป็นชนกลุ่มน้อย คนที่ตอบสนองข่าวซื้อหุ้นคืนเชิงบวกหลักๆ ก็คงเป็นชาว VI แต่ตามความเป็นจริง หากจะพิจารณาว่าการซื้อหุ้นคืนนั้นสมควรทำหรือไม่ก็ต้องดูว่าบริษัทมีหนทางที่ดีกว่าในการนำเงินส่วนนั้นไปสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นหรือเปล่าด้วย การจ่ายปันผลตรงๆ มันอาจจะดูไม่สร้างสรรค์แต่หลายครั้งมันดีกว่าการซื้อหุ้นคืน
ด้วยกฎของตลาดบ้านเรา การซื้อหุ้นคืนไม่มีผลบวกในเชิงรูปธรรมที่น่าประทับใจเลย ผมจึงกล่าวว่าผมเฉยๆ กับข่าวซื้อหุ้นคืน ที่จริงผมจะระแวงหน่อยๆ เพราะมันอาจเป็นการซื้อหุ้นคืนแบบมีวาระซ่อนเร้นหรือเพียงแต่เพราะผู้บริหารเขาพยายามจะทำตัวเองให้ดูสร้างสรรค์ ลงท้ายหลายๆ ครั้งมันเป็นเพียงกันชนของราคาหุ้นทำให้ขาลงก็ลงไม่มาก ขาขึ้นก็ขึ้นไม่มาก คนอยากจะได้ซื้อหุ้นราคาถูกๆ ก็เซ็ง คนที่ซื้อไปแล้วคิดว่าหุ้นจะขึ้นเยอะที่ไหนได้ก็โดนบริษัทขายหุ้นคืนตลาดต้านไว้เลยเซ็งไม่แพ้กัน
ตั้งแต่เข้าตลาดมา CSL ลงทุนในระดับ 2.0-2.6 เท่า ของค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย แต่ตั้งแต่ Q2/49 เป็นต้นมา งบลงทุนของบริษัทถูกหั่นลงทุกไตรมาสเหลือเพียง 0.5-0.8 เท่า ของค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพราะเอาไปจ่ายปันผล กรณีนี้ไม่เหมือนกับ SAUCE ของอาจารย์แพรนดี้ (แอบพาดพิง เผื่อผู้รู้ตัวจริงจะเข้ามาชี้แนะ :lol: ) ซึ่งอยู่ในธุรกิจที่มั่นคง ไม่จำเป็นต้องลงทุนมาก แม้เขาจะอยู่ในตลาดที่โตช้าๆ แต่กระแสเงินสดรับจากการดำเนินงานของเขาสูงกว่ากำไรสุทธิพอๆ กับค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเป็นผลให้ SAUCE สามารถจ่ายปันผลด้วยเงินสดทั้งหมดของกำไรสุทธิได้โดยไม่กระทบกับความสามารถทางการแข่งขันของบริษัท เพราะเขายังสามารถลงทุนรักษาสถานภาพทางการแข่งขันภายในตลาดโตช้าๆ ของเขาได้ตลอดไป ต่างจาก CSL ที่สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนของเขาจะหดขนาดลงเรื่อยๆ
เมื่อก่อนเคยเห็นรายได้ขายและบริการโตเป็นเลข 2 หลัก มา 6 ไตรมาสหลัง ไม่มีไตรมาสใดโตถึง 6% และมีอยู่ 2 ไตรมาสที่ติดลบ ผมสงสัยในศักยภาพทางการแข่งขันในอนาคตของ CSL ดูอย่าง ADVANC กำไร 5.51 บาท แต่ปันผล 6.30 บาท นี่เรียกว่าเขาถอนทุนคืน :8)
บริษัทที่มีเงินสดเหลือ หรือมีกระแสเงินสดแข็งแกร่งมากนั้น ควรจะจ่ายปันผลให้มากครับ เรื่องนี้เห็นด้วยเต็มๆ อาจารย์แพรนดี้อยากเห็น SAUCE ซื้อหุ้นคืนหรือเปล่าครับ :mrgreen:
ด้วยกฎของตลาดบ้านเรา การซื้อหุ้นคืนไม่มีผลบวกในเชิงรูปธรรมที่น่าประทับใจเลย ผมจึงกล่าวว่าผมเฉยๆ กับข่าวซื้อหุ้นคืน ที่จริงผมจะระแวงหน่อยๆ เพราะมันอาจเป็นการซื้อหุ้นคืนแบบมีวาระซ่อนเร้นหรือเพียงแต่เพราะผู้บริหารเขาพยายามจะทำตัวเองให้ดูสร้างสรรค์ ลงท้ายหลายๆ ครั้งมันเป็นเพียงกันชนของราคาหุ้นทำให้ขาลงก็ลงไม่มาก ขาขึ้นก็ขึ้นไม่มาก คนอยากจะได้ซื้อหุ้นราคาถูกๆ ก็เซ็ง คนที่ซื้อไปแล้วคิดว่าหุ้นจะขึ้นเยอะที่ไหนได้ก็โดนบริษัทขายหุ้นคืนตลาดต้านไว้เลยเซ็งไม่แพ้กัน
ตั้งแต่เข้าตลาดมา CSL ลงทุนในระดับ 2.0-2.6 เท่า ของค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย แต่ตั้งแต่ Q2/49 เป็นต้นมา งบลงทุนของบริษัทถูกหั่นลงทุกไตรมาสเหลือเพียง 0.5-0.8 เท่า ของค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพราะเอาไปจ่ายปันผล กรณีนี้ไม่เหมือนกับ SAUCE ของอาจารย์แพรนดี้ (แอบพาดพิง เผื่อผู้รู้ตัวจริงจะเข้ามาชี้แนะ :lol: ) ซึ่งอยู่ในธุรกิจที่มั่นคง ไม่จำเป็นต้องลงทุนมาก แม้เขาจะอยู่ในตลาดที่โตช้าๆ แต่กระแสเงินสดรับจากการดำเนินงานของเขาสูงกว่ากำไรสุทธิพอๆ กับค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเป็นผลให้ SAUCE สามารถจ่ายปันผลด้วยเงินสดทั้งหมดของกำไรสุทธิได้โดยไม่กระทบกับความสามารถทางการแข่งขันของบริษัท เพราะเขายังสามารถลงทุนรักษาสถานภาพทางการแข่งขันภายในตลาดโตช้าๆ ของเขาได้ตลอดไป ต่างจาก CSL ที่สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนของเขาจะหดขนาดลงเรื่อยๆ
เมื่อก่อนเคยเห็นรายได้ขายและบริการโตเป็นเลข 2 หลัก มา 6 ไตรมาสหลัง ไม่มีไตรมาสใดโตถึง 6% และมีอยู่ 2 ไตรมาสที่ติดลบ ผมสงสัยในศักยภาพทางการแข่งขันในอนาคตของ CSL ดูอย่าง ADVANC กำไร 5.51 บาท แต่ปันผล 6.30 บาท นี่เรียกว่าเขาถอนทุนคืน :8)
บริษัทที่มีเงินสดเหลือ หรือมีกระแสเงินสดแข็งแกร่งมากนั้น ควรจะจ่ายปันผลให้มากครับ เรื่องนี้เห็นด้วยเต็มๆ อาจารย์แพรนดี้อยากเห็น SAUCE ซื้อหุ้นคืนหรือเปล่าครับ :mrgreen:
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
-
- Verified User
- โพสต์: 307
- ผู้ติดตาม: 0
บริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เดี๋ยวนี้ยังมีอีกไหมครับ
โพสต์ที่ 30
คุณ Ryuga นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ