หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ECO CAR

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 25, 2008 11:54 am
โดย crazyrisk
ขออนุญาต เปิดกระทู้นี้ ไว้เป็นที่ถกเถียงกันถึงมุมมองดี และไม่ดี ของเรื่องพวก ข่าว ECO CAR  ที่เป็นตัวชูโรงของเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้


ผมจะเริ่มจากการเล่า FACT ที่ได้มาก่อน แล้วเสริม opinion ลงไปนะคับ

ส่วนหลังจากนี้ ใครจะ discuss อะไร เชิญได้เลยคับ

แต่ว่ากรุณาเปิดกว้าง และ คุยกันด้วยเหตุผลนะครับ

ECO CAR

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 25, 2008 11:58 am
โดย crazyrisk
รัฐบาลเห็นด้วยกับการออกใบส่งเสริมการลงทุนผลิตรถ ECO car

ซึ่งคำว่า eco car มาจาก คำว่า economic  

หมายถึงประหยัด กะทัดรัด ทั้งขนาด และ เรื่องของพลังงาน

ซึ่งคุณลักษณะของ รถแบบนี้ คือ ใช้เครื่องยนต์ 2 ประเภท

คือ 1 แบบ hybrid เช่น  เอา ส่วนผสมของน้ำมัน มารวมกับ มอเตอร์ไฟฟ้า

และ 2 แบบ  ใช้ ไบโอดีเซล  คือ น้ำมันดีเซล ผสมกับ น้ำมันปาล์ม  หรือ เอธานอล

ถ้ามองกันผิวเผิน  

บ. ที่ได้รับประโยชน์ ก็คือ บ. ที่ผลิต รถ ยนต์ หรือ ผลิต พวก พลังงานต่างๆพวกนี้

ECO CAR

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 25, 2008 12:01 pm
โดย crazyrisk
แต่มาลองคิดดูจริงๆ

บ.ทีได้รับใบอนุญาต ส่งเสริมการลงทุน บ.แรก

คือ Honda  แต่มีข้อแม้ว่า

ต้อง ขายให้ได้ 100000 คันต่อปี

ขณะที่ ตอนนี้ยอดขายรวมทั้งหมด ก็อยู่แค่ 7-8 หมื่น

ก็เลยอาจจะเดินตามนโยบายเดิม คือให้ไทยเป็นดีทรอย

ของเอเชีย  ส่งไปขายยังต่างประเทศ

ผมก็คิดไม่ออก ว่า ไทยจะไปกิน market share ขายใคร

สำหรับ eco car นั้น  ซึ่ง ดูจากรูปแล้วก็คงไม่สวยเท่าไหร่นัก

ของบางอย่าง  เราไม่ได้วัดกันที่ราคาถูกอย่างเีดียว

ลองไปแข่งกับจีน คงไม่น่าจะได้นัก

ไปยุโรป น่าจะเจอเจ้าตลาดจริงๆ

หรือจะไปอินเดีย  เวียตนามดี...  แต่ก็ยังนึกไม่ออกเท่าไหร่นัก

แต่ที่เราทุกคนพูด ๆ ๆ ๆ ว่า  eco car จะมาแล้ว

บ.ที่เราลงทุนนั้นน่าจะดีขึ้น ...  หรือ เศรษฐกิจน่่าจะดีึขึ้น

ประหยัดพลังงานได้เพิ่มขึ้น

จริงเหรอคับ...

ECO CAR

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 25, 2008 12:06 pm
โดย beammy
ผมว่าบริษัทที่ได้ประโยชน์จริงๆ เอาแบบเนื้อๆ เลยนะครับ

คือ

บริษัทที่ผลิต spare part ของรถ ไม่ว่าจะ eco car หรือไม่ก้อตาม

เขาไม่ต้องลงทุนสร้างสายการผลิตใหม่แต่อย่างใด ปรับปรุงของเดิมให้ผลิตตามแบบใหม่ได้ และไม่มีข้อกำหนดจากภาครัฐว่าต้องได้เท่านั้นเท่านี้ เหมือน Honda

และต้องเป็นบริษัทผลิต spare part ที่ได้เปรียบเรื่องต้นทุนขายต่อหน่วยด้วยนะครับ  :8)  ...

ECO CAR

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 25, 2008 12:06 pm
โดย crazyrisk
บางคนมองว่า งี้ บ. ที่ผลิตชิ้นส่วนน่าจะดีขึ้น


ผมไม่แน่ใจว่า stanly จะสามารถ ขาย โคมไฟหรูในราคาประหยัดได้ไหม

หรือบ.ชิ้นส่วน อิเล็กต่างๆ ที่เราชื่นชอบ

จะสามารถ แข่ง มาร์เกตแชร์ลงมาได้ไหม

แต่ว่า การที่ ให้ยอดขายโต ไ้ด้ 1 แสน

ผมว่าน่าจะยากอยู่

และแน่นอน    การประหยัดพลังงานที่เป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาลนั้น ไม่น่าจะใช่เป้าจริงๆ

เพราะการที่ น้ำมันสูตรใหม่ๆ

ก็ยังคงต้องใช้ วัตถุดิบเป็น ดีเซล เป็นส่วนผสมหลักอยู่

และ บอกว่าลดมลภาวะได้ จริงๆ

ผมก็เชื่อ หากว่า มันวิ่งกันในถนน ไม่กี่คัน

แต่ถ้าวิ่งกันเยอะ ๆ  ในประเทศที่มีการควบคุม life span ของรถยนต์ คุณภาพ สุดแสนจะยอดเยี่ยมจนเกินเยียวยาอย่างไทย

ผมว่า การควบคุมเรื่องควันดำ ก็คงเป็นเรื่องขำๆชวนให้สนุก

เวลาขับรถหลบด่านมากกว่า

ทีนี้มาดูกันต่อครับ ว่า ใครจะเป็นผู้ได้ประโยชน์ตัวจริง

ECO CAR

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 25, 2008 12:11 pm
โดย crazyrisk
ผมว่าธุรกิจที่น่าจะดีในการนี้จริงๆคือ

(ผมหมายถึง อีก 2 ปีนะคับ  ไม่ใช่เวลานี้ เพราะว่า honda เพิ่งจะบอกว่าต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปี ในสายการผลิต)

หากรถเยอะขึ้น

พลังงาน ก็ยังคงต้องแพงขึ้นอยู่วันยังค่ำ  นอกเสียจากว่า รถรุ่น hydrogen ของ ฺBMW จะลงมาลุยตลาดเอง  (หึๆ)

ที่ดิน..     ลองนึกสภาพว่า ถนน ก็มีเท่าเดิม  แต่รถเพิ่มขึ้น
แล้วรถที่เพิ่มขึ้น มันจะไปจอดไหน

เปรียบเสมือน กทม. เป็นใจกลาง   คนส่วนใหญ่ ได้แต่ขับรถมา
รวมตัวกันตรง  maingate เพื่อต่อรถไฟฟ้า  ก็ต้องหาที่จอดรถอยู่ดี


รับเหมา     ต่อไป ก็คงมีการประมูลรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
บ. ที่รับเหมาก่อสร้าง ก็จะเติบโตขึ้น แต่ บ.พวกนี้ ค่อนข้างยากสำหรับเราในการไปแกะรอยดูการเติบโตจริงๆ
ผมยังงง กับ KTECH เลย ผมขับรถ ผ่านที่ไหนๆ ก็มีแต่ป้าย KTECH
ไม่ยักรู้ว่า มันใกล้ล้มละลายแล้ว

เลยไม่รู้ว่า ตกลงมันยังรับงานอยู่ได้ยังไง

ECO CAR

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 25, 2008 12:12 pm
โดย crazyrisk
สุดท้ายนี้


เชิญเพื่อนๆ พี่ ๆ ร่วมแสดงความคิดเห็นได้เลยคับ

ผมอาจจะผิดตั้งแต่ต้นก็ได้ครับ เพราะว่าเอา FACT กับ opinion ส่วนตัวมาคิด  
:8)

ECO CAR

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 25, 2008 12:17 pm
โดย beammy
งั้น ผมส่งธุรกิจ 2 ประเภทเข้าประกวดครับ

1) ชิ้นส่วนรถยนต์

2) ยางรถยนต์

ที่เหลือยังนึกไม่ออก แต่ต้องเกี่ยวข้องกับรถยนต์แน่นอน ไม่อย่างใดก้ออย่างหนึ่ง

คนมีรถเยอะขึ้นจริงครับ บางบ้านมี 20 คันผมยังเห็นมาแล้ว   :lol:  ...

ECO CAR

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 25, 2008 12:24 pm
โดย beammy
อย่าลืมชนชั้นกลาง ถึงระดับรากหญ้า ด้วยนะครับ

พวกนี้จะเป็นกลุ่ม mass ที่ซื้อเหมือนๆ กัน ถ้าพอใช้ได้ก้อจะไม่ค่อยปฏิเสธ ครับ

ยอดขายมอเตอร์ไซค์เติบโตระเบิดปีละหลายสิบเปอร์เซนต์ต่อเนื่องมาหลายปีมากแล้ว สัดส่วนประชากรเทียบกับมอเตอร์ไซค์บ้านเราก้อยังน้อยกว่าเวียดนามและไต้หวัน ครับ

ถ้าประชากร 1 คน เท่ากับประชากรมอเตอร์ไซค์ 1 คัน เหมือนบางประเทศ
ธุรกิจที่ได้ประโยชน์ ก้อไม่ต้องไปมองไกลครับ เกี่ยวข้องกับมอเตอร์ไซค์แน่นอน

ข้อมูลเพิ่มเติมหาได้จากธุรกิจมอเตอร์ไซค์ในไต้หวันและเวียดนาม จาก google ครับ  :8)  ...

ECO CAR

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 25, 2008 12:26 pm
โดย crazyrisk
beammy เขียน: ข้อมูลเพิ่มเติมหาได้จากธุรกิจมอเตอร์ไซค์ในไต้หวันและเวียดนาม จาก google ครับ  :8)  ...
ขอได้ไหมคับ  :8)  :8)

ECO CAR

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 25, 2008 12:37 pm
โดย beammy
http://www.google.co.th/search?hl=th&q= ... tnam&meta=

อย่าลืมว่าไทยเป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคที่ส่งออกจักรยานยนต์ไปทั่วโลกติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ด้วยนะครับ  :8)  ...

ECO CAR

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 25, 2008 1:05 pm
โดย << New >>
crazyrisk เขียน:บางคนมองว่า งี้ บ. ที่ผลิตชิ้นส่วนน่าจะดีขึ้น


ผมไม่แน่ใจว่า stanly จะสามารถ ขาย โคมไฟหรูในราคาประหยัดได้ไหม
พี่ k ครับ stanly ขายโคมไฟไม่ต้องหรู สำหรับรถ eco ก็ได้นิครับ ผมว่ารถ eco คงไม่เน้นหรูล่ะมั้ง.....

ECO CAR

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 25, 2008 1:24 pm
โดย Pn3um0n1a
จำนวนรถรวม อาจจะไม่เพิ่ม หรือ เพิ่มเล็กน้อยไปเรื่อยๆ

แต่ผมว่าไม่น้อยนะครับ ที่ ใกล้ๆจะเปลี่ยน หรือ กำลังตัดสินใจอยู่
ถ้ามี eco car มาเป็น choice อาจทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้น

ที่จอดรถ กลับอาจจะไม่ได้ต้องการเพิ่มมากมาย (เพราะ คิดว่าจำนวนรถรวม คงเพิ่มไม่มาก เป็นการเปลี่ยนรถซะมากกว่า)
ถึงเป็นการซื้อเพิ่ม แต่คน 1 คน คงขับรถพร้อมกันสองคันไม่ได้อ่ะครับ
เรื่องที่ดิน ผมว่าถึงขึ้น ก็ไม่ได้มาจากจำนวนรถที่เพิ่มขึ้นโดยตรง
แต่เป็นเพราะ เมืองของกรุงเทพฯ ขยายออกนอก รวมทั้ง เพิ่มความหนาแน่นตรงกลาง ก็ทำให้ราคาที่ดิน เพิ่มอยู่แล้วตามการเติบโตของเศรษฐกิจ

ส่วนชิ้นส่วนรถ ยังไงก็คงต้องมาแหละครับ
เพราะ รถใหม่ ไงก็ต้องใช้ ของใหม่

รับเหมา ก็ได้ประโยชน์จาก การก่อสร้าง รฟฟ แต่ตราบใดที่ราคาวัสดุยังขึ้นน่ากลัวอย่างนี้ ไม่รู้ผลดีจะกลายเป็นผลเสียรึเปล่า คงต้องดูหลายๆ อย่างประกอบกันมั้งครับ

ว่าแต่สายสีม่วงไปถึงไหนแล้วเนี่ยครับพี่เค  :oops:

ECO CAR

โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 28, 2008 11:46 am
โดย tattoo_thai
เท่าที่ตามข่าว ผู้ผลิตส่วนใหญ่ในโครงการ Eco car เน้นที่ตลาดส่งออกมากกว่าในประเทศนะครับ

นอกจากสิทธิภาษีที่ได้จาก BOI แล้ว ก็ยังได้สิทธิจากเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) เหมือนได้สองเด้ง น่าจะเป็นเหตุผลที่บริษัทเหล่านี้กล้าที่จะลงทุนรวมๆกันเหยียบแสนล้าน เค้าน่าจะเห็นโอกาสและตลาดจากการที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย

ข้างล่างก๊อปปี้มาจากห้องเศรษฐศาสตร์ข้างถนน โดยคุณ chartchai madman ครับ
chartchai madman เขียน:ฮอนด้าชี้น้ำมัน-อาฟตาหนุนอีโคคาร์

โพสต์ทูเดย์ ฮอนด้าชี้น้ำมัน-อาฟตา ดันค่ายรถร่วมอีโคคาร์ 7 ค่าย มั่นใจเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรม ไม่ต้องพึ่งปิกอัพเพียงขาเดียว


นายอดิศักดิ์ โรหินศุน รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท เอเชี่ยน ฮอนด้า มอเตอร์ สำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนียของฮอนด้า กล่าวถึงโครงการอีโคคาร์ ที่ล่าสุดมีค่ายรถยื่นเรื่องเพื่อขอรับการสนับสนุนการลงทุนถึง 7 บริษัท ว่าการที่ค่ายรถให้ความสนใจมากขนาดนี้น่าจะเป็นผลมาจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ความต้องการของรถยนต์ที่ประหยัดพลังงานในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ รวมไปถึงเรื่องของระยะเวลาที่รัฐบาลกำหนดไว้ จะสอดคล้องกับเขตการค้าเสรีอาเซียนจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป ผู้ประกอบการทั่วไปจึงมองว่าเป็นโครงการที่ผลักดันได้ทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ประกอบกับอัตราภาษีพิเศษที่รัฐบาลกำหนด ก็ทำให้ผู้ประกอบการทุกรายสนใจในโครงการนี้

ผมเชื่อว่าค่ายรถทั้ง 7 ค่ายเป็นนักลงทุน พอมีโอกาสก็ต้องสนใจลงทุน ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะศึกษาโครงการมาไม่ลึกซึ้ง อย่างบางรายที่หายไปจากประเทศไทยนานๆ แต่พอมองเห็นโอกาสที่ดีก็ย่อมต้องลงทุนแน่นอน นายอดิศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ มองว่าการที่ผู้ประกอบการเข้ามาลงทุนในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตให้กับรถยนต์นั่งอีกกว่า 7 แสนคันในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่เริ่มโครงการ จะทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นฐานผลิตรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ และจะช่วยเพิ่มศักยภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยให้ไม่ต้องพึ่งพารถปิกอัพเพียงอย่างเดียวเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากในอนาคตตลาดปิกอัพมีปัญหา อุตสาหกรรมก็จะได้รับผลกระทบไม่มากนัก

อย่างไรก็ตาม มองว่าอีโคคาร์จะไม่ส่งผลกระทบต่อรถปิกอัพ เนื่องจากโครงสร้างภาษี 3% จะยังคง ก็ทำให้รถปิกอัพมีความน่าสนใจต่อไป ซึ่งอีโคคาร์จะเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภคที่อยากมีรถ แต่มีรายได้ไม่มาก ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มลูกค้าเหล่านี้มีทางเลือกแค่ปิกอัพเป็นหลัก ขณะที่ตลาดรถยนต์นั่งจะเห็นได้ว่ารถยนต์ขนาดเล็กสุดในปัจจุบัน มีขนาดและการเติบโตมากที่สุด ซึ่งเชื่อว่าอีโคคาร์จะเข้ามาตอบสนองความต้องการนี้ได้

นายอดิศักดิ์ กล่าวถึงตลาดรถยนต์โลกว่า แนวโน้มในอนาคต การเติบโตจะยังคงอยู่ที่รถยนต์นั่ง และเชื่อว่าตลาดรถยนต์นั่งจะใหญ่ขึ้น เห็นได้จากปริมาณรถทั่วโลก 65 ล้านคันในปีที่ผ่านมา เป็นส่วนของปิกอัพเพียง 5 ล้านคัน และเป็นรถยนต์นั่งถึง 60 ล้านคัน ซึ่งการเป็นฐานผลิตรถยนต์นั่ง จะทำให้ประเทศไทยมีโอกาสเติบโตในตลาดโลก และมองว่าอีโคคาร์จะเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อยอดโครงการใหม่ๆ ที่จะตามมา และการมีสินค้าที่พึ่งพาได้ 2 ประเภท ก็ย่อมดีกว่าการทำตลาดด้วยสินค้าประเภทเดียว จึงเชื่อว่าอีโคคาร์จะทำให้ไทยก้าวขึ้นเป็นฐานการผลิตระดับโลกอย่างแท้จริง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=212406
ส่วน FTA ไทย-อินเดียนี่ ไม่ได้ตามข่าวครับ ไม่ทราบว่าไปถึงไหนแล้ว
chartchai madman เขียน:ทาทา นาโน รถจิ๋วเสน่ห์แจ๋วราคาขายโดนใจแค่ 2 แสนบาท [ ฉบับที่ 863 ประจำวันที่ 19-1-2008 ถึง 22-1-2008]  
ไทยเร่งศึกษาทำตลาดรถเล็กทาทาใน 2 ปี หลังเปิดตัว นาโนในอินเดียไตรมาส 3 ปีนี้ขายคันละ 85,000 บาทถูกสุดในโลก เกจิวงการรถเผย ถ้าไทยนำเข้าราคา 180,000-200,000 บาท เพราะบวกภาษีศุลกากร 80% และสรรพสามิตอีก 30% แต่หาก FTA ไทย-อินเดียผ่าน เสีย 5% ราคาขายคันละ 130,000 บาท

นายอภิเชต สีตกะลิน ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท ทาทา มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย สยามธุรกิจ ถึงทาทา นาโน ว่าสำหรับในเมืองไทยนั้นบริษัทมีการศึกษา อยู่ เป็นแผนระยะยาวใน 2 ปี ที่มีการศึกษาตลาดมาต่อเนื่อง โดยขณะนี้ก็ยังอยู่ในขั้นการศึกษา ซึ่งก็ยังระบุไม่ได้ว่าจะทำตลาดรถเล็กรุ่นนี้หรือไม่ แต่ในอินเดียเตรียมจะเปิดตัวในไตรมาส 3 นี้

โดยหลังจากข่าวการเปิด นาโนแพร่ออกมาก็มีลูกค้าติดต่อสอบถามเข้ามาจำนวนมาก ว่าบริษัทจะทำตลาดหรือนำเข้า นาโนมาขายในเมืองไทยหรือไม่ ซึ่งขณะนี้คงไม่มีการนำเข้ามาขาย เพราะราคาขายปลีกรถรุ่นนี้ในอินเดียคันละ 1 แสนรูปีหรือประมาณ 85,000 บาท แต่อย่างไรก็ตามต้องดูจากความต้องการของลูกค้าหลังจากเปิดขายในอินเดียแล้ว

"สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้บริหารทาทา มอเตอร์ เชิญประเทศกลุ่มผู้ผลิตของ ทาทา ทั่วโลกไปร่วมงาน ออโต เอ็กซ์โป ครั้งที่ 9 ที่เมืองนิวเดลี เพื่อศึกษารถรุ่นนี้ ซึ่งในรุ่นสแตนดาร์ด ราคาจะประมาณ 1 แสนรูปี แต่สำหรับรุ่นลักชัวรี่ ระบบต่าง ๆ อัตโนมัติทั้งหมดมีอุปกรณ์ออฟชั่นครบ ราคาก็จะไม่ต่างจากรถเล็กในตลาดโลก"

โดยคาดว่าในงาน มอเตอร์โชว์ 2008 ที่ไบเทคบางนาก็จะนำรถต้นแบบรุ่นนี้เข้ามาโชว์เทคโนโลยี่ให้คนไทยได้รู้จักรถอินเดียมากขึ้น

ด้านแหล่งข่าวในวงการรถยนต์เปิดเผยิสยามธุรกิจิ ถึงราคารถยนต์นาโนที่หากนำเข้ามาขายในไทยว่า จะต้องบวกภาษีนำเข้าศุลกากร 80 % และภาษีสรรพสามิต 30% สำหรับรถยนต์นั่งขนาดเล็ก และหากเข้าข่าย E20 ก็เสียภาษีในอัตรา 25% รวมแล้วคาดว่ารถรุ่นนี้เมื่อนำเข้ามาราคาประมาณ 180,000-190,000 บาท แต่ถ้าหากข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-อินเดียสำหรับกลุ่มยานยนต์มีผลบังคับใช้ รถที่ไทยนำเข้าจากอินเดียก็จะเสียภาษีในอัตรา 5 % ซึ่งถูกมาก ๆ โดยรุ่นนาโน ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 130,000 บาทเท่านั้น

และจากรายงานข่าวของอินเดีย เปิดเผยถึงการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ นาโน ของ ทาทา มอเตอร์ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย โดยนาย ราฐาน ทาทา ประธานกรรมการบริหาร ทาทา กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ของอินเดียและผู้ผลิตรถยนต์ยี่ห้อ ทาทา กล่าวว่า ทาทาจะทำการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ นาโน ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ถูกที่สุด ด้วยราคาเพียง 2,500 ดอลล่าร์สหรัฐในอินเดีย โดยราคาดังกล่าวเป็นราคาที่อยู่ระหว่างรถยนต์ไซน์ มินิคือรถขนาดเล็กและรถมอเตอร์ไซค์ พร้อมจะเริ่มจำหน่ายอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งหลังหรือไตรมาส 3 ของปี 2551 ด้วยยอดขายที่ตั้งไว้ 500,000 คันต่อปี

โดยทาทา นาโนเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก 4 ประตูเครื่องยนต์ เบนซินขนาด 624 ซีซี.33 แรงม้า 4 ที่นั่ง มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน 5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ความยาวตัวรถ 3.1 เมตร กว้าง 1.5 เมตรและสูง 1.6 เมตร มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นคือ รุ่นสแตนดาร์ด 1 เวอร์ชั่นและรุ่นลักชัวรี่ 2 เวอร์ชั่น

โดยรถเวอร์ชั่นสแตนดาร์ดไม่มีพวงมาลัยพาวเวอร์ ระบบเบรกเป็นแบบหน้าดิกส์-หลังดรัม หน้าปัดส์มีเพียงแผงวัดความเร็ว เกจ์วัดน้ำมัน ไม่มีวิทยุ เครื่องยนต์เหมือนกันทั้ง 3 เวอร์ชั่นแบบอะลูมินั่ม 2 สูบขับเคลื่อนล้อหลัง จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีดมัลติพอยต์และโครงสร้างตัวถังทำด้วยเหล็กกล้าทั้งคัน

โดยสิ่งที่จุดประกายความคิดในการผลิตรถยนต์ราคาถูกของ ทาทา มอเตอร์ ครั้งนี้ เนื่องจาก นายราฐาน ได้พบว่าครอบครัวจำนวนมากในอินเดียได้อาศัยรถ 2 ล้อเป็นพาหนะในการสัญจรจนเป็นภาพที่ชินตา จึงเกิดไอเดียที่จะทำรถเพื่อประชาชน หรือ พีเพิลคาร์

" เขาเห็นภาพ พ่อขี่รถ 2 ล้อ โดยให้เด็กนั่งเบาะรถด้านหน้า ส่วนภรรยาก็จะอุ้มลูกเล็กที่เบาะนั่งด้านหลัง จึงเกิดความคิด ว่า ทำไมทาทาไม่ผลิตรถที่คนทั่วไปซื้อหามาขับได้ง่าย ๆ ในราคาที่ประหยัด ปลอดภัยกว่าขับรถ 2 ล้อ"

จากนั้นทีมวิศวกรและนักออกแบบของทาทา ก็ได้เริ่มโปรเจ็กต์ผลิตรถเล็กราคาถูกใช้เวลากว่า 4 ปี เพื่อที่จะได้รถรุ่นนี้ตรงกับความต้องการของคนทั่วไปในอินเดีย

เชื่อมโยงถึงการขยายธุรกิจของ ทาทา มอเตอร์ ในประเทศไทย ที่ได้ยื่อขออนุมัติการลงทุนกับบีโอไอมูลค่าถึง 7,300 ล้านบาทในการผลิตรถอีโคคาร์ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานและก่อนหน้านี้ทาทาได้ร่วมทุนกับบริษัท ธนบุรี ประกอบรถยนต์ จำกัด เงินลงทุนมูลค่า 1,300 ล้านบาทในการผลิตรถปิกอัพ
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... s_id=10740

ECO CAR

โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 28, 2008 4:27 pm
โดย Little Boy
มองรวมๆ ภายในประเทศ ตัดจังหวัดอันดับ 1 ออกไป (กทม.) ก็จะเหลืออีก 75 จังหวัด ที่มีที่ดินจอดรถเพียงพอ

มองไปยังกลุ่มข้าราชการชั้นผู้น้อย รวมทั้งมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท ยังไงมีรถยนต์ขับก็ดีกว่าขับมอเตอร์ไซด์ตากฝนไปรับลูกที่โรงเรียน เวลาเกิดอุบัติเหตุก็เซฟกว่ามอเตอร์ไซด์ ขับออกไปนอกเมืองนิดหน่อยไปเที่ยวทะเล ภูเขา น้ำตก ก็คล่องกว่ามอเตอร์ไซด์ มอเตอร์ไซด์ปัจจุบันราคาก็ 4-5 หมื่นบาท รถยนต์รุ่นเล็กๆ ก็เริ่มต้นกัน 5-6 แสน Eco car น่าจะมาอุดช่องว่างตรงนี้ของคนกลุ่มนี้ ด้วยราคา 1.5-3.5 แสน ผมไม่แน่ใจว่ายอดคนกลุ่มนี้มีจำนวนเท่าไหร่ แต่ถึงขั้นทำออกมาแล้วขายไม่ได้คงไม่น่าจะใช่ถ้าคุณภาพไม่ห่วยแตก

ECO CAR

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 29, 2008 9:06 am
โดย ply33
ขอเสริมครับ พอดีกำลังทำ research ด้านนี้อยู่

1. โครงการ ECO Car : หรือรถยนต์ประหยัดพลังงานคืออะไร ?
พลังงาน: -ใช้น้ำมัน หรือ ดีเซล น้อยกว่า 5 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร

สิ่งแวดล้อม: -ปล่อย CO2 ออกมาน้อยกว่า 100 กรัมต่อ 100 กิโลเมตร และ -ใช้น้ำมันมาตรฐาน EURO4 หรือดีกว่า

ความปลอดภัย: -ตามหลักสากล UNECE 94&95 หรือดีกว่า

2. ลักษณะสำคัญของโครงการ
-มีการผลิตระหว่าง 100,000 - 150,000 คันต่อปี
-สามารถใช้ชิ้นส่วนจากทั่วโลกได้ (Global parts production network)
-มูลค่าเพิ่มจากสินค้าท้องถิ่น 50-80% (Local value added)
-การขายภายในประเทศ
-การผลิตเพื่อส่งออก (CBU or CKD)

3. BOI approved project:
-Honda 120,000 คันต่อปี
-Nissan 120,000 คันต่อปี
-Suzuki 140,000 คันต่อปี
-TATA
-MITSUBISHI
-TOYOTA
-VOLKSWAGEN

รายหลังไม่มีข้อมูลครับ แต่ข่าวล่าสุดได้ยินว่า Mitsubishi ได้ขอรับไปแล้วตามหลัง TATA ครับ

สรุปก็คือ ECO-CAR = ECOlogical freindly car ครับ รถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่ ECONOMIC CAR ครับ แต่พอเสปค ออกมาก็แปลว่าเป็นรนยนต์ส่วนบุคคลขนาดเล็ก ทำให้ราคาถูกตามไปด้วยครับ

ECO CAR

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 29, 2008 9:20 am
โดย ply33
คาดการณ์กำลังการผลิต
2007
Toyota 550,000
Mitsubishi 206,000
Nissan 139,400
AAT 155,000
Honda 120,000
Isuzu 220,000
GM 160,000
Others 97,310

Total 1,647,710

ECO-Car
Toyota 100,000
Mitsubishi 100,000
Nissan 120,000
Honda 120,000
Suzuki 140,000
Others 200,000

Total 780,000

Total production in 2014 = 2,427,710 !!

โครงการนี้เกิดจากการที่รัฐบาลต้องการทำตลาดรถยนต์ส่วนบุคคลให้เป็น Product Champion ตัวที่ 2 จากปัจจุบันที่ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ Pickup 1 Ton ใหญ่ที่สุดในโลกครับ

แต่ข้อสังเกตก็คือ บริษัทต่างๆตอนนี้ลงทุนสร้างโรงงานหรือกำลังจะสร้างในไทยไปแล้ว เพื่อขอรับการส่งเสริมโครงการนี้จาก BOI ดังนั้นตอนนี้จะเห็นว่าพวกที่ได้ประโยชน์จะเป็น พวกนิคมอุตสาหกรรม ล่าสุด Amata ก็บอกว่าเพิ่งขายที่ให้ Misubishi ตั้งโรงงานครับ

โรงงานพวกนี้คาดว่าจะเสร็จและทำการผลิตได้ภายใน 2 ปี หรือปี 2010 นั่นเอง หลังจากนั้นก็น่าจะเป็นพวกกลุ่มชิ้นส่วนที่ได้รับ Order เพิ่มตามมาครับ ล่าสุด (ไม่แน่ใจ) Stanly ก็สร้างโรงงานใหม่ไว้รับการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นแล้วครับ


เป็นโครงการที่ดีเนื่องจากไทยเป็นศูนย์การผลิตรถยนต์ของโลกอยู่แล้วครับ แถมยังได้เปรียบในการส่งออกไปยังประเทศต่างๆเนื่องจากมีการทำ FTA กับประทศต่างๆทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง ส่งออกไปยังคู่ค้าได้มากขึ้น แต่ข้อเสียก็มีคือผู้ผลิตต่างชาติก็เข้ามาแย่ง Order การผลิตของ Local supplier เหมือนกันครับ

ตอนนี้เริ่มเขี่ยบอลไปแล้วจากปีก่อนที่ คุณโฆษิต สั่งเดินหน้าโครงการก็ต้องดูกันต่อไปว่าจะเป็นอย่างไรครับ

ข้อควรระวังของโครงการนี้ผมคิดว่า
-ต้องระวังว่าจะมาทำลายตลาดรถ Pick up ที่เป็น Product Champion ตัวแรกอยู่แล้วครับ
-คู่แข่งจากต่างประเทศที่เข้ามาได้จากโครงสร้างภาษีที่ว่าไปแล้ว เช่น รถต์จากจีน อินเดีย เป็นต้นครับ

ECO CAR

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 29, 2008 11:37 am
โดย กระบี่อยู่ที่ใจ
Little Boy เขียน:มองรวมๆ ภายในประเทศ ตัดจังหวัดอันดับ 1 ออกไป (กทม.) ก็จะเหลืออีก 75 จังหวัด ที่มีที่ดินจอดรถเพียงพอ

มองไปยังกลุ่มข้าราชการชั้นผู้น้อย รวมทั้งมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท ยังไงมีรถยนต์ขับก็ดีกว่าขับมอเตอร์ไซด์ตากฝนไปรับลูกที่โรงเรียน เวลาเกิดอุบัติเหตุก็เซฟกว่ามอเตอร์ไซด์ ขับออกไปนอกเมืองนิดหน่อยไปเที่ยวทะเล ภูเขา น้ำตก ก็คล่องกว่ามอเตอร์ไซด์ มอเตอร์ไซด์ปัจจุบันราคาก็ 4-5 หมื่นบาท รถยนต์รุ่นเล็กๆ ก็เริ่มต้นกัน 5-6 แสน Eco car น่าจะมาอุดช่องว่างตรงนี้ของคนกลุ่มนี้ ด้วยราคา 1.5-3.5 แสน ผมไม่แน่ใจว่ายอดคนกลุ่มนี้มีจำนวนเท่าไหร่ แต่ถึงขั้นทำออกมาแล้วขายไม่ได้คงไม่น่าจะใช่ถ้าคุณภาพไม่ห่วยแตก
เห็นด้วยกับคุณ Little Boy ครับ


แล้วกำลังซื้อ ECO Car ในประเทศจะมาจากไหน นี่คือคำถามในใจของหลายๆคน

คำตอบ กำลังซื้อที่แฝงอยู่ในตลาดรถมือสองครับ

เท่าที่ประสบการณ์ของผมประสบมา ในเวลา 1 ปีกว่า จากการที่ได้เคยร่วมหุ้นทำเต็นท์รถมือสอง กับพี่เขย

รถที่ขายดีที่สุด  คือ ในระดับราคา  2 แสน 5 แสน

โดยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่     คือ   - ข้าราชการชั้นผู้น้อย
                                        - พวกที่จบใหม่ เพิ่งได้งานทำ  อยากมีรถใช้ไปทำงานซักคัน แต่กลุ่มนี้มัก
                                             มีปัญหาไม่ผ่านเกณฑ์  ก็จะใช้ชื่อพ่อแม่ซื้อแทน  หรือเอาตำแหน่งของพ่อแม่ค้ำให้

ดังนั้น   กำลังซื้อส่วนนี้ น่าจะ move มาที่  ECO Car ทันที

ด้วยเหตุผล       - ได้รถใหม่แกะกล่อง
                     - ราคาถูก
                     - ประหยัดพลังงาน  

ลืมบอกไปว่า  เต็นท์ที่ผมลงหุ้น มียอดขายเฉลี่ยแค่ 10 คัน/เดือน จอดหน้าเต็นท์ประมาณ 20-30 คัน
แล้วลองคิดดูว่า ในขอนแก่นมีกี่เต็นท์ โคราช อุดร  แล้วทั้งประเทศล่ะ

ECO CAR

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 29, 2008 6:32 pm
โดย tattoo_thai
แล้วอย่างนี้ ตลาดรถมือสองจะแย่รึเปล่าครับ?

ECO CAR

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 29, 2008 7:04 pm
โดย ply33
ECO-Car ราคาจะอยู่ระหว่าง 3-5 แสนครับ คือต่ำกว่า Yaris/Jazz ลงไป แต่ไม่มีทางลงไปถึง 2 แสนแน่นอนครับ อย่างเก่งก็ 2 แสนปลายๆ

TATA NANO 8 หมื่นบาทก็มาไม่ได้ครับเพราะติดเรื่องภาษี ทำให้ TATA ต้องมาตั้งโรงงานในไทยร่วมกับธนบุรีประกอบยนต์แทน ลงไปแล้ว 1300 MB แต่ทำมั้ยดันไปลุยรถกระบะได้ ไม่เอา Passenger car เซ็ง แต่เค้าบอกว่ากำลังทำอยู่ที่เข้ามาน่าจะเป็น Model Indiga ครับ NANO ไม่มีแอร์ ไม่มี Auto ไม่มี Power ถึง Import เข้ามาก็เกือบ 3 แสน ไม่มีใครซื้อแน่

Demand ของ ECO-Car จะแย่งจาก รถมือสองและมอเตอร์ไซ แถมตลาดรถเช่ากับรถแทกซี่ให้ด้วย อย่างที่คุยๆกันแหละครับ แต่สำหรับค่ายรถก็ต้องหวังส่งออกด้วย เพราะต้องผลิตอย่างต่ำ 100,000 คันต่อปี Domestic Demand อย่างเดียวไม่พอครับ

ยังไงก็ตาม Automobile Industry ในประเทศเรากำลังจะเปลี่ยนแปลงแน่ๆครับ แต่ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ภายใน 2-3 ปีคงเห็นกันครับ ซ๗