Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

*หมายเหตุ: คัดลอกมาจากประสบการณ์โดยตรงของตัวกระผม และปรุงแต่งเพื่อความระลื่นในการอ่าน

1. เริ่มต้นจากการตกผลึกทางความคิดเกี่ยวกับการใช้เงินไปทำงานแทนเราเบื่องานประจำ และอยากมีอิสรภาพทางการเงิน อืม...อยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร เอาเงินไปลงทุน แล้วพอมีผลตอบแทนก็เอาไปลงต่อ อืม...ดีจริงๆด้วย  (แต่ทำไมเพิ่งคิดได้วะ)

2. เริ่มศึกษาช่องทางการลงทุน ดังนี้:
ฝากแบงค์? ไม่เอา...ลำพังดอกเบี้ยยังต่ำกว่าเงินเฟ้อเลย
ซื้อที่ดิน? เออดี...แต่จะไปเงินก้อนใหญ่มาจากไหน อีกอย่างที่ดินก็ไม่ได้ซื้อง่ายขายคล่องนะ
ซื้อบ้าน/คอนโด ปล่อยเช่า? เข้าท่าแหะ...เอาค่าเช่าไปโปะค่างวด ดีไม่ดีได้ค่าเช่าเยอะกว่าค่างวด มีเงินกินขนม แถมสุดท้ายได้assetก็ยังเป็นของเรา แล้วยังขายเก็งกำไรต่อได้อีก แต่...เดี๋ยวนี้ก็เห็นเค้าทำกันเยอะนะ คอนโดก็ขึ้นกันยังกะดอกเห็ด แบบถูกๆทำเลดีก็มีแยะ แล้วใครจะเช่าเราหล่ะ ถ้าไม่มีคนเช่า ก็กลายเป็นว่าก่อหนี้แบบไม่มีรายได้นะ
ซื้อทอง? แหะ แหะ เข้าท่า...แต่ศึกษามาแล้ว ผลตอบแทนระยะยาวแค่ beat inflation แถมไม่มีปันผล
เล่นหุ้น? โอว...อันนี้แหละใช่เลย ซื้อง่ายขายคล่อง เห็นผลรวดเร็ว มีปันผล แต่...มันเสี่ยงนะ พลาดทีหมดตัวนะ ดีไม่ดีเป็นหนี้เค้าอีกนะ ทำไงดี? อืมถ้างั้นเราศึกษาก่อน

3. ศึกษาแนวทาง และฝึกยุทธวิธี (for dummy)สำหรับการเล่น เอ้ย ลงทุนในหุ้น ซื้อหนังสือมาอ่าน ไปตลท. (ไปงั้นๆแหละ ให้รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน) สอบถามผู้ชำนาญยุทธจากพรรคพวก (มีเพื่อนเป็นโบรก)เริ่มดู money channel เอาหล่ะพร้อมแล้ว ไปเปิด portfolio เลย

4. เล่นสูตร conservative ดู fundamentalซื้อ bluechip แล้ว buy and Hold

เล่น margin หรือ net settlement? โอว...just say no

5. เริ่มต้นก็ไปได้สวย ซื้อปูนหย่าย ซื้อแบงค์กทม. ซื้อไก่ซีพี และอีกหลายๆตัว ซื้อเพราะเชื่อว่า buy and hold ยังไงก็ไม่มีทางแพ้ ตอนนั้น PE DE PBV ROE ROA ยังไม่เคยคิดจะดูเลย ดูแต่ชื่อเสียง ยี่ห้อ ความคุ้นเคย และราคาย้อนหลัง ราคาก็ขึ้นบ้างลงบ้างตามวิสัยของหุ้นตัวใหญ่ ที่อิงกับการเก็งกำไรของต่างชาติ และสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม

6. โอ...แต่มันช้าเหลือเกิน เริ่มเบื่อครับ โดยเฉพาะเห็นเพื่อนๆที่นิยมหุ้นตัวเล็ก วิ่งเร็ว ข่าวเยอะ ได้ดิบได้ดีกันถ้วนหน้า (เลยอิจฉาและอยากรวยเร็วกะเขาบ้าง) เพื่อนที่เป็นโบรกก็แสนจะดี ป้อนข้อมูลหุ้นหมุนเร็ว ให้ฟังทุกวัน สุดท้ายก็หลวมตัวไปกับแสงสี และในที่สุดแทนที่จะเจอขุมสมบัติ กลับเจอขุมกองไฟ ....ละลายครับ ไหม้ครับ เป็นจุลครับ เป็นโจ๊กครับ (แล้วแต่จะเรียก)
เข็ดไหม?

7. เข็ดครับ แต่เหมือนสวรรค์เบี่ยง เอ้ย โปรด เพราะผมไปเจอหนังสือตีเตกของท่านดร. อ่านแล้วซึ้งเลย และก็หาเล่มอื่นมาอ่านเพิ่มเติม เลยเถิดไปถึงหนังสือของปู่บัฟ ได้หลักการและแง่คิดมาเพียบ เลยเอาใหม่  เริ่มศึกษาหุ้นโดยใช้หลักแบบพื้นฐานดูอัตราทางการเงินส่วนแบบพื้นๆ และสร้างตัวกรองพื้นฐาน แต่ไม่ได้วิเคราะห์แบบลึกซึ้งเท่าไหร่ ทำเท่าที่ทำได้ และได้หุ้นมาบ้างคราวนี้ถึงจะช้าก็ไม่กลัวเหมือนเก่าครับ

8. ระหว่างนี้ ก็เที่ยวเสาะหาเคล็ดวิชาไปทั่ว และแล้วชะตาฟ้าลิขิตก็พาผมมาที่ TVI บอกตรงๆว่าเหมือนเจอขุมทรัพย์ความรู้และความบันเทิง (จากสมาชิกรุ่นพี่หลายๆท่าน) และสิ่งแรกที่ทำก็คือสมัครสมาชิกและโพสขอ EPS 15 Years จากตั่วเฮียครรชิตทันที

9. EPS 15 years ตัวนี้เป็นเครื่องมือกรองหุ้นและแหล่งข้อมูลชั้นดี ได้เริ่มหาหุ้นเพิ่มจากตรงนี้ ใส่ข้อกำหนดเข้าไปในตัวกรอง แป็ปเดียวก็มาแล้วครับ หุ้นห่านทองคำ ยิ่งถ้าหุ้นตัวนั้นขึ้นทะเบียนอยู่ใน 100คน100หุ้น ด้วยละก็ แทบจะใส่เกียร์แปดเลยครับ

ช่วงนี้มีความสุขครับ นอนหลับสบาย ไปไหนมาไหนมีคนทักว่าผิวพรรณเปล่งปลั่งเป็นประกาย เพื่อนคนอื่นเล่นหุ้นแนวเดิมเจ็บตัวเลือดสาด เรากลับบวกเฉย

10. หลังจากที่หุ้น(ที่เลือกมาจากหลักความคิดใหม่และวิธีกรองหุ้นพื้นฐานที่ตั้งขึ้นมาเอง)ขึ้นมาอย่างน่าพอใจ ก็รู้สึกภูมิใจกับตัวเองมาก  แต่...ก็ไม่วายอดสงสัยไม่ได้ว่าไอ้หุ้นที่เราเลือกเองมันก็เขียวนะ แต่มันเขียวไม่ปี๋ เหมือนหุ้นที่ TVI เค้านิยมกันเลย ยิ่งดูมันวิ่ง และยิ่งดูผลตอบแทนที่ปรมาจารย์แต่ละท่านได้ในแต่ละปีทะลุ 100% กันทุกคนเลย .....ศัตรูร้ายภายในใจก็กำเนิด

11. ตัวไหนที่มัน hot ใน 100คน100หุ้น นั้นผมใส่ จับยัดเข้า port แทบจะไม่เกี่ยงราคา ถ้ามันลงก็บอกตัวเองว่า หุ้น VI และอันตัวกระผมก็ VI ถ้ามันลงก็ซื้อเพิ่ม ดี! ต้นทุนจะได้ถูกลง ของดีราคาถูกทั้งนั้น แหมเค้าแทบจะซื้อกันยกเว็บ (ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น)
ใช่แล้วครับ คนมันกำลังหึกเหิม ใส่อย่างเดียวไม่ว่าแอบภูมิใจว่าข้านี่แหละนักลงทุน VI ลงทุนแบบ VI แล้วตามหลังเซียนVI มีหรือสุนัขจะกัด แล้วก็มักจะหัวเราะคนเดียวดังๆ เสียงเดียวกับตัวร้ายในหนังจีนตอนจับนางเอกได้หมาดๆ

12. แต่....พวกมันไม่เขียวปี๋ครับ พี่น้อง หรือถ้ามันเขียวอ่อนๆ หรือเหลืองเหมือนสีชาเขียวก็ยังดีครับ เพราะตั้งแต่ซื้อมามันเขียวได้แป็ปเดียวมันก็ตกเลือดครับ...หลายวันติดครับ...แล้วดูเหมือนจะยังไม่มีแววเขียวเลยครับ

อ้าวเฮ้ย แล้วกัน ไหนใครว่าเป็น VI แล้วไม่ขาดทุนไง

13. สถานการณ์ไม่ดีขึ้น หุ้นไม่ขึ้น แต่กลับส่อแววร่วงต่อ ลงลึกไปเรื่อยๆ ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ผลประกอบการออกมาไม่สวย(โธ่ น้อยกว่างวดก่อนนิดเดียวเอง ผมพึมพำบ่นกับตัวเอง) หรือไม่ก็น้อยกว่าที่ผู้บริหารเขาคาดไว้ ราคาที่ว่าแดงเลือดสาดอยู่แล้ว ก็ขยับลงต่อ
เริ่มเป็น VI อันตรพาล โทษนู่น โทษนี่ หาคนรับผิดชอบ ตั้งคำถามเกี่ยวกับหลักธรรมาภิบาลต่อผู้บริหาร ถามหาเจ้าคณะ สอบถามหัวขบวน เช็คชื่อผู้โดยสาร ทำสารพัดอย่าง

แต่ไม่ยักจะถามตัวเองว่าซื้อตัวนี้ตั้งแต่แรกเพราะอะไร?

14. ไหนๆก็ไหนๆ ถามตัวเองก็ได้
ตัวเองถาม: ตอนเอ็งซื้อนี่ ซื้อด้วยเหตุผลอันใดหรือ?
ตัวเองตอบ: ซื้อเพราะมันฮิตใน TVI
ตัวเองถาม: อ้าว? จริงอ่ะ? สาเหตุไม่ได้มาจากเพราะพื้นฐานดีเหรอ บริษัทมีแนวโน้มเติบโตเหรอ?
ตัวเองตอบ: อืม... มีดูพื้นฐานบ้างนะ แต่ยังดูไม่ทันไร ราคามันก็โดนไล่ เลยต้องโดดขึ้นรถก่อน แหะ แหะ  

ตัวเองบอกตัวเอง: อย่างนี้ก็ตายเด่ะ  อืม....เอ็งนี่มัน TVI (Tip Value Invester) จริงๆ

หมายเหตุ: Tip แปลว่าสุด ปลาย ยอด (ในที่นี้กล่าวถึงภูเขาและดอย)

บทสรุป: สุดท้ายก็ฟกช้ำดำแดงไปเรียบร้อย แต่ก็ได้บทเรียนที่ล้ำค่าครับ
ทุกวันนี้ปรับเอาหุ้นที่ซื้อมาด้วยเหตุผลผิดๆออก แล้วไปเพิ่มน้ำหนักกับหุ้นที่เราศึกษาไว้อย่างดีครับ

เป็นคติเตือนใจที่ดีมากเลยครับ ขอบคุณครับ  :lol:

อ่านมันส์ดีครับ  :lol:

เห็นภาพชัดเจนเลยครับ

เตือนใจด้วย แถมฮาอีก  :lol:

บทความคุณ birdflu  เป็นบทความที่ดีมากๆครับผม

ขอบคุณครับ

เป็นบทความที่ดีมากๆครับ    

เล่าให้เห็นเป็นฉากๆเลย  :D

ขอให้ประสบความสำเร็จกับสิ่งที่ศึกษาอย่างดีนะครับ  :8)

เยี่ยมครับ

เยี่ยมครับ

:lovl:  :lovl:  :lovl:

สำนวนสุดยอดครับ เอาไป 3 ตัว ..

นอกจากสร้างแง่คิด แล้ว พี่ไข้หวัดนก ยังเป็นคนอารมณ์ดีด้วยนะครับ (ท่าทาง)

อืม สงสัยตัวนั้นแน่ๆเลย

ขอบคุณครับ

มีประโยชน์มากๆครับ
ผมเองก็ต้องคอยระวังตัวเองให้ตัดสินใจซื้อหุ้นด้วยตัวเอง
ต้องไม่ลอกการบ้านคนอื่น  หรือจะลอกก็ต้องศึกษาอย่างดี
ไม่อย่างนั้นเวลาราคาแกว่งไกว  จะหวั่นไหวได้ง่าย
ลงทุนถูกวิธี  ต้องมีความสุข  ไม่หงุดหงิด(ผมเคยมาแล้ว)
นอนหลับสบาย  ซึ่งก็คือต้องมีความมั่นใจในกิจการของเรา
ราคาแกว่งไกว  เป็นเรื่องปกติ

ยอดเยี่ยมมากพี่เบิด อิอิ

เป็นข้อเตือนใจที่ดีมากครับ....
อย่างที่ ดร. บอกไว้เลย อย่าซื้อตามเซียน เพราะเซียนรู้ว่าจะปรับตัวอย่างไรได้รวดเร็วกว่า ผมมีความรู้สึกว่าหากเราคิดแต่จะซื้อตามเซียนโดยเรารู้ข้อมูลไม่เท่าเซียนนี่มันน่ากลัวกว่าเลือกซื้อเอาเองอีกนะ..
มันเหมือนกับเกาะๆกันไปยังไงก็ไม่รู้...

ขอบคุณพี่ๆ ที่ให้กำลังใจครับ  :P

ช่วงนี้บรรยากาศการลงทุนโดยรวม โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้น ดูจะไม่ค่อยโสภาสถาพรซักเท่าไหร่ ราคาของหุ้นหลายๆตัว ปรับตัวลดลงอย่างน่าใจหาย ชนิดที่ว่าค้านสายตาทั้งผู้เชียร์ ผู้ถือ และผู้ชม หุ้นบางตัวที่ผมถือนั้นลดลงจากระดับกำไรเกือบเด้ง เป็นขาดทุนเข้าเนื้อ และถากถางหัวจิตหัวใจนักลงทุนห้าวๆของผมเอาการ เอาเป็นว่ามันเป็นช่วงเวลาที่จะทดสอบ VI จำแลงอย่างผมครับ

สาเหตุรวมๆของการปรับลงของดัชนี และราคาหุ้นในช่วงนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของความไม่แน่นอนในหลายๆปัจจัยที่มักจะมีผลกระทบต่อราคาหุ้นในเชิงลบ ปัจจัยท๊อปฮิต ติด chart ก็คงหนีไม่พ้นเรื่อง...
1. การเมืองภายในประเทศ  
2. ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของอเมริกา และประเทศอื่นๆทั่วโลก
3. ปัญหาเงินเฟ้อที่ถูกผลักดันโดย การปรับตัวของราคาน้ำมัน อาหารสินค้าเกษตร และ commoditiesอื่นๆ

เจออิทธิฤทธิ์แก๊งค์สามช่าเข้าไป นายฝรั่งเลยเข้าเกียร์ขาย แล้วเหยียบคันเร่งมิด ทะลุทุกกำแพง ฝ่าทุกด่านแนวรับ จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะเหยียบเบรค

สถานการณ์เช่นนี้ทำเอาผมขยาด หวาดเสียวและไม่กล้าที่จะเข้าไปซื้อแม้กระทั่งหุ้นที่ตัวเองคิดว่าดีเลิศประเสริฐศรี ทั้งๆที่ราคาของหุ้นตัวนั้นลงมาถึงระดับราคาที่ไม่คิดที่จะได้เห็นอีก ระดับราคาที่ผมเคยได้ยินหลายๆคนเคยเปรยไว้ว่า ให้ขายบ้าน ขายรถมาซื้อก็ยอม

เฮ้อ...อย่าว่าแต่ซื้อเพิ่มเลยครับ หลายครั้งผมเคยคิดที่จะขายออกไปให้หมดด้วยซ้ำไป



แต่....ผมก็ไม่วายมานั่งทบทวนเหตุผลที่เข้าซื้อหุ้นเหล่านี้เมื่อครั้งทีเศรษฐกิจกำลังคึกคัก และบรรยากาศในการลงทุนสดใส (กว่านี้)ว่า...
1. ตอนนั้นใช้หลักการอะไรในการเลือกหุ้นตัวนี้ แล้วตอนนี้เกณฑ์การคัดเลือกที่ได้ใช้ในการคัดเลือกหุ้นนี้เหมือนเดิม ดีขึ้น หรือว่าแย่ลง
2. ในตอนที่ซื้อคาดหวังอะไรกับมัน และในปัจจุบันสิ่งที่เคยคาดหวังไว้มีโอกาสเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด
3. ตอนนี้มีปัจจัยพื้นฐานอะไรในตัวบริษัทที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็นสาเหตุให้ความคาดหวังของเรากับหุ้นตัวนี้เปลี่ยนไป

หลังจากทบทวนแล้วผมก็พบว่า หุ้นส่วนมากของผมนั้นยังมีสุขภาพที่ดีอยู่ แม้ราคาของมันในปัจจุบันทำให้ดูเหมือนว่าบริษัทของผมเข้าขั้นโคม่าแล้วก็ตาม

สิ่งที่พบก็คือ
การเติบโตของยอดขายก็ยังคงเพิ่มขึ้น แม้ว่าอัตราส่วนกำไรขั้นต้นจะลดลงเพราะต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น
ส่วนเป้าหมายที่ผู้บริหารตั้งไว้ ถึงแม้จะยังดูไม่ออกและบอกไม่ได้ว่าจะทำได้หรือไม่ในตอนนี้ แต่ผมก็คงจะไม่โทษผู้บริหารหากสาเหตุที่พลาดเป้ามาจากปัจจัยภายนอก
ส่วนอื่นๆเช่นหนี้ต่อทุน ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น และจากการที่มี หนี้ต่อทุนต่ำอยู่แล้วหุ้นผมก็คงจะรับมือกับยุคดอกเบี้ยขาขึ้นได้ดีกว่าบริษัทอื่นที่มีหนี้เยอะๆ (เป็นต่อนะเนี่ย)
การเปลี่ยนแปลงในพื้นฐานอื่นๆ เช่นการเปลี่ยนตัวผู้บริหาร หรือการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างผู้ถือหุ้นก็ยังไม่ปรากฏ

ส่วนเรื่องการคาดหวังก็แน่นอนครับนอกจากว่าจะได้เป็นเจ้าของธุรกิจที่ดีแล้วก็ยังคาดหวังผลตอบแทนการลงทุนในรูปแบบของเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ หุ้นที่ผมถือโดยส่วนมากแล้วมีประวัติการจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอ และในปีนี้อัตราการจ่ายปันผลก็ไม่น่าจะแย่กว่าปีที่แล้วมาก เพราะบริษัทไม่มีแผนการใช้เงินลงทุนใหญ่ๆ ในอนาคตอันใกล้

พอคิดได้แบบนี้ก็สบายใจขึ้นครับ แล้วก็คงจะหาโอกาสสะสมเพิ่มในช่วงที่อาจจะเรียกได้ว่า mega sales และถึงแม้ว่าจะมี Super mega sales ในอนาคต ผมก็คงต้องมาทบทวนแบบนี้อีกทีครับ

Happy Investing ครับทุกท่าน

เห็นด้วยเลยครับ

ขอบคุณมากครับ  :lol:

อ่านกี่ครั้งก็ยังรู้สึกยกย่องเจ้าของกระทู้ครับ

รู้จักทบทวนโดยใช้เหตุผล ไม่ใช้อารมณ์

ยอดเยี่ยมมากครับ

ขอบคุณนะครับพี่ birdflu สำหรับบทความดีๆที่นำมาฝากครับ

จุดหมายเดียวกัน
เส้นทางอาจจะแตกต่างกัน

แต่ทั้งจุดหมายและเส้นทางของพี่เบิร์ด
ช่างเหมือนกับผมเปี๊ยบเลย

เริ่มต้นแนวคิดจากการให้

1. เงินทำงานแทนเรา

ข้อนี้คิดใหม่ทำใหม่ยังไงๆก็ถือว่า ถูกต้องมากๆแล้วครับ
ตัวเราเองก็แก่ลงเรื่อยๆ กำลังวังชาก็ถดถอยลงเรื่อยๆ ไม่มีทางทำงานได้ตลอดชีวิตอยู่แล้ว

อีกอย่างรายได้จาก " ค่าแรง" ก็มีลิมิต

เมื่อลงทุนในหุ้น
ก็ต้องศึกษากันหน่อย
แล้วผมก็มาเจอ

3. การลงทุนแนววีไอ

เซียนหุ้นของโลก
ส่วนใหญ่ก็ใช้แนวทางนี้
ผมหมายถึงเซียนหุ้นที่รวยติดอันดับโลกนะครับ

เป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว
และผ่านการพิสูจน์มายาวนานเกือบร้อยปี
ผู้ที่ใช้แนวทางนี้แล้วขาดทุน
ต้องมองย้อนว่าเป็นเพราะ
แนวทางนี้ผิด
หรือเพราะเรายังเข้าไม่ถึงแนวทางนี้  ต่างหาก

แนวทางนี้มีหลักการง่ายๆนิดเดียวเท่านั้นเอง คือ

4. เลือกหุ้นที่ undervalue มากๆ

ไม่ใช่เลือกหุ้นที่ดีมากๆอย่างเดียวนะครับ
หุ้นเก่งหุ้นดีควรจะได้รับการ "ตีราคา" ที่ดีกว่า
แต่การตีราคาก็มีลิมิต  
ไม่มีหุ้นตัวไหนที่สามารถซื้อได้ทุกราคา
ต่อให้ดีมากๆแค่ไหน
แต่ถ้าแพงมากๆก็ไม่น่าซื้อ
และไม่มีประโยชน์อะไรที่จะซื้อหุ้น overvalue

การประเมินว่า undervalue ไหม
ก็มีหลายปัจจัย

หลักใหญ่ๆคือ ประเมินเทียบกับ "อนาคต"

หลักการนี้ก็เช่นเดียวกัน
ถ้าใช้แล้วยังขาดทุน
ต้องมองย้อนอีกทีว่า
เป็นเพราะหลักการผิด
หรือเราเข้าไม่ถึงกันแน่

ขอบคุณพี่เบิร์ดครับ
เส้นทางนี้ ไม่เหงาเปล่าเปลี่ยว
ไม่ได้เดินคนเดียว
มีเพื่อนร่วมทางคอยให้กำลังใจกันเป็นระยะๆครับ

[quote="birdflu"]14. ไหนๆก็ไหนๆ ถามตัวเองก็ได้
ตัวเองถาม: ตอนเอ็งซื้อนี่ ซื้อด้วยเหตุผลอันใดหรือ?
ตัวเองตอบ: ซื้อเพราะมันฮิตใน TVI
ตัวเองถาม: อ้าว? จริงอ่ะ? สาเหตุไม่ได้มาจากเพราะพื้นฐานดีเหรอ บริษัทมีแนวโน้มเติบโตเหรอ?
ตัวเองตอบ: อืม... มีดูพื้นฐานบ้างนะ แต่ยังดูไม่ทันไร ราคามันก็โดนไล่ เลยต้องโดดขึ้นรถก่อน แหะ แหะ

อ่านสนุกมาก

เจอ เจ็บ จำ

จริงๆ แล้วปีนี้เป็นปีที่ยากพอสมควรนะ ไม่แปลกครับที่การลงทุนจะติดลบสำหรับปีนี้ ตลาดลงไปเกือบสองร้อยจุด คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ 20กว่าเปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่าไม่น้อย แต่ปีนี้สนุกมาก ให้บทเรียนกับนักลงทุนหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะคนที่ซื้อตามๆ คนอื่น จริงๆ มีการเตือนกันหลายครั้งแล้ว แต่เป็นเพราะช่วงนั้นบรรยากาศมันดี อะไรก็ดีไปหมด ตอนนี้ถึงจะเห็นความจริง เป็นอีกบทเรียนที่ดีครับ

ได้ข้อคิดดีครับ
ปีนี้หุ้นในพอร์ทแดงเกือบทุกตัว
ผมพยายามหาความรู้เพิ่มครับ