เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!
- LOSO
- Verified User
- โพสต์: 2512
- ผู้ติดตาม: 0
เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!
โพสต์ที่ 1
บางทีเราคิดว่าเราแย่ .............
ปัญหาวุ่นวาย ไม่จบไม่สิ้น ............
ตลาดหุ้นบ้านเรารวมๆไม่เห็นไปไหนได้ไกล วนไปวนมา ..........
ไม่ทะลุ 900 จุด ไปพันจุดเสียที ................
ปัญหาวุ่นวาย ไม่จบไม่สิ้น ............
ตลาดหุ้นบ้านเรารวมๆไม่เห็นไปไหนได้ไกล วนไปวนมา ..........
ไม่ทะลุ 900 จุด ไปพันจุดเสียที ................
ความพยายามไม่มี ปัญญาไม่เกิด
- LOSO
- Verified User
- โพสต์: 2512
- ผู้ติดตาม: 0
เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!
โพสต์ที่ 2
ยิ่งเห็นเวียดนามโตเอาโตเอา ....................
ต่างประเทศก็ขยายหรือย้ายการลงทุนไปที่นั่นเยอะแยะ ................
GDP ก็เห็นว่าโตเยอะมาก 2 เท่าของไทยได้มั้ง .............
ต่างประเทศก็ขยายหรือย้ายการลงทุนไปที่นั่นเยอะแยะ ................
GDP ก็เห็นว่าโตเยอะมาก 2 เท่าของไทยได้มั้ง .............
ความพยายามไม่มี ปัญญาไม่เกิด
- LOSO
- Verified User
- โพสต์: 2512
- ผู้ติดตาม: 0
เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!
โพสต์ที่ 5
หุ้นเวียดนามรูดต่อ 1.4%
ตลาดหุ้นเวียดนาม กลายเป็นตลาดที่มีการเคลื่อนไหวแย่ที่สุด ในโลก โดยดัชนีทรุดตัวลงแรงถึง 55% ในปี 2551 และยังอ่อนตัวลงต่อเนื่อง อีก 1.4% ลากดัชนีวีเอ็น ลงมาที่ระดับ 414.10 จุด เมื่อวันศุกร์(30 พ.ค.) ซึ่งเปิดเทรดวันแรก หลังจากระงับซื้อขาย 3 วัน จากปัญหาระบบคอมพิวเตอร์ขัดข้อง
ระดับปิดตลาดดังกล่าว เป็นระดับต่ำสุด นับจากวันที่ 2 สิงหาคม 2549
การทรุดตัวต่อเนื่องของตลาดหุ้นฮานอย มีขึ้นหลังจากทางการฮานอย รายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค ในเดือนพฤษภาคม พุ่งทะยานขึ้น 25.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มากที่สุด นับจากปี 2535 และเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อที่เร็วที่สุด ในเอเชีย ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานสถิติกลาง พบว่า ราคาอาหารได้พุ่งขึ้นถึง 67.8%
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ธนาคารกลางเวียดนามได้ตัดสินใจ ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มาตรฐาน เป็น 12% จากระดับ 8.75% สถานการณ์ในเวียดนาม ส่งผลให้สถาบันการเงินอย่างน้อย 2 แห่ง ออกรายงานเตือน ได้แก่ มอร์แกน สแตนเลย์ และฟิทช์ เรตติ้ง
มอร์แกน สแตนเลย์ เตือนว่า เวียดนามกำลังมุ่งหน้าสู่วิกฤตค่าเงิน เพราะธนาคารกลางปล่อยให้ด่องแข็งค่ามากเกินไป ในขณะที่เงินเฟ้อพุ่งทะยาน และขาดดุลการค้าขยายตัวมากขึ้น ขณะที่ฟิทช์ ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินของเวียดนาม ซึ่งปัจจุบัน อยู่ที่ระดับ BB- จาก "คงที่" เป็น มี "แนวโน้มปรับลด" ในอนาคต
ตลาดหุ้นเวียดนาม กลายเป็นตลาดที่มีการเคลื่อนไหวแย่ที่สุด ในโลก โดยดัชนีทรุดตัวลงแรงถึง 55% ในปี 2551 และยังอ่อนตัวลงต่อเนื่อง อีก 1.4% ลากดัชนีวีเอ็น ลงมาที่ระดับ 414.10 จุด เมื่อวันศุกร์(30 พ.ค.) ซึ่งเปิดเทรดวันแรก หลังจากระงับซื้อขาย 3 วัน จากปัญหาระบบคอมพิวเตอร์ขัดข้อง
ระดับปิดตลาดดังกล่าว เป็นระดับต่ำสุด นับจากวันที่ 2 สิงหาคม 2549
การทรุดตัวต่อเนื่องของตลาดหุ้นฮานอย มีขึ้นหลังจากทางการฮานอย รายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค ในเดือนพฤษภาคม พุ่งทะยานขึ้น 25.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มากที่สุด นับจากปี 2535 และเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อที่เร็วที่สุด ในเอเชีย ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานสถิติกลาง พบว่า ราคาอาหารได้พุ่งขึ้นถึง 67.8%
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ธนาคารกลางเวียดนามได้ตัดสินใจ ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มาตรฐาน เป็น 12% จากระดับ 8.75% สถานการณ์ในเวียดนาม ส่งผลให้สถาบันการเงินอย่างน้อย 2 แห่ง ออกรายงานเตือน ได้แก่ มอร์แกน สแตนเลย์ และฟิทช์ เรตติ้ง
มอร์แกน สแตนเลย์ เตือนว่า เวียดนามกำลังมุ่งหน้าสู่วิกฤตค่าเงิน เพราะธนาคารกลางปล่อยให้ด่องแข็งค่ามากเกินไป ในขณะที่เงินเฟ้อพุ่งทะยาน และขาดดุลการค้าขยายตัวมากขึ้น ขณะที่ฟิทช์ ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินของเวียดนาม ซึ่งปัจจุบัน อยู่ที่ระดับ BB- จาก "คงที่" เป็น มี "แนวโน้มปรับลด" ในอนาคต
ความพยายามไม่มี ปัญญาไม่เกิด
- LOSO
- Verified User
- โพสต์: 2512
- ผู้ติดตาม: 0
เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!
โพสต์ที่ 10
โอกาสทองครั้งใหญ่ในการซื้อหุ้นกําลังจะเิกิดขึ้น(หรือเปล่า) ...............Jeng เขียน:เมื่อไร loso นำทีม นักลงทุนเมืองไทยไปกวาดซื้อหุ้นที่เวียตนามหละ
วาระกิจ เพื่อชาติ นะ
แบบที่เคยเกิดขึ้นกับไทยเมื่อ 10 ปีก่อน ..........
แต่เข้าใจว่าน่าจะดูให้นอนนิ่งๆ หายใจรวยรินก่อนนะครับ พี่เจ๋ง ..........
ความพยายามไม่มี ปัญญาไม่เกิด
-
- Verified User
- โพสต์: 775
- ผู้ติดตาม: 0
เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!
โพสต์ที่ 12
ผมว่า ที่ร่วงมาเป็นเพราะผลของวิกฤตซับไพร์ม
ตลาดหุ้นที่พึ่งเกิดใหม่ก่อนหน้านี้
เติบโตขึ้นมามาก มากจนเกินไปด้วยซ้ำ
แต่ที่เติบโต จะเกิดจากเงินของต่างชาติที่เข้าไปลงทุน
ซึ่งเค้าเรียกตัวเองว่า กองทุน แต่ผมอยากเรียกว่าพวกสร้างความวิบัติมากกว่า
กลุ่มพวกนี้จะเข้าไปปั่นราคาทุกอย่าง
ไม่เว้นแต่ราคาหุ้น commodities ต่างๆก็เข้าไปปั่น
อย่างตลาดหุ้นเกิดใหม่ เค้าก็จะใช้วิธีการโปรโมท โฆษณาต่างๆ
เพื่อสร้างภาพให้ดูว่าน่าสนใจ
เช่น ที่ทำกับจีน (ทั้งๆที่ ฟองสบู่ใกล้จะแตกเต็มทน)
สร้างความคาดหวังสารพัด เช่น
โอลิมปิก หรือศักยภาพและความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจอันล้นเหลือของจีน
(เอาจริงๆ ก็ไม่เถียงนะว่า จีนจะเติบโตได้อีกไกลมาก
แต่ช่วงก่อนหน้าที่จะลงหนักๆตลาดหุ้นของจีน
มันโตเกินพื้นฐานไปเยอะ)
ที่นี้กลับมามองบ้านเรา SET ตัวน้อยๆของเรา
ที่ผ่านมาเราได้แต่มองตาปริบๆ ที่ตลาดเพื่อนบ้านเราโตแล้วโตอีก
ในขณะที่บ้านเรามีข่าวร้ายเกี่ยวกับความตึงเครียดด้านการเมืองมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ผลทำให้ SET 1000 จุด เป็นได้แค่ฝันลมๆแล้งๆ
แต่สิ่งนี้ทำให้ตลาดบ้านเรามีแต่ของถูกเต็มไปหมด
เมื่อเทียบประเทศต่างๆทั่วโลก
ผมคิดว่า กองทุนต่างชาติก็มองตลาดบ้านเราตาเป็นมันเหมือนกัน
แต่ทำไงได้ปัญหาการเมืองที่ดูไม่ดี ขุนยังไงก็ขุนไม่ขึ้น
โดยส่วนตัวผมมองว่า ดีนะที่บ้านเรามีปัญหาการเมือง
เพราะผมมองว่าปัญหาการเมือง คือภูมิคุ้มกัน
ที่ทำให้กองทุนต่างชาติเข้ามาปั่นราคาตลาดหุ้นบ้านเราไม่ได้มากนัก
สังเกตุได้จากปัญหาซับไพร์มที่เกิดขึ้น
SET บ้านเราได้รับผลกระทบน้อยกว่าหลายประเทศที่เจอ
จึงต้องบอกว่า เรานะโชคดีในความโชคร้ายจริงๆ
แต่ตอนนี้ ผมมองว่า หลายๆประเทศหลังจากโดนวิกฤติซับไพร์มกันถ้วนหน้า
มันก็เหมือนการล้มกระดานแล้วกลับมาเล่นกันใหม่
ทำให้แต่ละประเทศมีจุดสตาร์ทที่ใกล้เคียงกัน
ผมเลยมองว่า ตลาดต่างประเทศ เช่น จีน เวียดนาม
มีความน่าสนใจมากกว่าเราในสายตาของกองทุนต่างชาติ
ด้วยเพราะปัจจัยเดิมๆของเราที่ยังไม่จบ และดูท่าจะยืดเยื้อไปอีกพอสมควร
ที่พูดไม่ใช่อะไร คือตอนนี้กำลังสนใจตลาดหุ้นของจีนอยู่
กำลังคิดจะเข้าไปลงทุนผ่านกองทุน Chia Equity ของ TMBAM
เลยอยากทราบความเห็นจากท่านอื่นๆว่า เห็นตรงกันอย่างผมหรือเปล่า
เพราะจีนก่อนหน้านี้เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ
จากความคาดหวังจากการเชิดหน้าชูตาในฐานะเจ้าภาพโอลิมปิก
กลับกลายเป็นดาบสองคมจากการประท้วงโด่งดังไปทั่วโลก
จากนั้นไม่นาน โดนเรื่องแผ่นดินไหวเข้าไปอีก
น่าสงสารจริงๆ
ตลาดหุ้นที่พึ่งเกิดใหม่ก่อนหน้านี้
เติบโตขึ้นมามาก มากจนเกินไปด้วยซ้ำ
แต่ที่เติบโต จะเกิดจากเงินของต่างชาติที่เข้าไปลงทุน
ซึ่งเค้าเรียกตัวเองว่า กองทุน แต่ผมอยากเรียกว่าพวกสร้างความวิบัติมากกว่า
กลุ่มพวกนี้จะเข้าไปปั่นราคาทุกอย่าง
ไม่เว้นแต่ราคาหุ้น commodities ต่างๆก็เข้าไปปั่น
อย่างตลาดหุ้นเกิดใหม่ เค้าก็จะใช้วิธีการโปรโมท โฆษณาต่างๆ
เพื่อสร้างภาพให้ดูว่าน่าสนใจ
เช่น ที่ทำกับจีน (ทั้งๆที่ ฟองสบู่ใกล้จะแตกเต็มทน)
สร้างความคาดหวังสารพัด เช่น
โอลิมปิก หรือศักยภาพและความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจอันล้นเหลือของจีน
(เอาจริงๆ ก็ไม่เถียงนะว่า จีนจะเติบโตได้อีกไกลมาก
แต่ช่วงก่อนหน้าที่จะลงหนักๆตลาดหุ้นของจีน
มันโตเกินพื้นฐานไปเยอะ)
ที่นี้กลับมามองบ้านเรา SET ตัวน้อยๆของเรา
ที่ผ่านมาเราได้แต่มองตาปริบๆ ที่ตลาดเพื่อนบ้านเราโตแล้วโตอีก
ในขณะที่บ้านเรามีข่าวร้ายเกี่ยวกับความตึงเครียดด้านการเมืองมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ผลทำให้ SET 1000 จุด เป็นได้แค่ฝันลมๆแล้งๆ
แต่สิ่งนี้ทำให้ตลาดบ้านเรามีแต่ของถูกเต็มไปหมด
เมื่อเทียบประเทศต่างๆทั่วโลก
ผมคิดว่า กองทุนต่างชาติก็มองตลาดบ้านเราตาเป็นมันเหมือนกัน
แต่ทำไงได้ปัญหาการเมืองที่ดูไม่ดี ขุนยังไงก็ขุนไม่ขึ้น
โดยส่วนตัวผมมองว่า ดีนะที่บ้านเรามีปัญหาการเมือง
เพราะผมมองว่าปัญหาการเมือง คือภูมิคุ้มกัน
ที่ทำให้กองทุนต่างชาติเข้ามาปั่นราคาตลาดหุ้นบ้านเราไม่ได้มากนัก
สังเกตุได้จากปัญหาซับไพร์มที่เกิดขึ้น
SET บ้านเราได้รับผลกระทบน้อยกว่าหลายประเทศที่เจอ
จึงต้องบอกว่า เรานะโชคดีในความโชคร้ายจริงๆ
แต่ตอนนี้ ผมมองว่า หลายๆประเทศหลังจากโดนวิกฤติซับไพร์มกันถ้วนหน้า
มันก็เหมือนการล้มกระดานแล้วกลับมาเล่นกันใหม่
ทำให้แต่ละประเทศมีจุดสตาร์ทที่ใกล้เคียงกัน
ผมเลยมองว่า ตลาดต่างประเทศ เช่น จีน เวียดนาม
มีความน่าสนใจมากกว่าเราในสายตาของกองทุนต่างชาติ
ด้วยเพราะปัจจัยเดิมๆของเราที่ยังไม่จบ และดูท่าจะยืดเยื้อไปอีกพอสมควร
ที่พูดไม่ใช่อะไร คือตอนนี้กำลังสนใจตลาดหุ้นของจีนอยู่
กำลังคิดจะเข้าไปลงทุนผ่านกองทุน Chia Equity ของ TMBAM
เลยอยากทราบความเห็นจากท่านอื่นๆว่า เห็นตรงกันอย่างผมหรือเปล่า
เพราะจีนก่อนหน้านี้เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ
จากความคาดหวังจากการเชิดหน้าชูตาในฐานะเจ้าภาพโอลิมปิก
กลับกลายเป็นดาบสองคมจากการประท้วงโด่งดังไปทั่วโลก
จากนั้นไม่นาน โดนเรื่องแผ่นดินไหวเข้าไปอีก
น่าสงสารจริงๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 1647
- ผู้ติดตาม: 0
เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!
โพสต์ที่ 13
ผมว่าอาจจะมีปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจนะครับ
เอามาจาก http://biz.thestar.com.my/news/story.as ... c=businessThe country was heading for a currency crisis because the bank had kept the dong too strong as inflation soared and the trade deficit widened, Morgan Stanley said in a May 28 report
. . .
-
- Verified User
- โพสต์: 193
- ผู้ติดตาม: 0
เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!
โพสต์ที่ 17
หุ้นเวียดนามหลุด400จุด 2เดือนร่วงอีก
โพสต์ทูเดย์ หุ้นเวียดนามร่วงฮวบ ต่ำกว่าระดับ 400 จุด ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์อาจร่วงลงถึงก้นเหวในอีก 2 เดือนข้างหน้า
บรรดานักค้าหุ้นในตลาด หลักทรัพย์โฮจิมินห์ ซิตี (เอชโอ เอสอี) กล่าวว่า ดัชนีวีเอ็นในตลาด หลักทรัพย์เอชโอเอสอี ร่วงลงไป 5.54 จุด มาอยู่ที่ 395.66 จุด ในช่วงการซื้อขายหลักทรัพย์ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.
เอเอฟพี รายงานด้วยว่า การร่วงลงของหุ้นเวียดนามครั้งนี้ ถือว่าเป็นการลดลงไปอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 400 จุด เป็นครั้งแรก เมื่อเทียบกับระดับสูงสุดของหุ้นในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ที่ 1,170 จุด
เฟียชรา แม็ก คานา กรรมการผู้จัดการบริษัท วินาซิเคียวริตี จอยท์สต๊อก คอมพานี และผู้เชี่ยวชาญด้านหลักทรัพย์ กล่าวว่า สถานการณ์ ในตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม มีความเป็นไปได้ที่อาจร่วงลงไปถึงขีดต่ำสุดในอีก 2 เดือนข้างหน้า
ขณะที่หุ้นอีกหลายล้านหุ้น ของบริษัทชั้นนำต่างๆ ในเวียดนามกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก เมื่อบรรดานักค้าหุ้นต่างเพิกเฉยที่จะเข้ามาช้อนซื้อหุ้น ท่ามกลางภาวะความผันผวนของตลาดหุ้นในเวลานี้
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์เวียดนามได้เกิดการเปลี่ยนแปลง และมีการลงทุนในตลาดมากขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2550 ที่ผ่านมา หลังจากที่รัฐบาลเวียดนามตัดสินใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) เมื่อเดือน ม.ค.ปีที่แล้ว จนได้รับการยกย่องให้เป็นเสมือนเสือตัวใหม่แห่งเอเชีย โดยมีค่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศขยายตัวขึ้นมาถึง 8.5%
อย่างไรก็ตาม จากสภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ที่ทำให้ดัชนีผู้บริโภคเพิ่มขึ้นไปถึง 25.2% เมื่อเดือน พ.ค. รัฐบาลเวียดนามได้คาดการณ์ว่าภาวะเงินเฟ้อในประเทศอาจเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 22%
โพสต์ทูเดย์ หุ้นเวียดนามร่วงฮวบ ต่ำกว่าระดับ 400 จุด ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์อาจร่วงลงถึงก้นเหวในอีก 2 เดือนข้างหน้า
บรรดานักค้าหุ้นในตลาด หลักทรัพย์โฮจิมินห์ ซิตี (เอชโอ เอสอี) กล่าวว่า ดัชนีวีเอ็นในตลาด หลักทรัพย์เอชโอเอสอี ร่วงลงไป 5.54 จุด มาอยู่ที่ 395.66 จุด ในช่วงการซื้อขายหลักทรัพย์ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.
เอเอฟพี รายงานด้วยว่า การร่วงลงของหุ้นเวียดนามครั้งนี้ ถือว่าเป็นการลดลงไปอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 400 จุด เป็นครั้งแรก เมื่อเทียบกับระดับสูงสุดของหุ้นในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ที่ 1,170 จุด
เฟียชรา แม็ก คานา กรรมการผู้จัดการบริษัท วินาซิเคียวริตี จอยท์สต๊อก คอมพานี และผู้เชี่ยวชาญด้านหลักทรัพย์ กล่าวว่า สถานการณ์ ในตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม มีความเป็นไปได้ที่อาจร่วงลงไปถึงขีดต่ำสุดในอีก 2 เดือนข้างหน้า
ขณะที่หุ้นอีกหลายล้านหุ้น ของบริษัทชั้นนำต่างๆ ในเวียดนามกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก เมื่อบรรดานักค้าหุ้นต่างเพิกเฉยที่จะเข้ามาช้อนซื้อหุ้น ท่ามกลางภาวะความผันผวนของตลาดหุ้นในเวลานี้
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์เวียดนามได้เกิดการเปลี่ยนแปลง และมีการลงทุนในตลาดมากขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2550 ที่ผ่านมา หลังจากที่รัฐบาลเวียดนามตัดสินใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) เมื่อเดือน ม.ค.ปีที่แล้ว จนได้รับการยกย่องให้เป็นเสมือนเสือตัวใหม่แห่งเอเชีย โดยมีค่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศขยายตัวขึ้นมาถึง 8.5%
อย่างไรก็ตาม จากสภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ที่ทำให้ดัชนีผู้บริโภคเพิ่มขึ้นไปถึง 25.2% เมื่อเดือน พ.ค. รัฐบาลเวียดนามได้คาดการณ์ว่าภาวะเงินเฟ้อในประเทศอาจเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 22%
-
- Verified User
- โพสต์: 898
- ผู้ติดตาม: 0
เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!
โพสต์ที่ 18
หนังม้วนเก่าฉายซ้ำหรือเปล่าครับ เหมือนเคยฉายเมื่อประมาณ12ปีก่อนSittipan.tvi เขียน:เสือตัวใหม่แห่งเอเชีย
bid please!!
-
- Verified User
- โพสต์: 1922
- ผู้ติดตาม: 0
เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!
โพสต์ที่ 19
มันoverheat อ่ะครับ ฟองสบู่เลยแตก
พี่ไทยยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ
วิ่งอยู่ 700-800 ไม่ overheat หรอกครับ
จะดิ่งลงมา 50% แบบเวียตนาม แทบเป็นไปไม่ได้เลย
ถึงเวลา overheat จริงๆ vi ก็คงเงินสดเต็มกระเป๋ากันไปแล้ว แฮะๆ :lol:
พี่ไทยยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ
วิ่งอยู่ 700-800 ไม่ overheat หรอกครับ
จะดิ่งลงมา 50% แบบเวียตนาม แทบเป็นไปไม่ได้เลย
ถึงเวลา overheat จริงๆ vi ก็คงเงินสดเต็มกระเป๋ากันไปแล้ว แฮะๆ :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 592
- ผู้ติดตาม: 0
เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!
โพสต์ที่ 20
รายชื่อbig cap 5 ตัวของ Vietnam และPE
Company Close PE %Weight market cap
Vietnam Dairy 0.1m 16.75 10.32
PVFCCo 38,000 5.60 8.50
Vinpearl Tour 0.11m - 6.60
Saigon ThuongTin 22,900 6.04 6.00
Pha Lai Thermal 27,700 10.75 5.32
ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นโอกาสของ VI เวียดนามหรือเปล่า
Company Close PE %Weight market cap
Vietnam Dairy 0.1m 16.75 10.32
PVFCCo 38,000 5.60 8.50
Vinpearl Tour 0.11m - 6.60
Saigon ThuongTin 22,900 6.04 6.00
Pha Lai Thermal 27,700 10.75 5.32
ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นโอกาสของ VI เวียดนามหรือเปล่า
-
- Verified User
- โพสต์: 592
- ผู้ติดตาม: 0
เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!
โพสต์ที่ 21
รายชื่อbig cap 5 ตัวของ Vietnam และPE
Company Close PE %Weight market cap
Vietnam Dairy 0.1m 16.75 10.32
PVFCCo 38,000 5.60 8.50
Vinpearl Tour 0.11m - 6.60
Saigon ThuongTin 22,900 6.04 6.00
Pha Lai Thermal 27,700 10.75 5.32
ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นโอกาสของ VI เวียดนามหรือเปล่า
Company Close PE %Weight market cap
Vietnam Dairy 0.1m 16.75 10.32
PVFCCo 38,000 5.60 8.50
Vinpearl Tour 0.11m - 6.60
Saigon ThuongTin 22,900 6.04 6.00
Pha Lai Thermal 27,700 10.75 5.32
ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นโอกาสของ VI เวียดนามหรือเปล่า
-
- Verified User
- โพสต์: 535
- ผู้ติดตาม: 1
เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!
โพสต์ที่ 22
หุ้นวินาศเวียดนามลดเงินเดือน-ปลดพนักงาน
ผู้จัดการรายวัน -- ดัชนีหุ้นเวียดนาม (VN-Index) ตลาดหลักทรัพย์นครโฮจิมินห์ตกลงอีก 1.41% เมื่อตลาดปิดการซื้อขายวันพฤหัสบดี (5 มิ.ย.) หลังจากดัชนีหลุ่นวูบลงปิดต่ำกว่า 400 จุด เป็นครั้งแรกเมื่อวันพุธ ซึ่งเท่ากับว่าในเวลา 14 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีได้ตกลงเกือบ 2 ใน 3
ดัชนีหุ้นที่ตกลงติดต่อกันมานานข้ามเดือน ได้บีบบังคับให้บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ หาทางลดค่าใช้จ่ายลง หลายแห่งเลือกวิธีการให้พนักงานออก หรือไม่ก็ลดเงินเดือนทำให้พนักงานต้องลาออกไปโดยปริยาย
ดัชนีหุ้นเวียดนามเคยทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงถึง 1,170 จุด ในเดือน มี.ค.2550
ตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค.เป็นต้นมา VN-Index ปิดต่ำลงทุกวันไม่เคยหยุด และหล่นลงเหลือ 390.08 จุด เมื่อวันพฤหัสบดีนี้ลดลง -5.58 จุด จากวันพุธ ซึ่งการซื้อขายปิดลงที่ 395.66 ปิดต่ำลง 5.54 จุด และเป็นครั้งแรกที่ดัชนีหุ้นเวียดนามปิดต่ำกว่า 400 จุด ในรอบ 2 ปี
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทจดทะเบียนระดับแนวหน้าได้เสนอขายหุ้นเป็นหลัก แต่ก็มีนักลงทุนสนใจน้อยมาก
ปัญหาเงินเฟ้อเป็นตัวการสำคัญที่สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ทุกฝ่าย ขณะที่บริษัทเรตติ้งมูดีส์อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (Moody's Invester Services) ได้ลดความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจเวียดนามจากแดนบวก ไปอยู่ในแดนลบเป็นครั้งแรก ด้วยเหตุผล ขาดมาตรการในการจัดการกับเงินเฟ้อและแรงกดดันจากการขาดดุลการค้า
เมื่อวันจันทร์ (2 มิ.ย.) นักลงทุนและตัวแทนกลุ่มประเทศผู้บริจาคที่เข้าร่วมการประชุมสัมมนา Vietnam Business Forum 2008 ซึ่งจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง ได้แสดงความวิตกกังวลต่อสถานการณ์เงินเฟ้อในเวียดนาม ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนของประเทศ
ในยุคที่ตลาดหุ้นเวียดนามเฟื่องฟูนั้น บรรดานายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์รายเล็กสามารถทำรายได้เฉลี่ยได้วันละไม่น้อยกว่า 400 ล้านด่ง (อัตราแลกเปลี่ยน 16,060 ด่งต่อดอลลาร์) ตกมาปีนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปตลาดเข้าสู่ขาลงและไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอีกต่อไป
ตามรายงานของสำนักข่าวเวียดนามเน็ต บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ไม่สามารถพึ่งพารายได้นี้อีกต่อไป
ประมาณกันว่า บริษัทนายหน้าแห่งต่างๆ ในนครโฮจิมินห์และกรุงฮานอย มีรายจ่ายเป็นค่าจ้างพนักงานกับค่าเช่าสำนักงานเดือนละ 500-700 ล้านด่ง เพื่อให้คุ้มกับรายจ่ายโบรกเกอร์เหล่านี้จะต้องทำรายได้จากบริการซื้อขายถ่ายโอนหุ้นวันละ 100,000 ล้านด่ง เนื่องจากค่าธรรมเนียมที่ได้จากลูกค้านั้นเฉลี่ยเพียง 0.2%
ภาพถ่ายวันที่ 2 มิ.ย.2551 มีนักลงทุนเพียงไม่กี่คนที่ยังคงสนใจหุ้นของศูนย์ซื้อขายกรุงฮานอย ที่ตลาดหลักทรัพย์ใหญ่ของประเทศในนครโฮจิมินห์ไม่ต่างกัน ดัชนี VN-Index วูบลงต่ำกว่า 400 จุดในสัปดาห์นี้ ต่ำที่สุดในรอบ 2 ปี (ภาพ: AFP)
ขณะเดียวกัน ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์กับศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ฮานอย บ่งชี้ว่าในช่วงหลายวันมานี้ มูลค่าการซื้อขายหุ้นรวมกันวันละไม่กี่หมื่นล้านด่ง ส่งผลให้โบรกเกอร์รายต่างๆ ต้องลำบากลงไปอีก
นักวิเคราะห์ของบริษัทร่วมทุนวินาซีเคียวริตีส์ (VinaSecurities) กล่าวว่า ดัชนีเวียดนามน่าจะตกลงถึงจุดต่ำสุดในอีก 2 เดือนข้างหน้า
ตลาดหุ้นเวียดนามเจอมรสุมใหญ่จริงๆ มาตั้งแต่เดือน ต.ค.2550 แม้ว่ารัฐบาลคอมมิวนิสต์จะพยายามอย่างสุดความสามารถรักษาระดับเอาไว้ แต่เป็นช่วงเดือนที่อัตราเงินเฟ้อเริ่มทวีความรุนแรง
หลังจากเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกในเดือน ม.ค.ปี่ที่แล้ว เวียดนามได้รับการกล่าวขานว่าเป็น เสือเศรษฐกิจตัวใหม่ ปีที่แล้วผลผลิตมวลรวมภายในประเทศขยายตัว 8.5% แต่อัตราเฟ้อของเงินก็ขยายตัวคู่ขนานกันไปด้วย
ปีนี้เศรษฐกิจเวียดนามเริ่มลำบากหนัก รัฐบาลไม่สามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ ในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาอัตราเฟ้อพุ่งขึ้นเป็น 25.3% เทียบกับเดือนเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว และ รัฐบาลคาดว่าเงินเฟ้อจะลดลงอยู่ในระดับ 22% ตอนสิ้นปี 2551
รัฐบาลโดยธนาคารแห่งรัฐเวียดนาม (State Bank of Vietnam) ได้ออกหลายมาตรการ เพื่อหาทางลดดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index) ซึ่งใช้วัดอัตราเงินเฟ้อลงให้ได้ รวมทั้งใช้มาตราขึ้นดอกเบี้ยสกัดการปล่อยกู้ และออกพันธบัตรรัฐบาลดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินออกจากตลาด
มาตรการของแบงก์ชาติส่งผลกระทบรุนแรงต่อตลาดหลักทรัพย์ ทำให้นักลงทุนขาดเงินลงทุนซึ่งจะต้องเงินสกุลท้องถิ่นคือเงินด่งเท่านั้น ผลสะเทือนระลอกต่อไปก็คือ นักลงทุนเริ่มเทขายหุ้นที่มองไม่เห็นอนาคตเพื่อเก็บเงินสดเอาไว้ในมือแทน
ถึงกระนั้นนายหวูวันนิงห์ (Vu Van Ninh) รัฐมนตรีคลังเวียดนามก็ยังให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลจะไม่ยอมเสียตลาดหุ้น เพื่อแลกกับการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ
โบรกเกอร์ที่บริษัท จี.ซีเคียวริตีส์ (G Securities) กล่าวว่า บริษัทมีลูกค้าอยู่เพียง 30 รายเท่านั้น พนักงานทุกคนได้รับสั่งให้หาลูกค้าเพิ่ม หากไม่สามารถทำได้ก็จะต้องถูกให้ออก
**เตรียมรับความเลวร้ายยิ่งกว่า**
นายลือว์เตืองแบ๊ก (Luu Tuong Bach) ผู้อำนวยการใหญ่บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งกล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ตัวเขาเองได้หันหลังให้กับธุรกิจบริการค้าหลักทรัพย์แล้ว และมุ่งให้บริการปรึกษาการควบรวมกิจการและการซื้อกิจการแทน
นายแบ๊คกล่าวว่า สถานการณ์ตลาดปัจจุบันบีบบังคับให้บริษัทหลักทรัพย์รายเล็กจะต้องขายกิจการ หรือเข้าควบรวมกิจการกับรายใหญ่ในเดือนข้างหน้า
ผู้บริหารของบริษัทโบรกเกอร์อีกรายหนึ่งกล่าวว่า พนักงานจำนวนมากกำลังมุ่งหน้าหางานใหม่หลังจากถูกลดเงินเดือนลง 1 ใน 3 เนื่องจากบริษัทต้องลดรายจ่ายเพื่อให้อยู่รอด
ในปี 2550 บริษัทหลักทรัพย์แห่งต่างๆ ให้เงินเดือนพนักงานที่เพิ่งเรียนสำเร็จใหม่ๆ 4-5 ล้านด่งต่อเดือน ซึ่งนับว่าเป็นเงินเดือนที่สูงมากสำหรับบัณฑิตใหม่ในเวียดนาม แต่ปัจจุบันลดลงเหลือ 2-2.5 ล้านด่ง
แมลงเม่าเหล่านี้หงอยเหงาและสิ้นหวังจำนวนมากหมดเนื้อหมดตัว เพราะหมดยุคของกระทิงเปลี่ยว พนักงานบริษัทโบรกเกอร์ต่างๆ ระทมหนักไม่แพ้กัน (ภาพ: AFP)
กว่าง (Quang) ผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานกับบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งและทำงานกับกองทุนอีก 3 แห่งในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา เขียนบรรยายความทุกข์โศกลงในบล็อก (Web Log) ส่วนตัวว่า เขาเองได้หันหลังให้กับอาชีพนักวิเคราะห์หุ้นแล้ว หันกลับไปเป็นไกด์ทัวร์ งานแรกที่ทำเมื่อเรียนจบใหม่ๆ
เมื่อปีสองปีก่อนหน้านี้หนุ่มสาวชาวเวียดนามจำนวนนับพันๆ ได้หันหลังให้อาชีพที่ทำอยู่ ไปแสวงหางานในภาคหลักทรัพย์ซึ่งตลาดหุ้นเติบโตรวดเร็วมาก ปัจจุบันคนเหล่านั้นกำลังอยู่ในสภาพเช่นเดียวกันกับ กว่าง คือ กลับไปตั้งต้นใหม่
พนักงานบริษัทหลักทรัพย์จำนวนมากเริ่มมองหางานใหม่และเริ่มทยอยจากบริษัทโบกเกอร์ต่างๆ ตั้งแต่ดัชนีหุ้นลดลงเหลือเพียง 420 จุด นั่นคือเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา หลายคนในนั้นเคยมีรายได้เดือนละ 1,000 ดอลลาร์ แต่การจะหางานที่ได้รับค่าจ้างเท่าเดิมเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว
ครั้งหนึ่งบริษัทโบรกเกอร์หลายแห่งในเวียดนามเคยทำข้อตกลงกันที่จะไม่ ซื้อตัว พนักงานจากบริษัทอื่น ตอนนี้ทั้งหมดได้หันไปจับมือกันอีกครั้งเพื่อหางานให้พนักงานทำต่อไป
นายหวิ่งหง็อกแอง (Huynh Ngoc Anh) ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์บริษัทหลักทรัพย์ยาเกวี๋ยน (Gia Quyen) กล่าวว่าก่อนหน้านี้บริษัทต่างๆ เคยงอนง้อพนักงานทุกวิถีทางเพื่อให้ทุกคนไม่เปลี่ยนที่ทำงานใหม่ เมื่อเข้าสู่ยุคที่ทุกคนกำลังลำบากบริษัทต่างๆ ก็ควรจะรับผิดชอบต่อพนักงานเหล่านั้น
โบกเกอร์รายต่างๆ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ต่างกำลังจัดองค์กรกันใหม่ พนักงานในส่วนบริการซื้อขายหรือให้คำปรึกษา ถูกย้ายไปทำงานเซลออกหาลูกค้า หลายบริษัทมองอย่างแง่ดีว่านี่คือโอกาสเหมาะที่สุดที่จะรักษาพนักงานระดับคุณภาพเอาไว้
พนักงานบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งยังคงต่อสู้ต่อไป แม้ว่าในวันนี้จะต้องทำงานเป็นกะ มีงานทำน้อยลง มีเวลาหยุดพักมากขึ้น เพื่อให้สามารถผ่านพ้นยุคตกต่ำของตลาดหุ้นไปให้ได้
ผู้จัดการรายวัน -- ดัชนีหุ้นเวียดนาม (VN-Index) ตลาดหลักทรัพย์นครโฮจิมินห์ตกลงอีก 1.41% เมื่อตลาดปิดการซื้อขายวันพฤหัสบดี (5 มิ.ย.) หลังจากดัชนีหลุ่นวูบลงปิดต่ำกว่า 400 จุด เป็นครั้งแรกเมื่อวันพุธ ซึ่งเท่ากับว่าในเวลา 14 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีได้ตกลงเกือบ 2 ใน 3
ดัชนีหุ้นที่ตกลงติดต่อกันมานานข้ามเดือน ได้บีบบังคับให้บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ หาทางลดค่าใช้จ่ายลง หลายแห่งเลือกวิธีการให้พนักงานออก หรือไม่ก็ลดเงินเดือนทำให้พนักงานต้องลาออกไปโดยปริยาย
ดัชนีหุ้นเวียดนามเคยทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงถึง 1,170 จุด ในเดือน มี.ค.2550
ตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค.เป็นต้นมา VN-Index ปิดต่ำลงทุกวันไม่เคยหยุด และหล่นลงเหลือ 390.08 จุด เมื่อวันพฤหัสบดีนี้ลดลง -5.58 จุด จากวันพุธ ซึ่งการซื้อขายปิดลงที่ 395.66 ปิดต่ำลง 5.54 จุด และเป็นครั้งแรกที่ดัชนีหุ้นเวียดนามปิดต่ำกว่า 400 จุด ในรอบ 2 ปี
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทจดทะเบียนระดับแนวหน้าได้เสนอขายหุ้นเป็นหลัก แต่ก็มีนักลงทุนสนใจน้อยมาก
ปัญหาเงินเฟ้อเป็นตัวการสำคัญที่สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ทุกฝ่าย ขณะที่บริษัทเรตติ้งมูดีส์อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (Moody's Invester Services) ได้ลดความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจเวียดนามจากแดนบวก ไปอยู่ในแดนลบเป็นครั้งแรก ด้วยเหตุผล ขาดมาตรการในการจัดการกับเงินเฟ้อและแรงกดดันจากการขาดดุลการค้า
เมื่อวันจันทร์ (2 มิ.ย.) นักลงทุนและตัวแทนกลุ่มประเทศผู้บริจาคที่เข้าร่วมการประชุมสัมมนา Vietnam Business Forum 2008 ซึ่งจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง ได้แสดงความวิตกกังวลต่อสถานการณ์เงินเฟ้อในเวียดนาม ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนของประเทศ
ในยุคที่ตลาดหุ้นเวียดนามเฟื่องฟูนั้น บรรดานายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์รายเล็กสามารถทำรายได้เฉลี่ยได้วันละไม่น้อยกว่า 400 ล้านด่ง (อัตราแลกเปลี่ยน 16,060 ด่งต่อดอลลาร์) ตกมาปีนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปตลาดเข้าสู่ขาลงและไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอีกต่อไป
ตามรายงานของสำนักข่าวเวียดนามเน็ต บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ไม่สามารถพึ่งพารายได้นี้อีกต่อไป
ประมาณกันว่า บริษัทนายหน้าแห่งต่างๆ ในนครโฮจิมินห์และกรุงฮานอย มีรายจ่ายเป็นค่าจ้างพนักงานกับค่าเช่าสำนักงานเดือนละ 500-700 ล้านด่ง เพื่อให้คุ้มกับรายจ่ายโบรกเกอร์เหล่านี้จะต้องทำรายได้จากบริการซื้อขายถ่ายโอนหุ้นวันละ 100,000 ล้านด่ง เนื่องจากค่าธรรมเนียมที่ได้จากลูกค้านั้นเฉลี่ยเพียง 0.2%
ภาพถ่ายวันที่ 2 มิ.ย.2551 มีนักลงทุนเพียงไม่กี่คนที่ยังคงสนใจหุ้นของศูนย์ซื้อขายกรุงฮานอย ที่ตลาดหลักทรัพย์ใหญ่ของประเทศในนครโฮจิมินห์ไม่ต่างกัน ดัชนี VN-Index วูบลงต่ำกว่า 400 จุดในสัปดาห์นี้ ต่ำที่สุดในรอบ 2 ปี (ภาพ: AFP)
ขณะเดียวกัน ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์กับศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ฮานอย บ่งชี้ว่าในช่วงหลายวันมานี้ มูลค่าการซื้อขายหุ้นรวมกันวันละไม่กี่หมื่นล้านด่ง ส่งผลให้โบรกเกอร์รายต่างๆ ต้องลำบากลงไปอีก
นักวิเคราะห์ของบริษัทร่วมทุนวินาซีเคียวริตีส์ (VinaSecurities) กล่าวว่า ดัชนีเวียดนามน่าจะตกลงถึงจุดต่ำสุดในอีก 2 เดือนข้างหน้า
ตลาดหุ้นเวียดนามเจอมรสุมใหญ่จริงๆ มาตั้งแต่เดือน ต.ค.2550 แม้ว่ารัฐบาลคอมมิวนิสต์จะพยายามอย่างสุดความสามารถรักษาระดับเอาไว้ แต่เป็นช่วงเดือนที่อัตราเงินเฟ้อเริ่มทวีความรุนแรง
หลังจากเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกในเดือน ม.ค.ปี่ที่แล้ว เวียดนามได้รับการกล่าวขานว่าเป็น เสือเศรษฐกิจตัวใหม่ ปีที่แล้วผลผลิตมวลรวมภายในประเทศขยายตัว 8.5% แต่อัตราเฟ้อของเงินก็ขยายตัวคู่ขนานกันไปด้วย
ปีนี้เศรษฐกิจเวียดนามเริ่มลำบากหนัก รัฐบาลไม่สามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ ในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาอัตราเฟ้อพุ่งขึ้นเป็น 25.3% เทียบกับเดือนเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว และ รัฐบาลคาดว่าเงินเฟ้อจะลดลงอยู่ในระดับ 22% ตอนสิ้นปี 2551
รัฐบาลโดยธนาคารแห่งรัฐเวียดนาม (State Bank of Vietnam) ได้ออกหลายมาตรการ เพื่อหาทางลดดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index) ซึ่งใช้วัดอัตราเงินเฟ้อลงให้ได้ รวมทั้งใช้มาตราขึ้นดอกเบี้ยสกัดการปล่อยกู้ และออกพันธบัตรรัฐบาลดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินออกจากตลาด
มาตรการของแบงก์ชาติส่งผลกระทบรุนแรงต่อตลาดหลักทรัพย์ ทำให้นักลงทุนขาดเงินลงทุนซึ่งจะต้องเงินสกุลท้องถิ่นคือเงินด่งเท่านั้น ผลสะเทือนระลอกต่อไปก็คือ นักลงทุนเริ่มเทขายหุ้นที่มองไม่เห็นอนาคตเพื่อเก็บเงินสดเอาไว้ในมือแทน
ถึงกระนั้นนายหวูวันนิงห์ (Vu Van Ninh) รัฐมนตรีคลังเวียดนามก็ยังให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลจะไม่ยอมเสียตลาดหุ้น เพื่อแลกกับการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ
โบรกเกอร์ที่บริษัท จี.ซีเคียวริตีส์ (G Securities) กล่าวว่า บริษัทมีลูกค้าอยู่เพียง 30 รายเท่านั้น พนักงานทุกคนได้รับสั่งให้หาลูกค้าเพิ่ม หากไม่สามารถทำได้ก็จะต้องถูกให้ออก
**เตรียมรับความเลวร้ายยิ่งกว่า**
นายลือว์เตืองแบ๊ก (Luu Tuong Bach) ผู้อำนวยการใหญ่บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งกล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ตัวเขาเองได้หันหลังให้กับธุรกิจบริการค้าหลักทรัพย์แล้ว และมุ่งให้บริการปรึกษาการควบรวมกิจการและการซื้อกิจการแทน
นายแบ๊คกล่าวว่า สถานการณ์ตลาดปัจจุบันบีบบังคับให้บริษัทหลักทรัพย์รายเล็กจะต้องขายกิจการ หรือเข้าควบรวมกิจการกับรายใหญ่ในเดือนข้างหน้า
ผู้บริหารของบริษัทโบรกเกอร์อีกรายหนึ่งกล่าวว่า พนักงานจำนวนมากกำลังมุ่งหน้าหางานใหม่หลังจากถูกลดเงินเดือนลง 1 ใน 3 เนื่องจากบริษัทต้องลดรายจ่ายเพื่อให้อยู่รอด
ในปี 2550 บริษัทหลักทรัพย์แห่งต่างๆ ให้เงินเดือนพนักงานที่เพิ่งเรียนสำเร็จใหม่ๆ 4-5 ล้านด่งต่อเดือน ซึ่งนับว่าเป็นเงินเดือนที่สูงมากสำหรับบัณฑิตใหม่ในเวียดนาม แต่ปัจจุบันลดลงเหลือ 2-2.5 ล้านด่ง
แมลงเม่าเหล่านี้หงอยเหงาและสิ้นหวังจำนวนมากหมดเนื้อหมดตัว เพราะหมดยุคของกระทิงเปลี่ยว พนักงานบริษัทโบรกเกอร์ต่างๆ ระทมหนักไม่แพ้กัน (ภาพ: AFP)
กว่าง (Quang) ผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานกับบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งและทำงานกับกองทุนอีก 3 แห่งในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา เขียนบรรยายความทุกข์โศกลงในบล็อก (Web Log) ส่วนตัวว่า เขาเองได้หันหลังให้กับอาชีพนักวิเคราะห์หุ้นแล้ว หันกลับไปเป็นไกด์ทัวร์ งานแรกที่ทำเมื่อเรียนจบใหม่ๆ
เมื่อปีสองปีก่อนหน้านี้หนุ่มสาวชาวเวียดนามจำนวนนับพันๆ ได้หันหลังให้อาชีพที่ทำอยู่ ไปแสวงหางานในภาคหลักทรัพย์ซึ่งตลาดหุ้นเติบโตรวดเร็วมาก ปัจจุบันคนเหล่านั้นกำลังอยู่ในสภาพเช่นเดียวกันกับ กว่าง คือ กลับไปตั้งต้นใหม่
พนักงานบริษัทหลักทรัพย์จำนวนมากเริ่มมองหางานใหม่และเริ่มทยอยจากบริษัทโบกเกอร์ต่างๆ ตั้งแต่ดัชนีหุ้นลดลงเหลือเพียง 420 จุด นั่นคือเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา หลายคนในนั้นเคยมีรายได้เดือนละ 1,000 ดอลลาร์ แต่การจะหางานที่ได้รับค่าจ้างเท่าเดิมเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว
ครั้งหนึ่งบริษัทโบรกเกอร์หลายแห่งในเวียดนามเคยทำข้อตกลงกันที่จะไม่ ซื้อตัว พนักงานจากบริษัทอื่น ตอนนี้ทั้งหมดได้หันไปจับมือกันอีกครั้งเพื่อหางานให้พนักงานทำต่อไป
นายหวิ่งหง็อกแอง (Huynh Ngoc Anh) ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์บริษัทหลักทรัพย์ยาเกวี๋ยน (Gia Quyen) กล่าวว่าก่อนหน้านี้บริษัทต่างๆ เคยงอนง้อพนักงานทุกวิถีทางเพื่อให้ทุกคนไม่เปลี่ยนที่ทำงานใหม่ เมื่อเข้าสู่ยุคที่ทุกคนกำลังลำบากบริษัทต่างๆ ก็ควรจะรับผิดชอบต่อพนักงานเหล่านั้น
โบกเกอร์รายต่างๆ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ต่างกำลังจัดองค์กรกันใหม่ พนักงานในส่วนบริการซื้อขายหรือให้คำปรึกษา ถูกย้ายไปทำงานเซลออกหาลูกค้า หลายบริษัทมองอย่างแง่ดีว่านี่คือโอกาสเหมาะที่สุดที่จะรักษาพนักงานระดับคุณภาพเอาไว้
พนักงานบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งยังคงต่อสู้ต่อไป แม้ว่าในวันนี้จะต้องทำงานเป็นกะ มีงานทำน้อยลง มีเวลาหยุดพักมากขึ้น เพื่อให้สามารถผ่านพ้นยุคตกต่ำของตลาดหุ้นไปให้ได้
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1284
- ผู้ติดตาม: 1
เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!
โพสต์ที่ 23
ข้อมูลงบการเงินบริษัทในตลาดหุ้นเวียดนามหาดูได้ที่ไหนบ้างครับ
In search of super stocks
-
- Verified User
- โพสต์: 592
- ผู้ติดตาม: 0
เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!
โพสต์ที่ 24
ผมหาได้จาก reuterของบริษัทครับ
อันนี้มีแต่ข้อมูลราคาครับ
http://www.vietstock.com.vn/tianyonen/Index.aspx
อันนี้มีแต่ข้อมูลราคาครับ
http://www.vietstock.com.vn/tianyonen/Index.aspx
- yuki
- Verified User
- โพสต์: 45
- ผู้ติดตาม: 0
เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!
โพสต์ที่ 25
ไม่ทราบว่า แบงก์ชาติ ของเวียตนาม เนี่ย มีไหมครับ
ในหลายๆ ครั้ง ความรุนแรงของปัญหาเศรษฐกิจลดลงได้
ด้วยมาตรการของแบงก์ชาติ
แต่ ในหลายๆครั้งเช่นกันที่แบงค์ชาติ(ของบางประเทศ)
ก็เป็นตัวทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา
ในหลายๆ ครั้ง ความรุนแรงของปัญหาเศรษฐกิจลดลงได้
ด้วยมาตรการของแบงก์ชาติ
แต่ ในหลายๆครั้งเช่นกันที่แบงค์ชาติ(ของบางประเทศ)
ก็เป็นตัวทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา
-
- Verified User
- โพสต์: 535
- ผู้ติดตาม: 1
เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!
โพสต์ที่ 26
มาแล้ว คุณพ่อ IMF ชงยาขมรอเวียดนาม!
กรุงเทพฯ -- เศรษฐกิจเวียดนามกำลังผันแปรอย่างรวดเร็วมาก จากเพียงไม่กี่เดือนก่อนหน้าที่ยังเป็น สุดยอด ในสายตานักลงทุนต่างชาติ ได้กลายมาเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายเริ่มกังขา และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF (International Monetary Fund) ได้ยื่นมือเสนอวิธีการแก้ไข
การเข้าไปยุ่งเกี่ยวของไอเอ็มเอฟได้นำความหลังเก่าๆ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว กลับมาหลอกหลอนหลายประเทศในเอเชียอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ที่ทนกล้ำกลืนยาขมของไอเอ็มเอฟนานหลายปี ต้องปิดธนาคาร และสถาบันการเงินหลายสิบแห่ง หนี้เสียในระบบคั่งค้างมาจนทุกวันนี้
การเข้าควบคุมเศรษฐกิจไทยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ทำให้สถาบันแห่งนี้เคยได้รับการขนานนามจากนักการเมืองของไทยว่า คุณพ่อไอเอ็มเอฟ
นายเบเนดิค บิงแฮม (Benedic Bingham) ผู้แทนไอเอ็มเอฟประจำเวียดนาม กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า เวียดนามควรจะใช้นโยบายการเงินการคลังที่เคร่งครัดรัดกุม เพื่อแก้ไขปัญหา เศรษฐกิจโอเวอร์ฮีต รัฐบาลควรขึ้นอัตราดอกเบี้ย ปรับปรุงภาคการธนาคารและผลักดันการปฏิรูปตลาด
เจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟ ได้เสนอดังกล่าวในการประชุมระหว่างรัฐบาล กับกลุ่มประเทศผู้บริจาคและนักลงทุน หลังจากสำนักจัดความน่าเชื่อถือหลายแห่งได้ปรับเศรษฐกิจเวียดนามเข้าสู่แดนลบ
"เงื่อนไขต่างๆ ทางเศรษฐกิจ ได้เข้าสู่ความยุ่งยากอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นในปีที่ผ่านมา ด้วยเศรษฐกิจที่ร้อนแรงภายใต้สภาพแวดล้อมด้านการเงินระดับโลกที่อ่อนตัวลง นายบิงแฮมกล่าวที่เมืองซาปา (Sapa) ทางตอนเหนือเวียดนาม
เงินเฟ้อทะยานขึ้นถึง 25% ในเดือน พ.ค.เทียบกับเดือนเดียวกันเมื่อปี 2550 โดยมีราคาน้ำมันกับราคาอาหารเป็นตัวฉุด การขาดดุลพุ่งขึ้นถึง 14,400 ล้านดอลลาร์ ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้
นายบิงแฮม บอกว่า เงินเฟ้อ เงินทุนที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว การใช้จ่ายด้านการคลัง รวมทั้งการลงทุนของภาครัฐที่ขยายตัวอย่างสูง ล้วนเป็นปัจจัยทำให้เกิดปัญหาดุลชำระเงินในปัจจุบัน
นอกจากนั้น ยังมีข้อบ่งชี้ทางเศรษฐกิจหลายประการ ว่า นักลงทุนเริ่มมีความกังวล โดยชี้ไปยังตลาดหุ้นของประเทศ ที่นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น
เจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟ กล่าวอีกว่า ปัญหาตลาดหุ้นกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ทรุดตัวอย่างรุนแรงนี้ยังทำให้เกิดแรงกดดันต่อค่าเงินด่งด้วย
นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งยังไม่เห็นด้วยกับไอเอ็มเอฟทั้งหมด แต่ก็เห็นพ้องกันว่า สถานการณ์ในปัจจุบันอาจจะทำให้เศรษฐกิจของคอมมิวนิสต์เวียดนามหันเหไปทางใดก็ได้ หากไม่มีการจัดการกับปัญหาต่างๆ อย่างระมัดระวัง
ปีที่แล้วทุกสารทิศเยินยอเวียดนามกำลังจะเป็น เสือ ตัวใหม่เนื่องจากเศรษฐกิจโตเร็วขยายตัวถึง 8% เป็นอันดับ 2 ในเอเชียรองจากจีนเท่านั้น
แต่เวลาเพียงข้ามปีเวียดนามต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเงินเฟ้ออย่างรุนแรงจากหลักเดียวเพิ่มขึ้นเป็นสอง ขาดดุลการค้าเพิ่มทวี ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกลงเกือบ 2 ใน 3 ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับค่าเงินด่ง (Dong) และชะตากรรมของระบบธนาคาร
สำนักจัดความน่าเชื่อถือสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส (Standard & Poor's) รวมทั้งธนาคารเพื่อการลงทุนอีกหลายแห่ง ต่างทบทวนฐานะเศรษฐกิจของเวียดนามไปในแดนลบ
ภาพรวมทั้งหมดนี้ยิ่งเลวร้ายหนักขึ้นไปอีก เมื่อเกิดขึ้นในยุคที่กำลังวิตกกันไปทั่วว่า เศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ อาจจะทำให้การค้าของทั้งโลกปั่นป่วนและจะทำให้เกิดปัญหาไปทั่ว
สถานบันวิจัย Aseambanker Research บอกว่า ภาพที่เลวร้ายที่สุดอาจจะเป็นว่าเวียดนามจะเผชิญปัญหาเงินทุนไหลออก ทำให้เกิดปัญหาขาดดุลชำระเงินฉับพลัน ซึ่งจะผลักไสให้เวียดนามเข้าสู่อ้อมอกของไอเอ็มเอฟ
นายอดัม เลอ เมซูริเอร์ (Adam Le Mesurier) ได้เขียนบทวิเคราะห์ให้แก่บริษัทที่ปรึกษา DSG Asia ระบุว่า เวียดนามอาจจะต้องเตรียมใช้นโยบายเพื่อขานรับวิธีการแบบไอเอ็มเอฟภายใน 6 เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งรวมทั้งการจัดการกับการเงินการคลังอย่างรัดกุมและลดค่าเงินด่ง
แต่บรรดาตัวแทนประเทศผู้บริจาคกับนักลงทุนจากสารทิศ ซึ่งประชุมกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วยังคงเชื่อมั่น และมองเศรษฐกิจเวียดนามในแง่บวก โดยชี้ไปที่ภาคส่งออกที่ยังเข้มแข็งทั้งอาหารและน้ำมันดิบ การลงทุนจากต่างประเทศยังไหลเข้าไม่หยุดยั้ง การท่องเที่ยวขยายตัวต่อเนื่อง
ต่างชาติยังคงมองตลาดใหญ่ประชากร 85-86 ล้านคนอย่างเป็นบวก รวมทั้งมองเห็นพลังคนวัยแรงงานหนุ่มสาวซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
มันเป็นเรื่องง่ายที่จะกล่าวอ้างว่า เวียดนามได้เปลี่ยนจาก 'เด็กโปสเตอร์' เป็น 'เด็กมีปัญหา'... นายฌอน ดอยล์ (Sean Doyle) ตัวแทนสหภาพยุโรปประจำเวียดนามกล่าว อันสะท้อนคำพูดของนักวิเคราะห์ของสำนักเอกชนรายหนึ่ง
** สถานการณ์พลิกผัน **
เมื่อเวียดนามเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก ในเดือน ม.ค.2550 ทุนจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้าไปใช้แรงงานราคาถูกในดินแดนที่เรียกว่า จีนน้อย (Mini China)
นักลงทุนรายย่อยในประเทศทุ่มเงินเข้าตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ และศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ฮานอยเก็งกำไร รัฐบาลขยายโครงการลงทุนของภาครัฐออกไปอย่างกว้างขวาง ทำให้เงินแพร่สะพัดในระบบ
แต่กังหันเศรษฐกิจเริ่มหมุนไม่ตรงทิศทางเมื่อสัก 6 เดือนก่อนหน้านี้
อัตราเงินเฟ้อขยายเป็นเลข 2 หลัก อันเป็นช่วงที่รัฐบาลได้พยายามผลักดันให้เงินทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) ได้มีการใช้จ่ายใช้เข้าสู่ภาคเศรษฐกิจราว 6,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 8.4% ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศหรือ จีดีพี
เมื่อเริ่มปีใหม่ 2551 ราคาสินค้าในตลาดก็เริ่มขยับตัวด้วยความเร็วสูง นำหน้าโดยราคาสินค้าหมวดอาหารและน้ำมันเชื้อเพลิง ความเดือดร้อนแพร่ลามอย่างรวดเร็ว คนงานก่อการนัดหยุดงานกว่า 300 ครั้งในไตรมาสแรกของปีนี้ขอค่าแรงเพิ่ม
นักวิเคราะห์ของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ (HSBC) กล่าวว่า ปัญหาค่าจ้าง-ราคา กำลังอยู่ในขั้นเริ่มแรกเท่านั้น แต่สถานการณ์จะแย่ลงอีกมากหากปัญหานี้ฝังแน่นอยู่ในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเขาเชื่อว่าเงินเฟ้ออาจจะทะยานขึ้นถึง 30% หากไม่สามารถควบคุมราคาสินค้าได้
สัญญาณเตือนอีกตัวหนึ่งดังขึ้น เมื่อมูลค่าการนำเข้าที่พุ่งทะยานไปข้างหน้าได้ทำให้ตัวเลขขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็น 14,400 ล้านดอลลาร์ในเดือน พ.ค.จาก 12,000 ล้านดอลลาร์ตลอดปี 2550 ทั้งปี
ตลาดหลักทรัพย์เข้าสู่ตาจน เมื่อเกิดสภาวะขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง จากมาตรการดอกเบี้ยและการควบคุมการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนอันตรธานไป
ตลาดหลักทรัพย์เวียดนามที่เคยเป็น ตลาดหุ้นดีที่สุดของโลก เมื่อปีที่แล้ว เป็นตลาดที่การประกอบการ แย่ที่สุด ในปีนี้
สัปดาห์ที่แล้ว VN-index ดิ่งลงต่ำกว่าแนวรับทางจิตวิทยา 400 จุดเป็นครั้งแรก ดัชนีหุ้นเวียดนามทรุดลงอีก 1.5% หรือ -5.84 จุดเมื่อตลาดปิดการซื้อขายวันศุกร์ ทำให้ดัชนีเหลืออยู่เพียง 384.24 จุด
ดัชนี VN-index เคยทะยานขึ้นสูงถึง 1,170 จุดในเดือน มี.ค.2550 ก่อนจะค่อยๆ ดิ่งหัวลง และเศรษฐกิจต้องเผชิญปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง
นักลงทุนท้องถิ่นจำนวนมากหันไปซื้อทองเก็บเอาไว้แทน หลังจากค่าเงินด่งในตลาดแลกเปลี่ยนที่ไม่เป็นทางการทรุดลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับดอลลาร์ โดยอัตราทรุดลงเป็น 18,500 ด่งต่อดอลลาร์ปลายสัปดาห์ที่แล้ว จากอัตราแลกเปลี่ยนทางการ 16,060 ด่ง
นักวิเคราะห์ของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด กล่าวว่า เงินด่งกำลังถูกดดันอย่างหนัก ปัญหานี้จะยังไม่ได้รับการแก้ไขจนกว่าตัวเลขขาดดุลการค้าจะลดลง
http://www.manager.co.th/IndoChina/View ... 0000067314
กรุงเทพฯ -- เศรษฐกิจเวียดนามกำลังผันแปรอย่างรวดเร็วมาก จากเพียงไม่กี่เดือนก่อนหน้าที่ยังเป็น สุดยอด ในสายตานักลงทุนต่างชาติ ได้กลายมาเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายเริ่มกังขา และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF (International Monetary Fund) ได้ยื่นมือเสนอวิธีการแก้ไข
การเข้าไปยุ่งเกี่ยวของไอเอ็มเอฟได้นำความหลังเก่าๆ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว กลับมาหลอกหลอนหลายประเทศในเอเชียอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ที่ทนกล้ำกลืนยาขมของไอเอ็มเอฟนานหลายปี ต้องปิดธนาคาร และสถาบันการเงินหลายสิบแห่ง หนี้เสียในระบบคั่งค้างมาจนทุกวันนี้
การเข้าควบคุมเศรษฐกิจไทยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ทำให้สถาบันแห่งนี้เคยได้รับการขนานนามจากนักการเมืองของไทยว่า คุณพ่อไอเอ็มเอฟ
นายเบเนดิค บิงแฮม (Benedic Bingham) ผู้แทนไอเอ็มเอฟประจำเวียดนาม กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า เวียดนามควรจะใช้นโยบายการเงินการคลังที่เคร่งครัดรัดกุม เพื่อแก้ไขปัญหา เศรษฐกิจโอเวอร์ฮีต รัฐบาลควรขึ้นอัตราดอกเบี้ย ปรับปรุงภาคการธนาคารและผลักดันการปฏิรูปตลาด
เจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟ ได้เสนอดังกล่าวในการประชุมระหว่างรัฐบาล กับกลุ่มประเทศผู้บริจาคและนักลงทุน หลังจากสำนักจัดความน่าเชื่อถือหลายแห่งได้ปรับเศรษฐกิจเวียดนามเข้าสู่แดนลบ
"เงื่อนไขต่างๆ ทางเศรษฐกิจ ได้เข้าสู่ความยุ่งยากอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นในปีที่ผ่านมา ด้วยเศรษฐกิจที่ร้อนแรงภายใต้สภาพแวดล้อมด้านการเงินระดับโลกที่อ่อนตัวลง นายบิงแฮมกล่าวที่เมืองซาปา (Sapa) ทางตอนเหนือเวียดนาม
เงินเฟ้อทะยานขึ้นถึง 25% ในเดือน พ.ค.เทียบกับเดือนเดียวกันเมื่อปี 2550 โดยมีราคาน้ำมันกับราคาอาหารเป็นตัวฉุด การขาดดุลพุ่งขึ้นถึง 14,400 ล้านดอลลาร์ ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้
นายบิงแฮม บอกว่า เงินเฟ้อ เงินทุนที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว การใช้จ่ายด้านการคลัง รวมทั้งการลงทุนของภาครัฐที่ขยายตัวอย่างสูง ล้วนเป็นปัจจัยทำให้เกิดปัญหาดุลชำระเงินในปัจจุบัน
นอกจากนั้น ยังมีข้อบ่งชี้ทางเศรษฐกิจหลายประการ ว่า นักลงทุนเริ่มมีความกังวล โดยชี้ไปยังตลาดหุ้นของประเทศ ที่นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น
เจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟ กล่าวอีกว่า ปัญหาตลาดหุ้นกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ทรุดตัวอย่างรุนแรงนี้ยังทำให้เกิดแรงกดดันต่อค่าเงินด่งด้วย
นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งยังไม่เห็นด้วยกับไอเอ็มเอฟทั้งหมด แต่ก็เห็นพ้องกันว่า สถานการณ์ในปัจจุบันอาจจะทำให้เศรษฐกิจของคอมมิวนิสต์เวียดนามหันเหไปทางใดก็ได้ หากไม่มีการจัดการกับปัญหาต่างๆ อย่างระมัดระวัง
ปีที่แล้วทุกสารทิศเยินยอเวียดนามกำลังจะเป็น เสือ ตัวใหม่เนื่องจากเศรษฐกิจโตเร็วขยายตัวถึง 8% เป็นอันดับ 2 ในเอเชียรองจากจีนเท่านั้น
แต่เวลาเพียงข้ามปีเวียดนามต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเงินเฟ้ออย่างรุนแรงจากหลักเดียวเพิ่มขึ้นเป็นสอง ขาดดุลการค้าเพิ่มทวี ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกลงเกือบ 2 ใน 3 ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับค่าเงินด่ง (Dong) และชะตากรรมของระบบธนาคาร
สำนักจัดความน่าเชื่อถือสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส (Standard & Poor's) รวมทั้งธนาคารเพื่อการลงทุนอีกหลายแห่ง ต่างทบทวนฐานะเศรษฐกิจของเวียดนามไปในแดนลบ
ภาพรวมทั้งหมดนี้ยิ่งเลวร้ายหนักขึ้นไปอีก เมื่อเกิดขึ้นในยุคที่กำลังวิตกกันไปทั่วว่า เศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ อาจจะทำให้การค้าของทั้งโลกปั่นป่วนและจะทำให้เกิดปัญหาไปทั่ว
สถานบันวิจัย Aseambanker Research บอกว่า ภาพที่เลวร้ายที่สุดอาจจะเป็นว่าเวียดนามจะเผชิญปัญหาเงินทุนไหลออก ทำให้เกิดปัญหาขาดดุลชำระเงินฉับพลัน ซึ่งจะผลักไสให้เวียดนามเข้าสู่อ้อมอกของไอเอ็มเอฟ
นายอดัม เลอ เมซูริเอร์ (Adam Le Mesurier) ได้เขียนบทวิเคราะห์ให้แก่บริษัทที่ปรึกษา DSG Asia ระบุว่า เวียดนามอาจจะต้องเตรียมใช้นโยบายเพื่อขานรับวิธีการแบบไอเอ็มเอฟภายใน 6 เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งรวมทั้งการจัดการกับการเงินการคลังอย่างรัดกุมและลดค่าเงินด่ง
แต่บรรดาตัวแทนประเทศผู้บริจาคกับนักลงทุนจากสารทิศ ซึ่งประชุมกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วยังคงเชื่อมั่น และมองเศรษฐกิจเวียดนามในแง่บวก โดยชี้ไปที่ภาคส่งออกที่ยังเข้มแข็งทั้งอาหารและน้ำมันดิบ การลงทุนจากต่างประเทศยังไหลเข้าไม่หยุดยั้ง การท่องเที่ยวขยายตัวต่อเนื่อง
ต่างชาติยังคงมองตลาดใหญ่ประชากร 85-86 ล้านคนอย่างเป็นบวก รวมทั้งมองเห็นพลังคนวัยแรงงานหนุ่มสาวซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
มันเป็นเรื่องง่ายที่จะกล่าวอ้างว่า เวียดนามได้เปลี่ยนจาก 'เด็กโปสเตอร์' เป็น 'เด็กมีปัญหา'... นายฌอน ดอยล์ (Sean Doyle) ตัวแทนสหภาพยุโรปประจำเวียดนามกล่าว อันสะท้อนคำพูดของนักวิเคราะห์ของสำนักเอกชนรายหนึ่ง
** สถานการณ์พลิกผัน **
เมื่อเวียดนามเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก ในเดือน ม.ค.2550 ทุนจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้าไปใช้แรงงานราคาถูกในดินแดนที่เรียกว่า จีนน้อย (Mini China)
นักลงทุนรายย่อยในประเทศทุ่มเงินเข้าตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ และศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ฮานอยเก็งกำไร รัฐบาลขยายโครงการลงทุนของภาครัฐออกไปอย่างกว้างขวาง ทำให้เงินแพร่สะพัดในระบบ
แต่กังหันเศรษฐกิจเริ่มหมุนไม่ตรงทิศทางเมื่อสัก 6 เดือนก่อนหน้านี้
อัตราเงินเฟ้อขยายเป็นเลข 2 หลัก อันเป็นช่วงที่รัฐบาลได้พยายามผลักดันให้เงินทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) ได้มีการใช้จ่ายใช้เข้าสู่ภาคเศรษฐกิจราว 6,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 8.4% ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศหรือ จีดีพี
เมื่อเริ่มปีใหม่ 2551 ราคาสินค้าในตลาดก็เริ่มขยับตัวด้วยความเร็วสูง นำหน้าโดยราคาสินค้าหมวดอาหารและน้ำมันเชื้อเพลิง ความเดือดร้อนแพร่ลามอย่างรวดเร็ว คนงานก่อการนัดหยุดงานกว่า 300 ครั้งในไตรมาสแรกของปีนี้ขอค่าแรงเพิ่ม
นักวิเคราะห์ของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ (HSBC) กล่าวว่า ปัญหาค่าจ้าง-ราคา กำลังอยู่ในขั้นเริ่มแรกเท่านั้น แต่สถานการณ์จะแย่ลงอีกมากหากปัญหานี้ฝังแน่นอยู่ในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเขาเชื่อว่าเงินเฟ้ออาจจะทะยานขึ้นถึง 30% หากไม่สามารถควบคุมราคาสินค้าได้
สัญญาณเตือนอีกตัวหนึ่งดังขึ้น เมื่อมูลค่าการนำเข้าที่พุ่งทะยานไปข้างหน้าได้ทำให้ตัวเลขขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็น 14,400 ล้านดอลลาร์ในเดือน พ.ค.จาก 12,000 ล้านดอลลาร์ตลอดปี 2550 ทั้งปี
ตลาดหลักทรัพย์เข้าสู่ตาจน เมื่อเกิดสภาวะขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง จากมาตรการดอกเบี้ยและการควบคุมการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนอันตรธานไป
ตลาดหลักทรัพย์เวียดนามที่เคยเป็น ตลาดหุ้นดีที่สุดของโลก เมื่อปีที่แล้ว เป็นตลาดที่การประกอบการ แย่ที่สุด ในปีนี้
สัปดาห์ที่แล้ว VN-index ดิ่งลงต่ำกว่าแนวรับทางจิตวิทยา 400 จุดเป็นครั้งแรก ดัชนีหุ้นเวียดนามทรุดลงอีก 1.5% หรือ -5.84 จุดเมื่อตลาดปิดการซื้อขายวันศุกร์ ทำให้ดัชนีเหลืออยู่เพียง 384.24 จุด
ดัชนี VN-index เคยทะยานขึ้นสูงถึง 1,170 จุดในเดือน มี.ค.2550 ก่อนจะค่อยๆ ดิ่งหัวลง และเศรษฐกิจต้องเผชิญปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง
นักลงทุนท้องถิ่นจำนวนมากหันไปซื้อทองเก็บเอาไว้แทน หลังจากค่าเงินด่งในตลาดแลกเปลี่ยนที่ไม่เป็นทางการทรุดลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับดอลลาร์ โดยอัตราทรุดลงเป็น 18,500 ด่งต่อดอลลาร์ปลายสัปดาห์ที่แล้ว จากอัตราแลกเปลี่ยนทางการ 16,060 ด่ง
นักวิเคราะห์ของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด กล่าวว่า เงินด่งกำลังถูกดดันอย่างหนัก ปัญหานี้จะยังไม่ได้รับการแก้ไขจนกว่าตัวเลขขาดดุลการค้าจะลดลง
http://www.manager.co.th/IndoChina/View ... 0000067314
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!
โพสต์ที่ 27
ปีที่แล้ว คลับคล้ายคลับคลาว่าผู้บริหารของ Finansa ออกมาให้ข่าวว่า หุ้นประเทศไทยไม่ได้เรื่อง ไม่ดีแบบนั้นแบบนี้ มีมาตรการ 30% อะไรต่างๆ ก็เลยจะนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม เพราะหุ้นที่นั่นสดใสมาก
น่าเสียดายไม่ได้เก็บข่าวเอาไว้ อยากรู้ว่าเขาได้กำไรไปเท่าไหร่แล้วนะครับ :lol:
น่าเสียดายไม่ได้เก็บข่าวเอาไว้ อยากรู้ว่าเขาได้กำไรไปเท่าไหร่แล้วนะครับ :lol:
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร