หน้า 1 จากทั้งหมด 2

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 10, 2008 12:45 am
โดย PERFECT LUCKY
ขอความคิดเห็นเพื่อนๆ หน่อยนะครับ (เป็นการเป็นงานจ้า)

ขอบคุณคร้าบบบ

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 10, 2008 7:48 am
โดย @DNA@
ในฐานะผู้อยู่ในแวดวงการศึกษาคนหนึ่งขอให้ทุกท่านอย่าให้ความเห็นถ้าผู้อ่านไม่ได้ทำการบ้านมาก่อน คิดเด็ดยอดเอาง่ายๆ การถามลักษณะนี้เป็นความมักง่ายของผู้ถามอย่างยิ่ง

หัวข้อ IS หรือ thesis ที่ปรึกษามักจะพยายามให้ผู้ศึกษาทำการ review จากงานเขียนต่างๆ เพื่อสำรวจว่าอะไรคือปัญหาขณะนั้น หลังจากที่ทำการทบทวนวรรณกรรมเรียบร้อย จะพอทราบปัญหาที่แท้จริงนำไปสู่โจทย์ของการวิจัย และวิธีการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ

แต่ประสบการณ์ของผมมักพบนิสิตเข้ามาพบและตั้งคำถามว่า อยากทำเรื่องอุตสาหกรรมรถยนต์ อยากทำเรื่องการเงิน คำถามลักษณะนี้มาจากคนที่ไม่ยอมอ่าน ไม่ยอม review เวลาถามลึกลงไปว่าทำไมอยากทำเรื่องดังกล่าว ปัญหาอยู่ที่ไหนก็มักจะไม่ได้คำตอบ เพราะไม่ยอม review สถานะการณ์ของปัญหาในขณะนั้น คิดแต่จะให้ได้หัวข้อ และถึงแม้อาจารย์ที่ปรึกษาทนไม่ได้ ทำการ review แทนแล้วบอกหัวข้อให้ ก็จะเจอกับปัญหาที่ต้องคอยบอกว่าจะแก้ปัญหาของโจทย์อย่างไรต่อไป หากเจอวิธีที่ยากก็จะเปลี่ยนหัวข้อไปเรื่อยๆ

ถ้าใครอยากช่วย จขกท จริง เพื่อให้รู้วิธีการของกระบวนการวิจัยอย่างถูกต้องกรุณาให้ จขกท แสดงความรู้อะไรบางอย่างที่ได้จากการ review มาบ้าง และให้ช่วยเหลือเพียงการตั้งคำถามที่เป็นลักษณะของการชี้แนวทางเท่านั้นเช่น อ่านหนังสือเล่มไหน สิ่งที่คุณคิดถูกหรือผิดเพราะอะไร ที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของที่ปรึกษา

เหมือนที่ทุกคนในเวปนี้ชี้แนวทางในการหาหุ้น โดยเน้นที่สอนวิธีจับปลากินเอง

ผมขอเริ่มด้วยคำถามว่า ทำไมอยากทำ IS เกี่ยวกับหุ้นครับ?

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 10, 2008 7:58 am
โดย @DNA@
เพิ่มเติมอีกข้อครับ ถ้าได้ตามอ่านกระทู้ใน thaivi บ่อยๆ ปัญหาในการวิจัยมีอยู่เยอะแยะมากมาย

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 10, 2008 11:31 am
โดย เด็กใหม่ไฟแรง
ขอบคุณ คุณ DNA อย่างมากครับ
IS มุ่งให้คนที่ทำได้ความรู้ ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นการเริ่มต้นคือจากการค้นคว้า

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 10, 2008 12:59 pm
โดย Alastor
คิดเด็ดยอดเอาง่ายๆ การถามลักษณะนี้เป็นความมักง่ายของผู้ถามอย่างยิ่ง
ซี๊ดดด ดุจัง

ตอนผมหาหัวข้อ ผมก็เลือกเรื่องที่ตนเองสนใจซึ่งขณะนั้นคือ Property Fund

ถ้าลงทุนมาซักระยะจะรู้เองว่าปัญหาที่ตนเองอยากรู้คืออะไร คุณ PERFECT LUCKY ยังดีนะรู้จักหา บางคนผมเห็นอจ.ป้อนให้เลยว่าให้เอางานวิจัยที่ทำเมืองนอกมาก rerun ด้วยข้อมูลประเทศไทย ทำง่ายเพราะวิธีการทำมีหมดแล้วแค่หา data

ผมหาหัวข้อเองเลยต้องคิดดีๆว่าจะใช้วิธีใดในการวิเคราะห์ทำผิดไปหลายรอบดีที่อจ.ชี้แนะให้

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 10, 2008 7:47 pm
โดย Mon money
@DNA@ เขียน:ในฐานะผู้อยู่ในแวดวงการศึกษาคนหนึ่งขอให้ทุกท่านอย่าให้ความเห็นถ้าผู้อ่านไม่ได้ทำการบ้านมาก่อน คิดเด็ดยอดเอาง่ายๆ การถามลักษณะนี้เป็นความมักง่ายของผู้ถามอย่างยิ่ง

หัวข้อ IS หรือ thesis ที่ปรึกษามักจะพยายามให้ผู้ศึกษาทำการ review จากงานเขียนต่างๆ เพื่อสำรวจว่าอะไรคือปัญหาขณะนั้น หลังจากที่ทำการทบทวนวรรณกรรมเรียบร้อย จะพอทราบปัญหาที่แท้จริงนำไปสู่โจทย์ของการวิจัย และวิธีการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ

แต่ประสบการณ์ของผมมักพบนิสิตเข้ามาพบและตั้งคำถามว่า อยากทำเรื่องอุตสาหกรรมรถยนต์ อยากทำเรื่องการเงิน คำถามลักษณะนี้มาจากคนที่ไม่ยอมอ่าน ไม่ยอม review เวลาถามลึกลงไปว่าทำไมอยากทำเรื่องดังกล่าว ปัญหาอยู่ที่ไหนก็มักจะไม่ได้คำตอบ เพราะไม่ยอม review สถานะการณ์ของปัญหาในขณะนั้น คิดแต่จะให้ได้หัวข้อ และถึงแม้อาจารย์ที่ปรึกษาทนไม่ได้ ทำการ review แทนแล้วบอกหัวข้อให้ ก็จะเจอกับปัญหาที่ต้องคอยบอกว่าจะแก้ปัญหาของโจทย์อย่างไรต่อไป หากเจอวิธีที่ยากก็จะเปลี่ยนหัวข้อไปเรื่อยๆ

ถ้าใครอยากช่วย จขกท จริง เพื่อให้รู้วิธีการของกระบวนการวิจัยอย่างถูกต้องกรุณาให้ จขกท แสดงความรู้อะไรบางอย่างที่ได้จากการ review มาบ้าง และให้ช่วยเหลือเพียงการตั้งคำถามที่เป็นลักษณะของการชี้แนวทางเท่านั้นเช่น อ่านหนังสือเล่มไหน สิ่งที่คุณคิดถูกหรือผิดเพราะอะไร ที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของที่ปรึกษา

เหมือนที่ทุกคนในเวปนี้ชี้แนวทางในการหาหุ้น โดยเน้นที่สอนวิธีจับปลากินเอง

ผมขอเริ่มด้วยคำถามว่า ทำไมอยากทำ IS เกี่ยวกับหุ้นครับ?
ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ @DNA@เป็นอย่างยิ่ง ตอนผมทำ IS หัวแทบระเบิด แต่พอทำเสร็จก็รู้ว่า อาจารย์ท่านล้ำลึกมาก และคนที่ได้คือเราผู้ค้นคว้า จนกระทั้งบัดนี้ ความรู้ที่เกิดมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนั้นมาจากการค้นคว้าศึกษาเองเกือบทั้งสิ้น

ท่านจขกท.อย่าน้อยใจไปนะครับ อาจารย์ท่านกล่าวไว้ถูกต้องแล้ว ท่านไม่ทราบปัญหาที่อยากตีให้แตก ท่านจะศึกษามันอย่างไง เข้าข่าย ตั้งคำถามไม่ได้ ก็เลยไม่มีคำตอบ

ฉนั้นถ้าท่านตอบคำถามอ.@DNA@ได้ลองตอบคำถามผมบ้างว่า

"อะไรเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในการลงทุนในหุ้น แต่นักลงทุนยังไม่มีหรือยังไม่เข้าใจมันอย่างดี"

ผมไม่มีคำตอบให้นะ ถ้าตอบมาไม่เคลียร์ จะมีคำถามเพิ่มอีก อิ อิ ....

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 10, 2008 8:05 pm
โดย jung_oh
กระทู้นี้ น่าจะสนุกนะครับ

ผมขอตามอ่านด้วยนะครับ :D

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 10, 2008 8:53 pm
โดย miracle
อยากทำอะไรก็ทำครับ
หัวข้อมันก็บอกแล้ว
แต่สิ่งที่ทำนั้นต้องใส่ใจเข้าไปด้วย
ไม่ใส่ใจแล้ว คนอ่านไม่เข้าใจ ว่าเราทำไปทำไม
บ้างครั้งที่เรามองเห็นแต่คนอื่นมองไม่เห็นก็มีน่าครับ


:)

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 11, 2008 9:51 am
โดย PERFECT LUCKY
ขอขอบคุณท่าน DNA และ คุณ มนตรี พ่อน้องบิ๊ก เป็นอย่างยิ่ง สำหรับ แนวความคิด

"อะไรเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในการลงทุนในหุ้น แต่นักลงทุนยังไม่มีหรือยังไม่เข้าใจมันอย่างดี"

ผมถามตัวเองก็ไม่มีความกระจ่าง สิ่งที่ผมคิดว่า ดี แต่ผมยังไม่มี ก็น่าจะเป็น ก็คือ
1. ทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการลงทุน  และ สภาพจิตใจ
    ยังอยากรวยเร็ว  มักง่าย โลภเกินความรู้ ตัดสินใจไม่เฉียบขาดในเวลาที่ควรจะซื้อ และ ไม่นิ่งเฉย เมื่อควรจะนิ่ง รวมถึง ยังไม่สนุก มีความสุขในการลงทุน (ตั้งแต่การหาหุ้น ตามข่าวสาร อ่านงบการเงิน วิเคราะห์กิจการ)

2. ความรู้ ความเข้าใจ ในหลักการ งบการเงิน การวิเคราะห์ธุรกิจ แรงซื้อจากความโลภ แรงขายจากความกลัว จิตวิทยาการลงทุน

3. การเรียนรู้ จดจำ ประยุกต์ ใช้ จากประสบการณ์ของตนเองและผู้อื่น

4. จิตใจที่มุ่งมั่น ความกระหายความสำเร็จ ความสม่ำเสมอ

เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้า "ขาด" ไป

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 11, 2008 8:35 pm
โดย Mon money
[quote="PERFECT LUCKY"]ขอขอบคุณท่าน DNA และ คุณ มนตรี พ่อน้องบิ๊ก เป็นอย่างยิ่ง สำหรับ แนวความคิด

"อะไรเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในการลงทุนในหุ้น แต่นักลงทุนยังไม่มีหรือยังไม่เข้าใจมันอย่างดี"

ผมถามตัวเองก็ไม่มีความกระจ่าง สิ่งที่ผมคิดว่า ดี แต่ผมยังไม่มี ก็น่าจะเป็น ก็คือ
1. ทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการลงทุน

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 12, 2008 12:03 pm
โดย PERFECT LUCKY
"อะไรกำหนดการขึ้นลงของราคาหุ้นในระยะยาว?"

1. คุณมนตรี นิยามระยะยาว คือ กี่วัน กี่เดือน กี่ปี
2. การขึ้นลงของราคาหุ้น ต้องขึ้นลง กี่ % ถึงจะมีนัยยะสำคัญ
3.  สมมติฐานของผมก็คือ "การเติบโตของกำไรต่อหุ้น กำหนดการขึ้นลงของราคาหุ้นในระยะยาว?" ระยะยาวในที่นี้ คือ 3-5 ปี

ตกลง คุณมนตรี  รับเป็นที่ปรึกษานอกรอบการทำ IS ให้กับผมแล้วนะครับ  ไว้ผมจะโทรไปปรึกษานะครับ

แต่เห็นว่า คุณมนตรี จะเปิดคอร์สอบรม การลงทุน แบบสมัครสมาชิกรายปี ใช่มั้ยครับ? ยังเปิดอยู่หรือเปล่าครับ

หรือ จะเปิดร้าน ขายโต๊ะหินอ่อนนั่งเล่น อีกครั้ง จะได้ได้เหงื่อดีครับ อิอิ

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 12, 2008 6:46 pm
โดย Penguins
ไม่ค่อยมีความรู้ในสิ่งที่พี่ๆ พูดถึงกันอะครับ...แต่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าปัจจัยที่จะเข้ามาเป็นตัวกำหนดระยะเวลานั้นมีอะไรบ้างอะครับ

...คือผมเคยอ่านหนังสือทั่วๆ ไปนะครับ อย่างเช่น ถ้าเป็นบริษัทเปิดใหม่ มักจะปิดกิจการก่อนระยะเวลา 3 ปี หรืออย่างเช่นไซเคิลของธุรกิจอสังหาจะประมาณทุก 10 ปี >>> ซึ่งถ้าอยู่ในข้อสมมุติฐานที่ว่า ถ้าราคาตลาดสะท้อนผลการดำเนินงานของกิจการ ดังนั้นถ้าเป็นอย่างที่กล่าวมา ราคาหุ้นจะขึ้นๆ ลงๆ ตามผลการดำเนินงานนั้น

...แต่ผมก็ว่าน่าจะมีข้อยกเว้นกับหุ้นของกิจการ ของบางบริษัทอะครับ  :roll:

ขอบคุณครับ

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 13, 2008 12:36 am
โดย Mon money
[quote="PERFECT LUCKY"]"อะไรกำหนดการขึ้นลงของราคาหุ้นในระยะยาว?"

1. คุณมนตรี นิยามระยะยาว คือ กี่วัน กี่เดือน กี่ปี
2. การขึ้นลงของราคาหุ้น ต้องขึ้นลง กี่ % ถึงจะมีนัยยะสำคัญ
3.

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 13, 2008 8:52 am
โดย sattaya
ขอบคุณ อ.DNA อ.มน และ จขกท ครับ

ผมก็กำลังหาหัวข้อ IS ซึ่งสนใจที่จะทำในเรื่องเกี่ยวกับการลงทุน ได้อ่านข้อความของ อ.DNA แล้วรู้สึกว่าตัวเองน่าตีเป็นอย่างยิ่งที่พยายามหาหัวข้อ IS เพื่อมาต่อยอด  :oops:  แต่ตอนนี้ตาสว่างแล้วครับ

ขอบคุณอีกครั้งครับ  :bow:

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 13, 2008 9:44 am
โดย sisacorn
PERFECT LUCKY

เป็นสายลับหรือเปล่าครับนี่

:D

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 13, 2008 10:46 am
โดย ชัย499
ช่วงนี้เป็นฤดูของการทำ IS จริงๆ ตัวผมเองก็เช่นกัน ผมเคยเสนอ หัวข้อ ประมาณว่า " การวิเคราะห์หุ้นโดยใช้หลักการ value investment " อาจารย์บางท่านก็บอกว่าได้ บางท่านแย้งว่า หลักการ value investment ไม่ได้เป็นทฤษฎี  

ผมเองก็จะติดตามกระทู้นี้อย่างใกล้ชิด เพราะคิดว่าจะมีประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้ที่กำลังทำ IS อบู่ครับ

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 13, 2008 2:53 pm
โดย Mon money
[quote="ชัย499"]ช่วงนี้เป็นฤดูของการทำ IS จริงๆ ตัวผมเองก็เช่นกัน ผมเคยเสนอ หัวข้อ ประมาณว่า " การวิเคราะห์หุ้นโดยใช้หลักการ value investment " อาจารย์บางท่านก็บอกว่าได้ บางท่านแย้งว่า หลักการ value investment ไม่ได้เป็นทฤษฎี

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 13, 2008 4:21 pm
โดย PERFECT LUCKY
จริงๆ แล้ว ผมว่า หลายๆ คน อยากทำ IS ให้ตรงประเด็นเลยว่า เล่นหุ้นยังไงให้รวยเร็วๆ อิอิ

บางทีผมว่า ระเบียบแบบแผนที่มากเกินไปก็เป็นจุดอ่อนของการค้นคว้าวิจัย แต่ถ้าไม่มีระเบียบแบบแผนเลยก็คงเป็นไปได้ยาก

เรื่องที่น่าสนใจ เรื่องที่ทันเหตุการณ์  เรื่องที่ยังไม่มีใครทำมาก่อน  ถ้าไม่มีการอ่านอย่างมากมาย  การทำ IS ก็คงมีจุดอ่อนเยอะจริงๆ

ถ้าเราจะไม่อ้างทฤษฎีที่มีอยู่ก็คงทำได้ ก็คือ เราต้องคิดทฤษฏี ใหม่ ออกมาล้มล้าง และให้เป็นที่ยอมรับเสียก่อน

รบกวน ถาม อ DNA ว่า วิทยานิพนธ์  กับ การค้นคว้าอิสระ ต่างกันตรงไหนครับ ไม่ทราบจริงๆครับ

ปล. อ มนตรี น่าจะทำวิจัยเรื่อง "เสี่ย WEB แห่ง DRT มีหนังสือเกี่ยวกับ Warren Buffett มากที่สุดในโลก จริงหรือไม่"  :D

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 13, 2008 9:58 pm
โดย BHT
ผมเล็งๆไว้ว่าจะทำเรื่อง esop เลยโพสต์ไว้ให้พี่ๆช่วยโยงกระทู้ไว้ให้หน่อย แต่เงียบไป ไว้ถึงเวลาต้องทำ ถ้าหาได้ก็ค่อยทำ ไม่ได้ก็หาเรื่องอื่นแทนครับ

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 13, 2008 10:12 pm
โดย MO101
ลองทำอะไรที่มันแปลกๆ ดีไหมครับ


คนส่วนใหญ่มักจะถามคำถามว่าทำอย่างไรจึงจะรวย
แต่เท่าที่ผมสังเกตุนะครับ ปู่ บัฟเฟต พยายามหลีกเลี่ยงการขาดทุน
เราจะหลีกเลี่ยงการขาดทุนได้วิธีหนึ่งคือ โดยการถามผุ้ที่ขาดทุนมาก่อนแล้วไม่ทำตามนั้น

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 13, 2008 10:14 pm
โดย miracle
BHT เขียน:ผมเล็งๆไว้ว่าจะทำเรื่อง esop เลยโพสต์ไว้ให้พี่ๆช่วยโยงกระทู้ไว้ให้หน่อย แต่เงียบไป ไว้ถึงเวลาต้องทำ ถ้าหาได้ก็ค่อยทำ ไม่ได้ก็หาเรื่องอื่นแทนครับ
ไม่แน่ใจว่าเป็นแนวคิดหรือทฤษฏีของการจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่ดึงดูดคนให้อยู่กับองค์ให้นานที่สุด และให้องค์กรพัฒนาด้วยการแจก ESOP หรือ Option หรือ หุ้นให้แก่พนักงาน ประเด็นน่าสนใจในเมืองไทย

ถ้าเอามุมมองของ เอ็นรอนมาดูด้วยแล้ว มันเป็นแรงพลักดันให้เกิดปัญหาเรื่อง คอรัปชั่นภายใน และเป็นแรงจูงใจในแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จด้วยหรือไม่

อันนี้ต้องทำควบคู่ไปด้วยถ้าหากทำกันจริงจัง

by the way
ส่วนเรื่องที่พี่มนยกมานั้น น่าสนใจว่า ทำไมแนวการลงทุนแบบ VI ยังเป็นแนวคิดอยู่ ไม่ใช้เป็นไปแบบทฤษฏี เหมือน ทฤษฏีกราฟต่างๆที่ใช้งานกัน
อาจจะเป็นไปได้ว่า ตัววัดมันยาก และใช้เวลานานในการกระทำกว่าจะวัดได้ หมดสิทธิ์ในการเป็นนักศึกษาปริญญาโทหรือเอกก่อนครับ กว่าทำกันเสร็จ

by the way
ใครได้อ่าน BQQ ของ Brandage แล้วบ้าง
เล่มแรกน่าสนใจว่า Innovation กับ Biz มันเดินไปแบบไหน
อันนี้น่าสนใจจุดที่ Biz Model มันประสานกับ Innovation Model อย่างไง
และประสานต่อกับ Model อื่นๆอย่างไง
ทำไมถึงต้องให้ความสำคัญในการพัฒนา Innovation ด้วย
เดี๋ยวไว้อ่านจบ review ในร้อยคนร้อยเล่มครับ

หนังสือจากค่าย BrandAge นี้ให้สาระดีจริงๆ (สาระความรู้น่าครับ)

:)

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 14, 2008 8:09 am
โดย @DNA@
ผมต้องขอออกตัวก่อนเลยนะครับ สายที่ผมถนัดจริงๆ ไม่ใช่สายการเงิน ดังนั้นผมจะไม่สามารถให้คำตอบเรื่องสถานะของปัญหาได้ แต่งานที่ผมทำอยู่ผมมีโอกาสที่จะทำวิจัยอยู่บ้าง ผมจึงมีความรู้ในกระบวนการวิจัยและกล้าที่จะตอบเฉพาะกระบวนการวิจัย ผมเองก็มีความสับสนมาก่อนและถูกอาจารย์ของผมเองด่าผมเสียๆหายๆ เอามากๆ จนผมต้องละอัตตาของตัวเอง ยอมทำตามกระบวนการของท่าน เมื่อทำครบกระบวนการสิ่งที่ผมได้ถือว่ามีความคุ้มค่าอย่างยิ่ง เทียบกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่เลือกอาจารย์ใจดี แต่ทุกวันนี้แม้จะทำ thesis แล้วก็ยังไม่เข้าใจขบวนการวิจัยนั้น

ผมขอตอบคำถามแบบรวมๆ ออกเป็น 4 ประเด็น 1) การวิจัยคืออะไรแล้ว thesis หรือ IS ไปยุ่งอะไรกับการวิจัยอย่างไร 2) ปัญหา ปัญหา ปัญหา ไม่ใช่คำถาม 3) ทำไมต้องเขียน proposal ก่อนทำด้วย ความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์คืออะไรเกี่ยวข้องกับปัญหาไหม 4) ทำไมทำวิจัยเรื่อง VI ไม่ได้ แล้วทำไม VI ไม่ใช่ทฤษฎี 5) IS ต่างกับ Thesis ตรงไหน

1) การวิจัยเป็นการระบุและหาวิธีการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบโดยอาศัยความรู้เชิงทฤษฎีในแต่ละศาสตร์ การให้นักศึกษาทำ thesis หรือ IS นั้นวัตถุประสงค์เพื่อที่จะให้นิสิตได้รู้จักวิธีการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบโดยเฉพาะได้ใช้ทฤษฎีในสายวิชาที่ตนร่ำเรียนมา แต่เนื่องจากนักศึกษาส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่ผู้ช่วยวิจัย จะยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานวิจัยมาก่อนและการตอบโจทย์ปัญหาหลายตัวมีต้นทุนที่สูงมาก จึงให้ทำการศึกษาในปัญหาที่ตนเองสนใจและมีขนาดที่เล็กลงคล้ายๆ กับก่อนที่จะลองทำจริง ไปลองทำของใช้ส่วนตัวดูก่อน ดังนั้นหลักการของการวิจัยจึงครอบคลุมและมีเป้าหมายเดียวกันกับ thesis และ IS (เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น thesis และ IS อาจจะเรียกอีกชื่อว่า babys research)

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 14, 2008 8:18 am
โดย @DNA@
2) ลองสังเกตุดูนะครับ ก็ให้เราหาปัญหานี่ เราก็มีปัญหาแล้วนี่นาทำไมคนถึงเล่นหุ้นแล้วไม่รวย--อ้าวไม่ได้เหรอ เรื่องมากจังก็หาเราระบุปัญหานี่ แล้วทำไมปัญหามันระบุเป็นคำถามไม่ได้ละ เปลี่ยนก็ได้เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเล่นหุ้นแล้วไม่รวย==อ้าวไม่ได้อีกแล้ว ข้อสังเกตประการหนึ่งนักศึกษาส่วนใหญ่พยายามมุ่งเน้นที่จะทำ IS และ thesis ให้เสร็จมากจนเกินไป เวลาที่อาจารย์พยายามกำชับจะไม่ค่อยใส่ใจ แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมเน้นอาจารย์ที่ดูแล thesis หรือ IS ท่านได้เน้นแล้ว อยากให้ดูคำ 2 คำ นะครับ คือ problem และ question ซึ่งตรงกับคำไทยว่า ปัญหา และ คำถาม แต่เนื่องจากเราไม่ค่อยละตัวตนของเรา เราจึงคิดว่าเราเข้าใจคำว่า ปัญหา หรือ คำถาม ดีพอแล้ว ซึ่ง 2 คำนี้ คือ ปัญหาและคำถามมีความหมายที่แตกต่างกันมาก ปัญหา (problem) พอเห็นคำในภาษาอังกฤษเราจะรู้ทันทีว่าไม่เคยจบด้วยประโยคคำถามเช่น ปัญหาราคาน้ำมันแพง ปัญหาปากท้อง ปัญหาวัยรุ่นฆ่าตัวตาย แต่หลายครั้ง อาจารย์ที่ปรึกษาจะอนุโลมถ้ามองว่านักศึกษาอ่านหนังสือมามากพอ จนระบุคำถามที่น่าสนใจและมีโอกาสที่จะนำไปสู่ปัญหาจริงได้ เช่น ทำไมวัยรุ่นถึงฆ่าตัวตาย อะไรเป็นสาเหตุ ถ้ามองให้ดี คำถามที่ระบุขึ้นนี้เมื่อรู้แล้วแก้ปัญหาได้หรือไม่ คำตอบคือได้แต่ไม่ครบ ดังนั้นหลายครั้งตัวปัญหาใหญ่กว่าคำถามมาก ดังนั้นเมื่อมีการกำหนดปัญหาแล้วจึงอาจจะต้องมีการกำหนดขอบเขตของปัญหาว่าจะหาวิธีแก้เฉพาะมุมใด ด้านใด หรือเฉพาะกลุ่มใด พื้นที่ใด นอกจากนี้หลายครั้งเรามักจะเข้าใจผิดทึกทักเอาว่าสิ่งที่เราคิดว่าเป็นปัญหาคือปัญหาจริงๆ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสำรวจก่อนว่าสิ่งที่เราว่าเป็นปัญหาจริงๆ เป็นปัญหาหรือไม่ การสำรวจทำโดยการ review งานวิจัยต่างๆ หรืออาจจะเป็นข้อมูลทุติยภูมิ ว่าปัญหาที่เราคิดว่าเป็นปัญหาจริงๆ ยังเป็นปัญหาอยู่หรือไม่ เช่น เราอาจจะมองว่าอุตสาหกรรมสิ่งทอมีปัญหาเพราะประเทศจีนผลิตสิ่งทอราคาถูกออกมาจำนวนมาก ถ้าเรามองว่ามันเป็นปัญหาเราก็จะเสนอทางแก้ปัญหาหรือวิธีวิจัยต่างๆ เช่นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต แต่ถ้าคนที่สำรวจสถานะของปัญหามาดีพออาจจะชัดเจนเลยว่ามันไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เพราะสิ่งทอราคาถูกนั้นย้ายฐานการผลิตไปจากเมืองไทยแล้ว หรือผู้ประกอบการที่มีอยู่ได้ปรับเปลี่ยนไปผลิตสิ่งทอคุณภาพแล้ว ประเด็นที่สำคัญสำหรับการระบุปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือสิ่งที่เรามีข้อมูล support ว่าเป็นปัญหาจริงหรือเป็นเพียงอาการ  (problem หรือ symptom)  ลักษณะที่ดูเหมือนปัญหา จริงๆ แล้วอาจเป็นแค่อาการที่เกิดจากปัญหาจริง เช่น ปัญหาข้าวราคาถูกเป็นเพียงอาการหรือไม่ ปัญหาที่แท้จริงอาจจะเป็นเรื่องโครงสร้างตลาดข้าว แหล่งเงินทุนของชาวนาชาวนาต้องกู้จากโรงสีจริงต้องกลับมาขายข้าวให้โรงสีราคาถูก หรือเป็นปัญหาเรื่องคุณภาพข้าวจึงทำให้ข้าวราคาถูก  การ review งานและบทความจะช่วยให้เราเข้าใจได้ การวิจัยจึงให้ความสำคัญกับส่วนนี้มากที่สุดเพราะถ้าระบุปัญหาผิด วิธีการอื่นๆในขั้นถัดไปจะผิดทั้งหมด อาจารย์หลายๆท่านจะพยายามบังคับให้นักศึกษาจะต้องในเรื่องที่นักศึกษาบอกว่าสนใจ และจะให้อ่านแล้วอ่านอีกจนคนผู้นั้นเชี่ยวชาญพอที่จะระบุปัญหาได้ แต่นักศึกษาส่วนใหญ่จะใช้วิธีนึกหัวข้อเอาพอนึกได้ทีก็ไปหาอาจารย์ทีไม่ยอม review เพราะนักศึกษาเข้าใจว่าถ้า review ไปก่อนจะเสียเวลา review ไปเปล่าๆ เพราะพอถึงมืออาจารย์ อาจารย์ไม่ชอบหัวข้อนั้นๆ จะไม่รับปรึกษา ในความเป็นจริงหากนิสิต review จนได้ปัญหาที่ชัดเจนตอบได้ว่าปัญหานั้นสำคัญอย่างไร ทำไมต้องทำ มีผู้ถูกผลกระทบมากน้อย มีข้อมูลหรืองานรองรับว่าข้อหัวที่เสนอไปไม่ใช่แค่อาการเป็นปัญหาจริงที่คุ้มค่าแก่การทำต่อในขั้นถัดไป อาจารย์ไม่ว่าท่านไหนก็รับทั้งนั้น บางคนอาจจะกลัวว่า review ไปไม่เจอปัญหาจะเสียเวลา review เปล่า ทุกๆ เรื่องล้วนมีปัญหาทั้งสิ้น ถ้าได้ review มากพอ เพราะไม่มีสาขาวิชาใดในโลกจะพัฒนาไปถึงขีดสุดจนไม่มีปัญหา ศาสตร์ใดก็ตามที่ไม่มีปัญหาให้ต้องแก้ไขหรือขบคิดอีกต่อไป ศาสตร์นั้นก็ไม่ควรมีอยู่บนโลกอีก เพราะแต่ละศาสตร์มีหน้าที่ของตนในการขบคิดและแก้ปัญหา (ถ้าปัญหาสังคมหมดไปเราไม่จำเป็นต้องมีนักสังคมศาสตร์อีกต่อไป ถ้าปัญหาทางธุรกิจไม่มีอีกแล้วเพราะใช้ระบบวางแผนจากส่วนกลางหรือคอมมิวนิสต์ก็ไม่จำเป็นต้องมีนักธุรกิจ) บางคนอาจจะไม่ยอม review เพราะกลัวว่าเรื่องที่ review จะยากเกิน เรื่องนี้ก็ไม่ต้องห่วงอีก เพราะศาสตร์แต่ละศาสตร์อายุเกิน 100 กันทั้งนั้นช่วงเวลาที่ผ่านมาถ้ามีปัญหาไหนที่แก้ได้ง่ายๆ ปัญหานั้นถูกนักศึกษาส่วนใหญ่ทำไปหมดแล้ว อาจารย์ส่วนใหญ่จึงพยายามเริ่มต้นด้วยการบังคัยนิสิตให้อ่านแต่ถ้าอาจารย์พูดเฉยๆ นักศึกษามักไม่ค่อยสนใจ และยังยึดความคิดตนเป็นใหญ่ อาจารย์หลายท่านจึงใช้วิธีรับเด็กที่พอมีแววหรือรู้จักนิสัยว่าทำงานจริงจังและพยายามโน้มน้าวให้อ่านมากขึ้น อาจารย์บางท่านใช้วิธีบังคับเด็กให้อ่านงานที่เกี่ยวข้องก่อนอย่างน้อย 50 เล่ม และสัญญาว่าระบุปัญหาได้หรือไม่ได้ก็จะรับ แต่จริงๆ แล้วอ่านไปถึงแค่ 10-20 เล่มก็จะมีความเชี่ยวชาญพอที่จะระบุปัญหาและได้ปัญหาเองโดยอัตโนมัติ อาจารย์บางท่านต้องลงทุนโยน proposal ที่ใช้วิธีนั่งเทียนเขียนทิ้งลงถังขยะต่อหน้าเพื่อลดอัตตาของเด็กลงไม่ให้เด็กคิดหรือทึกทักปัญหาเอาเองยอมกลับไปอ่าน ปัญหาที่สำคัญสุดของผู้ทำ IS จึงเป็นเรื่องที่ผู้ทำไม่มีปัญหาเนื่องจากไม่ยอมอ่านนั่นเอง

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 14, 2008 9:16 am
โดย กูรูขอบสนาม
โอ้โฮ ท่านอาจารย์ @DNA@ ถกประเด็นได้ชัดแจ้งมาก :bow:

เด็กสมัยนี้ไม่อ่านหนังสือนอกเวลากันเลยคร้าบ
แม้แต่หนังสือพิมพ์รายวัน ก็แทบจะไม่ได้เปิดพลิกอ่าน
เมื่อถามเหตุการณ์ปัจจุบันก็จะเปิดหาข้อมูลในเน็ทเอาหรือไม่ก็ถามเพื่อน

ปัญหาก็คือ เวลาทำ IS หรือหัวข้อนำเสนอต่างๆ
เด็กๆจะรวบรวมพาดหัวของข่าวต่างๆมาเรียงรายดู
แล้วก็ตั้งสมมุติฐานจากเนื้อหาของข่าวเหล่านั้น
ซึ่งถ้าเราเข้าใจบทบาทหรือบริบทของข่าว
มันคือบันทึกรายวัน....เรียกเพราะๆว่า วรรณกรรมรายวัน อ่านแล้วก็ทิ้งไป
เพราะรายวันวันนี้ กับรายวันเมื่อเดือนที่แล้วอาจจะบันทึกพลิกหน้ามือเป็นหลังตีน
เอ้ย..ประทานโทษ...เท้าเลยก็ได้
แต่เด็กกลับมาเก็บเป็นสาระ

แล้วจะให้เด็กมีจุดเริ่มต้นอย่างไร
อ่านครับ อ่านมากๆ ยิ่งถ้าไม่มีประสบการณ์ทำงานมาก่อน
ต้องอ่านลูกเดียว อีกวิธีหนึ่งคือเข้าไปคลุกคลีตีโมงกับกลุ่มคนทำงาน
นั่งฟังพวกพี่ๆถกปัญหาการทำงานที่เกิดขึ้น
แต่ส่วนใหญ่จะไม่กล้าสุงสิงกัน :cry:

กูรูจะใช้วิธีแนะ Journal ที่มีบทความดีๆ
อันเกิดจากการค้นคว้าของบรรดานักวิชาการ นักกลยุทธ์ของสายงานนั้นๆ
บริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจฝรั่งหลายแห่งจะมีวารสารขององค์กรออกพิมพ์เผยแพร่
มีทั้งบทความที่มาจากสมมติฐานของตัวเอง
บางบทความจะท้าทายทฤษฎีเก่าๆ
ให้เด็กๆดูวิธีการวินิจฉัยปัญหา ข้อซักค้าน เหตุผล ข้อมูลประกอบ
และบทสรุปหรือข้อเสนอต่างๆ

ที่สำคัญก็คือการจับโยงประเด็น ลำดับเรื่องราวในการเขียน
พบมากเลยว่า เด็กรุ่นหลังอ่อนเรียงความมาก
(อาจจะเป็นเพราะมาจากสายธุรกิจ)
ทักษะการเขียนต้องหมั่นฝึกฝนอีกเยอะ :wink:

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 14, 2008 11:41 am
โดย @DNA@
3) เมื่อระบุปัญหาได้ หลายครั้งปัญหานั้นจะประกอบด้วยปัญหาเล็กหรือ คำถามเล็กๆที่ต้องตอบ เช่น ปัญหาระบบบัญชีที่มีอยู่ไม่สามารถสะท้อนความสามารถที่แท้จริงของบริษัทโดยเฉพาะในส่วนของสินทรัพย์ไม่มีตัวตนเพื่อให้ทำให้บริษัทที่ดีไม่สามารถระดมทุนได้เท่าที่ควร การศึกษาจะมุ่งไปที่การแก้ปัญหาดังกล่าวแต่แก้ยังไง การแก้จำเป็นต้องมีข้อมูลสถานะของความรู้ในเรื่องย่อยๆ เช่น 1) เกณฑ์ในการประเมินสินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่เหมาะสมกับบ้านเราและมีความแม่นยำ 2) โครงสร้างหน่วยงานที่ทำการประเมิน 3) ความคุ้มค่าในการใช้เกณฑ์ดังกล่าวทั้งทางได้และทางต้นทุนที่เสียไป 4) ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในการใช้เกณฑ์นี้ ฯลฯ (ตย.ที่ยกมาผมใช้วิธีสมมติขึ้นผมไม่แน่ใจว่าจะมีสถานะเป็นปัญหาที่ควรศึกษาจริงหรือไม่ และหวังว่าจะไม่มีใครนำไปเป็นแนวคิดเพื่อลอกแบบทำ IS) ปัญหาย่อยๆ ทั้งหมดก็จะถูกกำหนดเป็นวัตถุประสงค์ในการศึกษา ดังนั้นวัตถุประสงค์ไม่ได้กำหนดมาลอยๆ แต่ต้องสอดรับและช่วยในการตอบปัญหาใหญ่ ดังนั้นถ้าเรียกวัตถุประสงค์ในการศึกษาให้ชัดอาจจะเรียกได้ว่าปัญหาย่อย ซึ่งถ้าปัญหาย่อยย่อยมากพอจะมีลักษณะเข้าใกล้คำถาม การคิดของนักศึกษาส่วนใหญ่จึงเป็นคิดย้อนกลับคือเริ่มจากอยากรู้แต่บางทีไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนอยากรู้นั้นจะไปทำอะไร เพราะไม่ได้เริ่มจากปัญหาเวลาเขียนความสำคัญของปัญหาจึงไม่สามารถเขียนได้ และมักจะเริ่มต้นว่าก็อยากรู้ทำไมทำไม่ได้ และถึงเวลาที่เขียนประโยชน์ที่ได้รับก็จะไม่สามารถเขียนได้เนื่องจากมันไม่ได้มาจากปัญหา และยังไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไร เนื่องจากนักศึกษาทำ thesis หรือ IS ต้องใช้เงินส่วนตัว และมีเวลาจำกัด ความเชี่ยวชาญจำกัด ดังนั้นหากนักศึกษาเสนอปัญหาที่ใหญ่เกินตัว เช่น ปัญหาที่ยกเป็นตัวอย่างด้านบนหากทำทั้งหมดอาจจะแย่หรือจบไม่ทัน อาจารย์หลายท่านจะพยายามเน้นปัญหาที่เป็นประโยชน์กับนักศึกษาจริงๆ เพราะเป็นเงินส่วนตัวและอาจจะให้ลดขนาดปัญหาให้ปัญหาเหลือขนาดเท่ากับวัตถุประสงค์แต่นักศึกษายังต้องมีความรู้ว่าตนเองต้องการหาวิธีแก้ปัญหาใดในมุมไหน และในปัญหาย่อยเองหรือวัตถุประสงค์หากดูให้ลึกลงไปในการตอบปัญหาจจะมีปัญหาย่อยอีกเช่นเดียวกัน เช่น วิธีที่ตีค่าสินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่เหมาะกับบ้านเราและมีความแม่นยำ จะมีปัญหาย่อยอยู่ เช่น วิธีตีค่าที่ธุรกิจส่วนใหญ่ใช้อยู่,ปัญหาที่เกิดจากการใช้วิธีดังกล่าวในปัจจุบัน,วิธีตีค่าแบบต่างๆ, ต้นทุนในการตีค่าแบบต่างๆ,ประเด็นที่ไม่ครอบคลุมของวิธีการแบบต่างๆ,ความเหมาะสมของวิธีต่างๆในแต่ละอุตสาหกรรม,การยอมรับได้หรือสามารถปฏิบัติได้ในแต่ละวิธี อาจารย์ที่ปรึกษาจะกรอบปัญหาและกรอบขอบเขตให้เล็กลงจนอยู่ในระดับที่ข้อจำกัดด้านเวลา เงินทุน และความรู้นักศึกษาจะพึงทำได้ proposal หรือข้อเสนอการวิจัยจึงเกิดขึ้นเพื่อบอกว่าปัญหาสำคัญอย่างไร ในการแก้ปัญหาจะต้องตอบปัญหาหรือคำถามอะไร และกรอบในการตอบจะอยู่เฉพาะส่วนใด เรื่องใด เพื่อให้นักศึกษามีทิศทางมีเป้าหมายที่ชัด ไม่หลงพยายามตอบคำถามที่ไม่ใช่ปัญหาหรือไม่มีประโยชน์ ถ้าอ่านมากพอเข้าใจมากพอทุกส่วนใน proposal จะสอดรับกัน และมีแผนที่ในการเก็บข้อมูล หาข้อมูลเพิ่มหรืออ่านงานต่างๆ เพิ่มเติมได้ไม่หลงทาง proposal ที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ จะเท่ากับว่าผู้ทำได้เขียนงานเสร็จไปแล้วมากกว่าครึ่งคือ บทที่ 1 ถึงบทที่ 3 เป็นคำตอบที่ผมเคยถูกอาจารย์ของผมเองตอกหน้าหงาย เมื่อผมตั้งคำถามว่าถ้าผมอ่านเยอะมากๆ กว่าจะได้ปัญหาผมอาจจะสามารถทำ thesis เรื่องอื่นๆเสร็จไปแล้ว อาจารย์ถามคำถามผมกลับว่าคนทำวิจัยในเรื่องใดหรือเรียกตัวเองว่าเป็นนักวิจัยในเรื่องใดควรเป็นคนที่รู้เรื่องเหล่านั้นอย่างลึกซึ้งหรือไม่ ดังนั้นนักวิจัยจะเลือกเรื่องที่ตนมีความสามารถมากที่สุด อาจารย์ได้เปิดโอกาสให้เลือกในเรื่องที่เรามีความสามารถมากที่สุดแล้วมิใช่หรือ ถ้าไปเลือกเรื่องอื่นจริงคุณมีความสามารถในเรื่องอื่นๆ ที่บอกว่าทำได้เร็วกว่าจริงหรือไม่ ถ้าไม่มีความสามารถก็ให้เลือกเรื่องที่ชอบที่สุดเพื่อมีความสุขกับการศึกษาถ้าเปลี่ยนเป็นเรื่องคุณจะมีความสุขจริงหรือไม่

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 14, 2008 4:45 pm
โดย @DNA@
4) ทฤษฎีคืออะไร ต้องเข้าใจกรอบในการหาความรู้ 2 ประเด็น คือ วิธีอุปนัย(induction) และวิธีนิรนัย(deduction) และเข้าใจสิ่งที่ต้องเป็น (positive) กับสิ่งที่ควรเป็น (normative) การเข้าถึงความจริงจนสามารถสรุปเป็นทฤษฎีได้มีด้วยกัน 2 วิธีคืออุปนัย และนิรนัย ที่นิสิตมักจะท่องกันว่าใหญ่ไปหาเล็ก หรือเล็กไปหาใหญ่ ศาสตร์ลักษณะเดียวกับวิทยาศาสตร์จะใช้วิธีอุปนัยเป็นหลัก ศาสตร์ทางสังคมศาสตร์จะใช้วิธีนิรนัยซะมาก แต่เนื่องจากหัวข้อที่กำลังถกอยู่ส่วนใหญ่ คือ ประเด็นทางด้านการเงิน ซึ่งผมถือทฤษฏีและปัญหาส่วนใหญ่มีลักษณะของความเป็นศาสตร์และใช้วิธี induction คือ อะไรวิธีการนี้จะนำความจริงที่มีลักษณะเฉพาะหรือความจริงที่เหนือกว่ามาทำการสรุปความจริงในระดับถัดๆ ไป ตัวอย่าง เช่น ทฤษฎีที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของอัตราดอกเบี้ยกับราคาหุ้น ตัวทฤษฎีจริงๆ จะมีข้อสมมุติ เพื่อล้อมกรอบให้เหลือสภาพที่สามารถอธิบายและเข้าใจโลกจริงได้ง่ายขึ้น เช่น นักลงทุนแต่ละรายมุ่งหวังกำไรสูงสุด มีปัจจัยอื่นๆ เปลี่ยนแปลงนอกจากดอกเบี้ยและราคาหลักทรัพย์ หลักทรัพย์แต่ละตัวมีความเสี่ยงเท่ากัน ทฤษฎีนี้อาศัยทฤษฎีทางคณิตศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่กว่าอ้างอิงมาอีกทีหนึ่ง คือ กฏของอุปสงค์และcalculus ซึ่งพิสูจน์ว่าการจะได้ค่าตัวแปรใดสูงสุด จะต้องทำการเลือกตัวแปรอื่นจนผลตอบแทนส่วนเพิ่มที่ได้จากการเลือกตัวแปรอื่นๆ ทุกตัวเท่ากัน เมื่อนำมาประยุกต์ในการลงทุนก็คือเมื่ออยากได้ผลตอบแทนสูงสุดนักลงทุนก็จะเลือกหุ้นและหลักทรัพย์อื่นๆ จนผลตอบแทนที่ได้จากเงินแต่ละบาทนั้นเท่ากัน หากมีหลักทรัพย์ใดที่ให้ผลตอบแทนต่อเงิน 1 บาทที่กำลังลงทุนสูงกว่าหลักทรัพย์อื่นๆ นักลงทุนควรจะ switch ไปลงทุนในหลักทรัพย์ตัวอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นการลงทุนจะต้องเปลี่ยนแปลงนั่นคือนักลงทุนจะ switch ไปยังการฝากเงินจนผลตอบแทนที่ได้จากเงิน 1 บาทเท่ากัน + กฏของอุปสงค์ เมื่อ supply มากขึ้นจากการขายหุ้นราคาหุ้นก็จะลดลง ดังนั้นทฤษฎีนี้เป็นจริงเสมอถ้าตราบใดทฤษฏีที่ยังอ้างอิงอยู่เป็นจริง นั่นคือเรื่องการหาค่าสูงสุดของ calculus และ กฏอุปสงค์ ส่วนข้อสมมติไม่เป็นจริงทฤษฎีนี้ก็ยังจริงเพราะเราบอกอยู่แล้วว่าข้อสมมติแสดงว่าเราสมมติเอา เราไม่สนว่ามันจะจริงหรือไม่จริง ข้อสมมติเหมือนการให้เงื่อนไข ดังนั้นหากในโลกของความเป็นจริงความจริงที่เกิดขึ้นไม่ตรงกับทฤษฎีถือว่าทฤษฎีผิดหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ เพราะทฤษฎีอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้แล้ว การพิสูจน์ว่าทฤษฎีใดผิดต้องกลับไปพิสูจน์สิ่งที่ไม่ใช่เงือนไขแต่เป็นความจริงที่เหนือกว่าที่ทฤษฎีนี้อ้างอิงอยู่ เช่น เมื่อมีวันหนึ่งมีคนค้นพบวิธีการหาค่าสูงสุดโดยใช้ calculus ของนิวตั้นนั้นไม่ได้ให้ค่าสูงสุดจริง ทฤษฎีนี้จะล้มทันที

คำถามถัดมาแล้วทฤษฏีมีประโยชน์ได้ยังไง ในเมื่อติดขัดด้วยเงื่อนไข ในการใช้ในโลกจริงเราจะผสมผสานทฤษฎีเข้าด้วยกัน เช่น กรณีมีการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยแต่เกิดการลดลงของความเสี่ยงจากเศรษฐกิจเติบโต ทฤษฎีที่อาจจะเกี่ยวข้องอีกตัวก็คือการหาผลตอบแทนในเรื่องความเสี่ยงซึ่งอาศัยทฤษฎีทางคณิตศาสตร์เป็นการหาค่าเฉลี่ยภายใต้ความไม่แน่นอนของ pascal เราอาจจะนำทฤษฎีทั้งสองมาร่วมวิเคราะห์ และให้น้ำหนักเป็นผลหักล้างกัน เพราะในโลกจริงเกิดปรากฏที่มีผลจากทฤษฎีที่ 1 และทฤษฎีที่ 2 พร้อมกันแน่นอน แต่ทฤษฏีใดในขณะนั้นมี effect มากกว่ากันก็จะสะท้อนออกมาผ่านความจริง คนที่ไม่เข้าใจก็จะบอกทันทีว่าทฤษฎีใช้ไม่ได้ในโลกความเป็นจริง แต่ในชีวิตจริงทุกคนที่ทำงานอยู่กลับพยายามประเมินผลกระทบที่เกิดจาก effect ต่างๆ ภายใต้ที่ทฤษฎี(โดยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วตนกำลังใช้ทฤษฎีที่เรียนมา) ในเวปหลายครั้งหลายคลามักจะมีการดูถูกทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่ง เช่น ตลาดที่มีประสิทธิภาพ ลองกลับไปสำรวจนะครับว่าจริงๆ เป็นทฤษฎี ข้อสมมติ หรือมีข้อสมมติอื่นๆ หนุนอยู่หรือไม่ จริงๆ ทฤษฎีต้องการเสนอมุมมองใด
ประเด็นถัดมาถ้าสังเกตให้ดีทฤษฎีทุกทฤษฎีจะมีลักษณะเป็น positive statement ไม่ใช่ Normative statement แปลว่าอะไร positive statement เป็นการวิเคราะห์อย่างที่มันต้องเป็น เช่น เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นราคาของหลักทรัพย์จะลดลง โดยที่ข้อสมมติ.... นั่นคือทฤษฎีพยายามนำเสนอความจริงของโลกโดยไม่มีความรู้สึก ไม่มีอัตวิสัย เป็นความจริงที่สะอาด บริสุทธิ์ และจริงเสมอ จึงเป็นความจริงที่มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะใช้อ้างอิง ส่วน normative statement จะเป็นควรจะลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ การลงทุนแบบ VI เป็นการลงทุนที่ดีที่สุดเป็นคำกล่าวที่มีลักษณะเป็นความคิดเห็นมากกว่า และไม่จำเป็นที่จะต้องจริงแท้เพราะบ้างครั้งอาจจะจริงและบางครั้งอาจจะไม่จริงประกอบด้วยอัตวิสัยอยู่ในตัว การอ้างอิงจึงเป็นอันตราย

VI เป็นทฤษฎีหรือไม่ เพื่อเปรียบเทียบให้ชัดขึ้นผมจะเปรียบเทียบกับการผลิตรถยนต์ว่าการผลิตรถยนต์เป็นทฤษฎีหรือไม่ ผมมองการผลิตรถยนต์เป็นการนำทฤษฎีทางฟิสิกส์ เคมี และคณิตศาสตร์ มาใช้ประโยชน์ เบื้องหลังของการที่รถยนต์วิ่งได้สำเร็จคือทฤษฎีต่างๆ ผมค่อนข้างหมั่นใจว่า VI เป็นวิธีการหรือหลักการที่มีทฤษฏีรองรับอยู่เบื้องหลังแต่เป็นทฤษฎีหรือไม่ วิธีที่ไม่เหมือนกับ VI ไม่ถือว่าผิดไปจากความจริงของโลก ดังนั้นคนมีวิธีการอื่นที่จะศรัทธาได้ VI ไม่ได้บอกความสัมพันธ์หรืออธิบายความจริงของโลก ไม่ได้ล้อมกรอบให้มันเป็นความจริงเสมอ เช่นเดียวกับวิธีจัดการแบบต่างๆ เป็นแบบอย่างแต่ไม่ใช่ความจริงแท้ วันข้างหน้าอาจจะมีวิธีจัดการที่ดีกว่า VI เหมือนบอกเล่าว่าทำอย่างไรถึงจะดี วันหนึ่งมันอาจจะไม่ดีหรือมีวิธีการอื่นที่ดีกว่าและขึ้นอยู่กับอัตวิสัยไม่ได้มาจากการสร้างความจริงใหม่เป็นการให้วิธีการใหม่  หากสนใจ VI ให้มองไปเบื้องหลังว่า VI ใช้ทฤษฎีการเงินอื่นๆ อย่างไร ทฤษฎีเหล่านั้นอธิบายทุกอย่างได้ครบถ้วนโดยไม่ต้องมี VI อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ เรื่องของทฤษฎีใหม่หรือเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงจริงๆ แล้วเป็นวิธีปฏิบัติเป็นแนวคิดในการปฏิบัติไม่ใช่ทฤษฎี แต่ทฤษฎีใหม่มีทฤษฎีอื่นๆ รองรับอยู่หลังวิธีปฏิบัติ  เช่น การกระจายความเสี่ยง การเติบโตอย่างยั่งยืน แต่วิธีการปฏิบัติที่ดี บางคนจะไม่สนใจจึงต้องใช้คำว่าทฤษฎีเพื่อดึงความสนใจ ผมคาดเดาว่าที่อาจารย์ไม่ให้ทำน่าจะมาจากประเด็นเรื่องปัญหามากกว่า เพราะผมไม่เห็นปัญหาเช่น การวิเคราะห์หุ้นโดยใช้หลักการแบบ VI หัวข้อนี่เป็นการเล่าเรื่องบอกเรื่องว่าการลงทุนแบบ VI เป็นอย่างไร แต่ไม่เห็นว่าจะแก้ปัญหาใด รู้แล้วแก้ปัญหาอะไรยังบอกไม่ชัด ถ้าบอกปัญหามาเราสามารถหาทฤษฎีที่อยู่เหนือวิธีการแบบ VI มาปรับใช้ได้ (เหมือนเราบอกว่าบิลเกตส์จัดการองค์กรได้ดีเอาวิธีที่บิลเกตส์จัดการองค์กรมาพยายามอธิบายว่าทำไมบริษัทเราถึงล้มเหลว เราก็จะบอกว่าบริบทต่างกันอาจจะอธิบายได้หรือไม่ได้ก็ได้ แต่ถ้าจะทำก็อาจจะเริ่มด้วยว่าบริษัทที่เน้นเทคโนโลยีส่วนใหญ่มักล้มเหลว เราพยายามแก้ปัญหาบริษัทที่เน้นเทคโนโลยี่ แล้วพยายามดูว่า Microsoft ประสบความสำเร็จได้อย่างไร ภายใต้ทฤษฎีทางธุรกิจ เพื่อเป็นบทเรียนหรือปัญหาของธุรกิจอื่นๆ) ถ้าเริ่มต้นด้วยว่ามีคนจำนวนมากเสียหายจากการลงทุน ปัญหาคือจะช่วยคนที่เสียหายนั้นอย่างไร เราทำการสำรวจว่าคนที่ลงทุนแล้วเสียหายมีลักษณะอย่างไร คนที่ลงทุนแล้วมั่งคั่งมีลักษณะอย่างไร คนทั้งสองประเภทต่างกันอย่างไร และพบว่าคนที่ลงแบบ VI เป็นคนที่ลงทุนแล้วประสบความสำเร็จมาก สามารถดูต่อได้ว่าทำไมสำเร็จมากเพราะอะไร การตอบปัญหาทั้งหมดเป็นการตอบปัญหาใหญ่ทั้งสิ้น และ VI เป็นทางผ่านอาจารย์จะไม่ปฏิเสธที่จะให้ทำหรอกครับ แต่สิ่งสำคัญคือที่พูดๆกันอะไรเป็นตัวพิสูจน์ มีงานรองรับหรือไม่ หรือทึกทักเอา การวิจัยพยายามเน้นที่การหาปัญหาและแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่การหาวิธีแก้แล้วค่อยไปหาปัญหาที่เหมาะกับวิธีแก้ อีกประการหนึ่งเหตุผลที่จะนำมาสนับสนุนว่าวิธีการใดเหมาะ ควรเป็นลักษณะที่บ่งบอกความจริง หรือความสัมพันธ์เพื่อไว้ยึดเหนี่ยวให้ความคิดมีเหตุผล และบอกเราว่าเราควรเลือกวิธีการแบบใดต่อไป แต่ไม่ใช่การนำวิธีการมาตอบว่าเหมาะไม่เหมาะเพราะไม่มีวิธีการใดที่ดีที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 14, 2008 5:20 pm
โดย @DNA@
5) IS ต่างกับ thesis อย่างไร เนื่องจากวิธีการแก้ปัญหาแบบวิธีวิจัย เป็นวิธีการที่ใช้แก้ปัญหี่ดีที่สุดวิธีการหนึ่ง มีเหตุมีผลทำให้เกิดความรู้ใหม่ๆ แม้หลายหลักสูตรจะไม่มีการทำวิทยานิพนธ์เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องเวลา แต่ความต้องการให้นักศึกษามีทักษะในการวิจัยก็ยังมีอยู่ IS จึงเกิดขึ้นมาทดแทน โดยให้ความสำคัญหรือบทบาทลดลง แต่ยังใช้กระบวนการเดิม เช่น IS หน่วยกิจน้อยกว่า จึงให้เวลาสั้นกว่า มักไม่ถึง 1 ปี หัวข้อจึงเบากว่า ใช้งบประมาณน้อยกว่า และบางสถาบันผ่อนปรนมากกว่านั้นเช่น IS 1 ชิ้นอาจจะมีผู้ร่วมทำมากกว่า 1 คน แต่ถ้าถามว่าคุณภาพต่างกันไหม ผมรู้สึกว่า IS หลายเล่มของบางมหาวิทยาลัยดีกว่าวิทยานิพนธ์ของอีกหลายๆมหาวิทยาลัย ขอบเขตกว้างกว่า เป็นประโยชน์กว่า แก้ปัญหาและตั้งปัญหาได้ดีกว่า บางมหาวิทยาลัยปล่อยให้นิสิตลอกวิทยานิพนธ์เพียงแค่เปลี่ยนชื่อเล็กๆ น้อยๆ โดยไม่เข้าใจกระบวนการอะไรเลย (ส่วนใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยที่รับนิสิตทีละมากๆ และจบพร้อมกับทีละมากๆ) เริ่มต้นอาจจะมีเล่มหนึ่งเป็นเรื่องปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกหุ้นของกองทุนรวม ก็จะมีปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมดแต่ไม่ได้สนใจว่าแก้ปัญหาหรือไม่ หรือการสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้บริการ...ในเขต... อีกหน่อยก็จะมาอีกหลายเล่มว่าจะสำรวจบริการอื่นๆ เขตอื่นๆ อาจารย์นิธิ เคยวิจารณ์ให้ฟังว่าแม้แต่ทางวิทยาศาสตร์ เริ่มต้นก็มีสูตรเคมีของซีอิ้ว ไม่นานห้องสมุดก็จะเต็มไปด้วยสูตรเคมีของกะปิ น้ำปลา เต้าเจี้ยว งานศึกษาโครงสร้างตลาด.ในเขต.. ต่อไปก็มีงานศึกษาลักษณะนี้งอกมาอีกมาก อาจารย์นิธิยังเคยถามเลยว่าเราอยากได้เหรอความรู้แบบเนี้ยะ คนที่ทำคงหวังแค่ปริญญา งานเหล่านี้มีประโยชน์ก็เพียงทำให้ห้องสมุดแน่นขึ้นแม้แต่ผู้ทำก็ยังไม่รู้วิธีการแก้ปัญหา คนในแวดวงวิชาการอย่างอาจารย์โสภิณจะขนานนาม thesis ที่อาจารย์ยอมปล่อยให้ผ่านไปโดยใช้วิธีการไปดูว่าเล่มอื่นเขาทำยังไง แล้วลองทำคล้ายๆ เขาโดยไม่มีการทบทวนว่ามันเป็นปัญหาจริงหรือไม่ และพยายามเน้นที่เครื่องมือสถิติ วิธีแก้ปัญหาว่า thesis ที่ไม่มี thesis
6) จำเป็นต้องคิดทฤษฎีใหม่หรือไม่ งานคิดทฤษฎีใหม่เป็นงานที่หนักมากเพราะต้องสำรวจความรู้ว่ายังมีช่องว่างอะไรในความจริงแท้แน่นอนที่ทฤษฎีที่มีอยู่ทั้งหมดอธิบายไม่ได้ เพราะขอเน้นนะครับ อย่าพยายามเข้าข้างตัวเองว่าเราพบในสิ่งที่ยังไม่มีใครค้นพบจนตั้งทฤษฎีได้ เพราะโลกใบนี้มีคนอยู่เป็นจำนวนมาก อายุของมันตั้งแต่มีคำว่าวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นบนโลก มีคนคิดและเขียนไว้มากมายเพียงแต่เรามีความรู้หรืออ่านมากพอที่จะเข้าถึงทฤษฎีหรือไม่ เคยมีนิสิตมาพบผมแล้วพยายามบอกผมว่างานที่เขาคิดนั้นไม่เคยมีใครทำมาก่อน จึงหางาน review ไม่ได้ พอผมสำรวจแล้วมีมากมายเพียงแต่บางครั้งอาจเป็นภาษาที่ไม่ใช่ภาษาไทย และที่เป็นภาษาไทยก็มี เมื่อถามถึงเหตุผลว่าทำไมถึงบอกว่าไม่มี นิสิตจะบอกผมว่าเรื่องที่เหมือนเรื่องที่เขาจะทำไม่มี ผมจึงต้องพยายามเน้นว่าถ้ามีเรื่องที่เหมือนเรื่องที่เรามีปัญหาอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว ไม่ต้องลอกมาส่งและไม่ต้องทำมาส่ง เพราะแปลว่าได้มีคนแก้ปัญหานั้นให้คุณได้แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องหาวิธีแก้ปัญหาซ้ำคุณนำวิธีนั้นมาใช้ได้เลย ให้หาหัวข้อใหม่ เพราะย่อมมีปัญหาที่ต่อเนื่องและปัญหาข้างเคียงจากเรื่องนั้นอีกมากมายที่จะทำได้ถ้าเราเป็นคนที่สนใจพอ

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 14, 2008 8:38 pm
โดย Penguins
ขนาดย้ำว่าไม่ควรให้ความคิดเห็น
...แต่สิ่งที่เห็นเป็นยิ่งกว่า..

ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ขอเป็นประโยคสั้นๆ (จากใจ) มอบให้กับ (อ.) คุณ DNA

ขอบคุณครับ

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 14, 2008 10:04 pm
โดย หมีบึงกุ่ม
ได้ความรู้ดีครับ

ขออนุญาตก๊อปปี้ไปถ่ายทอดต่อครับ

หัวข้อ independent study ใดเกี่ยวกับหุ้น ที่ท่านอยากให้มี?

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 15, 2008 12:00 am
โดย miracle
ขอบคุณครับ
แจ่มมากๆๆ
:)