ช่วยให้ความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 22, 2008 10:25 pm
"จิม โรเจอร์ส" เชื่อมั่นตลาดโภคภัณฑ์ระยะยาวไปได้สวย ประเมินในระยะ 10 ปีข้างหน้าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าลงทุนในหุ้น 300% และเชื่อว่าหมดยุคทองแห่งการลงทุนในตราสารหนี้แล้ว (คลิกรูปอ่านเรื่อง)
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : "จิม โรเจอร์ส" เจ้าของฉายาอินเดียน่าโจนส์แห่งวงการไฟแนนซ์ และกูรูตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ชั้นนำของโลก กล่าวในหัวเรื่อง "การสังเกตการณ์สินค้าโภคภัณฑ์ จากการเดินทางเที่ยวรอบโลกนาน 3 ปี" ว่า แนวโน้มสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกในระยะยาวโภคภัณฑ์ยังเป็นตลาดน่าสนใจและเป็นมุมมองบวก
โดยมุมมองเป็นบวกของเขาที่มีต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในงานสัมมนา ถือว่าไม่แตกต่างไปจากที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ แต่เขาได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในประเด็นเกี่ยวกับอนาคตยิ่งใหญ่ของจีนในศตวรรษ 21 และปัญหาของอเมริกากับค่าเงินดอลลาร์ในปัจจุบันไว้ด้วย
ผมมาพูดในวันนี้ เพื่อกระตุ้นให้คุณซึ่งเป็นนักลงทุนไทย กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งยังเป็นตลาดเพื่อการลงทุนที่ไปได้อีกไกล เป็นตลาดอยู่ในภาวะกระทิงให้ผลตอบแทนดีเยี่ยมในระยะยาว ในไทยผมรู้ว่ามีตลาดซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์แล้ว แต่เน้นเทรดสินค้าเกษตรเป็นส่วนใหญ่ และคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าจะเทรดกันอย่างไร" นายโรเจอร์ส กล่าว
ทั้งนี้โดยฉายาอินเดียน่าโจนส์แห่งวงการไฟแนนซ์ เกิดจากการที่เขาเป็นนักเดินทางไปรอบโลกเพื่อหาข้อมูลทั้งการเมืองและเศรษฐกิจไว้ใช้การลงทุนในช่วง 3 ปี ผ่าน 116 ประเทศ
โรเจอร์ส ได้ให้เหตุผลส่วนหนึ่ง ที่เขาเชื่อมั่นว่า ตลาดโภคภัณฑ์อยู่ในภาวะกระทิงมากกว่า และให้ผลตอบแทนมากกว่าในระยะยาว เมื่อเทียบกับตราสารหนี้และหุ้น ด้วยการแสดงชาร์ทผลตอบแทนรวมการลงทุนของเขา จากดัชนีโภคภัณฑ์ ช่วง 11 ปีที่ผ่านมา ระหว่างเดือนส.ค. 2541 จนถึงเดือนก.ค. 2552
จากชาร์ทคุณจะเห็นได้ว่า โรเจอร์ส อินเทิล คอมโมดิตี้ส์ อินเด็กซ์ ในตลาดโภคภัณฑ์ทั่วโลกให้ผลตอบแทน 481.4% ขณะที่ เลห์ แมน แอลที เทรชเชอรี่ อินเด็กซ์ ซึ่งติดตามการลงทุนในตราสารหนี้ ให้ผลตอบแทนในช่วงเดียวกันเพียง 91.2% และผลตอบแทนรวมจากเอสแอนด์พี อินเด็กซ์ ซึ่งชี้วัดผลตอบแทนจากหุ้นโดยรวมอยู่ที่ระดับ 32.2% เท่านั้น
เขาให้ข้อมูลว่า การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เป็นไปตามอุปสงค์กับอุปทานของสินค้านั้นๆ และไม่มีปัจจัยสลับซับซ้อน ให้ต้องคิดหรือพิจารณาก่อนลงทุนเหมือนอย่างการลงทุนในตราสารหนี้และหุ้น
เราหมดยุคทองแห่งการลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งอยู่ช่วงปี 2524 -2546 ไปแล้ว และจากนี้หากคุณลงทุนในตราสารหนี้ ผมประเมินว่าจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียง 2-5%
แต่ตอนนี้คนทั่วไปรู้แล้วว่า สินค้าโภคภัณฑ์ สามารถเทรดกันได้ในตลาด ซึ่งตลาดนี้ก็เกิดขึ้นคล้ายๆ กับตอนที่คนทั่วไปไม่รู้จักว่า จะซื้อขายหุ้นอย่างไรเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่ตอนนี้ตลาดโภคภัณฑ์มีขนาดใหญ่อันดับสองรองจากตลาดปริวรรตเงินตราแล้ว กูรูตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ชั้นนำของโลกให้ข้อมูล
เขายังยกตัวอย่างน้ำมันซึ่งเขาให้ความสนใจลงทุนพอๆ กับทองคำ โดยย้ำว่าส่วนตัวแล้วเขาเน้นที่จะลงทุนในน้ำมันกับทองคำเพิ่มและไม่คิดที่จะขายหรือถอนการลงทุน
โดยราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นนั้น เชื่อว่า เป็นเพราะความไม่สมดุลของอุปสงค์กับอุปทาน ซึ่งปัญหาอุปทานน้ำมันอยู่ที่ไม่มีการค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่ๆ มานาน 40 ปีแล้ว ขณะที่ตัวเลขน้ำมันสำรองของซาอุดีอาระเบีย มีน้ำมันคงที่อยู่ที่ 260,000 ล้านบาร์เรล มาตั้งแต่ปี 2541 และตอนนี้ยังไม่สามารถคาดการณ์ตัวเลขน้ำมันแท้จริงได้
ส่วนปัญหาด้านอุปสงค์ของน้ำมัน น่าจะมาจากจีนและอินเดีย ที่เศรษฐกิจยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะจีนเขาเชื่อว่าจะเป็นประเทศยิ่งใหญ่ในโลกยุคต่อไป
"ตั้งแต่ปี 2511 จีนเปลี่ยนแปลงไปเป็นประเทศระบบทุนนิยม และประสบผลสำเร็จจากการเปลี่ยนนี้ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา เห็นได้จากคนจีนนิยมลงทุน 35% ของรายได้ และการทำงานไม่มีการเรียกร้องขอวันหยุด และผมเชื่อว่าภาษาจีนกลางจะเป็นภาษาสำคัญภาษาหนึ่งของโลก"
อดีตของโรเจอร์ส เคยเป็นหุ้นส่วนร่วมก่อตั้งควอนตัมฟันด์ ร่วมกับจอร์จ โซรอส พ่อมดการเงินโลก เชื่อว่าอุปสงค์ของน้ำมันจากจีนกับอินเดียยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าความต้องการน้ำมันจะเพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ
นอกจากนี้กูรูผู้เชื่อมั่นความเฟื่องฟูของตลาดโภคภัณฑ์ ยังให้เหตุผลอีกส่วนหนึ่ง ที่เขาสนับสนุนนักลงทุนไทยหันมาสนใจตลาดโภคภัณฑ์มากขึ้นว่า ราคาสินค้าเกษตร มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต เนื่องจากราคาที่เพิ่มขึ้นปัจจุบันยังต่ำ เมื่อเทียบกับราคาในอดีต
โรเจอร์ส ยกตัวอย่างราคาน้ำตาล ตอนนี้ยังอยู่ที่ระดับ 80% ของราคาที่เคยขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กาแฟราคาอยู่ที่ 60% ของราคาที่เคยทำสถิติสูงสุด
นอกจากนี้ ปัญหาการขาดแคลนด้านการผลิต ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดพืช ปุ๋ย รถแทรกเตอร์ และประชากรที่ต้องการทำอาชีพเกษตรกรรม ล้วนเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาสินค้าเกษตร นับวันจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผล ทำให้ นายโรเจอร์ส เชื่อว่าการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ยังน่าสนใจ
ขณะเดียวกัน หากมองถึงความสามารถในการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนแล้ว มั่นใจว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะไม่ผันผวนแบบขึ้นๆ ลงๆ ตามลักษณะการลงทุนในตราสารหนี้หรือหุ้น และย้ำว่าการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์จะช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนได้
ในช่วงระหว่างการถามตอบ โรเจอร์ส อธิบายถึงวัฏจักรของสินค้าโภคภัณฑ์ว่า ไม่มีใครบอกได้แม่นย่ำถึงจุดต่ำสุดสูงสุดของวัฏจักร และไม่อาจคาดเดาวัฏจักรอยู่นานเท่าใด แต่ในอดีตการปรับขึ้นของตลาดโภคภัณฑ์ที่ยาวนานที่สุดคือ 23 ปี
หากเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากสินค้าโภคภัณฑ์กับการลงทุนโดยตรงในสินค้าโภคภัณฑ์ จากผลวิจัยของมหาวิทยาลัยเยลและเพนซิลเวเนีย พบว่าจากการคาดการณ์การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ระยะ 10 ปีข้างหน้า จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในหุ้น 300% โรเจอร์ส กล่าว
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : "จิม โรเจอร์ส" เจ้าของฉายาอินเดียน่าโจนส์แห่งวงการไฟแนนซ์ และกูรูตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ชั้นนำของโลก กล่าวในหัวเรื่อง "การสังเกตการณ์สินค้าโภคภัณฑ์ จากการเดินทางเที่ยวรอบโลกนาน 3 ปี" ว่า แนวโน้มสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกในระยะยาวโภคภัณฑ์ยังเป็นตลาดน่าสนใจและเป็นมุมมองบวก
โดยมุมมองเป็นบวกของเขาที่มีต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในงานสัมมนา ถือว่าไม่แตกต่างไปจากที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ แต่เขาได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในประเด็นเกี่ยวกับอนาคตยิ่งใหญ่ของจีนในศตวรรษ 21 และปัญหาของอเมริกากับค่าเงินดอลลาร์ในปัจจุบันไว้ด้วย
ผมมาพูดในวันนี้ เพื่อกระตุ้นให้คุณซึ่งเป็นนักลงทุนไทย กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งยังเป็นตลาดเพื่อการลงทุนที่ไปได้อีกไกล เป็นตลาดอยู่ในภาวะกระทิงให้ผลตอบแทนดีเยี่ยมในระยะยาว ในไทยผมรู้ว่ามีตลาดซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์แล้ว แต่เน้นเทรดสินค้าเกษตรเป็นส่วนใหญ่ และคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าจะเทรดกันอย่างไร" นายโรเจอร์ส กล่าว
ทั้งนี้โดยฉายาอินเดียน่าโจนส์แห่งวงการไฟแนนซ์ เกิดจากการที่เขาเป็นนักเดินทางไปรอบโลกเพื่อหาข้อมูลทั้งการเมืองและเศรษฐกิจไว้ใช้การลงทุนในช่วง 3 ปี ผ่าน 116 ประเทศ
โรเจอร์ส ได้ให้เหตุผลส่วนหนึ่ง ที่เขาเชื่อมั่นว่า ตลาดโภคภัณฑ์อยู่ในภาวะกระทิงมากกว่า และให้ผลตอบแทนมากกว่าในระยะยาว เมื่อเทียบกับตราสารหนี้และหุ้น ด้วยการแสดงชาร์ทผลตอบแทนรวมการลงทุนของเขา จากดัชนีโภคภัณฑ์ ช่วง 11 ปีที่ผ่านมา ระหว่างเดือนส.ค. 2541 จนถึงเดือนก.ค. 2552
จากชาร์ทคุณจะเห็นได้ว่า โรเจอร์ส อินเทิล คอมโมดิตี้ส์ อินเด็กซ์ ในตลาดโภคภัณฑ์ทั่วโลกให้ผลตอบแทน 481.4% ขณะที่ เลห์ แมน แอลที เทรชเชอรี่ อินเด็กซ์ ซึ่งติดตามการลงทุนในตราสารหนี้ ให้ผลตอบแทนในช่วงเดียวกันเพียง 91.2% และผลตอบแทนรวมจากเอสแอนด์พี อินเด็กซ์ ซึ่งชี้วัดผลตอบแทนจากหุ้นโดยรวมอยู่ที่ระดับ 32.2% เท่านั้น
เขาให้ข้อมูลว่า การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เป็นไปตามอุปสงค์กับอุปทานของสินค้านั้นๆ และไม่มีปัจจัยสลับซับซ้อน ให้ต้องคิดหรือพิจารณาก่อนลงทุนเหมือนอย่างการลงทุนในตราสารหนี้และหุ้น
เราหมดยุคทองแห่งการลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งอยู่ช่วงปี 2524 -2546 ไปแล้ว และจากนี้หากคุณลงทุนในตราสารหนี้ ผมประเมินว่าจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียง 2-5%
แต่ตอนนี้คนทั่วไปรู้แล้วว่า สินค้าโภคภัณฑ์ สามารถเทรดกันได้ในตลาด ซึ่งตลาดนี้ก็เกิดขึ้นคล้ายๆ กับตอนที่คนทั่วไปไม่รู้จักว่า จะซื้อขายหุ้นอย่างไรเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่ตอนนี้ตลาดโภคภัณฑ์มีขนาดใหญ่อันดับสองรองจากตลาดปริวรรตเงินตราแล้ว กูรูตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ชั้นนำของโลกให้ข้อมูล
เขายังยกตัวอย่างน้ำมันซึ่งเขาให้ความสนใจลงทุนพอๆ กับทองคำ โดยย้ำว่าส่วนตัวแล้วเขาเน้นที่จะลงทุนในน้ำมันกับทองคำเพิ่มและไม่คิดที่จะขายหรือถอนการลงทุน
โดยราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นนั้น เชื่อว่า เป็นเพราะความไม่สมดุลของอุปสงค์กับอุปทาน ซึ่งปัญหาอุปทานน้ำมันอยู่ที่ไม่มีการค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่ๆ มานาน 40 ปีแล้ว ขณะที่ตัวเลขน้ำมันสำรองของซาอุดีอาระเบีย มีน้ำมันคงที่อยู่ที่ 260,000 ล้านบาร์เรล มาตั้งแต่ปี 2541 และตอนนี้ยังไม่สามารถคาดการณ์ตัวเลขน้ำมันแท้จริงได้
ส่วนปัญหาด้านอุปสงค์ของน้ำมัน น่าจะมาจากจีนและอินเดีย ที่เศรษฐกิจยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะจีนเขาเชื่อว่าจะเป็นประเทศยิ่งใหญ่ในโลกยุคต่อไป
"ตั้งแต่ปี 2511 จีนเปลี่ยนแปลงไปเป็นประเทศระบบทุนนิยม และประสบผลสำเร็จจากการเปลี่ยนนี้ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา เห็นได้จากคนจีนนิยมลงทุน 35% ของรายได้ และการทำงานไม่มีการเรียกร้องขอวันหยุด และผมเชื่อว่าภาษาจีนกลางจะเป็นภาษาสำคัญภาษาหนึ่งของโลก"
อดีตของโรเจอร์ส เคยเป็นหุ้นส่วนร่วมก่อตั้งควอนตัมฟันด์ ร่วมกับจอร์จ โซรอส พ่อมดการเงินโลก เชื่อว่าอุปสงค์ของน้ำมันจากจีนกับอินเดียยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าความต้องการน้ำมันจะเพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ
นอกจากนี้กูรูผู้เชื่อมั่นความเฟื่องฟูของตลาดโภคภัณฑ์ ยังให้เหตุผลอีกส่วนหนึ่ง ที่เขาสนับสนุนนักลงทุนไทยหันมาสนใจตลาดโภคภัณฑ์มากขึ้นว่า ราคาสินค้าเกษตร มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต เนื่องจากราคาที่เพิ่มขึ้นปัจจุบันยังต่ำ เมื่อเทียบกับราคาในอดีต
โรเจอร์ส ยกตัวอย่างราคาน้ำตาล ตอนนี้ยังอยู่ที่ระดับ 80% ของราคาที่เคยขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กาแฟราคาอยู่ที่ 60% ของราคาที่เคยทำสถิติสูงสุด
นอกจากนี้ ปัญหาการขาดแคลนด้านการผลิต ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดพืช ปุ๋ย รถแทรกเตอร์ และประชากรที่ต้องการทำอาชีพเกษตรกรรม ล้วนเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาสินค้าเกษตร นับวันจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผล ทำให้ นายโรเจอร์ส เชื่อว่าการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ยังน่าสนใจ
ขณะเดียวกัน หากมองถึงความสามารถในการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนแล้ว มั่นใจว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะไม่ผันผวนแบบขึ้นๆ ลงๆ ตามลักษณะการลงทุนในตราสารหนี้หรือหุ้น และย้ำว่าการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์จะช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนได้
ในช่วงระหว่างการถามตอบ โรเจอร์ส อธิบายถึงวัฏจักรของสินค้าโภคภัณฑ์ว่า ไม่มีใครบอกได้แม่นย่ำถึงจุดต่ำสุดสูงสุดของวัฏจักร และไม่อาจคาดเดาวัฏจักรอยู่นานเท่าใด แต่ในอดีตการปรับขึ้นของตลาดโภคภัณฑ์ที่ยาวนานที่สุดคือ 23 ปี
หากเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากสินค้าโภคภัณฑ์กับการลงทุนโดยตรงในสินค้าโภคภัณฑ์ จากผลวิจัยของมหาวิทยาลัยเยลและเพนซิลเวเนีย พบว่าจากการคาดการณ์การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ระยะ 10 ปีข้างหน้า จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในหุ้น 300% โรเจอร์ส กล่าว