ผลตอบแทน VS ความเสี่ยง /โลกในมุมมองของ Value Investor
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 15, 2008 8:40 am
16 ก.ย.51
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
นักลงทุนผู้มุ่งมั่นนั้น จำเป็นที่จะต้องประเมินผลงานการลงทุนของตนเองอยู่ตลอดเวลา เหตุผลก็คือ ข้อแรก จะได้รู้ว่าผลตอบแทนที่ทำได้นั้นดีและน่าพอใจแค่ไหน ข้อสอง รู้ว่าเรามีความเสี่ยงหรือได้เข้าไปรับความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน และข้อสาม เพื่อให้รู้ว่าผลตอบแทนที่ได้นั้น เกิดจากฝีมือหรือความบังเอิญและมันคุ้มค่าไหมที่จะรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
การประเมินเรื่องผลตอบแทนการลงทุนนั้นดูเหมือนจะง่ายที่สุดเพราะเราก็เพียงแต่คำนวณว่าเราได้กำไรเท่าไรรวมถึงเงินปันผลแล้วก็นำมาตั้งหารด้วยเงินลงทุนตอนต้นงวดหรือต้นปีก็จะได้ว่าเราได้กำไรกี่เปอร์เซ็นต์ต่องวดหรือต่อปี แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ ถ้าเราลงทุนระยะยาวหลาย ๆ ปี อย่างที่เราทำอยู่ การคิดผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีนั้น ต้องคิดผลตอบแทนทบต้นไม่ใช่ผลตอบแทนเฉลี่ยธรรมดา ซึ่งจะทำให้ตัวเลขของผลตอบแทนนั้นลดลง เช่น ถ้าผลตอบแทนเฉลี่ยธรรมดาอาจจะได้ 15% ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นอาจจะได้เพียง 12% ต่อปีเท่านั้น
ผลตอบแทนการลงทุนที่เราได้มาแต่ละปีนั้น จะบอกว่าดีหรือไม่จะต้องดูข้อมูลอย่างน้อยสองตัวนั่นก็คือ ผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ซึ่งก็สามารถคำนวณได้โดยการนำดัชนีตลาดตอนปลายปีลบด้วยดัชนีตอนต้นปีแล้วหารด้วยดัชนีตอนต้นปีก็จะได้กำไรจากการที่ดัชนีปรับตัวขึ้นไปคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ เสร็จแล้วก็จะต้องบวกด้วยผลตอบแทนจากปันผลหรือ Dividend Yield ของตลาดหลักทรัพย์ซึ่งปัจจุบันน่าจะอยู่ที่ประมาณ 3- 4 % ก็จะได้ผลตอบแทนรวมของตลาดต่อปี การที่จะบอกว่าผลตอบแทนของเราดีหรือไม่นั้น ก็ดูว่าผลตอบแทนของเราดีกว่าหรือแย่กว่าตลาด วอเร็น บัฟเฟตต์ ในช่วงที่เริ่มลงทุนใหม่ ๆ นั้น เขาตั้งเป้าว่าผลตอบแทนของเขาควรจะดีกว่าตลาดประมาณ 10% ต่อปี ซึ่งปรากฏว่าเขาทำได้ในช่วงเกือบ 50 ปีที่ผ่านมาและน่าจะเป็นสถิติที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง
การที่ผลตอบแทนดีกว่าตลาดนั้น ในความเห็นของผมก็ยังไม่พอจะต้องมีข้อสอง นั่นก็คือ เราจะต้องไม่ขาดทุน การที่ผลงานการลงทุนของเราดีกว่าตลาดแต่ขาดทุนนั้น ถ้าดูแล้วก็ไม่มีประโยชน์และความมั่งคั่งของเราจะลดลง อย่าลืมว่า ตลาดหุ้นนั้นโดยเฉลี่ย 10 ปี จะขาดทุนประมาณ 4 ปี และกำไร 6 ปี ถ้าตลาดขาดทุนแล้วเราทำได้ดีกว่าตลาดแต่ก็ขาดทุนเหมือนกัน แบบนี้โอกาสที่พอร์ตของเราจะได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวก็น้อยลงไปมาก วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่มีความโดดเด่นมากนั้นส่วนสำคัญที่คนอาจจะลืมไปก็คือ ในช่วง เกือบ 50 ปีที่ลงทุนเขาน่าจะเคยขาดทุนไม่เกิน 3-4 ปี ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นผลงานที่ยิ่งกว่าเรื่องของผลตอบแทนที่เขาทำได้
เรื่องของความเสี่ยงในการลงทุนนั้น มองโดยภาพรวมจะบอกว่าเรารับความเสี่ยงสูงหรือไม่นั้นสามารถมองได้สองเรื่อง เรื่องแรกก็คือ เรากู้เงินหรือใช้มาร์จินในการซื้อขายหุ้นหรือไม่ ถ้าใช่และใช้มากด้วย นี่ก็เป็นการบอกว่าเราเสี่ยงสูง ถ้าไม่ใช้เลยแปลว่าความเสี่ยงเราต่ำหรือเราไม่เสี่ยง อีกจุดหนึ่งที่พอจะมองได้ก็คือ ผลตอบแทนของพอร์ตของเราในอดีตที่ผ่านมา ถ้าผลตอบแทนที่ได้ปีต่อปีของเรานั้น มีการผันผวนสูงและเคยมีการ “ขาดทุนร้ายแรง” เป็นครั้งคราว แบบนี้อาจจะมองได้ว่าที่เราทำมานั้น เรามีความเสี่ยงสูงถึงแม้ว่าโดยรวมเรายังมีผลตอบแทนที่ดี แต่ความเสี่ยงนั้นแปลว่าอาจจะมีวันในอนาคตที่เราจะประสบกับความเสียหายหนักหรือหายนะที่อันตรายได้ วอเร็น บัฟเฟตต์ นั้นใช้เงินกู้น้อยมาก แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะเขามีเงินที่ “ไม่มีดอกเบี้ย” จากเบี้ยประกันของบริษัทประกันภัยของเขามาใช้ลงทุนมากมาย
มองความเสี่ยงในภาพเล็กลงมาเราก็อาจจะมองจากจำนวนและขนาดของหุ้นแต่ละตัวที่เราถือหรือเคยถืออยู่ ถ้าเรามักถือหุ้นจำนวนน้อยมากเช่น ถือเพียงตัวเดียวหรือสองตัว หรือถือหลายตัวแต่ตัวที่ถือหนัก ๆ นั้นมีเพียงตัวเดียวหรือสองตัว แบบนี้ก็ต้องบอกว่าเรารับความเสี่ยงมากกว่าการที่จะถือหุ้นถึง 4-5 ตัวกระจายกันไปโดยไม่มีตัวที่มากขนาดเป็น 50% ของพอร์ต
บางคนอาจจะบอกว่าตนเอง “ไม่เสี่ยง” เพราะได้พิจารณาและวิเคราะห์เป็นอย่างดี ความเสี่ยงสำหรับเขาก็คือ “ความไม่รู้ ถ้ารู้ก็ไม่เสี่ยง” นี่อาจจะเป็นเรื่องของความมั่นใจในความสามารถของตนเอง แต่คนเรานั้นย่อมไม่สามารถรู้อะไรทั้งหมด และหุ้นนั้นเป็นอะไรที่จะถูกผลกระทบจากปัจจัยภายนอกได้มากมาย ดังนั้น สำหรับผมแล้ว การถือหุ้นน้อยตัวเกินไปหรือหนักเกินไปในบางตัวนั้น เป็นความเสี่ยงเสมอ เช่นเดียวกับการถือหุ้นมากตัวเกินไปที่มีความเสี่ยงที่เกิดจากการที่เรา “ไม่รู้” เพราะศึกษาไม่ดีพอ บัฟเฟตต์ เองนั้น แม้ว่าจะเป็นคนที่ถือหุ้นน้อยตัว แต่แทบไม่เคยที่เขาจะลงทุนในหุ้นตัวเดียวถึง 50% ของพอร์ต ยกเว้นในช่วงสั้น ๆ ที่เขาเคยถือหุ้นอเมริกันเอ็กซเพรสที่กำลังเกิดปัญหารุนแรงและราคาหุ้นถูกอย่างเหลือเชื่อ
ความเสี่ยงนั้น บางทีก็ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าอย่างที่พูดว่า “ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสืออย่างไร” ดังนั้น Value Investor หลาย ๆ คนจึงยอมเสี่ยงมากกว่าปกติ เช่น ใช้มาร์จินซื้อขายหุ้น ซื้อหุ้นลงทุนในแต่ละช่วงเพียงตัวเดียวหรือสองตัว หลายคนมีผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ต่างกับนักเก็งกำไร ผลที่ออกมาหลายคนอาจจะน่าประทับใจมากจนกลายเป็น Role Model หรือตัวอย่างให้คนทำตาม แต่หลายคนก็อาจจะขาดทุนผิดหวังและเก็บตัวเงียบอยู่คนเดียวอย่างที่เรียกว่า “คนตายไม่ได้พูด”
ถ้าเช่นนั้น ในฐานะของ Value Investor เราควรรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหรือไม่ พูดอีกอย่าง มันคุ้มไหมที่เสี่ยงเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น คำตอบของผมก็คือ มันขึ้นอยู่กับแต่ละคน ถ้าเงินที่เราลงทุนในหุ้นเป็นเงินจำนวนไม่มากในแง่ของเรา หรือมันอาจจะมากแต่เรายังมีทางหามาใหม่ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดถ้าหากว่ามันหมดหรือลดลงไปมาก ในลักษณะแบบนี้ เราก็สามารถที่จะเสี่ยงได้มาก แต่ถ้าเม็ดเงินที่มีอยู่มีจำนวนมากและเราพอใจที่จะมีความมั่งคั่งในระดับนั้นมากอยู่แล้ว การเสี่ยงเพื่อให้พอร์ตโตเร็วขึ้นอีกก็อาจจะไม่คุ้ม
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เราต้องรู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นมีความเสี่ยงแค่ไหนและโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนเพิ่มจะมีมากน้อยแค่ไหน บ่อยครั้งที่เราลงทุน เราอาจจะคิดว่าความเสี่ยงมีน้อยทั้งที่มันอาจจะมาก การที่เราเคยทำแล้วประสบความสำเร็จนั้นไม่ได้หมายความว่าความเสี่ยงต่ำ เพียงแต่ว่าผลร้ายมันยังไม่เกิด ความสำเร็จที่เกิดขึ้นหลาย ๆ ครั้งอาจทำให้เราชะล่าใจคิดว่าเราเก่งเราเข้าใจดี แต่อาจจะมีวันที่เราทุ่มลงทุนอย่างหนักด้วยความมั่นใจสูงแต่ผลอาจจะเป็นทางตรงกันข้ามและนั่นอาจจะหมายถึงหายนะ พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงกรณีของบริษัทเงินทุน Fin One ของนายปิ่น จักกะพาก ซึ่งครั้งหนึ่งประสบความสำเร็จสูงมากจากการเติบโตอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นคุณปิ่นเคยให้สัมภาษณ์ว่า Fin One ทำงานอย่างอนุรักษ์นิยมมากและเน้นความปลอดภัยสูงสุด Fin One ไม่ “Take Risk” หรือรับความเสี่ยงสูง แต่แล้วก็อย่างที่ทราบกัน Fin One ล่มสลายในยามที่มันโตสุดขีด บทเรียนเรื่องนี้สอนให้ผมตระหนักว่า หายนะอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และมันมักจะเกิดตอนที่เรามั่นใจสุดขีด
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
นักลงทุนผู้มุ่งมั่นนั้น จำเป็นที่จะต้องประเมินผลงานการลงทุนของตนเองอยู่ตลอดเวลา เหตุผลก็คือ ข้อแรก จะได้รู้ว่าผลตอบแทนที่ทำได้นั้นดีและน่าพอใจแค่ไหน ข้อสอง รู้ว่าเรามีความเสี่ยงหรือได้เข้าไปรับความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน และข้อสาม เพื่อให้รู้ว่าผลตอบแทนที่ได้นั้น เกิดจากฝีมือหรือความบังเอิญและมันคุ้มค่าไหมที่จะรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
การประเมินเรื่องผลตอบแทนการลงทุนนั้นดูเหมือนจะง่ายที่สุดเพราะเราก็เพียงแต่คำนวณว่าเราได้กำไรเท่าไรรวมถึงเงินปันผลแล้วก็นำมาตั้งหารด้วยเงินลงทุนตอนต้นงวดหรือต้นปีก็จะได้ว่าเราได้กำไรกี่เปอร์เซ็นต์ต่องวดหรือต่อปี แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ ถ้าเราลงทุนระยะยาวหลาย ๆ ปี อย่างที่เราทำอยู่ การคิดผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีนั้น ต้องคิดผลตอบแทนทบต้นไม่ใช่ผลตอบแทนเฉลี่ยธรรมดา ซึ่งจะทำให้ตัวเลขของผลตอบแทนนั้นลดลง เช่น ถ้าผลตอบแทนเฉลี่ยธรรมดาอาจจะได้ 15% ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นอาจจะได้เพียง 12% ต่อปีเท่านั้น
ผลตอบแทนการลงทุนที่เราได้มาแต่ละปีนั้น จะบอกว่าดีหรือไม่จะต้องดูข้อมูลอย่างน้อยสองตัวนั่นก็คือ ผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ซึ่งก็สามารถคำนวณได้โดยการนำดัชนีตลาดตอนปลายปีลบด้วยดัชนีตอนต้นปีแล้วหารด้วยดัชนีตอนต้นปีก็จะได้กำไรจากการที่ดัชนีปรับตัวขึ้นไปคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ เสร็จแล้วก็จะต้องบวกด้วยผลตอบแทนจากปันผลหรือ Dividend Yield ของตลาดหลักทรัพย์ซึ่งปัจจุบันน่าจะอยู่ที่ประมาณ 3- 4 % ก็จะได้ผลตอบแทนรวมของตลาดต่อปี การที่จะบอกว่าผลตอบแทนของเราดีหรือไม่นั้น ก็ดูว่าผลตอบแทนของเราดีกว่าหรือแย่กว่าตลาด วอเร็น บัฟเฟตต์ ในช่วงที่เริ่มลงทุนใหม่ ๆ นั้น เขาตั้งเป้าว่าผลตอบแทนของเขาควรจะดีกว่าตลาดประมาณ 10% ต่อปี ซึ่งปรากฏว่าเขาทำได้ในช่วงเกือบ 50 ปีที่ผ่านมาและน่าจะเป็นสถิติที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง
การที่ผลตอบแทนดีกว่าตลาดนั้น ในความเห็นของผมก็ยังไม่พอจะต้องมีข้อสอง นั่นก็คือ เราจะต้องไม่ขาดทุน การที่ผลงานการลงทุนของเราดีกว่าตลาดแต่ขาดทุนนั้น ถ้าดูแล้วก็ไม่มีประโยชน์และความมั่งคั่งของเราจะลดลง อย่าลืมว่า ตลาดหุ้นนั้นโดยเฉลี่ย 10 ปี จะขาดทุนประมาณ 4 ปี และกำไร 6 ปี ถ้าตลาดขาดทุนแล้วเราทำได้ดีกว่าตลาดแต่ก็ขาดทุนเหมือนกัน แบบนี้โอกาสที่พอร์ตของเราจะได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวก็น้อยลงไปมาก วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่มีความโดดเด่นมากนั้นส่วนสำคัญที่คนอาจจะลืมไปก็คือ ในช่วง เกือบ 50 ปีที่ลงทุนเขาน่าจะเคยขาดทุนไม่เกิน 3-4 ปี ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นผลงานที่ยิ่งกว่าเรื่องของผลตอบแทนที่เขาทำได้
เรื่องของความเสี่ยงในการลงทุนนั้น มองโดยภาพรวมจะบอกว่าเรารับความเสี่ยงสูงหรือไม่นั้นสามารถมองได้สองเรื่อง เรื่องแรกก็คือ เรากู้เงินหรือใช้มาร์จินในการซื้อขายหุ้นหรือไม่ ถ้าใช่และใช้มากด้วย นี่ก็เป็นการบอกว่าเราเสี่ยงสูง ถ้าไม่ใช้เลยแปลว่าความเสี่ยงเราต่ำหรือเราไม่เสี่ยง อีกจุดหนึ่งที่พอจะมองได้ก็คือ ผลตอบแทนของพอร์ตของเราในอดีตที่ผ่านมา ถ้าผลตอบแทนที่ได้ปีต่อปีของเรานั้น มีการผันผวนสูงและเคยมีการ “ขาดทุนร้ายแรง” เป็นครั้งคราว แบบนี้อาจจะมองได้ว่าที่เราทำมานั้น เรามีความเสี่ยงสูงถึงแม้ว่าโดยรวมเรายังมีผลตอบแทนที่ดี แต่ความเสี่ยงนั้นแปลว่าอาจจะมีวันในอนาคตที่เราจะประสบกับความเสียหายหนักหรือหายนะที่อันตรายได้ วอเร็น บัฟเฟตต์ นั้นใช้เงินกู้น้อยมาก แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะเขามีเงินที่ “ไม่มีดอกเบี้ย” จากเบี้ยประกันของบริษัทประกันภัยของเขามาใช้ลงทุนมากมาย
มองความเสี่ยงในภาพเล็กลงมาเราก็อาจจะมองจากจำนวนและขนาดของหุ้นแต่ละตัวที่เราถือหรือเคยถืออยู่ ถ้าเรามักถือหุ้นจำนวนน้อยมากเช่น ถือเพียงตัวเดียวหรือสองตัว หรือถือหลายตัวแต่ตัวที่ถือหนัก ๆ นั้นมีเพียงตัวเดียวหรือสองตัว แบบนี้ก็ต้องบอกว่าเรารับความเสี่ยงมากกว่าการที่จะถือหุ้นถึง 4-5 ตัวกระจายกันไปโดยไม่มีตัวที่มากขนาดเป็น 50% ของพอร์ต
บางคนอาจจะบอกว่าตนเอง “ไม่เสี่ยง” เพราะได้พิจารณาและวิเคราะห์เป็นอย่างดี ความเสี่ยงสำหรับเขาก็คือ “ความไม่รู้ ถ้ารู้ก็ไม่เสี่ยง” นี่อาจจะเป็นเรื่องของความมั่นใจในความสามารถของตนเอง แต่คนเรานั้นย่อมไม่สามารถรู้อะไรทั้งหมด และหุ้นนั้นเป็นอะไรที่จะถูกผลกระทบจากปัจจัยภายนอกได้มากมาย ดังนั้น สำหรับผมแล้ว การถือหุ้นน้อยตัวเกินไปหรือหนักเกินไปในบางตัวนั้น เป็นความเสี่ยงเสมอ เช่นเดียวกับการถือหุ้นมากตัวเกินไปที่มีความเสี่ยงที่เกิดจากการที่เรา “ไม่รู้” เพราะศึกษาไม่ดีพอ บัฟเฟตต์ เองนั้น แม้ว่าจะเป็นคนที่ถือหุ้นน้อยตัว แต่แทบไม่เคยที่เขาจะลงทุนในหุ้นตัวเดียวถึง 50% ของพอร์ต ยกเว้นในช่วงสั้น ๆ ที่เขาเคยถือหุ้นอเมริกันเอ็กซเพรสที่กำลังเกิดปัญหารุนแรงและราคาหุ้นถูกอย่างเหลือเชื่อ
ความเสี่ยงนั้น บางทีก็ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าอย่างที่พูดว่า “ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสืออย่างไร” ดังนั้น Value Investor หลาย ๆ คนจึงยอมเสี่ยงมากกว่าปกติ เช่น ใช้มาร์จินซื้อขายหุ้น ซื้อหุ้นลงทุนในแต่ละช่วงเพียงตัวเดียวหรือสองตัว หลายคนมีผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ต่างกับนักเก็งกำไร ผลที่ออกมาหลายคนอาจจะน่าประทับใจมากจนกลายเป็น Role Model หรือตัวอย่างให้คนทำตาม แต่หลายคนก็อาจจะขาดทุนผิดหวังและเก็บตัวเงียบอยู่คนเดียวอย่างที่เรียกว่า “คนตายไม่ได้พูด”
ถ้าเช่นนั้น ในฐานะของ Value Investor เราควรรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหรือไม่ พูดอีกอย่าง มันคุ้มไหมที่เสี่ยงเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น คำตอบของผมก็คือ มันขึ้นอยู่กับแต่ละคน ถ้าเงินที่เราลงทุนในหุ้นเป็นเงินจำนวนไม่มากในแง่ของเรา หรือมันอาจจะมากแต่เรายังมีทางหามาใหม่ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดถ้าหากว่ามันหมดหรือลดลงไปมาก ในลักษณะแบบนี้ เราก็สามารถที่จะเสี่ยงได้มาก แต่ถ้าเม็ดเงินที่มีอยู่มีจำนวนมากและเราพอใจที่จะมีความมั่งคั่งในระดับนั้นมากอยู่แล้ว การเสี่ยงเพื่อให้พอร์ตโตเร็วขึ้นอีกก็อาจจะไม่คุ้ม
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เราต้องรู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นมีความเสี่ยงแค่ไหนและโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนเพิ่มจะมีมากน้อยแค่ไหน บ่อยครั้งที่เราลงทุน เราอาจจะคิดว่าความเสี่ยงมีน้อยทั้งที่มันอาจจะมาก การที่เราเคยทำแล้วประสบความสำเร็จนั้นไม่ได้หมายความว่าความเสี่ยงต่ำ เพียงแต่ว่าผลร้ายมันยังไม่เกิด ความสำเร็จที่เกิดขึ้นหลาย ๆ ครั้งอาจทำให้เราชะล่าใจคิดว่าเราเก่งเราเข้าใจดี แต่อาจจะมีวันที่เราทุ่มลงทุนอย่างหนักด้วยความมั่นใจสูงแต่ผลอาจจะเป็นทางตรงกันข้ามและนั่นอาจจะหมายถึงหายนะ พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงกรณีของบริษัทเงินทุน Fin One ของนายปิ่น จักกะพาก ซึ่งครั้งหนึ่งประสบความสำเร็จสูงมากจากการเติบโตอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นคุณปิ่นเคยให้สัมภาษณ์ว่า Fin One ทำงานอย่างอนุรักษ์นิยมมากและเน้นความปลอดภัยสูงสุด Fin One ไม่ “Take Risk” หรือรับความเสี่ยงสูง แต่แล้วก็อย่างที่ทราบกัน Fin One ล่มสลายในยามที่มันโตสุดขีด บทเรียนเรื่องนี้สอนให้ผมตระหนักว่า หายนะอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และมันมักจะเกิดตอนที่เรามั่นใจสุดขีด