วิกฤติหรือโอกาส / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
วิกฤติหรือโอกาส / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
โลกในมุมมองของ Value Investor 7 ตุลาคม 2551
วิกฤติการเงินของสหรัฐอเมริกาในช่วงนี้ทำให้นักลงทุนเสียหายหนักมากและคนจำนวนมากต่างก็ “หนีตาย” หรือถอนตัวจากตลาดหุ้นกันเป็นแถว แต่ดูเหมือนว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ กำลังยุ่งอยู่กับการลงทุนในบริษัทหลาย ๆ แห่ง ที่โดดเด่นก็คือ โกลด์แมนซาคและจีอี ที่เขาจ่ายเงินไปรวมกัน 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเม็ดเงินจำนวนกว่า 30,000 ล้านเหรียญที่มีอยู่ในมือ สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว ช่วงนี้คือ “โอกาสทอง” ที่เขาจะได้ลงทุนในหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมในราคาที่ถูกมาก คำถามที่ตามมาก็คือ วอเร็น บัฟเฟตต์ มีมุมมองหรือกลยุทธ์การลงทุนอย่างไรในภาวะวิกฤติ และต่อไปนี้ก็คือความคิดของเขาที่ถูกนำเสนอโดย Alice Schroeder ผู้เขียนหนังสือชื่อ Snowball ซึ่งเล่าประวัติชีวิตของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่กำลังขายดีอยู่ในขณะนี้
บัฟเฟตต์คิดว่า
1) ในช่วงวิกฤตินั้น ถ้าคุณมีเงินสด และ มีความกล้าหาญเพียงพอที่จะลงทุน นี่คือสวรรค์และเป็นสิ่งที่ไม่อาจประเมินค่าได้ สิ่งที่ผมอยากอธิบายเพิ่มเติมก็คือ คนส่วนมากนั้นอาจจะมีเงินสด แต่ในยามที่เกิดวิกฤติ คนเหล่านั้นมักไม่กล้าลงทุนเนื่องจากพวกเขามักจะกลัวว่าเงินลงทุนจะสูญหายไปกับภาวะวิกฤติ บัฟเฟตต์บอกว่า ในยามที่คนกลัว เราจะต้องพยายามที่จะกล้าหรือ “โลภ” เพื่อที่จะได้กล้าเสี่ยงลงทุนในยามที่ “เลวร้ายที่สุด” และนี่มักจะกลายเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำถ้าเราทำได้ถูกต้อง
2) ในการที่จะลงทุนได้อย่างถูกต้องนั้น บัฟเฟตต์บอกว่า จงอย่าลงทุนในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ นั่นหมายความว่า เวลาเกิดวิกฤติ ราคาหุ้นตกลงมามากก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเข้าไปซื้อเพียงเพราะราคามันลงมา แต่จะซื้อเพราะเราดูแล้วว่าเรารู้จักและเข้าใจธุรกิจดี และรู้ว่าราคาที่เราเห็นนั้นต่ำกว่ามูลค่าของมันมาก สิ่งที่ผมอยากจะเพิ่มเติมก็คือ ในช่วงที่เกิดวิกฤติหุ้นไฮเท็คในช่วงปี 2000 นั้น หุ้นไฮเท็คจำนวนมากมีราคาตกลงมา หลาย ๆ ตัวตกลงมา 80-90% แต่บัฟเฟตต์ก็ไม่ได้เข้าไปซื้อลงทุนเลย เพราะเขาไม่เข้าใจธุรกิจเหล่านั้นพอ และก็ต้องบอกว่าบัฟเฟตต์คิดถูกที่ไม่ได้เข้าเล่นหุ้นไฮเท็ค เพราะหุ้นส่วนมากที่ตกลงมานั้น ไม่ได้มีโอกาสกลับขึ้นมาอีกเลย
3 ) อย่าพยายามรับมีดที่กำลังร่วงลงมาจนกว่าคุณจะเข้าใจและจัดการกับความเสี่ยงได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่บัฟเฟตต์ระมัดระวังเสมอ จากประวัติของบัฟเฟตต์นั้น แทบทุกครั้งที่เขาเข้าไปลงทุนในหุ้นที่กำลัง “วิกฤติ” ก็คือ นอกจากโอกาสที่จะทำกำไรมหาศาลแล้ว เขาจะมองหา “ตาข่าย” รองรับเสมอถ้าสิ่งที่เขาคิดไว้ผิดพลาด กลยุทธ์อย่างหนึ่งที่เขาใช้เป็นประจำก็คือ แทนที่จะเข้าไปซื้อหุ้นโดยตรง เขามักจะเสนอซื้อหุ้นบุริมสิทธ์ที่บริษัทสัญญาว่าจะจ่ายปันผลแน่นอน เช่นในกรณีของโกลด์แมนซาคและจีอีที่จ่ายปันผล 10% ต่อปี และเขามีสิทธ์ที่จะได้เงินคืนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญในกรณีที่บริษัทล้มละลาย แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เขาจะขออ็อปชั่นหรือวอแรนต์ที่จะซื้อหุ้นสามัญในอนาคตในราคาที่กำหนดล่วงหน้าซึ่งจะทำให้เขาได้กำไรมหาศาลถ้าบริษัทฟื้นตัวและรอดจากภาวะวิกฤติไปได้ อย่างในกรณีของโกลด์แมนซาคและจีอี เขาก็ได้วอแรนต์ที่จะซื้อหุ้นสามัญจำนวนเท่ากับหุ้นบุริมสิทธ์ภายในเวลา 5 ปีในราคาพอ ๆ กับราคาตลาดในช่วงที่เขาตัดสินใจลงทุน
สถิติการลงทุนในยาม “วิกฤติ” ของบัฟเฟตต์ นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายอดเยี่ยมและต้องถือเป็นตำนาน ในครั้งนี้เราก็คงต้องดูกันต่อไปว่าเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การตอบรับจากตลาดหุ้นดูเหมือนว่าจะเป็นในทางบวกตั้งแต่เขาเข้าไปลงทุนแล้ว แต่ประเด็นของเราก็คือ การตกลงมาของตลาดหุ้นบ้านเราในวันนี้ถือเป็นวิกฤติหรือโอกาสที่เราจะเข้าไปทำเงิน?
วิเคราะห์ดูแล้ว ผมเห็นว่าภาวะของเศรษฐกิจและตลาดการเงินของเราจริง ๆ ไม่ได้ถูกกระทบมากเพราะเราได้รับบทเรียนจากวิกฤติปี 2540 ที่ทำให้กิจการทั้งหลายในประเทศไทยมีความระมัดระวังมาก รวมไปถึงสถาบันการเงินต่าง ๆ ก็ไม่ได้มีการปล่อยเงินกู้ออกไปง่าย ๆ อย่างในสมัยก่อน และนี่ทำให้การกู้เงินของบริษัทต่าง ๆ มีสัดส่วนน้อยลงไปมากทำให้ฐานะการเงินของบริษัทส่วนใหญ่ค่อนข้างเข้มแข็ง ดังนั้น ภาวะวิกฤติที่กระทบกับไทยโดยตรงจริง ๆ จึงอยู่ที่ตลาดหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติต่างก็เทขายหุ้นเพื่อนำเงินกลับไปดูแลตนเองในต่างประเทศ ผลก็คือ ราคาหุ้นลดลงเรื่อย ๆ โดยที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนยังดีอยู่ แน่นอน ผลการดำเนินงานในอนาคตอาจจะถดถอยลงบ้างแต่ก็คงไม่มากนักเมื่อเทียบกับการลดลงของราคาหุ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่พึ่งพิงกับการใช้จ่ายเงินในประเทศเป็นหลัก ดังนั้น ข้อสรุปของผมก็คือ นี่น่าจะเป็นโอกาสที่เราจะซื้อหุ้นลงทุน
การลงทุนใน “ภาวะวิกฤติ” ในช่วงนี้ แน่นอน มีความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าภาวะวิกฤติของอเมริกาลามไปและทำให้เศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ถ้าเรายึดหลัก 3 ข้อ ของบัฟเฟตต์ข้างต้น ผมคิดว่ามีโอกาสสูงที่เราจะได้รับผลตอบแทนที่ดี พูดถึงเรื่องนี้ ผมลองนึกย้อนหลังไปในช่วงประมาณ 12 ปีที่ผมลงทุนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์และเก็บข้อมูลอย่างละเอียดก็พบว่า ผมผ่าน “ภาวะวิกฤติ” มาถึง 2 ครั้งแล้วคือในปี 2540 และ 2543 ทั้งสองครั้งดัชนีตลาดตกลงมากว่า 40% ซึ่งมากกว่าภาวะในขณะนี้ แต่ผมก็รอดมาได้ ดังนั้น ผมจึงไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมครั้งนี้ผมจะรอดไม่ได้โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงว่า ใน 2 ครั้งก่อนนั้น ภาวะเศรษฐกิจจริงเลวร้ายกว่าในปัจจุบันมาก เพราะฉะนั้น สำหรับนักลงทุนที่ไม่ได้ลงทุนร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว การเข้ามาลงทุนในช่วงนี้ก็ต้องถือว่าได้เปรียบมาก อย่าปล่อย “โอกาสทอง” ให้หลุดไปนะครับ
วิกฤติการเงินของสหรัฐอเมริกาในช่วงนี้ทำให้นักลงทุนเสียหายหนักมากและคนจำนวนมากต่างก็ “หนีตาย” หรือถอนตัวจากตลาดหุ้นกันเป็นแถว แต่ดูเหมือนว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ กำลังยุ่งอยู่กับการลงทุนในบริษัทหลาย ๆ แห่ง ที่โดดเด่นก็คือ โกลด์แมนซาคและจีอี ที่เขาจ่ายเงินไปรวมกัน 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเม็ดเงินจำนวนกว่า 30,000 ล้านเหรียญที่มีอยู่ในมือ สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว ช่วงนี้คือ “โอกาสทอง” ที่เขาจะได้ลงทุนในหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมในราคาที่ถูกมาก คำถามที่ตามมาก็คือ วอเร็น บัฟเฟตต์ มีมุมมองหรือกลยุทธ์การลงทุนอย่างไรในภาวะวิกฤติ และต่อไปนี้ก็คือความคิดของเขาที่ถูกนำเสนอโดย Alice Schroeder ผู้เขียนหนังสือชื่อ Snowball ซึ่งเล่าประวัติชีวิตของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่กำลังขายดีอยู่ในขณะนี้
บัฟเฟตต์คิดว่า
1) ในช่วงวิกฤตินั้น ถ้าคุณมีเงินสด และ มีความกล้าหาญเพียงพอที่จะลงทุน นี่คือสวรรค์และเป็นสิ่งที่ไม่อาจประเมินค่าได้ สิ่งที่ผมอยากอธิบายเพิ่มเติมก็คือ คนส่วนมากนั้นอาจจะมีเงินสด แต่ในยามที่เกิดวิกฤติ คนเหล่านั้นมักไม่กล้าลงทุนเนื่องจากพวกเขามักจะกลัวว่าเงินลงทุนจะสูญหายไปกับภาวะวิกฤติ บัฟเฟตต์บอกว่า ในยามที่คนกลัว เราจะต้องพยายามที่จะกล้าหรือ “โลภ” เพื่อที่จะได้กล้าเสี่ยงลงทุนในยามที่ “เลวร้ายที่สุด” และนี่มักจะกลายเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำถ้าเราทำได้ถูกต้อง
2) ในการที่จะลงทุนได้อย่างถูกต้องนั้น บัฟเฟตต์บอกว่า จงอย่าลงทุนในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ นั่นหมายความว่า เวลาเกิดวิกฤติ ราคาหุ้นตกลงมามากก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเข้าไปซื้อเพียงเพราะราคามันลงมา แต่จะซื้อเพราะเราดูแล้วว่าเรารู้จักและเข้าใจธุรกิจดี และรู้ว่าราคาที่เราเห็นนั้นต่ำกว่ามูลค่าของมันมาก สิ่งที่ผมอยากจะเพิ่มเติมก็คือ ในช่วงที่เกิดวิกฤติหุ้นไฮเท็คในช่วงปี 2000 นั้น หุ้นไฮเท็คจำนวนมากมีราคาตกลงมา หลาย ๆ ตัวตกลงมา 80-90% แต่บัฟเฟตต์ก็ไม่ได้เข้าไปซื้อลงทุนเลย เพราะเขาไม่เข้าใจธุรกิจเหล่านั้นพอ และก็ต้องบอกว่าบัฟเฟตต์คิดถูกที่ไม่ได้เข้าเล่นหุ้นไฮเท็ค เพราะหุ้นส่วนมากที่ตกลงมานั้น ไม่ได้มีโอกาสกลับขึ้นมาอีกเลย
3 ) อย่าพยายามรับมีดที่กำลังร่วงลงมาจนกว่าคุณจะเข้าใจและจัดการกับความเสี่ยงได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่บัฟเฟตต์ระมัดระวังเสมอ จากประวัติของบัฟเฟตต์นั้น แทบทุกครั้งที่เขาเข้าไปลงทุนในหุ้นที่กำลัง “วิกฤติ” ก็คือ นอกจากโอกาสที่จะทำกำไรมหาศาลแล้ว เขาจะมองหา “ตาข่าย” รองรับเสมอถ้าสิ่งที่เขาคิดไว้ผิดพลาด กลยุทธ์อย่างหนึ่งที่เขาใช้เป็นประจำก็คือ แทนที่จะเข้าไปซื้อหุ้นโดยตรง เขามักจะเสนอซื้อหุ้นบุริมสิทธ์ที่บริษัทสัญญาว่าจะจ่ายปันผลแน่นอน เช่นในกรณีของโกลด์แมนซาคและจีอีที่จ่ายปันผล 10% ต่อปี และเขามีสิทธ์ที่จะได้เงินคืนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญในกรณีที่บริษัทล้มละลาย แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เขาจะขออ็อปชั่นหรือวอแรนต์ที่จะซื้อหุ้นสามัญในอนาคตในราคาที่กำหนดล่วงหน้าซึ่งจะทำให้เขาได้กำไรมหาศาลถ้าบริษัทฟื้นตัวและรอดจากภาวะวิกฤติไปได้ อย่างในกรณีของโกลด์แมนซาคและจีอี เขาก็ได้วอแรนต์ที่จะซื้อหุ้นสามัญจำนวนเท่ากับหุ้นบุริมสิทธ์ภายในเวลา 5 ปีในราคาพอ ๆ กับราคาตลาดในช่วงที่เขาตัดสินใจลงทุน
สถิติการลงทุนในยาม “วิกฤติ” ของบัฟเฟตต์ นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายอดเยี่ยมและต้องถือเป็นตำนาน ในครั้งนี้เราก็คงต้องดูกันต่อไปว่าเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การตอบรับจากตลาดหุ้นดูเหมือนว่าจะเป็นในทางบวกตั้งแต่เขาเข้าไปลงทุนแล้ว แต่ประเด็นของเราก็คือ การตกลงมาของตลาดหุ้นบ้านเราในวันนี้ถือเป็นวิกฤติหรือโอกาสที่เราจะเข้าไปทำเงิน?
วิเคราะห์ดูแล้ว ผมเห็นว่าภาวะของเศรษฐกิจและตลาดการเงินของเราจริง ๆ ไม่ได้ถูกกระทบมากเพราะเราได้รับบทเรียนจากวิกฤติปี 2540 ที่ทำให้กิจการทั้งหลายในประเทศไทยมีความระมัดระวังมาก รวมไปถึงสถาบันการเงินต่าง ๆ ก็ไม่ได้มีการปล่อยเงินกู้ออกไปง่าย ๆ อย่างในสมัยก่อน และนี่ทำให้การกู้เงินของบริษัทต่าง ๆ มีสัดส่วนน้อยลงไปมากทำให้ฐานะการเงินของบริษัทส่วนใหญ่ค่อนข้างเข้มแข็ง ดังนั้น ภาวะวิกฤติที่กระทบกับไทยโดยตรงจริง ๆ จึงอยู่ที่ตลาดหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติต่างก็เทขายหุ้นเพื่อนำเงินกลับไปดูแลตนเองในต่างประเทศ ผลก็คือ ราคาหุ้นลดลงเรื่อย ๆ โดยที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนยังดีอยู่ แน่นอน ผลการดำเนินงานในอนาคตอาจจะถดถอยลงบ้างแต่ก็คงไม่มากนักเมื่อเทียบกับการลดลงของราคาหุ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่พึ่งพิงกับการใช้จ่ายเงินในประเทศเป็นหลัก ดังนั้น ข้อสรุปของผมก็คือ นี่น่าจะเป็นโอกาสที่เราจะซื้อหุ้นลงทุน
การลงทุนใน “ภาวะวิกฤติ” ในช่วงนี้ แน่นอน มีความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าภาวะวิกฤติของอเมริกาลามไปและทำให้เศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ถ้าเรายึดหลัก 3 ข้อ ของบัฟเฟตต์ข้างต้น ผมคิดว่ามีโอกาสสูงที่เราจะได้รับผลตอบแทนที่ดี พูดถึงเรื่องนี้ ผมลองนึกย้อนหลังไปในช่วงประมาณ 12 ปีที่ผมลงทุนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์และเก็บข้อมูลอย่างละเอียดก็พบว่า ผมผ่าน “ภาวะวิกฤติ” มาถึง 2 ครั้งแล้วคือในปี 2540 และ 2543 ทั้งสองครั้งดัชนีตลาดตกลงมากว่า 40% ซึ่งมากกว่าภาวะในขณะนี้ แต่ผมก็รอดมาได้ ดังนั้น ผมจึงไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมครั้งนี้ผมจะรอดไม่ได้โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงว่า ใน 2 ครั้งก่อนนั้น ภาวะเศรษฐกิจจริงเลวร้ายกว่าในปัจจุบันมาก เพราะฉะนั้น สำหรับนักลงทุนที่ไม่ได้ลงทุนร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว การเข้ามาลงทุนในช่วงนี้ก็ต้องถือว่าได้เปรียบมาก อย่าปล่อย “โอกาสทอง” ให้หลุดไปนะครับ
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
-
- Verified User
- โพสต์: 1808
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วิกฤติหรือโอกาส / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 3
อ่านในหนังสือ หุ้นตกหนักๆก็ตั้งกะปี 1930 ก็เป็นโอกาสทองoatty เขียน:อย่าปล่อย โอกาสทอง ให้หลุดไปนะครับ
ไอเราก็ไม่คิดว่า ลงทุนปีแรกจะได้เจอวิกฤตหนักๆเร็วขนาดนี้
แต่อาจจะถือว่าเป็นโชคดีของผมก็ได้นะครับ ที่ไม่ได้ลงทุนเมื่อต้นๆปี
เริ่มลงทุนช่วงเกิดวิกฤตเลย :oops:
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
วิกฤติหรือโอกาส / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 4
ขอบคุณมากๆนะครับ ข้อเขียนของ ดร.ยังมี คุณค่าดีๆให้นักลงทุนได้นำไปใช้เสมอครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
- GeneraX
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
วิกฤติหรือโอกาส / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 5
อยากทราบจริงๆครับ VI ณ วันนี้ส่วนมากแล้ว ยังมีเงินสดเหลืออยู่มากพอที่จะพลิกวิกฤตตรงนี้หรอครับ?
เพราะเห็นจากโพล http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=35446 ในกระทู้นี้แล้ว ส่วนมากจะแทบไม่มีเงินสดเหลืออยู่แล้ว
เพราะเห็นจากโพล http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=35446 ในกระทู้นี้แล้ว ส่วนมากจะแทบไม่มีเงินสดเหลืออยู่แล้ว
Financial Discipline + Value Investment + Time = Financial Independence
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
วิกฤติหรือโอกาส / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 6
คนที่ทำงานประจำด้วย
น่าจะมีเงินมาลงทุนเพิ่มเรื่อย ๆ นะครับ
น่าจะมีเงินมาลงทุนเพิ่มเรื่อย ๆ นะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
วิกฤติหรือโอกาส / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 8
เห็นด้วยกับพี่ LOSO ครับ
ที่บอกว่าลุงบัฟเริ่มใช้เงินลงทุนแล้ว จริงๆ คงต้องดูเนื้อในตัวสินทรัพย์ด้วยว่าเค้าเอาไปลงอะไร ไม่ใช่บอกว่าเริ่มซื้อหุ้น (บุริมสิทธิ์) แล้วเราจะไปตามด้วยการซื้อหุ้นไทยแบบไม่คิดอะไรเปรียบเทียบข้อแตกต่าง
ที่บอกว่าลุงบัฟเริ่มใช้เงินลงทุนแล้ว จริงๆ คงต้องดูเนื้อในตัวสินทรัพย์ด้วยว่าเค้าเอาไปลงอะไร ไม่ใช่บอกว่าเริ่มซื้อหุ้น (บุริมสิทธิ์) แล้วเราจะไปตามด้วยการซื้อหุ้นไทยแบบไม่คิดอะไรเปรียบเทียบข้อแตกต่าง
Impossible is Nothing
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
วิกฤติหรือโอกาส / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 10
เงื่อนไขที่ Buffett ได้ ก็เปรียบได้กับ หุ้นกู้แปลงสภาพ นั้นเอง
บริษัทในไทยหลายบริษัทก็เคยออกหุ้นกู้แปลงสภาพลักษณะนี้ขายให้แก่ประชาชน
ผมก็เคยคิดว่าดี เคยลงทุนซื้อด้วย
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ แถมยังได้เงินต้นไม่ครบซะด้วย ขาดทุนได้นะครับ
ถ้าผลการดำเนินงานของบริษัทไม่ดี ราคาหุ้นไม่ขึ้น สิทธิแปลงสภาพมีก็เท่ากับไม่มี
เมื่อคิดว่าสิทธิแปลงสภาพไม่มี ก็เหมือนกับเราเป็นเจ้าหนี้ ออกเงินให้บริษัทกู้ยืมนั้นเอง แต่เป็นประเภทไม่มีหลักประกันซะด้วยแฮะ
คล้ายๆกับหนี้บัตรเครดิต หนี้นอกระบบ ว่าแต่หนี้เหล่านี้คิดอัตราดอกเบี้ยซักเท่าไรกัน
บริษัทในไทยหลายบริษัทก็เคยออกหุ้นกู้แปลงสภาพลักษณะนี้ขายให้แก่ประชาชน
ผมก็เคยคิดว่าดี เคยลงทุนซื้อด้วย
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ แถมยังได้เงินต้นไม่ครบซะด้วย ขาดทุนได้นะครับ
ถ้าผลการดำเนินงานของบริษัทไม่ดี ราคาหุ้นไม่ขึ้น สิทธิแปลงสภาพมีก็เท่ากับไม่มี
เมื่อคิดว่าสิทธิแปลงสภาพไม่มี ก็เหมือนกับเราเป็นเจ้าหนี้ ออกเงินให้บริษัทกู้ยืมนั้นเอง แต่เป็นประเภทไม่มีหลักประกันซะด้วยแฮะ
คล้ายๆกับหนี้บัตรเครดิต หนี้นอกระบบ ว่าแต่หนี้เหล่านี้คิดอัตราดอกเบี้ยซักเท่าไรกัน
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
วิกฤติหรือโอกาส / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 12
เล่นขาลง เล่นน่ะได้ พูดน่ะง่าย แต่ทำจริง ไม่ง่ายหรอก
ถ้าง่ายจริงๆ คงมีดร.นิเวศน์ มากกว่าห้าหมื่นคนในตลาด (นับแค่ 10% ของนลท.ทั้งตลาด ซึ่งถ้าง่ายจริงๆ ต้องมีมากกว่า 50%ของนลท.ทั้งตลาด)
และถ้าง่ายจริง คงมีวอเรน เต็มโลก
ดังนั้น มันไม่ง่าย ถ้าจะลงทุนในขาลง
จะง่ายกว่ามั้ย ถ้ารอลงทุน ขาตาย คือรอตายก่อน รอนิ่งก่อน รอมองเห็นภาพที่ชัดกว่านี้ เห็นภาพที่เข้าใจได้กว่านี้ เห็นโอกาสชนะมากกว่านี้
...ไหนว่า การลงทุนไม่ต้องรีบไง...แล้วทำไมต้องรีบลงมือในยามที่ภาพยังคลุมเครือ...ตลาดเปิดทุกวันทำการไม่ใช่หรือคะ...ก็ มองยังไงๆ ก็ยังไม่รู้สึกเลยว่าต้องรีบลงทุน ชนิดที่ถ้าไม่รีบซื้อวันนี้ พรุ่งนี้จะไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว...โอกาสมีเสมอ ถ้าตลาดยังเปิดทำการ........มิใช่หรือคะ
^
^
แล้วประโยคนี้ก็ชัดอยู่แล้ว ว่าไม่เห็นต้องรีบ
เพราะก็บอกกันบ่อยๆไม่ใช่รึ ว่า ราคา ที่สุดแล้ว จะเคลื่อนไหวไปตามผลประกอบการที่เป็น
ราคาจะไม่ลงยังไง ถ้าหลายๆคนรับรู้ได้ว่า เดี๋ยวจะถดถอยลง
กลับกัน ราคาจะขึ้นได้ไง ถ้าหลายคนไม่รับรู้ได้ว่า เดี๋ยวจะเติบโต
...........รับรู้หรือยังล่ะคะ ว่าจะเติบโต
...........แน่นอน ก็ดูรายตัวไปสิ
...........เก่งพอจะเดาออกรายตัวมั้ย
...........ใครบ้างที่เก่งพอ...เรา รวมอยู่ในกลุ่มเก่งพอมั้ย...หรือไม่เป็นไร ใช้ลอกการบ้านเซียนเอา... :?
พูดกันตรงๆเลยดีกว่าค่ะ เอาแค่ในเวบนี้นะ มีกี่คนที่รอดได้ในปีนี้ แล้วนั่นคิดเป็นกี่% ของสมาชิกทั้งเวบ
คำว่ารอด เอาแค่ว่า ใครไม่ขาดทุน หรือขาดทุนน้อยมาก หรือกำไร คนสองสามกลุ่มนี้ เรียกว่ารอด
คนที่ชนะตลาดได้ ชนิดที่แบบ ขาดทุนน้อยกว่าตลาด ไม่ควรเรียกว่ารอด
ชนะหรือแพ้ แค่ภาพลวง มันขึ้นอยู่ที่เอาอะไรเป็นธงวัด เอาดัชนีวัด แล้วขาดทุนน้อยกว่า อย่างนี้ชนะ แต่...ไม่ได้รอด
ดิฉันคิดว่าต้องมองที่ตัวเองก่อนนะคะ เวลาจะตัดสินใจทำอะไร
ประเมินตัวเองก่อน ว่าเก่งจริงมั้ยในเรื่องเกี่ยวเนื่องที่ต้องตัดสินใจนั้น
ถ้าไม่แน่ใจว่า "ฉันนั้นใช่เลย" ให้ยอมรับว่า ฉันนั้นไม่ได้จัดในหมวดพวกเก่งจริง
นักรบ หากไม่มั่นใจ แล้วเดินทัพหน้า แค่เดินไปตามแม่ทัพลั่นคำสั่งทัพ
ก็ โอกาสตายสูงทีเดียว
ถ้าเป็นนักรบที่ไม่มีฝีมือมากพอ อย่าขอสมัครอยู่ทัพหน้า
ยิ่งถ้าไม่มีฝีมือเลย จงทำเรื่องขอไปอยู่โรงครัวก่อน
จนเมื่อฝึกปรือจนมั่นใจในเพลงทวนเพลงดาบแล้ว ค่อยอาจหาญไปกองหน้า
หรือพวกโรงครัว คงต้องรอการศึกพลิกสถานการ มีโอกาสได้ชัยชนะเสียก่อน ค่อยโผล่ออกมาจากครัว
ดิฉันไม่ได้บอกว่า ดร.นิเวศน์ ผิดหรือถูก มิบังอาจไปเถียง ท่านย่อมเก่งกว่า
แต่แค่อยากสะกิดเตือนใจนักรบ (โดยเฉพาะพวกมือใหม่ไฟแรงๆ คิดว่าอะไรก็ง่ายไปหมด)
สำหรับดิฉันนั้น แน่ใจมากๆเลยว่า อยู่ในจำพวกไม่เก่ง
(ไม่เคยถ่อมตัว ไม่เคยประเมินตัวเองต่ำเกินไป คำว่า"ไม่เก่ง"นี่ละ ประเมินอย่างยุติธรรมแล้ว)
ดังนั้น กฏเหล็กที่ตั้งไว้ตั้งแต่เริ่มเข้าตลาดใหม่ๆคือ เมื่อปีใด ที่มั่นใจว่า เข้าสู่รอบเศรษฐกิจขาลง .......จงอย่าเที่ยววิ่งหาเหรียญบาท ในดงกับระเบิด
ถ้าง่ายจริงๆ คงมีดร.นิเวศน์ มากกว่าห้าหมื่นคนในตลาด (นับแค่ 10% ของนลท.ทั้งตลาด ซึ่งถ้าง่ายจริงๆ ต้องมีมากกว่า 50%ของนลท.ทั้งตลาด)
และถ้าง่ายจริง คงมีวอเรน เต็มโลก
ดังนั้น มันไม่ง่าย ถ้าจะลงทุนในขาลง
จะง่ายกว่ามั้ย ถ้ารอลงทุน ขาตาย คือรอตายก่อน รอนิ่งก่อน รอมองเห็นภาพที่ชัดกว่านี้ เห็นภาพที่เข้าใจได้กว่านี้ เห็นโอกาสชนะมากกว่านี้
...ไหนว่า การลงทุนไม่ต้องรีบไง...แล้วทำไมต้องรีบลงมือในยามที่ภาพยังคลุมเครือ...ตลาดเปิดทุกวันทำการไม่ใช่หรือคะ...ก็ มองยังไงๆ ก็ยังไม่รู้สึกเลยว่าต้องรีบลงทุน ชนิดที่ถ้าไม่รีบซื้อวันนี้ พรุ่งนี้จะไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว...โอกาสมีเสมอ ถ้าตลาดยังเปิดทำการ........มิใช่หรือคะ
^แน่นอน ผลการดำเนินงานในอนาคตอาจจะถดถอยลงบ้าง
^
^
แล้วประโยคนี้ก็ชัดอยู่แล้ว ว่าไม่เห็นต้องรีบ
เพราะก็บอกกันบ่อยๆไม่ใช่รึ ว่า ราคา ที่สุดแล้ว จะเคลื่อนไหวไปตามผลประกอบการที่เป็น
ราคาจะไม่ลงยังไง ถ้าหลายๆคนรับรู้ได้ว่า เดี๋ยวจะถดถอยลง
กลับกัน ราคาจะขึ้นได้ไง ถ้าหลายคนไม่รับรู้ได้ว่า เดี๋ยวจะเติบโต
...........รับรู้หรือยังล่ะคะ ว่าจะเติบโต
...........แน่นอน ก็ดูรายตัวไปสิ
...........เก่งพอจะเดาออกรายตัวมั้ย
...........ใครบ้างที่เก่งพอ...เรา รวมอยู่ในกลุ่มเก่งพอมั้ย...หรือไม่เป็นไร ใช้ลอกการบ้านเซียนเอา... :?
พูดกันตรงๆเลยดีกว่าค่ะ เอาแค่ในเวบนี้นะ มีกี่คนที่รอดได้ในปีนี้ แล้วนั่นคิดเป็นกี่% ของสมาชิกทั้งเวบ
คำว่ารอด เอาแค่ว่า ใครไม่ขาดทุน หรือขาดทุนน้อยมาก หรือกำไร คนสองสามกลุ่มนี้ เรียกว่ารอด
คนที่ชนะตลาดได้ ชนิดที่แบบ ขาดทุนน้อยกว่าตลาด ไม่ควรเรียกว่ารอด
ชนะหรือแพ้ แค่ภาพลวง มันขึ้นอยู่ที่เอาอะไรเป็นธงวัด เอาดัชนีวัด แล้วขาดทุนน้อยกว่า อย่างนี้ชนะ แต่...ไม่ได้รอด
ดิฉันคิดว่าต้องมองที่ตัวเองก่อนนะคะ เวลาจะตัดสินใจทำอะไร
ประเมินตัวเองก่อน ว่าเก่งจริงมั้ยในเรื่องเกี่ยวเนื่องที่ต้องตัดสินใจนั้น
ถ้าไม่แน่ใจว่า "ฉันนั้นใช่เลย" ให้ยอมรับว่า ฉันนั้นไม่ได้จัดในหมวดพวกเก่งจริง
นักรบ หากไม่มั่นใจ แล้วเดินทัพหน้า แค่เดินไปตามแม่ทัพลั่นคำสั่งทัพ
ก็ โอกาสตายสูงทีเดียว
ถ้าเป็นนักรบที่ไม่มีฝีมือมากพอ อย่าขอสมัครอยู่ทัพหน้า
ยิ่งถ้าไม่มีฝีมือเลย จงทำเรื่องขอไปอยู่โรงครัวก่อน
จนเมื่อฝึกปรือจนมั่นใจในเพลงทวนเพลงดาบแล้ว ค่อยอาจหาญไปกองหน้า
หรือพวกโรงครัว คงต้องรอการศึกพลิกสถานการ มีโอกาสได้ชัยชนะเสียก่อน ค่อยโผล่ออกมาจากครัว
ดิฉันไม่ได้บอกว่า ดร.นิเวศน์ ผิดหรือถูก มิบังอาจไปเถียง ท่านย่อมเก่งกว่า
แต่แค่อยากสะกิดเตือนใจนักรบ (โดยเฉพาะพวกมือใหม่ไฟแรงๆ คิดว่าอะไรก็ง่ายไปหมด)
สำหรับดิฉันนั้น แน่ใจมากๆเลยว่า อยู่ในจำพวกไม่เก่ง
(ไม่เคยถ่อมตัว ไม่เคยประเมินตัวเองต่ำเกินไป คำว่า"ไม่เก่ง"นี่ละ ประเมินอย่างยุติธรรมแล้ว)
ดังนั้น กฏเหล็กที่ตั้งไว้ตั้งแต่เริ่มเข้าตลาดใหม่ๆคือ เมื่อปีใด ที่มั่นใจว่า เข้าสู่รอบเศรษฐกิจขาลง .......จงอย่าเที่ยววิ่งหาเหรียญบาท ในดงกับระเบิด
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
วิกฤติหรือโอกาส / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 14
แล้วมีซักกี่คนในเวบนี้ที่เข้าใจหลักการลงทุนแนว VI และยึดมั่นได้ละครับ007-s เขียน:พูดกันตรงๆเลยดีกว่าค่ะ เอาแค่ในเวบนี้นะ มีกี่คนที่รอดได้ในปีนี้ แล้วนั่นคิดเป็นกี่% ของสมาชิกทั้งเวบ
คำว่ารอด เอาแค่ว่า ใครไม่ขาดทุน หรือขาดทุนน้อยมาก หรือกำไร คนสองสามกลุ่มนี้ เรียกว่ารอด
คนที่ชนะตลาดได้ ชนิดที่แบบ ขาดทุนน้อยกว่าตลาด ไม่ควรเรียกว่ารอด
ชนะหรือแพ้ แค่ภาพลวง มันขึ้นอยู่ที่เอาอะไรเป็นธงวัด เอาดัชนีวัด แล้วขาดทุนน้อยกว่า อย่างนี้ชนะ แต่...ไม่ได้รอด
ส่วนการวัดผลตอบแทน ผมก็ว่าไม่ค่อยยุติธรรมถ้าเราจะวัดภายในระยะเวลาสั้นๆ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- poppo
- Verified User
- โพสต์: 1356
- ผู้ติดตาม: 0
วิกฤติหรือโอกาส / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 15
ขอคารวะพี่ 007-s ติดตามมานาน
แต่ผมว่าปัญหาของ vi อ่อนหัดแบบผม ส่วนใหญ่ตอนนี้คือ
มีหุ้นเต็มมือ เงินไม่เหลือแล้ว และขาดทุนอยู่
จะขายก่อนแล้วไปรับที่ต่ำกว่านี้ก็ไม่กล้า และเสียดายหุ้นที่ถืออยู่
หุ้นส่วนใหญ่ที่ถืออยู่ก็เป็นหุ้นที่ดี มีกำไรสม่ำเสมอ ไม่มีท่าทีจะเจ๊ง (แต่ตอนนี้เริ่มเสียวๆ เพราะบริษัทที่เจ๊งส่วนใหญ่ ล้มทั้งยืนให้เห็นมามากแล้ว ไม่มีใครรู้ก่อนเจ้าของหรอก)
อย่างนี้ทำอย่างไรดี :?
ขายก่อนสักครึ่งนึง ที่เหลือแช่ไว้กินปันผล เงินที่ได้มาใหม่จากการทำงานก็อย่าเพิ่งลงในหุ้น เอาไปฝาก money market fund ไว้ก่อน
แล้วรอตอนที่เริ่มนับศพกัน (ซึ่งก็มีศพทหารเราด้วยบางส่วน) ค่อยมาซื้อ
อย่างนี้ดีไหมครับ :? :?
แต่ผมว่าปัญหาของ vi อ่อนหัดแบบผม ส่วนใหญ่ตอนนี้คือ
มีหุ้นเต็มมือ เงินไม่เหลือแล้ว และขาดทุนอยู่
จะขายก่อนแล้วไปรับที่ต่ำกว่านี้ก็ไม่กล้า และเสียดายหุ้นที่ถืออยู่
หุ้นส่วนใหญ่ที่ถืออยู่ก็เป็นหุ้นที่ดี มีกำไรสม่ำเสมอ ไม่มีท่าทีจะเจ๊ง (แต่ตอนนี้เริ่มเสียวๆ เพราะบริษัทที่เจ๊งส่วนใหญ่ ล้มทั้งยืนให้เห็นมามากแล้ว ไม่มีใครรู้ก่อนเจ้าของหรอก)
อย่างนี้ทำอย่างไรดี :?
ขายก่อนสักครึ่งนึง ที่เหลือแช่ไว้กินปันผล เงินที่ได้มาใหม่จากการทำงานก็อย่าเพิ่งลงในหุ้น เอาไปฝาก money market fund ไว้ก่อน
แล้วรอตอนที่เริ่มนับศพกัน (ซึ่งก็มีศพทหารเราด้วยบางส่วน) ค่อยมาซื้อ
อย่างนี้ดีไหมครับ :? :?
จงทนอด และอดทน
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
วิกฤติหรือโอกาส / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 17
สำหรับตัวผมนั้น แน่ใจมากๆเลยว่า อยู่ในจำพวกไม่เก่งสำหรับดิฉันนั้น แน่ใจมากๆเลยว่า อยู่ในจำพวกไม่เก่ง
(ไม่เคยถ่อมตัว ไม่เคยประเมินตัวเองต่ำเกินไป คำว่า"ไม่เก่ง"นี่ละ ประเมินอย่างยุติธรรมแล้ว)
(ไม่เคยถ่อมตัว ไม่เคยประเมินตัวเองต่ำเกินไป คำว่า"ไม่เก่ง"นี่ละ ประเมินอย่างยุติธรรมแล้ว)
ความเห็นผมออกแนวๆน้อง007นี่แหละ
หรือวิชาเท่าๆกันเลยมองคล้ายๆกัน
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
วิกฤติหรือโอกาส / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 18
ใช่ค่ะ ที่ดิฉันพยายามจะสื่อ ก็คือทำนองนั้นละคะ พี่ฉัตรชัย
เชื่อได้เลยว่า มีมากมายเหลือเกิน ที่เข้ามาศึกษาในเวบนี้ หรืออ่านหนังสือ ตำราวีไอ แล้วมั่นใจมาก เชื่อเลยว่า ฉันเนี่ย วีไอ
แต่เอาแค่ บอกว่า วีไอนี่ต้องถือยาวนะ อันนี้ก็เป๋แล้ว
การถือยาว คือกลยุทธ แค่ตามสถิติว่าถือยาว จะผลตอบแทนดีกว่า เล่นสั้น
มันแค่กลยุทธ ไม่ใช่หลักการของวีไอ อะไรเลย
หลักการคือยังไง ก็คือ ต้องลงทุนในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่ามากๆหน่อย
ต้องมองที่ตัวบริษัท ตัวสินค้า และบริการ ต้องมองอะไรต่อมิอะไรอีกมาก
อ่านงบ อ่านกระแสเงินสดอะไรแบบพี่ฉัตรชัย
ถือยาว แล้วไปถือขาลงของบริษัท อย่างงี้เรียกวีไอมั้ย ไม่ใช่นะ ตามความเข้าใจดิฉันอ่ะ :lol:
ถือยาว แล้วไปถือรอในขณะที่มองเห็นอยู่ชัดๆว่า ไม่มีอนาคตแล้ว งี้ไม่ใช่นะ
มีกฏตรงไหนสอนว่า เป็นวีไอต้องถือหุ้น ทั้งๆที่รู้ว่าอาการถดถอยของผลประกอบการกำลังลดลงต่อเนื่อง ยิ่งถ้ามองแล้วใจฝ่อว่า อาจจะลงหนัก ลงยาว กระทบพื้นฐานการประกอบการ แล้วถือยาวจะช่วยให้ชนะอะไรได้ :?
มีหรอคะ เห็นๆว่าบ้านกำลังไฟไหม้ แล้วไม่ทำอะไรซักอย่าง
คนที่เวลาบ้านไฟไหม้แล้วไม่ทำอะไรซักอย่าง นั่นคือ คนนั้นไม่รู้ว่าบ้านไฟไหม้
ถ้าบอกว่า เป็นวีไอต้องรอ ต้องทรมาณตัวเองในกองไฟ เพื่อรอวันไฟดับลง
งี้ไม่ไหวอ่ะค่ะ
ดิฉันตอบ พี่ poppo ไม่ได้อ่ะค่ะ ว่า ควรทำไงดี :shock:
ก็บอกแล้วดิฉันไม่เก่ง
เอาสรุปๆก็คือ อันไหนที่ไฟไม่ไหม้ ก็ถือรอได้มั้งคะ
แต่อันไหนไฟไหม้แน่ๆ ถอยก่อนมั้ย
ซึ่งย้ำอีกที ดิฉันไม่เก่ง ก็ไม่ขอฟันธง อันไหน ไฟไหม้แน่ๆ อันไหนไม่ไหม้แน่ๆ
และก็ประเด็นนี้แหละ ที่ดิฉันอยากเตือนนักรบที่เพลงดาบไม่แกร่งพอ
อย่าใช้อารมณ์
อย่าโกรธ
อย่ากวัดไกวดาบมั่วซั่ว
คือเวลา น้องๆ เอากระบะพอร์ทหุ้นมาตั้งกระทู้ถามพี่ๆ ว่าพอร์ทป๋มมีแบบนี้ ขาดทุนไปแล้วแบบนี้ ป๋มควรทำยังไง
....ไม่มีใครมาตอบหรอกกกกกกกกกก
....เพราะที่นี่ เขาจะถามสวนกลับไปว่า แล้วตอนซื้อคุณคิดว่าไงล่ะ...เป็นธรรมเนียมของเวบนี้ (เอาล่ะ ซึ่งตรงนี้ดิฉันเห็นด้วย เพราะไม่งั้นทุกคนไม่ยอมเรียนรู้เองเลย)
....ทีนี้เมื่อ งงๆ สับสน เอ๋อๆ ใจวังเวง ในเวลาแบบนี้ ต้องทำอะไร
เมื่อไม่มีใครช่วย ต้องช่วยตัวเอง
ถึงบอกไง ถามตัวเองก่อน ประเมินอย่างยุติธรรม ให้ความยุติธรรมต่อตัวเอง
เรารู้แค่ไหน เราเก่งแค่ไหน เรายืนอยู่ตรงไหน
แล้วเราควรทำไงดี
ดิฉันตอบแทนคนอื่นไม่ได้ แต่ดิฉันตอบกับตัวเองได้ และตอบไปแล้ว
อีกครึ่งปี ดิฉันอาจจะปรับมุมมองได้อีก ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ไม่มีเสียฟอร์ม
แล้วไม่เสียใจเลยว่า แหม น่าจะขายซะหมด ตั้งกะแปดร้อย เมื่อก่อนน่ะเป็น โอยโกรธตัวเองใหญ่ แหม ตอนนั้นกำไรเท่านั้นเท่านี้ มาตอนนี้จะให้ขายนะ ไม่มีทาง...มะก่อนน่ะใช่ แต่ตอนนี้โตแล้ว :lol:
โกรธทำไมที่รู้ช้า ควรดีใจสิ ที่อย่างน้อยได้รู้
แล้วถ้าผิด ก้เอาใหม่ มีอะไรต้องเสีย
:lol: :lol: :lol:
ปล.ก็ไม่ฟันธงนะ แต่ก็ภาวนาอยากให้เด้งบ้าง แต่ต้าน set 62X ปลายๆนั่นมันเป็นต้านสำคัญไปซะงั้นแล้ว ต้องยืนตรงนั้นให้ได้ก่อน ถึงจะมีหวังไปต่อได้อีกหน่อย """" เน้น ไม่ฟันธง"""" """"แต่ภาวนา"""""
ปล.2 ยิ่งรายตัวไม่ต้องถามเลยค่ะ เซียนยังไม่มีใครตอบ ดิฉันยิ่งไม่ตอบใหญ่เลย :oops: :oops:
เชื่อได้เลยว่า มีมากมายเหลือเกิน ที่เข้ามาศึกษาในเวบนี้ หรืออ่านหนังสือ ตำราวีไอ แล้วมั่นใจมาก เชื่อเลยว่า ฉันเนี่ย วีไอ
แต่เอาแค่ บอกว่า วีไอนี่ต้องถือยาวนะ อันนี้ก็เป๋แล้ว
การถือยาว คือกลยุทธ แค่ตามสถิติว่าถือยาว จะผลตอบแทนดีกว่า เล่นสั้น
มันแค่กลยุทธ ไม่ใช่หลักการของวีไอ อะไรเลย
หลักการคือยังไง ก็คือ ต้องลงทุนในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่ามากๆหน่อย
ต้องมองที่ตัวบริษัท ตัวสินค้า และบริการ ต้องมองอะไรต่อมิอะไรอีกมาก
อ่านงบ อ่านกระแสเงินสดอะไรแบบพี่ฉัตรชัย
ถือยาว แล้วไปถือขาลงของบริษัท อย่างงี้เรียกวีไอมั้ย ไม่ใช่นะ ตามความเข้าใจดิฉันอ่ะ :lol:
ถือยาว แล้วไปถือรอในขณะที่มองเห็นอยู่ชัดๆว่า ไม่มีอนาคตแล้ว งี้ไม่ใช่นะ
มีกฏตรงไหนสอนว่า เป็นวีไอต้องถือหุ้น ทั้งๆที่รู้ว่าอาการถดถอยของผลประกอบการกำลังลดลงต่อเนื่อง ยิ่งถ้ามองแล้วใจฝ่อว่า อาจจะลงหนัก ลงยาว กระทบพื้นฐานการประกอบการ แล้วถือยาวจะช่วยให้ชนะอะไรได้ :?
มีหรอคะ เห็นๆว่าบ้านกำลังไฟไหม้ แล้วไม่ทำอะไรซักอย่าง
คนที่เวลาบ้านไฟไหม้แล้วไม่ทำอะไรซักอย่าง นั่นคือ คนนั้นไม่รู้ว่าบ้านไฟไหม้
ถ้าบอกว่า เป็นวีไอต้องรอ ต้องทรมาณตัวเองในกองไฟ เพื่อรอวันไฟดับลง
งี้ไม่ไหวอ่ะค่ะ
ดิฉันตอบ พี่ poppo ไม่ได้อ่ะค่ะ ว่า ควรทำไงดี :shock:
ก็บอกแล้วดิฉันไม่เก่ง
เอาสรุปๆก็คือ อันไหนที่ไฟไม่ไหม้ ก็ถือรอได้มั้งคะ
แต่อันไหนไฟไหม้แน่ๆ ถอยก่อนมั้ย
ซึ่งย้ำอีกที ดิฉันไม่เก่ง ก็ไม่ขอฟันธง อันไหน ไฟไหม้แน่ๆ อันไหนไม่ไหม้แน่ๆ
และก็ประเด็นนี้แหละ ที่ดิฉันอยากเตือนนักรบที่เพลงดาบไม่แกร่งพอ
อย่าใช้อารมณ์
อย่าโกรธ
อย่ากวัดไกวดาบมั่วซั่ว
คือเวลา น้องๆ เอากระบะพอร์ทหุ้นมาตั้งกระทู้ถามพี่ๆ ว่าพอร์ทป๋มมีแบบนี้ ขาดทุนไปแล้วแบบนี้ ป๋มควรทำยังไง
....ไม่มีใครมาตอบหรอกกกกกกกกกก
....เพราะที่นี่ เขาจะถามสวนกลับไปว่า แล้วตอนซื้อคุณคิดว่าไงล่ะ...เป็นธรรมเนียมของเวบนี้ (เอาล่ะ ซึ่งตรงนี้ดิฉันเห็นด้วย เพราะไม่งั้นทุกคนไม่ยอมเรียนรู้เองเลย)
....ทีนี้เมื่อ งงๆ สับสน เอ๋อๆ ใจวังเวง ในเวลาแบบนี้ ต้องทำอะไร
เมื่อไม่มีใครช่วย ต้องช่วยตัวเอง
ถึงบอกไง ถามตัวเองก่อน ประเมินอย่างยุติธรรม ให้ความยุติธรรมต่อตัวเอง
เรารู้แค่ไหน เราเก่งแค่ไหน เรายืนอยู่ตรงไหน
แล้วเราควรทำไงดี
ดิฉันตอบแทนคนอื่นไม่ได้ แต่ดิฉันตอบกับตัวเองได้ และตอบไปแล้ว
อีกครึ่งปี ดิฉันอาจจะปรับมุมมองได้อีก ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ไม่มีเสียฟอร์ม
แล้วไม่เสียใจเลยว่า แหม น่าจะขายซะหมด ตั้งกะแปดร้อย เมื่อก่อนน่ะเป็น โอยโกรธตัวเองใหญ่ แหม ตอนนั้นกำไรเท่านั้นเท่านี้ มาตอนนี้จะให้ขายนะ ไม่มีทาง...มะก่อนน่ะใช่ แต่ตอนนี้โตแล้ว :lol:
โกรธทำไมที่รู้ช้า ควรดีใจสิ ที่อย่างน้อยได้รู้
แล้วถ้าผิด ก้เอาใหม่ มีอะไรต้องเสีย
:lol: :lol: :lol:
ปล.ก็ไม่ฟันธงนะ แต่ก็ภาวนาอยากให้เด้งบ้าง แต่ต้าน set 62X ปลายๆนั่นมันเป็นต้านสำคัญไปซะงั้นแล้ว ต้องยืนตรงนั้นให้ได้ก่อน ถึงจะมีหวังไปต่อได้อีกหน่อย """" เน้น ไม่ฟันธง"""" """"แต่ภาวนา"""""
ปล.2 ยิ่งรายตัวไม่ต้องถามเลยค่ะ เซียนยังไม่มีใครตอบ ดิฉันยิ่งไม่ตอบใหญ่เลย :oops: :oops:
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
วิกฤติหรือโอกาส / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 19
สำหรับตัวผมนั้น แน่ใจมากๆเลยว่า อยู่ในจำพวกไม่เก่ง
(ไม่เคยถ่อมตัว ไม่เคยประเมินตัวเองต่ำเกินไป คำว่า"ไม่เก่ง"นี่ละ ประเมินอย่างยุติธรรมแล้ว)
ความเห็นผมออกแนวๆน้อง007และพี่ป้อมนี่แหละ
หรือวิชาเท่าๆกันเลยมองคล้ายๆกัน
แต่เอาแค่ บอกว่า วีไอนี่ต้องถือยาวนะ อันนี้ก็เป๋แล้ว
การถือยาว คือกลยุทธ แค่ตามสถิติว่าถือยาว จะผลตอบแทนดีกว่า เล่นสั้น
มันแค่กลยุทธ ไม่ใช่หลักการของวีไอ อะไรเลย
ยืนยันด้วยครับ
หลักการคือยังไง ก็คือ ต้องลงทุนในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่ามากๆหน่อย
อันนี้เป็นแก่นเลยครับ
บัฟเฟตต์เองก็ซื้อปิโตรไชน่า
และขายไปที่ราคาห้าเท่ากว่าๆ
หลังจากซื้อได้ไม่นานนัก
เขาซื้อเพราะ undervalue
หรือซื้อเพราะกะจะถือยาวเป็นยี่สิบสามสิบปี
(ไม่เคยถ่อมตัว ไม่เคยประเมินตัวเองต่ำเกินไป คำว่า"ไม่เก่ง"นี่ละ ประเมินอย่างยุติธรรมแล้ว)
ความเห็นผมออกแนวๆน้อง007และพี่ป้อมนี่แหละ
หรือวิชาเท่าๆกันเลยมองคล้ายๆกัน
แต่เอาแค่ บอกว่า วีไอนี่ต้องถือยาวนะ อันนี้ก็เป๋แล้ว
การถือยาว คือกลยุทธ แค่ตามสถิติว่าถือยาว จะผลตอบแทนดีกว่า เล่นสั้น
มันแค่กลยุทธ ไม่ใช่หลักการของวีไอ อะไรเลย
ยืนยันด้วยครับ
หลักการคือยังไง ก็คือ ต้องลงทุนในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่ามากๆหน่อย
อันนี้เป็นแก่นเลยครับ
บัฟเฟตต์เองก็ซื้อปิโตรไชน่า
และขายไปที่ราคาห้าเท่ากว่าๆ
หลังจากซื้อได้ไม่นานนัก
เขาซื้อเพราะ undervalue
หรือซื้อเพราะกะจะถือยาวเป็นยี่สิบสามสิบปี
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
วิกฤติหรือโอกาส / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 20
อ่า ไหนท่านประธานมาแล้ว
ดิฉันขออาจหาญเรียกร้องเสียหน่อยเลยแล้วกัน
ป้ายหน้าห้อง คำว่า "หุ้นเด็ด" หน้าเวบน่ะ
ดิฉันขอร้องค่ะ เอาออกเสียเถอะ
เราว่าแต่เด็กๆ ว่าลอกการบ้าน ลอกหุ้น ตามแห่ ไม่คิดเอง เวลาติดผิดพลาด ก็ไม่มีใครช่วยได้
เราควรว่าตัวเองด้วย เราโตกว่าเด็ก เราควรมองว่า บางสิ่งที่เราอาจไม่ตั้งใจทำ แต่มันส่งผลอะไรไปบ้าง
ป้าย"หุ้นเด็ด" หน้าเวบ ดิฉันไม่เคยเห็นด้วย และเคยเปรยไปครั้งนึงมั้ง แต่เสียงคงไม่ดังพอ
วันนี้ขออนุญาติออกเสียงดังๆอีกซักหนึ่งครั้งค่ะ
อย่าติดป้ายหน้าห้องแบบนั้น มันเหมือนคอนเฟิร์มยังไงบอกไม่ถูก
หุ้นทุกตัวในนั้น ไม่ได้คอนเฟิร์มผลตอบแทนอันเด็ดสะระตี่ทุกตัวไป
อาจจะว่าดิฉันหยุมหยิมเกินไป คิดมากไป แต่ดิฉันนี่ละ แมงเม่ามาก่อน จึงทราบว่าเม่ารุ่นหลังจะคิดจะอ่านอะไร จะตัดสินใจอะไรยังไง
ห้องร้อยหุ้น.........ชื่อนี้ดีอยู่แล้ว เป็นกลางอยู่แล้ว ไม่ได้การันตีอะไรใดใด เป็นห้องแห่งการถกเถียง แลกเปลี่ยนข้อมูล
ห้องหุ้นเด็ด.........อื้อหือ หน้าใหม่มาปุ้บ เปิดปั๊ป ขวาตามซวบ โหยย บางตัวก้เด็ดค่ะ แต่หลายตัวมันก็ด้วน
ความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้ เมื่อรู้แล้ว เราแก้ไขไม่ดีกว่าหรอคะ
ก็ลองเสนอดูค่ะ เผื่อพี่ศรรามจะลองประเมินดู
ขอบคุณค่ะ
ดิฉันขออาจหาญเรียกร้องเสียหน่อยเลยแล้วกัน
ป้ายหน้าห้อง คำว่า "หุ้นเด็ด" หน้าเวบน่ะ
ดิฉันขอร้องค่ะ เอาออกเสียเถอะ
เราว่าแต่เด็กๆ ว่าลอกการบ้าน ลอกหุ้น ตามแห่ ไม่คิดเอง เวลาติดผิดพลาด ก็ไม่มีใครช่วยได้
เราควรว่าตัวเองด้วย เราโตกว่าเด็ก เราควรมองว่า บางสิ่งที่เราอาจไม่ตั้งใจทำ แต่มันส่งผลอะไรไปบ้าง
ป้าย"หุ้นเด็ด" หน้าเวบ ดิฉันไม่เคยเห็นด้วย และเคยเปรยไปครั้งนึงมั้ง แต่เสียงคงไม่ดังพอ
วันนี้ขออนุญาติออกเสียงดังๆอีกซักหนึ่งครั้งค่ะ
อย่าติดป้ายหน้าห้องแบบนั้น มันเหมือนคอนเฟิร์มยังไงบอกไม่ถูก
หุ้นทุกตัวในนั้น ไม่ได้คอนเฟิร์มผลตอบแทนอันเด็ดสะระตี่ทุกตัวไป
อาจจะว่าดิฉันหยุมหยิมเกินไป คิดมากไป แต่ดิฉันนี่ละ แมงเม่ามาก่อน จึงทราบว่าเม่ารุ่นหลังจะคิดจะอ่านอะไร จะตัดสินใจอะไรยังไง
ห้องร้อยหุ้น.........ชื่อนี้ดีอยู่แล้ว เป็นกลางอยู่แล้ว ไม่ได้การันตีอะไรใดใด เป็นห้องแห่งการถกเถียง แลกเปลี่ยนข้อมูล
ห้องหุ้นเด็ด.........อื้อหือ หน้าใหม่มาปุ้บ เปิดปั๊ป ขวาตามซวบ โหยย บางตัวก้เด็ดค่ะ แต่หลายตัวมันก็ด้วน
ความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้ เมื่อรู้แล้ว เราแก้ไขไม่ดีกว่าหรอคะ
ก็ลองเสนอดูค่ะ เผื่อพี่ศรรามจะลองประเมินดู
ขอบคุณค่ะ
- charnengi
- Verified User
- โพสต์: 2395
- ผู้ติดตาม: 0
วิกฤติหรือโอกาส / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 24
อย่างที่ปีเตอร์ ลินซ์ เขียนไว้ในหนังสือ คือเราไม่รู้ว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำเมื่อไร
อย่างคราวนี้ ประกาศงบ Q2 กำไรกันโครมๆ แต่พอมากลาง Q3 ลดกระหน่ำมาเรื่อยๆ
ถ้าเศรษฐกิจไทยตกต่ำจริงๆ คราวนี้น่าจะวิเคราะห์ได้ยากสุดๆ ผมว่า ปี40 ยังมองได้ง่ายกว่า
อย่างคราวนี้ ประกาศงบ Q2 กำไรกันโครมๆ แต่พอมากลาง Q3 ลดกระหน่ำมาเรื่อยๆ
ถ้าเศรษฐกิจไทยตกต่ำจริงๆ คราวนี้น่าจะวิเคราะห์ได้ยากสุดๆ ผมว่า ปี40 ยังมองได้ง่ายกว่า
- Amadeus
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 372
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วิกฤติหรือโอกาส / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 25
กำไรใน Q3 และต่อๆไปอาจจะลดลง มากน้อยขึ้นกับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้ หุ้นที่DCAมากๆ + ใช้ปัจจัยในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งปัจจัยในประเทศไม่เปลี่ยนแปลงมาก น่าจะกลับมาได้ก่อน อ้อคงต้องดูตัวที่ราคาลงมาเยอะๆoatty เขียน:แน่นอน ผลการดำเนินงานในอนาคตอาจจะถดถอยลงบ้างแต่ก็คงไม่มากนักเมื่อเทียบกับการลดลงของราคาหุ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่พึ่งพิงกับการใช้จ่ายเงินในประเทศเป็นหลัก ดังนั้น ข้อสรุปของผมก็คือ นี่น่าจะเป็นโอกาสที่เราจะซื้อหุ้นลงทุน
แต่อยากถามพี่ๆที่เคยผ่านต้มยำกุ้งมาก่อนว่า เวลาที่ความมั่นใจกลับมา คนเริ่มซื้อ ราคาเริ่มขึ้น มันขึ้นแบบว่าเผลอแบบเดียวMOS หายไปหมดแล้วหรือป่าวครับ เพราะผมมองว่าถ้าคนมั่นใจว่าเรื่องร้ายๆจบแล้ว กลับมาซื้อมากกว่าขาย คงต้องแข่งราคากันอย่างรุนแรง มันเป็นอย่างนั้นไหมครับ
เตือนตัวเอง
1.ลดต้นทุน 2.ขึ้นราคา 3.ขยายตลาด
4.เพิ่ม same store sale 5.ขาย บ.เน่าๆ
1.ลดต้นทุน 2.ขึ้นราคา 3.ขยายตลาด
4.เพิ่ม same store sale 5.ขาย บ.เน่าๆ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
วิกฤติหรือโอกาส / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 26
เห็นด้วยครับ007-s เขียน: ป้ายหน้าห้อง คำว่า "หุ้นเด็ด" หน้าเวบน่ะ
ดิฉันขอร้องค่ะ เอาออกเสียเถอะ
ฟังชื่อแล้ว ยังไงๆก็ไม่รู้
แต่ผมเอาออกไม่เป็น แฮ่.....ขออภัย
เดี๋ยวจะแจ้ง webmaster ให้นะครับ
เปลี่ยนเป็นห้องร้อยคนร้อยหุ้นใช่ไหมครับ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 460
- ผู้ติดตาม: 0
วิกฤติหรือโอกาส / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 28
อืม แม้แต่ในเว็ปนี้ก็คิดจะขายกันแล้ว คนคิดจะซื้อน้อยสุดๆไปเลยแฮะ
ขายกันทำไมครับ
ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันจะลงไปถึงไหน เพราะงั้น อย่าเสี่ยง short ครับ ถ้าไม่แน่จริง เพราะ short แล้วแน่ใจว่าใจแข็งซื้อกลับได้ทันเหรอ
ผมว่าการ short ออกแนวเทคนิคคอลมากกว่า
ขายกันทำไมครับ
ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันจะลงไปถึงไหน เพราะงั้น อย่าเสี่ยง short ครับ ถ้าไม่แน่จริง เพราะ short แล้วแน่ใจว่าใจแข็งซื้อกลับได้ทันเหรอ
ผมว่าการ short ออกแนวเทคนิคคอลมากกว่า
- Polar Bear
- Verified User
- โพสต์: 109
- ผู้ติดตาม: 0
วิกฤติหรือโอกาส / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 29
เราไปห้ามการขายคนอื่นไม่ได้หรอกครับfrontosa เขียน:อืม แม้แต่ในเว็ปนี้ก็คิดจะขายกันแล้ว คนคิดจะซื้อน้อยสุดๆไปเลยแฮะ
ขายกันทำไมครับ
ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันจะลงไปถึงไหน เพราะงั้น อย่าเสี่ยง short ครับ ถ้าไม่แน่จริง เพราะ short แล้วแน่ใจว่าใจแข็งซื้อกลับได้ทันเหรอ
ผมว่าการ short ออกแนวเทคนิคคอลมากกว่า
แต่ถ้าคิดว่าไม่ควรขาย ราคาต่ำเกินไป ควรจะซื้อ ก็ซื้อสวนไปเลยสิครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 460
- ผู้ติดตาม: 0
วิกฤติหรือโอกาส / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 30
ใครห้ามครับ ใครอยากขายเชิญครับ แค่ผมบอกว่าไม่ควรขาย แต่ไม่ได้บอกว่าห้ามหนิครับPolar Bear เขียน: เราไปห้ามการขายคนอื่นไม่ได้หรอกครับ
แต่ถ้าคิดว่าไม่ควรขาย ราคาต่ำเกินไป ควรจะซื้อ ก็ซื้อสวนไปเลยสิครับ
เรื่องแบบนี้เงินใครเงินมันอยู่แล้ว อีกอย่างแค่ซื้อสวนไม่ได้ยากอะไรหรอกครับ