หน้า 1 จากทั้งหมด 1

กำไรก็ตัวเลข ขาดทุนก็ตัวเลข สภาพคล่อง และ Cash is the king

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 09, 2008 10:11 am
โดย Green
ขออนุญาต เล่าเรื่อง

เมื่อวานนี้ได้คุยกับพี่ชายที่ฝากเงินลงทุนกับผมมาเกือบ 3 ปีแล้ว
เค้าบอกว่าตอนนี้ ภาวะไม่ดี อยากล้างพอร์ท เก็บเงินสดไว้
กลัวว่าหุ้นจะร่วงต่อไปเรื่อยๆ

ผมกลับไปดีดตัวเลข ดูว่ารวมแล้ว ว่าเงินใน พอร์ทของพี่ชาย มีเหลืออยู่เท่าใด หลังจากที่ไม่ได้ทำมากว่า 2 เดือนเพราะยังไม่ได้มีการซื้อขาย ใดๆ

พบว่ายังมีกำไรอยู่ นิดหน่อยประมาณ 10% เท่านั้นหลังจากที่เคยกำไรสูงสุดกว่า 60 %. เมื่อเทียบกับเงินต้น

ไม่รู้ว่าจะดีใจ หรือเสียใจดี ที่กำไรหายไปเยอะ แต่ก็ดีที่ยังไม่ขาดทุน

พี่ชายปรึกษากับผมว่าจะเอาอย่างไรดี กับสถาณการณ์เช่นนี้

ผมตอบไปอย่างมั่นใจว่า
" ถ้าเฮีย ไม่รีบใช้เงิน แล้วจะเอาเงินไปทำไม เก็บหุ้นเอาไว้เฉยๆ อย่างนี้แหละดีแล้ว แล้วเอาเงินเก็บ มาเพิ่มตอนที่ฝุ่นมันหายตลบดีกว่า "

ก็ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือผิด รู้แต่เพียงว่า ตอนนี้ทุกอย่างเป็นเพียงตัวเลข จะขาดทุนก็ตัวเลข จะกำไรก็ตัวเลข แต่หากเราต้องการใช้เงินจริงๆ หรือ ขายเอาเงินออกช่วงนี้ เจ้าตัวเลขที่ว่านี้ ก็จะกลายเป็นความเป็นจริงไปในที่สุด

ผมกลับมาคิดว่า จริงๆ แล้วภาวะแบบนี้ น่าจะ เป็นที่ต้องการของ VI หลายๆ คน ซื้อหุ้นตอนถูกๆ แต่ก็ติดชนักที่ว่า บางคนลงทุนไปเกือบ 100 % ของเงินที่เก็บไว้ ทำให้สูญเสียโอกาสนี้

หลักการที่บอกว่า เราลงทุนในหุ้น 100 % หาก โดยเงินลงทุนเป็น เงินเย็น และ เลือกลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพ อาจจะไม่ใช้ทางเลือกที่ดีที่สุดหรือไม่การขาดสภาพคล่องนี้ จะทำให้เราพลาดโอกาสดีๆ อย่างนี้

หรือเราควรกลับมาดูว่า เงินลงทุนของเราเป็นเงินเย็นๆ จริงหรือไม่
ส่วนตัวผมคิดว่า เงินลงทุน ไม่ว่าอยู่ในสภาวการณ์แบบไหนน่าจะเป็นดังนี้

1. เงินที่เหลือจากค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
2. เงินที่เหลือจากการผ่อนบ้าน ผ่อนรถ /
3. เงินที่เหลือจากค่ารักษาพยาบาล และเหตุฉุกเฉิน
4. เงินที่เหลือจากค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซ่อมบ้าน ซ่อมรถ ประกัน ค่าเรียนลูก อื่นๆ
5. เงินที่เหลือจากการ Cover ค่าใช้จ่าย ข้อ 1-4 ได้ อย่างน้อย 5 ปี ( ยกเว้นหากอายุมากแล้ว น่าจะเก็บไว้มากกว่านี้ )

แล้วเรียกว่า เงินนี้เป็นเงินลงทุน จริงๆ

มันคือเงินลงทุน ที่เรา Expect สำหรับหุ้น 100 % และ มันไม่จำเป็นจะต้องไปอยู่ในหุ้นตลอดเวลาก็ได้ มี Cash เอาไว้เมื่อเกิด โอกาสดีๆ

ตัวผมเองหลายครั้ง มักห้ามใจไม่อยู่ เวลามีเงินมักรีบเอาเข้าไปซื้อหุ้น พอจะใช้เงินซื้อของใหญ่ๆ ก็ไม่กล้า เพราะไม่อยากขายหุ้น อยากให้มันขึ้นไปก่อน พอหุ้นลงไปเรื่อยๆ ก็หาเงินมาใส่เพิ่มไม่ทัน เพราะดันไปซื้อตอนที่มันสูงแล้ว
เจอปัญหา ขาดสภาพคล่องอยู่เรื่อยไป

จริงๆ แล้ววิกฤตครั้งนี้ สอนให้รู้ว่าไม่ว่า โลกของธุรกิจ หรือการลงทุน
Cash is the King
จริงๆ ครับ

กำไรก็ตัวเลข ขาดทุนก็ตัวเลข สภาพคล่อง และ Cash is the king

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 09, 2008 10:40 pm
โดย SunShine@Night
เห็นด้วยครับ

เป็นบทเรียนสำหรับผมเลย

คราวหน้าต้องเก็บเงินเป็นหลายๆ ก็อกซะแล้ว :)