Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ตามนั้นเลยครับ
ขอตัวอย่างด้วยครับ เพราะอ่านสูตรแล้วไม่เข้าใจ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ

เท่าที่ทราบทำได้หลายแบบครับ

1. discount cash flow - ดู free cash flow แล้วก็ project ออกไป แล้วก็ discount กลับมาที่วันนี้
2. นับ total asset - liability

ที่เหลือก็ไม่รู้เหมือนกันครับจำได้แค่นี้ผมก็ใหม่

แต่ผมก็สงสัยว่า financial report ของบริษัทนี่มันดูแล้วเข้าใจบริษัทได้มากขนาดไหนนะครับ

คือก็เข้าใจว่าพวกบริษัทนี่เวลาเขากำไรเยอะแต่ก็พยายามทำให้กำไรดูน้อยเพื่อจะไม่ต้องเสียภาษีมาก
พอทำงี้ P/E ก็น่าจะตำ (แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าจริงๆแล้วบริษัทมันดีจริงหรือไม่ดีคงต้องดูยอดหนี้กับเงินสดไรประมาณนี้ป่ะ?)

แล้วธุรกิจบางตัวราคา fixed asset มัน appreciate แทนที่จะ depreciate ทำให้ book value มันดูตำกว่า value ความเป็นจริง

ไม่ทราบพวกท่านอาวุโสๆนี่มี อะไรแนะแนวหรือสั่งสอนก็ขอรบกวนด้วยคับ

เวลานี้ผมประเมินราคาหุ้นตัวที่สนใจโดย
1. ดูจาก PE ของกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น
   ถ้าหุ้นตัวนั้นตำกว่าก็แสดงมีโอกาสที่ราคาจะปรับขึ้น
2. ดูว่าทำไม PE ตำกว่าตัวอื่น เช่น กำไรหด,หนี้เยอะ, จำนวนหุ้นในตลาด
   น้อยทำให้ซื้อขายน้อ, จ่ายปันผลน้อย เป็นต้น
3. เป็นอุตสาหกรรมที่กำไรเติบโต หรือ กำลังหดตัว เช่น ปีหน้าการส่งออก
   คงไม่ดีเท่าไหร่,การค้าขายในประเทศน่าจะดีกว่า เป็นต้น

แต่ทั้งหมดที่กล่าวมา คือมันเหมือนการเดามากกว่า ผมก็เลยชักไม่มั่นใจ
เพื่อนๆว่าอย่างไรครับ

ผมจะซื้อหุ้นที่จะมีการเติบโตของกำไรสม่ำเสมอในอีกห้าปีข้างหน้า

ใช้วิธีหามูลค่าหุ้นดังนี้ครับ

สมมุติว่าหุ้นบริษัท A มีราคาปัจจุบัน 10 บาท มีกำไรต่อหุ้นในปีที่ผ่านมาเท่ากับ 1 บาท

ถ้าบริษัทมีอัตราการเติบโตของกำไรสม่ำเสมอ 20% ต่อปี

ในอีกห้าปีข้างหน้า จะมีกำไรต่อหุ้น = 1*(1+0.2)^5 = 2.5 บาท

ถ้า P/E ของหุ้นยังเท่าเดิมคือ 10 ราคาของหุ้นในอีกห้าปีข้างหน้าจะเป็น 25 บาท

ถ้าเราหวังที่จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุน 12% ต่อปี มูลค่าของหุ้นในปัจจุบันควรเป็น = 25/(1+0.12)^5=14.2 บาท

จะมีส่วนต่างของราคาหุ้น กับมูลค่าหุ้นอยู่ 4.2 บาท หรือเท่ากับ 4.2/14.2=30% เป็น margin of safety


ปกติผมจะไม่ใช้กำไรของหุ้นในปีที่ผ่านมา แต่จะทำประมาณกำไรของหุ้นในปีนี้ แล้วนำไปหามูลค่าหุ้นครับ

เพื่อความเข้าใจผมขอยกตัวอย่าง บริษัทหนึ่ง
ราคาปัจจุบัน 4.60 กำไรต่อหุ้น 0.70 บาท/หุ้น อัตรากำไรโตเฉลี่ย 30%
PEย้อนหลังเฉลี่ย=7

ลองคำนวณนะครับ...
ในอีก5ปีจะมีกำไรต่อหุ้น=0.70*((1+0.30)^5)=2.599 บาท (บวก,ยกกำลัง,คุณ)
PE=7 ,ราคาหุ้น =7*2.599=18.193 บาทต่อหุ้น

ต้องการผลตอบแทน20%ต่อปี  มูลค่าของหุ้นปัจจุบัน
18.193/(1+0.20)^5=7.312 บาท

magin of safty 30%
ราคาที่เหมาะสม =7.312 - (30%*7.312) =5.118 บาท

คุณ TOK ผมคำนวณถูกไหมครับ
แล้วผมจะเฉลยว่าหุ้นอะไรที่ผมยกตัวอย่าง  ฮิ ฮิ  

[quote="songwit"]เพื่อความเข้าใจผมขอยกตัวอย่าง บริษัทหนึ่ง
ราคาปัจจุบัน 4.60 กำไรต่อหุ้น 0.70 บาท/หุ้น อัตรากำไรโตเฉลี่ย 30%
PEย้อนหลังเฉลี่ย=7

ลองคำนวณนะครับ...
ในอีก5ปีจะมีกำไรต่อหุ้น=0.70*((1+0.30)^5)=2.599 บาท (บวก,ยกกำลัง,คุณ)
PE=7 ,ราคาหุ้น =7*2.599=18.193 บาทต่อหุ้น

ต้องการผลตอบแทน20%ต่อปี

การหามูลค่า หุ้น Coca-Cola ของ วอร์เรน บัฟเฟต

เมื่อปี 1987 บัฟเฟต ซื้อหุ้น Coca-Cola ที่ราคา $6.50
ขณะที่บริษัทมีกำไรกำไรก่อนเสียภาษี (pretax earnings) $0.7 ต่อหุ้น (กำไรหลังเสียภาษีที่ $0.46 ต่อหุ้น)
โดยกำไรต่อหุ้นมีการเติบโตปีละ 10% ในสิบปีที่ผ่านมา

บัฟเฟตคิดว่าเหมือนกับว่าเขาได้ซื้อพันธบัตร ที่ออกโดยบริษัท Coca-Cola ที่จ่ายดอกเบี้ยประมาณ 10%
โดยลงทุน $6.5 และเงินตอบแทนจะทบต้นปีละ 10%
โดยคาดว่าในปี 2007 บริษัทจะมีกำไรก่อนหักภาษีเท่ากับ 0.7*(1+0.1)^20 = $4.71 ต่อหุ้น (กำไรหลังเสียภาษีที่ $2.82 ต่อหุ้น)
ในปี 2007 ผลตอบแทนของบริษัทจะโตเป็น 72.4% (ผลตอบแทนเท่ากับ $4.71ต่อการลงทุน $6.5)

แล้วผลตอบแทนก่อนหักภาษี 72.4% ของการลงทุน $6.5 ในปี 2007 จะมีค่าเท่าไหร่ในปี 1987

ถ้าใช้ discount rate ที่ 7% (ซึ่งเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาวในขณะนั้น) จะได้ตอบแทนเท่ากับ 72.4/(1+0.07)^20 = 19%
ถ้าคูณ 19% ด้วย $6.5 เท่ากับผลตอบแทน $1.22 ต่อหุ้น ถ้าคูณด้วย P/E ของ Coca-Cola ในปี 1987เท่ากับ 14 จะได้มูลค่าต่อหุ้น $17.04


ถ้าคิดตามวิธีข้างบน

ปี 1987 บริษัทมีกำไรก่อนหักภาษี $0.7 ถ้ากำไรเติบโตปีละ 10%

ในอีก 20 ปีข้างหน้า (ปี 2007) บริษัทจะมีกำไรต่อหุ้นก่อนหักภาษีเพิ่มขี้นเป็น 0.7*(1+0.1)^20 = $4.71

Discount ด้วย rate 7% จะได้กำไรต่อหุ้นก่อนหักภาษีในปี 1987 เท่ากับ 4.71/(1+0.07)^20 = $1.22
 
ถ้าคูณด้วย P/E ของ Coca-Cola ในปี 1987เท่ากับ 14 จะได้มูลค่าต่อหุ้น $17.04

         

[quote="songwit"]เพื่อความเข้าใจผมขอยกตัวอย่าง บริษัทหนึ่ง
ราคาปัจจุบัน 4.60 กำไรต่อหุ้น 0.70 บาท/หุ้น อัตรากำไรโตเฉลี่ย 30%
PEย้อนหลังเฉลี่ย=7

ลองคำนวณนะครับ...
ในอีก5ปีจะมีกำไรต่อหุ้น=0.70*((1+0.30)^5)=2.599 บาท (บวก,ยกกำลัง,คุณ)
PE=7 ,ราคาหุ้น =7*2.599=18.193 บาทต่อหุ้น

ต้องการผลตอบแทน20%ต่อปี

ผมเจอปัญหาตรงที่ได้ราคามาดังตัวอย่าง 18.193/[1+0.20]=7.312ทำอย่างไรครับถึงได้ตามนี้ที่ราคา7.312

เนื่องด้วย สูตรนี้ หาก ใช้ทดสอบในกรณี ที่ G เป้าหมายของเรา ต่ำกว่า G ของบริษัทโดยเฉลี่ย นั้น ยิ่งเราถือนานวันมาก ราคามูลค่าของหุ้นที่แท้จริงในปัจจุบันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ    แต่ถ้าหาก G เป้าหมายของเรา สูงกว่า G เฉลี่ยของบริษัท จะพบว่ายิ่งถือนาน เท่าไร มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นจะ ต่ำลงเรื่อยๆ ครับ รบกวนขอคำชี้แนะจากผู้เชี่ยวชาญด้วยครับ

[quote="ตี๋ดอนเมือง"]เนื่องด้วย สูตรนี้ หาก ใช้ทดสอบในกรณี ที่ G เป้าหมายของเรา ต่ำกว่า G ของบริษัทโดยเฉลี่ย นั้น ยิ่งเราถือนานวันมาก ราคามูลค่าของหุ้นที่แท้จริงในปัจจุบันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ

ดีครับ ช่วยๆกันถาม แล้วช่วยๆกันตอบด้วย

ลองคำนวณดูนะครับ ผมว่าสนุกดี เหมือนกลับไปเรียนเลขยกกำลังใหม่

ผมก็มีคำถามนะครับ แล้วตลาดหุ้นเมืองไทย จะให้ P/E ของหุ้นเป็นเท่าใหร่ เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น
เช่นหุ้นที่มีการเติบโต 20% จะมี P/E ถึง 10 หรือเปล่าถ้าตลาดยังเชื่อว่ามันยังเติบโต 20% ในอีกห้าปี มีใครเคยเอาข้อมูลยัอนหลังมาวิเคราะห์บ้างหรือเปล่า

วันนี้ไปนอนก่อน เดี๋ยวกลับมา ร่วมด้วยช่วยกันคิด

ผมว่าการประเมินราคาโดยใช้ค่า G ในอนาคตนั้นค่อนข้างละเอียดอ่อน

เพราะโอกาสที่จะไม่เป็นไปตามคาดมีค่อนข้างสูง

ผมจึงคิดว่าควรจะประเมินมูลค่หุ้นด้วยวิีธีอื่นด้วย
เช่น ประเมินจากเงินปันผล ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการพึ่งพิง
การหามูลค่าหุ้นด้วยด้วยวิธีใดวิธีหนึุ่ง

การคิดลด MOS เยอะๆก็เป็นอีกสิ่งหนึุ่งที่ช่วยได้

สุดท้ายผมคิดว่า ข้อมูลเชิงคุณภาพของบริษัท ในระยะยาว
จะส่งผลดีมากกว่าข้อมูลเชิงปริมาณ

เหมือนกับการลงทุนในหุ้นที่ดีเยี่ยมในราคาปานกลาง
ย่อมดีกว่าการลงทุนในหุ้นที่พอใช้แต่ราคาดีเยี่ยม
เพราะในระยะยาวแล้วหุ้นที่พอใช้อาจจะขาดทุนจนต้องเลิกกิจการไปก็ได้

kornjackrit เขียน:ผมว่าการประเมินราคาโดยใช้ค่า G ในอนาคตนั้นค่อนข้างละเอียดอ่อน

เพราะโอกาสที่จะไม่เป็นไปตามคาดมีค่อนข้างสูง

ผมจึงคิดว่าควรจะประเมินมูลค่หุ้นด้วยวิีธีอื่นด้วย
เช่น ประเมินจากเงินปันผล ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการพึ่งพิง
การหามูลค่าหุ้นด้วยด้วยวิธีใดวิธีหนึุ่ง

การคิดลด MOS เยอะๆก็เป็นอีกสิ่งหนึุ่งที่ช่วยได้

สุดท้ายผมคิดว่า ข้อมูลเชิงคุณภาพของบริษัท ในระยะยาว
จะส่งผลดีมากกว่าข้อมูลเชิงปริมาณ

เหมือนกับการลงทุนในหุ้นที่ดีเยี่ยมในราคาปานกลาง
ย่อมดีกว่าการลงทุนในหุ้นที่พอใช้แต่ราคาดีเยี่ยม
เพราะในระยะยาวแล้วหุ้นที่พอใช้อาจจะขาดทุนจนต้องเลิกกิจการไปก็ได้

ผมคิดว่า การลงทุนในหุ้น (ไม่ใช่การเล่นหุ้น) เราควรจะพิจารณาทุกๆด้าน ครับ ผมว่าขั้นแรกสุดต้องเริ่มด้วย การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ก่อน แล้วตามด้วย เชิงปริมาณ เพราะบางครั้งเราจะพบว่า ของที่เราสนใจ เมื่อวิเคราะห์เชิงปริมาณแล้ว ต้องร้องเพลง "รอ" ไปก่อน ตลอดจนไม่มีสูตรสำเร็จ ครับ

robokie เขียน:ผมเจอปัญหาตรงที่ได้ราคามาดังตัวอย่าง 18.193/[1+0.20]=7.312ทำอย่างไรครับถึงได้ตามนี้ที่ราคา7.312

เวลาคิด discount กลับมาที่ราคาปัจจุบัน ให้เอาจำนวนตั้งต้น หารด้วย (1+discount rate) ยกกำลังด้วยจำนวนปีครับ

18.193/[1+0.20]^5=7.312

[quote="ตี๋ดอนเมือง"]เนื่องด้วย สูตรนี้ หาก ใช้ทดสอบในกรณี ที่ G เป้าหมายของเรา ต่ำกว่า G ของบริษัทโดยเฉลี่ย นั้น ยิ่งเราถือนานวันมาก ราคามูลค่าของหุ้นที่แท้จริงในปัจจุบันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ

แต่หุ้นที่กำไรโต 30% ต่อปี ซึ่งถือว่าสูงทีเดียว จะให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น จาก 0.7 เป็น 2.599 หรือประมาณ 3.7 เท่าในอีกห้าปี แล้วบริษัทจะทำยอดขายให้เติบโต 3.7 เท่าได้อย่างไร หรือมีวิธีอย่างอื่นที่ทำให้กำไรก้าวกระโดดได้

ขอบคุณครับ
กำไรโต30%เป็นรายได้พิเศษของบริษํทครับ (เก่งจัง แค่ดูตัวเลขก็รู้แล้ว)
เฉลี่ยกำไรโต20%ครับ และปีนี้ขยายกำลังการผลิตเป็น3เท่าแล้วเสร็จ ตุลาคม51 คาดว่ากำไรคงโต20%ต่อเนื่อง2-3ปี โดยร่วมทุนกับญี่ปุ่น50:50ครับ ทำให้ต้องแบ่งกำไร50:50ด้วยเหมือนกัน ตลาดจะขายในประเทศโดยเจาะตลาดล่างเพิ่มและส่งออกในอาเซียน... เป็นหุ้นน้ำผลไม้ครับ

การหามูลค่า หุ้น Coca-Cola ของ วอร์เรน บัฟเฟต

ผมอ่านแล้วยัง งง เลยไม่มีคำถาม ขอเวลาทำความเข้าใจก่อนครับ

ผมก็มีคำถามนะครับ แล้วตลาดหุ้นเมืองไทย จะให้ P/E ของหุ้นเป็นเท่าใหร่ เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น
เช่นหุ้นที่มีการเติบโต 20% จะมี P/E ถึง 10 หรือเปล่าถ้าตลาดยังเชื่อว่ามันยังเติบโต 20% ในอีกห้าปี มีใครเคยเอาข้อมูลยัอนหลังมาวิเคราะห์บ้างหรือเปล่า

เสียใจด้วยครับผมไม่มีข้อมูล แต่คาดว่า(PE)ขึ้นกับตลาดหรือจะเรียกว่าขึ้นกับอารมของคนครับ

ผมว่าการประเมินราคาโดยใช้ค่า G ในอนาคตนั้นค่อนข้างละเอียดอ่อน

เพราะโอกาสที่จะไม่เป็นไปตามคาดมีค่อนข้างสูง

ผมจึงคิดว่าควรจะประเมินมูลค่หุ้นด้วยวิีธีอื่นด้วย
เช่น ประเมินจากเงินปันผล ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการพึ่งพิง
การหามูลค่าหุ้นด้วยด้วยวิธีใดวิธีหนึุ่ง

ผมดูเงินปันผลในอดีตด้วยครับ เพราะถ้าผมคำนวณผิด ก็มั่นใจได้ว่าบริษัทจ่ายเงินปันผลให้ชาวดอย ได้นั่งดูดาว(ปันผล) และดูราคาหุ้นตก

บัฟเฟตใช้วิธีไม่ยากในการหามูลค่าหุ้นเลย บัฟเฟตจะเน้นไปที่การหาบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน (Durable Competitive Advantage)

วิธีที่ใช้หาบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน คือการวิเคราะห์งบการเงินของบริษัท ทั้งงบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสด โดยบริษัทต้องผ่านเกณท์ที่บัฟเฟตตั้งไว้ แล้วค่อยไปคำนวณหามูลค่าหุ้น

ตอนที่บัฟเฟต เริ่มอาชีพนักวิเคาะห์หลักทรัพย์กับบริษัทของเกรแฮมหลังจากจบจาก Columbia University
บัฟเฟตได้เรียนรู้ศาสตร์ของการค้นหาบริษัทที่มีมูลค่าต่ำกว่าราคา โดยการอ่านงบการเงินของบริษัทมากกว่าหนึ่งพันบริษัท


บัฟเฟตสรุปไว้ว่า บริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนจะมีคุณสมบัติที่สำคัญหนึ่งในสามข้อนี้

1.เป็นบริษัทที่ขายสินค้าหรือบริการที่มีความเป็นเอกลักษณ์ เมื่อเอ่ยชื่อสินค้าลูกค้าจะนึกถึงบริษัทนี้เป็นบริษัทแรก

2.เป็นบริษัทที่มีต้นทุนในการซื้อสินค้าถูกและขายสินค้าในราคาถูก

3.เป็นสินค้าหรือบริการทีผู้บริโภคจำเป็นที่ต้องใช้อยู่เสมอ

ผมลองหลายแบบแล้วพบ ว่าสูตรนี้จะใช้ได้ดี ต้องมีหมายเหตุด้วยครับ ว่าผู้ที่ใช้คำนวน ต้อง มีความต้องการ G ของเป้าหมายของเราเอง ต่ำกว่า G เฉลี่ยของบริษัท เสมอ ครับแล้วมี Safty ของ G ด้วยจะดีมาก ครับ อย่างไรก็ดีขอผู้เชี่ยวชาญ ชี้แนะด้วยครับ (ผมเป็นน้องใหม่ครับ)

ถูกต้องครับคุณตี๋ดอนเมือง  ลองนึกดูครับว่า ต้องการผลตอบแทน 20%ต่อปี
แต่ไปลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนG=10% มันจะได้อะไรกัน จริงไหมครับ[/b]

tok เขียน:ถ้าบริษัทมีอัตราการเติบโตของกำไรสม่ำเสมอ 20% ต่อปี

อัตราการเติบโตของกำไรนี่ใช้กำไรสุทธิหรือกำไรต่อหุ้นครับ

ขอถามอีกอย่างครับเลข1ที่เอามาบวกในวงเล็บนี่มาจากไหนครับ  คือไม่ค่อยเก่งเลขครับ

[quote="tok"]
ในอีก 20 ปีข้างหน้า (ปี 2007) บริษัทจะมีกำไรต่อหุ้นก่อนหักภาษีเพิ่มขี้นเป็น 0.7*(1+0.1)^20 = $4.71

Discount ด้วย rate 7% จะได้กำไรต่อหุ้นก่อนหักภาษีในปี 1987 เท่ากับ 4.71/(1+0.07)^20 = $1.22

ผมใช้อัตราเติบโตกำไรต่อหุ้นครับ EPS
ส่วนจะยาวนานขนาดไหน ก็แล้วแต่ว่าผู้คำนวณคิดว่า
น่าจะเหมาะสม ยิ่งนานนิ่งมีโอกาสพลาดมากขึ้น
สำหรับผมไม่เกิน3-5ปี ครับ

ผมหา EPS ก่อน แล้วมาคูณ PE แล้วค่อยหาราคาในปัจจุบัน

ส่วนเลข 1 ในสูตร มาจากการลดค่าของสมการ ซึ่งอธิบายยาวครับ

ใครเก่งช่วยหน่อย

ติ๊ปโก้อ่ะ...อยากได้เหมือนกัน กินอยู่ทุกวัน อร่อย ราคาไม่แพง

ดูราคาแบบในหนังสือหุ้นห่านทองคำหน่ะครับ...ชอบหุ้นปันผล
หนังสือดีมากครับอ่านแล้วเข้าใจง่ายดี

ยินดีย้อนรับผู้ร่วมอุดมการณ์
หุ้นที่หมาแมวชอบกันจัง(ในมุมร้อยหุ้น)

พี่ tok พูดถึง Coca-Cola ผมช่วยเติมเต็มช่วงเวลาที่หายไปให้ละกัน  :o

Coca-Cola 10 ปีอันรุ่งเรืองนับจาก 1987-1997 เป็นยังไง ผลตอบแทนดีเลิศยังไงปล่อยมันไปก่อน
มาดู 10 ปี นับจาก 1997-2007 บ้าง

กำไร KO เพิ่มจากที่พีก 4,129 ล้านเหรียญ ไปเป็น 5,981ล้านเหรียญ
คิดเป็นอัตราการเติบโตเพียง 3.8% ทบต้นต่อปีเท่านั้น
แต่เนื่องจากบริษัทซื้อหุ้นคืน ผ่านมา 10 ปี หุ้นหายไป 6% กว่าๆ จากเดิม
อัตราผลกำไรต่อหุ้นจึงเติบโต 4.6% ทบต้นต่อปี สูงกว่ากำไรสุทธิเฉยๆ
หักเงินเฟ้อแล้ว เหลือเท่าไหร่ไม่รู้

กำไรสุทธิต่อหุ้นในปี 2007 ก็ได้ 2.59 เหรียญ
กำไรก่อนหักภาษีต่อหุ้น ก็เพียง 3.40 เหรียญ เท่านั้น ไม่ถึง 4.71 เหรียญ

การหามูลค่ามีหลายแบบนะครับ ที่สำคัญคือ อย่าลืมส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย
นอกจากนั้นก็ต้องขายให้เป็นด้วย ถ้าราคามันขึ้นไปเกินพื้นฐานมาก ควรจะขายก็ต้องขาย ไม่ว่ากิจการมันจะดูดีเลิศประเสริฐศรีอยู่ก็เถอะ
อย่ามองโลกในแง่ดีเกินไปนะครับ

เห็นพี่สุมาอี้ว่า เคยมีคนไปถามคุณปู่ ว่าราคา KO ไปพีกมโหฬารปี 1998 ทำไมไม่ขาย
คุณปู่แกก็หัวเราะตัวเองอยู่เหมือนกัน เพราะน่าจะขายแต่แกก็ไม่ขาย
ตอนนี้มูลค่าตลาดกลับไปที่ 12 ปีที่แล้วจนได้ มันไม่ใช่ราคาน่าขายแล้ว แต่เป็นราคาน่าซื้อ

ธุรกิจยิ่งใหญ่อลังการ DCA เป็นเลิศยังไงก็ช่าง ถ้าซื้อแล้วขายไม่เป็น MOS ก็น้อย อาจจะได้เผชิญกับการถือหุ้น 12 ปี แล้วพอร์ตกลับมาเท่าเก่าเหมือนถือ KO ก็ได้นะครับ  :|  :|

ลองหาอ่านจากกระทู้ของคุณ Thanwa ที่ถามคุณ VIB007 ในห้อง value investing ดูครับ น่าจะพอช่วยได้

ปล. ชื่อกระทู้ว่า " คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ "

 :D