เก็บตก รายการ Money talk daily วันที่ 14 ตค 51
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 16, 2008 4:44 pm
เนื่องจากทางรายการ Money Talk daily วันที่ 14 ตค 51 ได้เชิญ วิทยากรจาก บลจ ทิสโก้ ซึ่งผมต้องขออภัยที่จำซื่อแขกรับเชิญไม่ได้ ใคนจำได้ช่วยโพสบอกด้วนนะครับ
คือเท่าที่ฟังแล้วบอกได้เลยว่ามีประโยชน์กับนักลงทุนทุกคนเป็นอย่างมากในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน รวมถึง ภาวะตลาดหุ้นที่มีความผันผวนอย่างรุนแรงและกำลังอยู่ในขาลง ภาวะตลาดหนีกันทั่วโลก ฉะนั้นใครทีพลาดดูรายดาร Money Talk Daily เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ผมขอบอกเลยว่าน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งครับ
แต่ว่าผมได้ดูอยู่พอดีและก็ได้จดสาระสำคัญๆจากแขกผู้รับเชิญเอาไว้ในทุกประเด็น ยังไงก็ลองอ่านกันดูละกันนะครับ
หัวข้อ: แนวโน้วการเงินโลก
เริ่มจาก ฝั่ง USA และ EU
1. สถานการณ์ปัจจุบันคือ USA มีปัญหา Sub Prime ซึ่งเพื่อนๆคงทราบอยู่แล้วคงไม่ต้องอธิบาย และทาง ยุโรปได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันกับ US ซึ่งทั้งสองกลุ่มทำธุรกรรมร่วมกันอยู่จึงต้องทำให้กอดคอกันตายหมู่
2. แต่ทว่า ทางฝั่งยุโรปมีมีเงินของประชาชนมากกว่าทาง US ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะฟื้นตัวก่อน US
3. เนื่องจาก CDS จะหมดอายุใน 52Q2 ซึ่งคาดว่าจะทำให้ทราบจำนวน บริษัทที่รอดชีวิตและล้มหายตายจากในจำนวนที่แน่นอน ซึ่งหมายความว่าวิกฤตน่าจะหยุดแล้ว
4. ดอกเบี้ยทั่วโลกจะลด แต่ดอกเบี้ยระหว่าธนาคารจะพุ่งสูงขึ้น และ saving & Loan Bank ของ US อาจจะล้มบ้าง แต่ไม่มากแล้ว แต่ Commercial Bank จะแข็งแรงมาก
มาดูผลกระทบทางด้าน Asia กันบ้าง อันนี้สำคัญกว่า
1. โดยรวมแล้วภูมิภาค Asia นั้นปลอดภัยไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจาก sub prime
2. แต่ทีต้องโดนแน่ๆ คือเศราฐกิจชลอตัวอาจทั้งภูทิภาคซึ่งเป็นผลกระทบทางอ้อม
3. ประเทศไทยลงทุนใน CDS น้อยมากจึงทำให้เราไม่ค่อยมีปัญหาในด้านนี้( เรายังฉลาดไม่เท่าฝรั่งนั่นเอง เลยรอดตัว ) แต่ก็มีบ้างที่บาง Bank ต้องลดสินทรัพย์
4. การส่งออก การผลิต ได้รับผลกระทบแน่นอนเพราะเศรษฐกิจชลอตัว
5.ส่งออกมีปัญหา คือส่งออกยากขึ้น และ พวก infarstructure จะไม่ค่อยขยายตัว
6. ท่องเที่ยวลดลง
7.ค่าเงินบาทออ่นตัวเมื่อเทียบกับ Us dollar เพราะความต้องเงิน dollar มีมากเนื่องจาก dollar supply ต่ำลง
8. ที่ถามว่าเงินทั้งระบบหายไปไหน คำตอบก็คือ เราเอาเงินอนาคตมาใช้ก่อนจนหมดฉะนั้นเราเลยต้องเอาเงินปัจจุบันไปคืนอนาคต นั่นก็คือ ตลาด อนุพันธ์นั่นเอง
ประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง
1. ประเทศเรามีหนี้น้อยเพียงแค่ debt <= 1 เท่าเอง
2. บริษัทส่วนใหญ่มีเงินสดเยอะ แต่หนี้น้อย
3.ความต้องการสินค้าลดลง แต่ได้ผลดีในแง่ต้นทุนการผลิตก็ลดลงด้วยเช่นกัน
4. เศรษฐกิจชลอตัวแน่นอน และส่งออกปี 52 โตไม่เกิน 10%
ทางด้านตลาดทุนไทย
1. รอดูข่าวร้ายว่าออกมารึยังช่วง 51Q4 และ 52Q1 ของทาง USA และ EU
2. หุ้นไทยลงมาเยอะแล้ว ประมาณ 50% แต่อาจลงไปได้อีก
3. บลจ บ้านเราพื้นฐานดี PE ต่ำ หนี้สินต่ำ
4. อย่างไรก็แล้วแต่ต้องรอฟังผลประกอบการ 51Q4 ก่อน
หุ้นแบบไหนน่าสนใจ
1. บ.ที่มีเงินสดในมือเยอะๆ และ บริษัทที่ทำธุรกิจประเภทซื้อมาขายไปจะดีมาก
2. บ.ที่ขายของจำเป็นต้องใช้ที่อยู่ใน ปัจจัย4 ยกเว้นอสังหา บ.ที่ขายเครื่องอุปโภคบริโภค
3. กลุ่ม Bank น่าสนใจมาก
4. กลุ่มพลังงานน่าสนใจแต่ต้องถือยาวเพราะยังไงทุกคนก็ต้องใช้พลังงาน
5. นักลงทุนต่างชติยังถือเงินอยู่ในไทยแต่ต้องรอดู 51Q4อีกที
6. หุ้นไหน P/BV < 1 ดีมาก
7. สุดท้ายคือรอข่าวร้ายที่สุดออกมาก่อนช่วงปลายปีแล้วค่อยเข้าซื่อหุ้น
จบ
ถ้าเพื่อนๆคนไหนมีข้อมูลเพิ่มเติมก็ช่าวยกันโพสนะครับ
คือเท่าที่ฟังแล้วบอกได้เลยว่ามีประโยชน์กับนักลงทุนทุกคนเป็นอย่างมากในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน รวมถึง ภาวะตลาดหุ้นที่มีความผันผวนอย่างรุนแรงและกำลังอยู่ในขาลง ภาวะตลาดหนีกันทั่วโลก ฉะนั้นใครทีพลาดดูรายดาร Money Talk Daily เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ผมขอบอกเลยว่าน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งครับ
แต่ว่าผมได้ดูอยู่พอดีและก็ได้จดสาระสำคัญๆจากแขกผู้รับเชิญเอาไว้ในทุกประเด็น ยังไงก็ลองอ่านกันดูละกันนะครับ
หัวข้อ: แนวโน้วการเงินโลก
เริ่มจาก ฝั่ง USA และ EU
1. สถานการณ์ปัจจุบันคือ USA มีปัญหา Sub Prime ซึ่งเพื่อนๆคงทราบอยู่แล้วคงไม่ต้องอธิบาย และทาง ยุโรปได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันกับ US ซึ่งทั้งสองกลุ่มทำธุรกรรมร่วมกันอยู่จึงต้องทำให้กอดคอกันตายหมู่
2. แต่ทว่า ทางฝั่งยุโรปมีมีเงินของประชาชนมากกว่าทาง US ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะฟื้นตัวก่อน US
3. เนื่องจาก CDS จะหมดอายุใน 52Q2 ซึ่งคาดว่าจะทำให้ทราบจำนวน บริษัทที่รอดชีวิตและล้มหายตายจากในจำนวนที่แน่นอน ซึ่งหมายความว่าวิกฤตน่าจะหยุดแล้ว
4. ดอกเบี้ยทั่วโลกจะลด แต่ดอกเบี้ยระหว่าธนาคารจะพุ่งสูงขึ้น และ saving & Loan Bank ของ US อาจจะล้มบ้าง แต่ไม่มากแล้ว แต่ Commercial Bank จะแข็งแรงมาก
มาดูผลกระทบทางด้าน Asia กันบ้าง อันนี้สำคัญกว่า
1. โดยรวมแล้วภูมิภาค Asia นั้นปลอดภัยไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจาก sub prime
2. แต่ทีต้องโดนแน่ๆ คือเศราฐกิจชลอตัวอาจทั้งภูทิภาคซึ่งเป็นผลกระทบทางอ้อม
3. ประเทศไทยลงทุนใน CDS น้อยมากจึงทำให้เราไม่ค่อยมีปัญหาในด้านนี้( เรายังฉลาดไม่เท่าฝรั่งนั่นเอง เลยรอดตัว ) แต่ก็มีบ้างที่บาง Bank ต้องลดสินทรัพย์
4. การส่งออก การผลิต ได้รับผลกระทบแน่นอนเพราะเศรษฐกิจชลอตัว
5.ส่งออกมีปัญหา คือส่งออกยากขึ้น และ พวก infarstructure จะไม่ค่อยขยายตัว
6. ท่องเที่ยวลดลง
7.ค่าเงินบาทออ่นตัวเมื่อเทียบกับ Us dollar เพราะความต้องเงิน dollar มีมากเนื่องจาก dollar supply ต่ำลง
8. ที่ถามว่าเงินทั้งระบบหายไปไหน คำตอบก็คือ เราเอาเงินอนาคตมาใช้ก่อนจนหมดฉะนั้นเราเลยต้องเอาเงินปัจจุบันไปคืนอนาคต นั่นก็คือ ตลาด อนุพันธ์นั่นเอง
ประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง
1. ประเทศเรามีหนี้น้อยเพียงแค่ debt <= 1 เท่าเอง
2. บริษัทส่วนใหญ่มีเงินสดเยอะ แต่หนี้น้อย
3.ความต้องการสินค้าลดลง แต่ได้ผลดีในแง่ต้นทุนการผลิตก็ลดลงด้วยเช่นกัน
4. เศรษฐกิจชลอตัวแน่นอน และส่งออกปี 52 โตไม่เกิน 10%
ทางด้านตลาดทุนไทย
1. รอดูข่าวร้ายว่าออกมารึยังช่วง 51Q4 และ 52Q1 ของทาง USA และ EU
2. หุ้นไทยลงมาเยอะแล้ว ประมาณ 50% แต่อาจลงไปได้อีก
3. บลจ บ้านเราพื้นฐานดี PE ต่ำ หนี้สินต่ำ
4. อย่างไรก็แล้วแต่ต้องรอฟังผลประกอบการ 51Q4 ก่อน
หุ้นแบบไหนน่าสนใจ
1. บ.ที่มีเงินสดในมือเยอะๆ และ บริษัทที่ทำธุรกิจประเภทซื้อมาขายไปจะดีมาก
2. บ.ที่ขายของจำเป็นต้องใช้ที่อยู่ใน ปัจจัย4 ยกเว้นอสังหา บ.ที่ขายเครื่องอุปโภคบริโภค
3. กลุ่ม Bank น่าสนใจมาก
4. กลุ่มพลังงานน่าสนใจแต่ต้องถือยาวเพราะยังไงทุกคนก็ต้องใช้พลังงาน
5. นักลงทุนต่างชติยังถือเงินอยู่ในไทยแต่ต้องรอดู 51Q4อีกที
6. หุ้นไหน P/BV < 1 ดีมาก
7. สุดท้ายคือรอข่าวร้ายที่สุดออกมาก่อนช่วงปลายปีแล้วค่อยเข้าซื่อหุ้น
จบ
ถ้าเพื่อนๆคนไหนมีข้อมูลเพิ่มเติมก็ช่าวยกันโพสนะครับ