ดูท่าทฤษฎี Decouple จะใช้ไม่ได้จริง ๆ
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 22, 2008 4:45 pm
เศรษฐกิจเอเชียจะแยกตัว (Decouple) ออกจากสหรัฐฯ หรือไม่
นักเศรษฐศาสตร์เกือบทุกคนที่ติดตามเศรษฐกิจสหรัฐฯในปัจจุบันต่างเห็นตรงกันว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะขาลงในปีหน้าจากการแตกของฟองสบู่ที่อยู่อาศัย แต่ยังมีข้อถกเถียงกันว่าเศรษฐกิจเอเชียซึ่งรวมถึงไทยจะถูกกระทบมากน้อยขนาดไหน โดยกลุ่มแรกเห็นด้วยกับทฤษฎีแยกตัว (Decouple) ที่ว่า ผลจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก ทำให้อิทธิพลของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่มีต่อเอเชียลดน้อยลงมาก และเศรษฐกิจขาลงของสหรัฐฯในวัฏจักรนี้จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจเอเชียไม่มากนัก
ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งไม่เชื่อในทฤษฎีนี้ แต่เชื่อว่าไม่ว่าโครงสร้างของเศรษฐกิจโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจเอเชียก็ยังต้องพึ่งสหรัฐฯ ดังนั้นการเข้าสู่เศรษฐกิจขาลงของสหรัฐฯจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเอเชียรวมถึงประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นักเศรษฐศาสตร์ที่เห็นด้วยกับทฤษฎี Decouple เชื่อว่าเศรษฐกิจเอเชียจะไม่ถูกกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เนื่องจากปัจจุบันประเทศในเอเชียมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกันมากขึ้น และยังเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆในโลกนอกจากสหรัฐฯมากขึ้นด้วย ดังนั้นเศรษฐกิจเอเชียจึงพึ่งพิงเศรษฐกิจสหรัฐฯ น้อยลงมากในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งดูได้จากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ แต่เศรษฐกิจเอเชียก็ยังขยายตัวได้ดี ต่างจากในปี 2544 ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ขาลงในต้นปี 2544 ส่งผลให้เศรษฐกิจเอเชียเข้าสู่ขาลงในเวลาเดียวกัน
ส่วนนักเศรษฐศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งไม่เชื่อเช่นนั้น ผมก็เช่นเดียวกัน ผมเห็นว่าทฤษฎี Decouple ยังมีจุดอ่อนอยู่หลายประการโดยเฉพาะไม่ได้คิดถึงความแตกต่างระหว่างวัฏจักรเศรษฐกิจในปี 2544 และปัจจุบัน ซึ่งผมได้ความคิดนี้ส่วนหนึ่งจากการที่ได้พบปะพูดคุยกับ Dr. Fishwick รองหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทวาณิชย์ธนกิจ CLSA ในปัจจุบัน
ผมคิดว่าความแตกต่างที่สำคัญระหว่างวัฏจักรปี 2544 และปัจจุบัน มีอยู่ 2 ประการคือ ประการแรก ในวัฏจักรปี 2544 เศรษฐกิจหลักของโลกทั้ง 3 ได้แก่ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป (European Union: EU) และญี่ปุ่น มีปัญหาฟองสบู่จากธุรกิจสารสนเทศ (Information Technology: IT) ที่แตกในปลายปี 2543 เหมือนกัน ดังนั้น เศรษฐกิจทั้ง 3 จึงเข้าสู่ขาลงในต้นปี 2544 พร้อมๆ กัน ส่งผลต่อเนื่องไปยังเศรษฐกิจของประเทศในเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) อย่างรวดเร็วตั้งแต่ต้นปี 2544
ส่วนในวัฏจักรปัจจุบันนี้ สหรัฐฯ เป็นประเทศเดียวที่ประสบปัญหาฟองสบู่ที่อยู่อาศัย ในขณะที่ญี่ปุ่นและ EU (ยกเว้นอังกฤษ) ไม่ได้เผชิญปัญหาดังกล่าว ในทางตรงกันข้ามเศรษฐกิจของญี่ปุ่นและ EU โดยเฉพาะเยอรมนี ได้ฟื้นตัวจากการแตกของฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ที่เกิดในต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 แล้ว ดังนั้น ในวัฏจักรปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐฯจึงเข้าสู่ขาลงเพียงประเทศเดียว ซึ่งทำให้ดูเสมือนว่าการเข้าสู่ขาลงดังกล่าวมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกค่อนข้างน้อย
ประการที่สอง การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในครึ่งหลังของปีนี้เกิดจากการชะลอตัวของการลงทุนในการก่อสร้างที่อยู่อาศัย ไม่ได้เกิดจากการลดลงของการใช้จ่ายในการบริโภค จึงยังไม่ส่งผลต่อการส่งออกของประเทศเอเชีย เนื่องจากสินค้าออกของเอเชียที่ส่งไปยังสหรัฐฯ เกือบทั้งหมดเป็นสินค้าเพื่ออุปโภคและบริโภค
นอกจากนี้ปริมาณการค้าระหว่างประเทศในเอเชียที่สูงขึ้นส่วนใหญ่เป็นการค้าในอุตสาหกรรมเดียวกัน (Intra Industrial Trade) นั่นคือเป็นการค้าขายตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงสินค้าขั้นกลางมากกว่าสินค้าขั้นสุดท้าย ในขณะที่ตลาดสำหรับสินค้าขั้นสุดท้ายที่สำคัญที่สุดในโลกยังคงเป็นตลาด G3 คือ สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ย่อมส่งผลให้การนำเข้าสินค้าขั้นสุดท้ายลดลง ซึ่งจะทำให้การส่งออกของเอเชียที่เป็นคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯลดลง และกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ สุดท้ายก็จะส่งผลกระทบผ่านต่อไปยังเศรษฐกิจของประเทศเอเชียอื่นๆที่มีการค้าขายระหว่างกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผมคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะชะลอตัวอย่างชัดเจนในต้นปี 2551 จากการชะลอตัวของการบริโภคที่เป็นผลมาจากการแตกของฟองสบู่ที่อยู่อาศัย และผลกระทบจะส่งต่อเนื่องมาถึงเอเชียรวมถึงไทยโดยผ่านการชะลอตัวของการส่งออกเป็นทอดๆตามลำดับ
ผลของเศรษฐกิจขาลงของสหรัฐฯที่มีต่อเศรษฐกิจเอเชียและไทยในครั้งนี้จะต่างจากปี 2544 ที่เกิดการแตกของฟองสบู่ IT พร้อมกันทั้งสหรัฐฯ EU และญี่ปุ่น ดังนั้น จึงส่งผลต่อการส่งออกของเอเชียรวมถึงไทยอย่างรวดเร็ว แต่ครั้งนี้เศรษฐกิจขาลงของสหรัฐฯ ส่งผลค่อนข้างช้าเนื่องจากต้องผ่านกลไกด้านการค้าและการลงทุน เช่น การส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ ชะลอตัวลง จากนั้นการส่งออกของไทยไปจีนจะชะลอตัวตาม และในที่สุดจึงกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม ซึ่งจะต้องใช้เวลานานกว่าผลกระทบดังกล่าวจะมีต่อเศรษฐกิจเอเชียและไทย ผมคาดว่าภาพดังกล่าวจะชัดเจนในปลายไตรมาสที่ 2 หรือในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551
โดยสรุป ทฤษฎี Decouple เป็นการวิเคราะห์ที่ไม่ได้รวมความแตกต่างของวัฏจักรปัจจุบันกับปี 2544 และไม่ได้คิดถึงผลทางอ้อมที่ผ่านกลไกทางการค้าและการลงทุนที่จะส่งต่อไปยังประเทศอื่นๆ และค่อยๆทยอยส่งผลต่อเนื่องมายังเอเชียและไทย ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลา ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจของเอเชียและไทยที่เน้นการส่งออกเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่สามารถที่จะแยกตัวหรือ Decouple ออกจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2274
นักเศรษฐศาสตร์เกือบทุกคนที่ติดตามเศรษฐกิจสหรัฐฯในปัจจุบันต่างเห็นตรงกันว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะขาลงในปีหน้าจากการแตกของฟองสบู่ที่อยู่อาศัย แต่ยังมีข้อถกเถียงกันว่าเศรษฐกิจเอเชียซึ่งรวมถึงไทยจะถูกกระทบมากน้อยขนาดไหน โดยกลุ่มแรกเห็นด้วยกับทฤษฎีแยกตัว (Decouple) ที่ว่า ผลจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก ทำให้อิทธิพลของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่มีต่อเอเชียลดน้อยลงมาก และเศรษฐกิจขาลงของสหรัฐฯในวัฏจักรนี้จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจเอเชียไม่มากนัก
ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งไม่เชื่อในทฤษฎีนี้ แต่เชื่อว่าไม่ว่าโครงสร้างของเศรษฐกิจโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจเอเชียก็ยังต้องพึ่งสหรัฐฯ ดังนั้นการเข้าสู่เศรษฐกิจขาลงของสหรัฐฯจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเอเชียรวมถึงประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นักเศรษฐศาสตร์ที่เห็นด้วยกับทฤษฎี Decouple เชื่อว่าเศรษฐกิจเอเชียจะไม่ถูกกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เนื่องจากปัจจุบันประเทศในเอเชียมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกันมากขึ้น และยังเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆในโลกนอกจากสหรัฐฯมากขึ้นด้วย ดังนั้นเศรษฐกิจเอเชียจึงพึ่งพิงเศรษฐกิจสหรัฐฯ น้อยลงมากในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งดูได้จากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ แต่เศรษฐกิจเอเชียก็ยังขยายตัวได้ดี ต่างจากในปี 2544 ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ขาลงในต้นปี 2544 ส่งผลให้เศรษฐกิจเอเชียเข้าสู่ขาลงในเวลาเดียวกัน
ส่วนนักเศรษฐศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งไม่เชื่อเช่นนั้น ผมก็เช่นเดียวกัน ผมเห็นว่าทฤษฎี Decouple ยังมีจุดอ่อนอยู่หลายประการโดยเฉพาะไม่ได้คิดถึงความแตกต่างระหว่างวัฏจักรเศรษฐกิจในปี 2544 และปัจจุบัน ซึ่งผมได้ความคิดนี้ส่วนหนึ่งจากการที่ได้พบปะพูดคุยกับ Dr. Fishwick รองหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทวาณิชย์ธนกิจ CLSA ในปัจจุบัน
ผมคิดว่าความแตกต่างที่สำคัญระหว่างวัฏจักรปี 2544 และปัจจุบัน มีอยู่ 2 ประการคือ ประการแรก ในวัฏจักรปี 2544 เศรษฐกิจหลักของโลกทั้ง 3 ได้แก่ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป (European Union: EU) และญี่ปุ่น มีปัญหาฟองสบู่จากธุรกิจสารสนเทศ (Information Technology: IT) ที่แตกในปลายปี 2543 เหมือนกัน ดังนั้น เศรษฐกิจทั้ง 3 จึงเข้าสู่ขาลงในต้นปี 2544 พร้อมๆ กัน ส่งผลต่อเนื่องไปยังเศรษฐกิจของประเทศในเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) อย่างรวดเร็วตั้งแต่ต้นปี 2544
ส่วนในวัฏจักรปัจจุบันนี้ สหรัฐฯ เป็นประเทศเดียวที่ประสบปัญหาฟองสบู่ที่อยู่อาศัย ในขณะที่ญี่ปุ่นและ EU (ยกเว้นอังกฤษ) ไม่ได้เผชิญปัญหาดังกล่าว ในทางตรงกันข้ามเศรษฐกิจของญี่ปุ่นและ EU โดยเฉพาะเยอรมนี ได้ฟื้นตัวจากการแตกของฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ที่เกิดในต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 แล้ว ดังนั้น ในวัฏจักรปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐฯจึงเข้าสู่ขาลงเพียงประเทศเดียว ซึ่งทำให้ดูเสมือนว่าการเข้าสู่ขาลงดังกล่าวมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกค่อนข้างน้อย
ประการที่สอง การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในครึ่งหลังของปีนี้เกิดจากการชะลอตัวของการลงทุนในการก่อสร้างที่อยู่อาศัย ไม่ได้เกิดจากการลดลงของการใช้จ่ายในการบริโภค จึงยังไม่ส่งผลต่อการส่งออกของประเทศเอเชีย เนื่องจากสินค้าออกของเอเชียที่ส่งไปยังสหรัฐฯ เกือบทั้งหมดเป็นสินค้าเพื่ออุปโภคและบริโภค
นอกจากนี้ปริมาณการค้าระหว่างประเทศในเอเชียที่สูงขึ้นส่วนใหญ่เป็นการค้าในอุตสาหกรรมเดียวกัน (Intra Industrial Trade) นั่นคือเป็นการค้าขายตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงสินค้าขั้นกลางมากกว่าสินค้าขั้นสุดท้าย ในขณะที่ตลาดสำหรับสินค้าขั้นสุดท้ายที่สำคัญที่สุดในโลกยังคงเป็นตลาด G3 คือ สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ย่อมส่งผลให้การนำเข้าสินค้าขั้นสุดท้ายลดลง ซึ่งจะทำให้การส่งออกของเอเชียที่เป็นคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯลดลง และกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ สุดท้ายก็จะส่งผลกระทบผ่านต่อไปยังเศรษฐกิจของประเทศเอเชียอื่นๆที่มีการค้าขายระหว่างกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผมคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะชะลอตัวอย่างชัดเจนในต้นปี 2551 จากการชะลอตัวของการบริโภคที่เป็นผลมาจากการแตกของฟองสบู่ที่อยู่อาศัย และผลกระทบจะส่งต่อเนื่องมาถึงเอเชียรวมถึงไทยโดยผ่านการชะลอตัวของการส่งออกเป็นทอดๆตามลำดับ
ผลของเศรษฐกิจขาลงของสหรัฐฯที่มีต่อเศรษฐกิจเอเชียและไทยในครั้งนี้จะต่างจากปี 2544 ที่เกิดการแตกของฟองสบู่ IT พร้อมกันทั้งสหรัฐฯ EU และญี่ปุ่น ดังนั้น จึงส่งผลต่อการส่งออกของเอเชียรวมถึงไทยอย่างรวดเร็ว แต่ครั้งนี้เศรษฐกิจขาลงของสหรัฐฯ ส่งผลค่อนข้างช้าเนื่องจากต้องผ่านกลไกด้านการค้าและการลงทุน เช่น การส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ ชะลอตัวลง จากนั้นการส่งออกของไทยไปจีนจะชะลอตัวตาม และในที่สุดจึงกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม ซึ่งจะต้องใช้เวลานานกว่าผลกระทบดังกล่าวจะมีต่อเศรษฐกิจเอเชียและไทย ผมคาดว่าภาพดังกล่าวจะชัดเจนในปลายไตรมาสที่ 2 หรือในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551
โดยสรุป ทฤษฎี Decouple เป็นการวิเคราะห์ที่ไม่ได้รวมความแตกต่างของวัฏจักรปัจจุบันกับปี 2544 และไม่ได้คิดถึงผลทางอ้อมที่ผ่านกลไกทางการค้าและการลงทุนที่จะส่งต่อไปยังประเทศอื่นๆ และค่อยๆทยอยส่งผลต่อเนื่องมายังเอเชียและไทย ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลา ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจของเอเชียและไทยที่เน้นการส่งออกเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่สามารถที่จะแยกตัวหรือ Decouple ออกจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2274