ใจเย็น ใจร้อน บุคลิกมีผลต่อการลงทุนรึเปล่า
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 17, 2008 3:31 pm
เคยมีคนถามผมว่า ดูผมเป็นคนนิ่งๆ ใจเย็น บุคลิกนี้มีผลต่อการลงทุนรึเปล่า
ผมก็ตอบว่า ภายนอกผมดูเป็นคนใจเย็น แต่ใจจริงๆผมเป็นคนใจร้อนมากนะ
และผมก็พูดต่อว่า ตลาดหุ้นมันเป็นหลักจิตวิทยาในส่วนหนึ่ง ต่อตัวผมเองก็เคยเป็นที่ว่า
ใจของผมวิ่งตามราคาที่ขึ้นลง ดังนั้นเหมือนใจเป็นไปตามราคา (เมื่อราคาขึ้นในหุ้นที่ถืออยู่ก็ตื่นเต้นและเตรียมขาย
เมื่อราคาลงก็ตื่นกลัวและเตรียมขายตัดขาดทุน และเมื่อขาดทุน ในใจก็คิดว่าไว้ก่อนเถอะจะมาเอาคืน
ซึ่งเมื่อดูตัวเองกับการกระทำที่พร้อมที่จะซื้อหรือขายอย่างรวดเร็วนี้ ผมว่าผมก็อยู่ในกลุ่มคนใจร้อน )
แต่เมื่อเวลาที่เราเข้าใจตลาดหุ้น ใจเราก็ไม่จำเป็นต้องวิ่งขึ้นลงตามราคา
ถ้าแยกเป็นสัญชาตญาณโดยทั่วไปของมนุษย์ ก็น่าจะแบ่งได้เป็น คนใจเย็น และ คนใจร้อน (คนพอดีคงจะมีน้อยรึเปล่า)
ถ้าเป็นคนใจร้อนเล่นหุ้น ก็ดูเหมือนมีความเป็นไปได้ว่า จะมีการซื้อขายที่รวดเร็ว มีใจปรารถนาอยากได้กำไรที่มากกว่า
ถ้าเป็นคนใจเย็นเล่นหุ้น ก็ดูเหมือนมีความเป็นไปได้ว่า จะมีการซื้อขายที่ช้ากว่า และยอมรับความเป็นไปในขาดทุนหรือกำไรได้มากกว่า
แต่ถ้ามองเช่นนี้ ก็ดูเหมือนว่าลักษณะคนใจร้อน คนใจเย็นนั้น ไม่ได้บอกถึงว่าจะสามารถประสบความสำเร็จในการลงทุนได้เลย
แต่ส่วนต่อไป คือ สติปัญญา ซึ่งถ้าเราใช้ มันจะนำพาเราไปถึงคำว่า เข้าใจ
การเข้าใจนี้แหละเป็นสิ่งที่สำคัญ ในการพาเราไปประสบความสำเร็จ
ถ้าให้เปรียบความเข้าใจ ก็เปรียบได้กับสิ่งที่พาตัวเราออกนอกเกม
ผมเคยเล่นเกม และในเกมก็จะมีตัวละครเอก และตัวเราก็เล่นเป็นตัวละครเอกนั้นในเกม
และผจญภัยในเกมไปเรื่อยๆ เจอปัญหาในเกมหลายๆครั้ง บางทีก็เจอทางตัน
และบางที่ผมก็ปวดหัว สับสน หาทางออกไม่ได้ เหมือนผมเป็นตัวละครในเกมจริงๆ
แต่พอผมตั้งสติได้และเข้าใจ ผมรู้สึกได้ว่า ตัวผมได้กลับออกมาอยู่นอกเกม และผมยังคงต้องการจบเกมนี้
เมื่อตัวผมอยู่นอกเกม และไม่สับสนกับการเป็นตัวละครเอก ผมจึงได้เข้าใจว่า เกมนี้กำลังต้องการให้ผมทำอะไร
และองค์ประกอบในฉากนั้นๆกำลังทำหน้าที่อะไรอยู่
เมื่อผมเข้าใจ ผมก็รู้ว่าผมต้องพาตัวละครเอกไปทางไหนเพื่อให้จบเกมได้
จึงคล้ายอยากจะบอกว่า ถ้าเรามีสติและเข้าใจ เราจะกลับมาเป็นผู้คุมเกม
และการจะคุมเกมได้ดีเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับความเข้าใจของเราเอง
อย่างเช่นในตลาดหุ้นและในรูปแบบธุรกิจนั้น
ความเข้าใจก็ยังแบ่งได้ออกเป็นหลายระดับอีก ซึ่งจะใช้เกณฑ์แบ่งเป็นระยะเวลา
การเข้าใจในตลาดหุ้น แบบระยะสั้น ถ้าเป็นระยะปี ก็เข้าใจการคาดการณ์กำไร การเคลื่อนไหวราคา
การเข้าใจในตลาดหุ้น แบบระยะกลาง ถ้าเป็นระยะ 3-5 ปี ก็เข้าใจได้มากกว่าระยะสั้นถึงพวกวัฏจักร หุ้นวัฏจักร
การเข้าใจในตลาดหุ้น แบบระยะยาว ถ้าเป็นระยะเป็น 10 ปีหรือมากกว่านั้น ก็เข้าใจได้มากกว่าระยะกลาง
จนถึงความเป็นจริงตามที่เค้าว่ากันว่า วัฎจักรเศรษฐกิจแต่ละรอบใช้เวลาประมาณ 10 ปี และถ้าเรามีความเข้าใจในการซื้อบริษัทที่ดี และยังคงมีอนาคตสามารถคงอยู่ได้ ในเวลาที่ราคาถูก และหุ้นตกต่ำ และถ้าการดำเนินชีวิตยังคงเป็นไปอย่างปกติ เมื่อถึงช่วงเวลาที่เศรษฐกิจดี การสะท้อนด้านราคาก็จะออกมา
คล้ายๆกับที่มีนักลงทุนชื่อดังเค้าว่า การซื้อวันนี้ ก็เปรียบเป็นการซื้ออนาคตของอเมริกา Buying American
และเมื่อเรามีสติปัญญา และความเข้าใจนี่แหละ
ความเข้าใจนี้ ก็จะมาผสมกับบุคลิกที่เรามี ทั้งคนใจร้อน และคนใจเย็น
และก็เกิดเป็นลักษณะของแต่ละบุคลขึ้นตามการผสมผสาน
ถ้าการผสมผสานยิ่งพอดีเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดีพอที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในการลงทุนเท่านั้น
ผมก็ตอบว่า ภายนอกผมดูเป็นคนใจเย็น แต่ใจจริงๆผมเป็นคนใจร้อนมากนะ
และผมก็พูดต่อว่า ตลาดหุ้นมันเป็นหลักจิตวิทยาในส่วนหนึ่ง ต่อตัวผมเองก็เคยเป็นที่ว่า
ใจของผมวิ่งตามราคาที่ขึ้นลง ดังนั้นเหมือนใจเป็นไปตามราคา (เมื่อราคาขึ้นในหุ้นที่ถืออยู่ก็ตื่นเต้นและเตรียมขาย
เมื่อราคาลงก็ตื่นกลัวและเตรียมขายตัดขาดทุน และเมื่อขาดทุน ในใจก็คิดว่าไว้ก่อนเถอะจะมาเอาคืน
ซึ่งเมื่อดูตัวเองกับการกระทำที่พร้อมที่จะซื้อหรือขายอย่างรวดเร็วนี้ ผมว่าผมก็อยู่ในกลุ่มคนใจร้อน )
แต่เมื่อเวลาที่เราเข้าใจตลาดหุ้น ใจเราก็ไม่จำเป็นต้องวิ่งขึ้นลงตามราคา
ถ้าแยกเป็นสัญชาตญาณโดยทั่วไปของมนุษย์ ก็น่าจะแบ่งได้เป็น คนใจเย็น และ คนใจร้อน (คนพอดีคงจะมีน้อยรึเปล่า)
ถ้าเป็นคนใจร้อนเล่นหุ้น ก็ดูเหมือนมีความเป็นไปได้ว่า จะมีการซื้อขายที่รวดเร็ว มีใจปรารถนาอยากได้กำไรที่มากกว่า
ถ้าเป็นคนใจเย็นเล่นหุ้น ก็ดูเหมือนมีความเป็นไปได้ว่า จะมีการซื้อขายที่ช้ากว่า และยอมรับความเป็นไปในขาดทุนหรือกำไรได้มากกว่า
แต่ถ้ามองเช่นนี้ ก็ดูเหมือนว่าลักษณะคนใจร้อน คนใจเย็นนั้น ไม่ได้บอกถึงว่าจะสามารถประสบความสำเร็จในการลงทุนได้เลย
แต่ส่วนต่อไป คือ สติปัญญา ซึ่งถ้าเราใช้ มันจะนำพาเราไปถึงคำว่า เข้าใจ
การเข้าใจนี้แหละเป็นสิ่งที่สำคัญ ในการพาเราไปประสบความสำเร็จ
ถ้าให้เปรียบความเข้าใจ ก็เปรียบได้กับสิ่งที่พาตัวเราออกนอกเกม
ผมเคยเล่นเกม และในเกมก็จะมีตัวละครเอก และตัวเราก็เล่นเป็นตัวละครเอกนั้นในเกม
และผจญภัยในเกมไปเรื่อยๆ เจอปัญหาในเกมหลายๆครั้ง บางทีก็เจอทางตัน
และบางที่ผมก็ปวดหัว สับสน หาทางออกไม่ได้ เหมือนผมเป็นตัวละครในเกมจริงๆ
แต่พอผมตั้งสติได้และเข้าใจ ผมรู้สึกได้ว่า ตัวผมได้กลับออกมาอยู่นอกเกม และผมยังคงต้องการจบเกมนี้
เมื่อตัวผมอยู่นอกเกม และไม่สับสนกับการเป็นตัวละครเอก ผมจึงได้เข้าใจว่า เกมนี้กำลังต้องการให้ผมทำอะไร
และองค์ประกอบในฉากนั้นๆกำลังทำหน้าที่อะไรอยู่
เมื่อผมเข้าใจ ผมก็รู้ว่าผมต้องพาตัวละครเอกไปทางไหนเพื่อให้จบเกมได้
จึงคล้ายอยากจะบอกว่า ถ้าเรามีสติและเข้าใจ เราจะกลับมาเป็นผู้คุมเกม
และการจะคุมเกมได้ดีเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับความเข้าใจของเราเอง
อย่างเช่นในตลาดหุ้นและในรูปแบบธุรกิจนั้น
ความเข้าใจก็ยังแบ่งได้ออกเป็นหลายระดับอีก ซึ่งจะใช้เกณฑ์แบ่งเป็นระยะเวลา
การเข้าใจในตลาดหุ้น แบบระยะสั้น ถ้าเป็นระยะปี ก็เข้าใจการคาดการณ์กำไร การเคลื่อนไหวราคา
การเข้าใจในตลาดหุ้น แบบระยะกลาง ถ้าเป็นระยะ 3-5 ปี ก็เข้าใจได้มากกว่าระยะสั้นถึงพวกวัฏจักร หุ้นวัฏจักร
การเข้าใจในตลาดหุ้น แบบระยะยาว ถ้าเป็นระยะเป็น 10 ปีหรือมากกว่านั้น ก็เข้าใจได้มากกว่าระยะกลาง
จนถึงความเป็นจริงตามที่เค้าว่ากันว่า วัฎจักรเศรษฐกิจแต่ละรอบใช้เวลาประมาณ 10 ปี และถ้าเรามีความเข้าใจในการซื้อบริษัทที่ดี และยังคงมีอนาคตสามารถคงอยู่ได้ ในเวลาที่ราคาถูก และหุ้นตกต่ำ และถ้าการดำเนินชีวิตยังคงเป็นไปอย่างปกติ เมื่อถึงช่วงเวลาที่เศรษฐกิจดี การสะท้อนด้านราคาก็จะออกมา
คล้ายๆกับที่มีนักลงทุนชื่อดังเค้าว่า การซื้อวันนี้ ก็เปรียบเป็นการซื้ออนาคตของอเมริกา Buying American
และเมื่อเรามีสติปัญญา และความเข้าใจนี่แหละ
ความเข้าใจนี้ ก็จะมาผสมกับบุคลิกที่เรามี ทั้งคนใจร้อน และคนใจเย็น
และก็เกิดเป็นลักษณะของแต่ละบุคลขึ้นตามการผสมผสาน
ถ้าการผสมผสานยิ่งพอดีเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดีพอที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในการลงทุนเท่านั้น