Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

พอดีย้อนไปดูประวัตวิกฤติตลาดหุ้นไทย เพื่อมาเปรียบเทียบสถานการตอนนี้ :

วิกฤติที่    ปี    ดัชนีต้นปี    ดัชนีปลายปี
    1      1979       260            1xx  (ราชาเงินทุนล้ม)
    2      1987       473            244  (Black Monday)
    3      1990      1144           544  (อีรักเข้ายึดคูเวต)
    4      1996      1354           784  (ฟองสบู่ใกล้แตก)
    5      1997       784            373  (ฟองสบู่แตก ลดค่าเงิน)
    6      2000       482            269  (ฟองสบู่ US NASDAQ แตก)
    7      2008       852            xxx  (ฟองสบู่ US Sub-prime แตก)
    8      2009       xxx            yyy

ตอนนี้ดัชนีจะใกล้กับปลายปี 1997 ซึ่งถ้าดูจากเศรษฐกิจปัจจุบัน ดีกว่าตอนนั้นมาก โดยเฉพาะ NPL ที่ลดลงอย่างมาก
หลายๆบริษัทก็มีเงินสดอยู่มาก ไม่มีหนี้ และยังทำการซื้อหุ้นบริษัทตัวเองคืน ผมว่าปีหน้ากลางปีไปแล้ว ต้องฟื้นแหงๆ
แต่จะวิ่งไปที่เท่าไหร่น้า... น่าจะใกล้ๆตอน "อีรักเข้ายึดคูเวต" 544 ไม้  หรือ yyy จะลงต่ำกว่าปัจจุบัน  :?

ดูการเมืองบ้านเรา แล้ว คาดการณ์ไม่ถูก

แต่ปลายปีหน้า ขอดัชนี เกิน ห้าร้อย แล้วกัน

จริงๆแล้วไม่ได้อยากทราบการคาดการว่า xxx หรือ yyy จะเป็นเท่าไร เพราะบ่อยครั้งที่นักวิเคราะคาดไว้ ก็มีถูกบ้างผิดบ้าง
แต่จริงๆก็ไม่มีใครรู้หรอก

ที่อยากได้ คือความรู้สึกมากกว่า พื้นฐานเศรษฐกิจ เงินสำรอง การส่งออก ท่องเที่ยว
มองเผื่อปีหน้าด้วยนะ ดัชนีที่ 390 นั้น ผมมองว่ามันเพี้ยนไปแล้ว โดยเฉพาะบางบริษัทที่เงินเหลือมากมาย
ถึงยอดขายจะโดนกระทบ บริษัทที่แข็งแรงก็จะสามารถฟื้นกลับมได้เร็ววัน  

ถ้าดูจากวิกฤติด้านบน ส่วนใหญ่ถ้าไม่ติดลบ 42% ก็จะติดลบ 52% ซึ่งหลายครั้งพื้นฐานไทยยังดี แต่ดัชนีไปตามต่างประเทศ

ตัวดัชนี มักสะท้อนผลรวมบางอย่าง แต่ไม่สัมพันธ์เชิง linear กับมูลค่าโดยตรง....................

ลองมาดูตัววัดหุ้นถูกแพงกัน :

ณสิ้นเดือน ก.ค. SET=685, P/E=11,  P/B=1.40, DY=4.3%
ณสิ้นเดือน ส.ค. SET=678, P/E=11,  P/B=1.40, DY=4.3%
ณสิ้นเดือน ก.ย. SET=619, P/E=9,    P/B=1.25, DY=4.9%
ณสิ้นเดือน ต.ค. SET=433, P/E=7,    P/B=0.90, DY=6.3%
ณสิ้นเดือน พ.ย. SET=397, P/E=6,    P/B=0.80, DY=7.3%

แน่นอน E นั้นเปลี่ยนได้ เช่นเดียวกับ B และก็ Y แต่สังเกตเวลาแค่ 3-4 เดือน P/E ลดลงมาก 40%
คำถามก็คือ บริษัทที่เราลงทุนอยู้นั้น กำไรจะลดลงมากกว่า 40% ?

Book Value นั้นหายไปมากกว่า 40% เช่นกัน แล้วบริษัทที่เราลงทุนล่ะ ปีหน้า B จะเหลือแค่ 60% ของปีนี้ ?

Yield นั้นคง imply ว่าปีหน้าหรือปี 2553 คงไม่สามารถจ่ายปันผลเหมือนเดิมได้ ระยะยาวปันผลจะลดลง
แล้วบริษัทที่เราลงทุนล่ะ ยังสามารถจ่ายปันผลใกล้เคียงระดับเดิมหรือไม่ หากจ่ายได้เท่าๆเดิม
ตัวอย่างเช่น SE-ED จ่ายทุกไตมาส 0.10 x 4 = 0.40 คิดจากราคาที่ 5.50 บาท Yield=7.3% ดีกว่าเมื่อก่อนที่ 5-6%  :B

ถ้าย้อนกลับไปดูตอน มี.ค. ปี 2001 : P/E=18.8,  P/B=1.6,  DY=2%

มี.ค. 2001 กับตอนนี้ ธ.ค. 2008 ตอนไหนน่าลงทุนกว่า ?  :B

มี.ค. ปี 2001 : SET=391,  P/E=18.8,  P/B=1.6,  DY=2%

ธ.ค. ปี 2008 : SET=397,  P/E=6,       P/B=0.80, DY=7.3%

[quote]ตัวอย่างเช่น SE-ED จ่ายทุกไตมาส 0.10 x 4 = 0.40 คิดจากราคาที่ 5.50 บาท Yield=7.3% ดีกว่าเมื่อก่อนที่ 5-6%  
[/quote]

ขอเสริมข้อมูลนิดหนึ่งนะครับ

ปกติ SE-ED จะจ่ายเงินปันผลสำหรับ Q1 Q2 Q3 ประมาณ 0.1 บาทต่อหุ้น แต่ Q4 จะจ่ายตามผลการดำเนินงานทั้งปี

อย่างปีที่แล้วจ่าย 0.26 ดังนั้นทั้งปี ได้ 0.56 บาท

รวมเครดิตภาษีสำหรับคนฐานภาษี 10% อีก 0.24 บาท

โดนหักภาษี 10% เหลือรวมเท่ากับ 0.72 บาทต่อหุ้น

ณ ราคาปัจจุบันที่ 5.35 บาท เท่ากับปันผล 13.4% ว้าววววว:)

ดัชนีควรอยู่เท่าไหร่ไม่รู้จริงๆครับ
แต่ท่ามกลางข่าวการลดพนักงานของโรงงานอุตสาหกรรมบางแห่ง
การส่งออกแย่ การเมืองมีปัญหา ก็ยังมีคนขยายกิจการครับ

นางหิรัญญา สุจินัย ที่ปรึกษาด้านการลงทุน คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการได้อนุมัติส่งเสริมการขยายกิจการลงทุนให้แก่ 2 บริษัทใหญ่จากต่างประเทศที่ดำเนินกิจการผลิตสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 1,940 ล้านบาท โดยคาดว่าการขยายกิจการครั้งนี้ ทั้ง 2 บริษัทจะใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องประมาณ 4,680 ล้านบาทต่อปี และมีการจ้างงานเพิ่มกว่า 1,000 คน

http://www.ryt9.com/news/2008-12-07/48355388/

[quote="phemstap"]มี.ค. 2001 กับตอนนี้ ธ.ค. 2008 ตอนไหนน่าลงทุนกว่า ?

ถ้าความรู้สึกผมจริงๆ ก็คือ

เศรษฐกิจน่าจะกลับมาดี แถวๆ 2011,2012,2013 ขึ้นไปนะครับ

short term ตอนนี้ตลาดหุ้นอาจจะเป็น bull
medium term ผมก็ว่ายังเป็น bear อยู่
long term ก็คงอยู่แบบนิ่งๆซึมๆ ไปอีกสองสามปี

และผมก็รอว่า เมือ่ไหร่ จะมี bank ที่ญี่ปุ่นหรือจีน มีปัญหา รึเปล่า ปีหน้า ??
เมืองไทยจะมีแบงก์ไหนมีปัญหารึเปล่า ที่ว่าแข็งแกร่งมีประสบการณ์จากวิกฤตคราวก่อนมานะครับ ???

เห็นอ่านๆดู ก็มีคนเก็บหุ้นไว้รอ window dressing รอ January effect ผมว่าจริงๆแล้ว เดือนหน้าหุ้นก็อาจจะขึ้นได้ ผมมีหุ้นอยู่ในพอร์ต ผมคงต้องปล่อยไปตามน้ำเหมือนกัน แต่คิดว่าน่าจะเรียกว่า การมองโลกในแง่ดีมากกว่าคนเลยมาซื้อหุ้นกันช่วงนี้นะครับ

ยังไง การเมืองก็ยังมีปํญหาอยู่ด้วยคอยเป็นปัจจัยกระทบที่คอยมาซ้ำได้ตลอดจากทั้งสองขั้วนะครับ

ส่งออกส่งได้แต่ขายได้น้อยลง ท่องเที่ยวนี่ก็เงียบเหงาแน่ๆ

sme แบงก์ก็ revise สินเชื่อใหม่หมด รายไหนทำมาค้าขายกับเอกชนเล็กๆ คงโดน revise วงเงินหมด รายไหนโชคดีทำมาค้าขายกับภาครัฐก็โชคดี เพราะคงไม่โดนแบงก์ revise วงเงิน ถือว่าเก็บเงินได้ช้าแต่ชั่วร์  

ตอนนี้ผมก็ซื้อหุ้นแบบ ซื้อมาขายไปเล่นสั้นๆตามน้ำอยู่ เหมือนกัน

ที่ผมมองว่าสิ้นปีหน้าขอ 500 ขึ้นผมเดาล้วนๆนะครับ  เพราะผมก็อยากให้หุ้นขึ้นมากกว่าหุ้นลง เพียงแต่มันฝืนความรู้สึกนะครับ ดูจากข่าวทั้งหลาย คาดการณ์ต่างๆแล้วมันไม่น่าจะมีเหตุผลที่ปีหน้าหุ้นจะขึ้นนะครับ

ถ้าอยากทราบจริงๆว่าอยู่ที่เท่าไรต้องไปขอยืมทามแมชชิน(สะกดผิดแน่นอนครับ)ของโดราเอม้อนครับ  :lol:

แต่ที่แน่นอนปีหน้าได้เห็นจุดต่ำสุดก่อนซึมยาวครับเพราะตลาดหุ้นทั่วโลกตอนนี้เหมือนอยู่ในภาวะสงครามโลกครับ

สมัยก่อนหุ้นถูกจังเลยครับ

ตอนนี้กำลังจะครบรอบ 10 ปี การเกิด sub-prime (9-10/2008)

เลยทำให้ชวนคิดว่า ในรอบ 10 ปีนี้ กำลังจะมีวิกฤตอะไรใหญ่ๆ เกิดขึ้นมั้ยหนอ

phemstap เขียน:พอดีย้อนไปดูประวัตวิกฤติตลาดหุ้นไทย เพื่อมาเปรียบเทียบสถานการตอนนี้ :

วิกฤติที่    ปี    ดัชนีต้นปี    ดัชนีปลายปี
    1      1979       260            1xx  (ราชาเงินทุนล้ม)
    2      1987       473            244  (Black Monday)
    3      1990      1144           544  (อีรักเข้ายึดคูเวต)
    4      1996      1354           784  (ฟองสบู่ใกล้แตก)
    5      1997       784            373  (ฟองสบู่แตก ลดค่าเงิน)
    6      2000       482            269  (ฟองสบู่ US NASDAQ แตก)
    7      2008       852            xxx  (ฟองสบู่ US Sub-prime แตก)
    8      2009       xxx            yyy

ตอนนี้ดัชนีจะใกล้กับปลายปี 1997 ซึ่งถ้าดูจากเศรษฐกิจปัจจุบัน ดีกว่าตอนนั้นมาก โดยเฉพาะ NPL ที่ลดลงอย่างมาก
หลายๆบริษัทก็มีเงินสดอยู่มาก ไม่มีหนี้ และยังทำการซื้อหุ้นบริษัทตัวเองคืน ผมว่าปีหน้ากลางปีไปแล้ว ต้องฟื้นแหงๆ
แต่จะวิ่งไปที่เท่าไหร่น้า... น่าจะใกล้ๆตอน "อีรักเข้ายึดคูเวต" 544 ไม้  หรือ yyy จะลงต่ำกว่าปัจจุบัน  :?

มาเสริม 7...2008 852 450 รัฐบาลสมัคร แตกแยกทางการเมือง
8...2009 450 734 นายกอภิสิทธิ์ การเมืองเริ่มวุ่ยวายไม่ยอมกัน
9...2010 734 1033 ทักษิณ อยู่ต่างประเทศ
10...2011 1033 1025 ตัวแทนคุมประเทศ รัฐบาลยิ่งลักษณ์
11...2012 1025 1392 ไม่ยอมกัน ประเทศวุ่นวาย
12...2013 1392 1298 ชีวิตเหลืองแดง....กำนันสุเทพออกจาก ปชป
13...2014 1298 1497 คสช คุมอำนาจ ยุติเหลืองแดง
14...2015 1497 1288 ดอกเบี้ยเริ่มลดลง เหลือ 1.75 จีนเติบโตเด่น
15...2016 1288 1543 ดอกเบี้ยต่ำสุด ชีวิตเศร้าเดือนตุลาคม
16...2017 1543 1754 กองทุนพยุงตลาด ต่างชาติขายหุ้นเพิ่มอีก
17...2018 1754...... 1779 (ณ.วันที่ 7/5/2018) คสช ประกาศเลิกตั้งแต่ปีหน้า

เนื่องจากดอกเบี้ยกำลังอยู่ขาขึ้น ดัชนีน่าจะได้ทำ new high ที่ 1852 วันที่ 27/2/61 ไปแล้ว ผมเลยคิดว่า คงผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เริ่มปรับตัวลง แต่จะลงแบบ soft landing เนื่องจากกองทุนยังต้องดูแลตลาด และดอกเบี้ยยังต่ำกว่าผลตอบแทนในตลาดหุ้น.....ถึงแม้ผมมองว่า ดัชนีไม่ไปไหน แต่ก็ถูกบีบบังคับให้ลงทุนในหุ้นเพราะได้ผลตอบแทนมากกว่า......ใครคิดอย่างไรก็พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกันได้นะครับ

ลุงขวด เขียน:

phemstap เขียน:พอดีย้อนไปดูประวัตวิกฤติตลาดหุ้นไทย เพื่อมาเปรียบเทียบสถานการตอนนี้ :

วิกฤติที่    ปี    ดัชนีต้นปี    ดัชนีปลายปี
    1      1979       260            1xx  (ราชาเงินทุนล้ม)
    2      1987       473            244  (Black Monday)
    3      1990      1144           544  (อีรักเข้ายึดคูเวต)
    4      1996      1354           784  (ฟองสบู่ใกล้แตก)
    5      1997       784            373  (ฟองสบู่แตก ลดค่าเงิน)
    6      2000       482            269  (ฟองสบู่ US NASDAQ แตก)
    7      2008       852            xxx  (ฟองสบู่ US Sub-prime แตก)
    8      2009       xxx            yyy

ตอนนี้ดัชนีจะใกล้กับปลายปี 1997 ซึ่งถ้าดูจากเศรษฐกิจปัจจุบัน ดีกว่าตอนนั้นมาก โดยเฉพาะ NPL ที่ลดลงอย่างมาก
หลายๆบริษัทก็มีเงินสดอยู่มาก ไม่มีหนี้ และยังทำการซื้อหุ้นบริษัทตัวเองคืน ผมว่าปีหน้ากลางปีไปแล้ว ต้องฟื้นแหงๆ
แต่จะวิ่งไปที่เท่าไหร่น้า... น่าจะใกล้ๆตอน "อีรักเข้ายึดคูเวต" 544 ไม้  หรือ yyy จะลงต่ำกว่าปัจจุบัน  :?

มาเสริม 7...2008 852 450 รัฐบาลสมัคร แตกแยกทางการเมือง
8...2009 450 734 นายกอภิสิทธิ์ การเมืองเริ่มวุ่ยวายไม่ยอมกัน
9...2010 734 1033 ทักษิณ อยู่ต่างประเทศ
10...2011 1033 1025 ตัวแทนคุมประเทศ รัฐบาลยิ่งลักษณ์
11...2012 1025 1392 ไม่ยอมกัน ประเทศวุ่นวาย
12...2013 1392 1298 ชีวิตเหลืองแดง....กำนันสุเทพออกจาก ปชป
13...2014 1298 1497 คสช คุมอำนาจ ยุติเหลืองแดง
14...2015 1497 1288 ดอกเบี้ยเริ่มลดลง เหลือ 1.75 จีนเติบโตเด่น
15...2016 1288 1543 ดอกเบี้ยต่ำสุด ชีวิตเศร้าเดือนตุลาคม
16...2017 1543 1754 กองทุนพยุงตลาด ต่างชาติขายหุ้นเพิ่มอีก
17...2018 1754...... 1779 (ณ.วันที่ 7/5/2018) คสช ประกาศเลิกตั้งแต่ปีหน้า

เนื่องจากดอกเบี้ยกำลังอยู่ขาขึ้น ดัชนีน่าจะได้ทำ new high ที่ 1852 วันที่ 27/2/61 ไปแล้ว ผมเลยคิดว่า คงผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เริ่มปรับตัวลง แต่จะลงแบบ soft landing เนื่องจากกองทุนยังต้องดูแลตลาด และดอกเบี้ยยังต่ำกว่าผลตอบแทนในตลาดหุ้น.....ถึงแม้ผมมองว่า ดัชนีไม่ไปไหน แต่ก็ถูกบีบบังคับให้ลงทุนในหุ้นเพราะได้ผลตอบแทนมากกว่า......ใครคิดอย่างไรก็พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกันได้นะครับ

(ณ.วันที่ 7/5/2018) คสช ประกาศเลิกตั้งแต่ปีหน้า
........แฮะ ๆ พิมพ์ผิด ประกาศเลือกตั้งปีหน้า นะครับ (คาดว่าน่าจะปลายปีครับ ยืดเวลาหน่อย)