หน้า 1 จากทั้งหมด 1
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 14, 2008 6:27 am
โดย TIARA
คือจากที่อ่านหนังสือมา เค้าบอกว่าจะขายหุ้น
เพราะราคาไปเกินมูลค่าเเล้ว
หรือไปเจอตัวที่ดีกว่า
เเต่ที่ว่าพื้นฐานเปลี่ยนจะต้องขายทิ้งเนี่ย
เพื่อนๆพอยกตัวอย่างของไทยจากประสบการณ์
ให้ดูหน่อยได้ไม๊คะ ว่าเปลี่ยนยังไงบ้าง
เปลี่ยนเเค่ไหน เเละเปลี่ยนเเล้วมีผลให้เกิดอะไรขึ้น
เราเป็นมือใหม่กำลังศึกษาอยู่ตอนนี้พอรู้เเล้วว่า
หุ้นไหนเป็นหุ้นดี เเละควรซื้อที่ราคาประมาณเท่าไหร่
ถ้าเเพงไปเเล้วก็ขาย เเต่ที่กลัวเลยคือ
วิเคราะห์ไม่ออกว่ามันเปลี่ยนไปเเล้ว
เพราะ ปัจจัยที่มันเปลี่ยนอาจไม่ซ้ำกับเหตุผลที่เราซื้อ
คือเหตผลที่เราซื้อเหมือนเดิม เเต่มีอย่างอื่นเปลี่ยนไปเเต่เรา
ดูไม่ออก หรือรู้ว่าเปลี่ยนเเต่ไม่รู้ว่าอันที่เปลี่ยนนั้นมี
impact มากเเค่ไหน
อยากให้ช่วยเเนะนำหน่อยค่ะ
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 14, 2008 8:34 am
โดย ปรัชญา
หนังสือเล่มไหนล่ะครับ
ลองโทรไปถามคนเขียน
คงตอบได้ตรงตามความหมายที่คนเขียนกำลังสื่อถึงครับ
(เข้ามาแซว)
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 14, 2008 9:31 am
โดย investment biker
สำหรับผม เวลาลงทุนซื้อหุ้นต้องรู้ก่อนว่าซื้อเพราะอะไร ถ้าผลประกอบการออกมาไม่ได้อย่างที่คิด คงต้องมาดูว่าเกิดจากพื้นฐานเปลี่ยนหรืออะไร เช่น
- ยอดขายไม่โตอย่างที่คิด
- GM แย่ลง
- ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาก
แล้วลองมาดูว่าเกิดจากอะไร
- ถ้าเป็นเพราะบริษัทมีความสามารถในการแข่งขันที่แย่ลง มีคู่แข่งมากขึ้น อันนี้คงชัดว่าต้องเผ่น
- แต่ถ้าโดนกระทบจากปัจจัยภายนอก ภาวะโดยรวม คงขึ้นอยู่กับวิธีการลงทุนของแต่ละคน เช่น
1 ลักษณะการลงทุนว่าสั้นหรือยาว
2 ลงทุนหุ้นประเภทใด Growth or Cyclicle or Turnaroud or Dividend
ถ้าเน้นลงทุนสั้น ๆ ถ้าภาวะอุตสาหกรรมเริ่มแย่ เศรษฐกิจเริ่มแย่ อาจจะขาย
แต่ถ้าเน้นระยะยาว อาจจะมองว่าเป็นจังหวะในการซื้อในราคาที่ถูก
ถ้าเป็นการลงทุนพวก Cyclical or Turnaround ถ้ารู้ว่าพลาดต้องรีบ cut ไม่งั้นเสียหายหนักครับ เงินสามารถหายไปได้กว่า 50% อย่างรวดเร็ว
ของอย่างนี้อ่านจากตำราไม่ค่อยได้ครับ ต้องเจอเองถึงจะรู้ (สึก) :lol:
ดังนั้น มือใหม่ควรเริ่มลงทุนจากเงินจำนวนน้อย ๆ ครับ
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 14, 2008 10:11 am
โดย TIARA
แปลว่ามือใหม่ต้องซื้อตัวที่ชัวร์ๆก่อนเหรอคะ
เเละซื้อน้อยๆ เเล้วค่อยๆหาประสบการณ์ไป
เเต่ว่าโอกาศเเบบนี้สิบปีมีซักครั้ง
รอเรียนรู้ตามประสบการณ์เห็นท่าจะไม่ทันกิน
เรียนรู้เองก็เกรงว่าค่าประสบการณ์จะเเพงหูฉี่
เลยมาขอประสบการณ์จากพี่ๆน่ะค่ะ
เรียนรู้จากประสบการณ์คนอื่น
ถึงจะไม่รู้ซึ้งเท่าเจอด้วยตัวเอง
เเต่ก็ย่นระยะเวลาการเรียนรู้ไปหลายปี
หนังสือมักจะเขียนโดยคนที่ประสบความสำเร็จ
เเละคนเก่งๆ คนที่ล้มเหลวเค้าก็ไม่ได้เขียนหนังสือ
เราหาcase study ยากค่ะ
สงสัยกลัวเสียเหลี่ยมด้วยรึเปล่าเลยไม่ค่อยเขียนกัน
เเถมเขียนไปก็ไม่มีคนยอมพิมพ์เเละ
ไม่ค่อยมีคนซื้ออ่านหรอก
ระหว่างหนังสือ "รวยด้วยหุ้น"กะ "เจ๊งด้วยหุ้น"
คนคงอยากซื้อเล่มเเรกมากกว่า
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 14, 2008 10:16 am
โดย Tibular
ค่อยๆศึกษาครับ โอกาสมีมาเสมอ ถ้าเรามีความรู้ความเข้าใจ
ชาลี มังเจอร์ CEO คู่กับบัฟเฟตต์ เคยบอกว่าซื้อหุ้นซื้อทางไปรษณีย์
ยังทันเลยครับ
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 14, 2008 12:22 pm
โดย drypoint
สำหรับผมซื้อตัวที่เรารู้จักมันดีที่สุด รู้ว่าบริษัททำอะไร ถ้าไม่รู้จักต่อให้ดีขนาดไหนก็ไม่เอาครับ อย่างbolเนี่ยต่อให้ใครว่าดีขนาดไหนผมก็ไม่ซื้อเพราะผมไม่มีประสบการณ์ร่วมในธุรกิจแบบนี้ ขอซื้อกิจการที่เคยใช้บริการกันดีกว่า
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 14, 2008 5:02 pm
โดย akekarat
อยู่ที่ใจของผู้ถือหุ้นมากกว่าครับ
ถ้ายังพอยอมรับได้ ก็ถือต่อ ถ้ารับไม่ได้ก็ปล่อยทิ้ง ถ้าเจอตัวดีกว่าก็ switch
ไม่ได้ตายตัว
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 14, 2008 5:15 pm
โดย ศิษย์เซียน007
เห็นด้วยกับคุณพี่ปรัชญาครับ
นัดเลี้ยงอาหารผุ้เขียนซักมื้อก็ดีนะครับสงสัยตรงไหนก็ถามได้เลย
ปิ๊งป่องนึกได้แล้วครับสำหรับผมขายเมื่อธุรกิจถึงจุดอิ่มตัวแล้วและกำลังจะกลายเป็นหุ้นโตช้าหรือไม่ก็เจอหุ้นที่ดีกว่าโดยประเมินจากอัพไซด์เกรนครับ
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 14, 2008 9:10 pm
โดย i_sarut
ศิษย์เซียน007 เขียน:
ปิ๊งป่องนึกได้แล้วครับสำหรับผมขายเมื่อธุรกิจถึงจุดอิ่มตัวแล้วและกำลังจะกลายเป็นหุ้นโตช้าหรือไม่ก็เจอหุ้นที่ดีกว่าโดยประเมินจากอัพไซด์เกรนครับ
คล้ายๆผมเลยครับ ผมคงขายเมื่อมองว่ามันโตไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
แต่ถ้ามันปันผลงามก็ไม่แน่
investment biker เขียน:
- GM แย่ลง
ช่วงนี้ GM แย่จริงๆครับ
แซวเล่นนะครับ :lol:
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 15, 2008 9:37 am
โดย kornjackrit
ขอยกตัวอย่างจากประสบการณ์ติดดอยโดยตรงเลยนะครับ
เรื่องของเรื่องคือตอนผมเพิ่งศึกษาด้านการลงทุนแนว VI ใหม่ๆ
( ตอนประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว)
ผมัยงอ่อนหัดประสบการณ์มากครับ(ตอนนี้ก็ไม่ได้มีประสบการณ
์เพิ่มขึ้นเท่าไหร่นัก แต่ก็ได้รับบทเรียนราคาแพงมาครับ) ผมได้รับคำแนะนำของคนนู่นคนนี้มา
ก็พยายามจะเอามาใช้ ถูกบ้างผิด บ้างปนกันไป
แต่โดยหลักๆแล้วผมก็ใช้แนวการลงทุนแบบ VI
พอดี คุณปู่ของผมท่านเป็นนักลงทุน
( ท่านชอบลงทุนแนวเก็งกำไรในหุ้นขนาดใหญ่นะครับ
ซึ่งท่านด้วยประสบการณ์ของท่าน ทำให้ท่านได้กำไรอยู่เสมอๆ)
ด้วยความที่ผมยังไม่มีประสบการณ์แต่ร้อนวิชา
อยากจะทดลองลงทุนเร็วๆ
ผมก็เข้าไปปรึกษากับคุณปู่ว่าผมควรจะลงทุนซื้อหุ้นตัวไหน
คุณปู่้ผมท่านก็ใจดีแนะนำให้ลองดูหุ้นตัวนึง ผมขอเรียกว่า เจ้าตราช้าง
อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมวัสุดก่อสร้าง ประวัติืการดำเนินการย้อนหลังแข็งแกร่ง เป็นผู้นำในธุรกิจระดับอาเซียน มีธุรกิจหลัก 5 ธุรกิจ
ได้แก่ ปูนซิเมนต์ ปิโตรเคมี, วัสดุก่อสร้าง, กระดาษ, จัดจำหน่าย
ธรรมาภิบาลของผู้บริหารได้รับความเชื่อถือจากทั่วปรเทศ
จ่ายปันผลสม่ำเสมอ
และที่สำคัญ คุณปู่ของผมเคยถือเจ้าหุ้นตัวนี้
จนได้กำไรหลายเด้ง
เมื่อผมได้ทราบดังนั้น ผมก็คิดในใจว่า ผมได้ซื้อหุ้น VI ชั้นหนึ่งแล้ว
ด้วยความใจร้อน + ขาดประสบการณ์ + สับเพร่า + มึนงง + ร้อนวิชา
และอื่นๆเท่าที่มันพอจะชักจูงให้ผมซื้อ เจ้าตราช้าง ไปโดยไม่คิดให้รอบ
และศึกษาตัวธุรกิจรวมไปถึงแนวโน้มในอนาคตที่ดีก่อน
ผมขอเงินคุณพ่อ(คุณพ่อท่านก็ใจดีให้เงินผมลงทุนเพราะรุ้ว่าผมต้องลงทุน
ในหุ้นได้เฉพาะที่คุณปู่ผมแนะนำ)
ผมเริ่มซื้อเจาตราช้าง ตั้งแต่ราคาร้่อยบาทปลายๆ
จนซื้อราคาแพงที่สุดเมื่อตอนราคา 250
หลังจากนั้นเจ้าตราช้างวิ่งขึ้นไปจนถึงประมาณ 280
(ต้นทุนผมอยู่ที่ 230 บาท)
ผมดีใจมากเพราะผมคิดว่าผมลงทุนถูกต้องแล้ว
และตั้งแต่ตอนแรกที่ลงทุนผมกะจะถือเจ้าตราช้างเป็นเวลา 10 ปี
และผมก็คิดว่าแค่ไม่กี่เดือนผมได้กำไรขนาดนี้
แล้วถ้าผมถือไป 10 ปี ผมจะได้กำไรขนาดไหน
ตอนที่เจ้าตราช้างขึ้นไปถึง 280 บาท นั้นเป็นช่วงที่ผมกำลังยุ่งๆ
กับการเรียนเนื่องจากกำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย
บวกกับความเชื่อที่ว่า เจ้าตราช้างเป็นหุ้นที่ลงยาก ฝรั่งรัก คนไทยชอบ
ผมเลยไม่ค่อยได้ติดตามทั้งราคาและผลประกอบการของมันมากนัก
( ไม่รู้ว่ารายได้และกำไรของธุรกิจมันไม่ได้ขึ้นกับการขายปูนแล้่ว
แต่เปลี่ยนเป็นมาจากธุรกิจปิโตรเคมีแทน ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจมันทั้งคู่ละครับ -*-
จริงๆต้องเรียกว่ามันก็เปลี่ยนมาได้ซักพักหนึ่งแล้วแต่ผมไม่ได้สงสัย
เพราะช่วงนั้นธุรกิจปิโตรเคมีกำลังบูม )
จนมาเมื่อ 1-3 เดือนที่ผ่านมา ปัญหาการเงินโลกลุกลาม
จนวานิชธนากิจหลายแห่งในอเมริกาต้องล้ม แบงค็หลายแห่งต้องปิด
ดัชนีตลาดหุ้นไทยตกลงจาก 800 ปลายๆ มาอยู่แถว 400 -500 จุด
ผมก็ได้เข้าไปเช็คดูราคา เจ้าตราช้าง ปรากฎว่าราคามันร่วงลงไปต่ำกว่า 100 บาท
( ต่ำสุดที่ผมเห็นคือ 89 ไม่แน่ใจว่ามีต่ำกว่านี้หรือเปล่านะครับ )
ผมตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าราคามันจะลงไปได้ต่ำถึงขนาดนี้
แต่เมื่อผมตั้งสติได้ และพยายามทบทวนว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ผมก็ลองไปเช็คข้อมูลผลการดำเนินงาน รายได้ กำไร และอื่นๆ
ปรากฎว่าสิ่งที่ผมเจอทำให้ผมทราบทันทีว่าผมตัดสินใจลงทุนผิดพลาด
กับหุ้นตัวนี้ เพราะตอนแรกที่ผมลงทุน ผมคิดว่ามันมีรายได้หลักมาจาก
การขายปูนซิเมนต์ วัสดุก่อสร้าง และกระดาษ แต่ปรากฎว่ารายได้หลัก
ของธุรกิจกลับมาจากปิโตรเคมี
ผมเลยกลับมาทบทวนดูว่า หุ้นที่ผมลงทุนพื้นฐานเปลี่ยนไป
ผมควรจะทำอย่าางไร ตอนแรกผมคิดว่าจะขาย Cut Loss
แต่เมื่อกลับมาคิดดูอีกที ผมว่าผมคงไม่ Cut Loss
เพราะมันขาดทุนเยอะมากประมาณ 60 %
(ทำใจไม่ได้ -*- จริงๆไม่ใช่หรอกครับ - -" )
ผมลองมาคิดดูว่าถ้าผมถือต่อไปผมจะได้อะไร
และแนวโน้มธุรกิจปิโตรข้างหน้าจะพอกลับมาได้ไหม
(ผมยังมีเงินสดเหลือ 40 % ของพอร์ต)
คำตอบที่ได้ก็คือ ผมน่าจะยังได้ปันผลประมาณ 10 บาทต่อปี ( 4-5% ต่อปี)
ไปอีกอย่างน้อย 2 ปี เพราะหลังจาก 2 ปี โรงงานปิโตรเคมีที่บริษัทมีแผนจะสร้าง
ในกัมพูชาจะแล้วเสร็จ(ไม่รู้ว่าจะเลื่อนไปนานแค่ไหนหลังวิกฤติครั้งนี้)
ซึ่งพอโรงงานใหม่แล้วเสร็จกำลังการผลิตโดยรวมจะเพิ่มขึ้น 2 เท่า
ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อถึงเวลานั้น เจ้าตราข้างของผมคงจะกลับมาได้
(ปันผลคงเพิ่มขึ้น และราคาก็คงกลับมาเพิ่มขึ้นเช่นกัน)
และอีกประการคือ ผมคิดว่าผมตั้งใจจะถือลงทุนมัน 10 ปี
แต่นี่แค่ไม่กี่ปีผมจะขายซะแล้ว
มันคงจะขัดแย้งกับคำพูดของตัวเองอย่างไรไม่รู้
(ถึงแม้พื้นฐานจะเปลี่ยนก็ตาม)
ผมเลยตัดสินใจถือต่อไปโดยไม่ขายแม้แต่หุ้นเดียว
พิมพ์มาตั้งนานไม่ค่อยเข้าเรื่อง
ผมขอสรุปเลยละกันนะครับจะได้ไม่ยาวจนเกินไป
(แค่นี้ก็ยาวมากแล้ว 55+)
ผมว่ามันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลนะครับ
แต่เอาโดยหลักการ ถ้าพื้นฐานบริษัทเปลียน
หมายถึงรายได้ หรือ ผลกำไรของบริษัทเปลี่ยนแปลง
ไปจากแหล่งเดิมเช่น เคยได้กำไรจากขายเก้าอี้
มาได้กำไรจากการขายอาหาร
หรือ เปลียนผู้บริหารชุดใหม่แล้วผู้บริหารไม่โปร่งใส
และอื่นๆอีกมากมายที่เกี่ยวข้องและมีผลต่อกำไรหรือผลตอบแทน
ที่เราในฐานะผู้ถือหุ้นคาดหวังว่าจะได้รับ
ผมว่าก็ควรขายครับ
แต่จากประสบการณ์ที่ผมยกมาให้
ที่ผมไม่ขายเพราะผมคิดว่าถ้าผมถือต่อไปอีกสัก 1-2 ปี
ถึงแม้ผมจะไม่ค่อยเข้าใจในธุรกิจมันก็ตาม
แต่ผมคิดว่า เจ้าตราช้างของผมมันคงจะกลับมาได้
อย่างน้อยกว่าดีกว่าตอนนี้แน่นอน
แต่ส่วนใหญ่แล้วการถือต่อทั้งๆที่ไม่เข้าใจในธุรกิจนั้น
ผมว่ามันเสี่ยงมากๆ โดยเฉพาะในธุรกิจหรือในบริษัทที่เล็กๆ
หรือไม่ค่อยมีความได้เปรียบเชิงแข่งขัน
สุดท้ายก็อยู่ที่ความคุ้มค่าของเราแล้วละครับ
ถ้าเกิดเราลงทุนผิดไปแต่ลงไปแค่ 5 % ของพอร์ต
ผมว่าบางทีถ้าไม่ได้ผิดร้ายแรงมากนักก็เก้บเอาไว้
เป็นบทเรียนให้การลงทุนในครั้งต่อๆไปรอบคอบมากขึ้น
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 15, 2008 10:40 am
โดย dunkphunkorn
น้อง kornjackrit แชร์ประสบการณ์ที่ดีครับ
ผมคิดว่าอนาคตน้องน่าจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนครับ :)
Re: หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้
โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 15, 2008 10:51 am
โดย chatchai
[quote="TIARA"]เราเป็นมือใหม่กำลังศึกษาอยู่ตอนนี้พอรู้เเล้วว่า
หุ้นไหนเป็นหุ้นดี เเละควรซื้อที่ราคาประมาณเท่าไหร่
ถ้าเเพงไปเเล้วก็ขาย
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 16, 2008 4:16 pm
โดย kmphol
[quote="kornjackrit"]
พอดี คุณปู่ของผมท่านเป็นนักลงทุน
( ท่านชอบลงทุนแนวเก็งกำไรในหุ้นขนาดใหญ่นะครับ
ซึ่งท่านด้วยประสบการณ์ของท่าน ทำให้ท่านได้กำไรอยู่เสมอๆ)
ด้วยความที่ผมยังไม่มีประสบการณ์แต่ร้อนวิชา
อยากจะทดลองลงทุนเร็วๆ
ผมก็เข้าไปปรึกษากับคุณปู่ว่าผมควรจะลงทุนซื้อหุ้นตัวไหน
คุณปู่้ผมท่านก็ใจดีแนะนำให้ลองดูหุ้นตัวนึง ผมขอเรียกว่า เจ้าตราช้าง
อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมวัสุดก่อสร้าง ประวัติืการดำเนินการย้อนหลังแข็งแกร่ง เป็นผู้นำในธุรกิจระดับอาเซียน มีธุรกิจหลัก 5 ธุรกิจ
ได้แก่ ปูนซิเมนต์ ปิโตรเคมี, วัสดุก่อสร้าง, กระดาษ, จัดจำหน่าย
ธรรมาภิบาลของผู้บริหารได้รับความเชื่อถือจากทั่วปรเทศ
จ่ายปันผลสม่ำเสมอ
และที่สำคัญ คุณปู่ของผมเคยถือเจ้าหุ้นตัวนี้
จนได้กำไรหลายเด้ง
เมื่อผมได้ทราบดังนั้น ผมก็คิดในใจว่า ผมได้ซื้อหุ้น VI ชั้นหนึ่งแล้ว
ด้วยความใจร้อน + ขาดประสบการณ์ + สับเพร่า + มึนงง + ร้อนวิชา
และอื่นๆเท่าที่มันพอจะชักจูงให้ผมซื้อ เจ้าตราช้าง ไปโดยไม่คิดให้รอบ
และศึกษาตัวธุรกิจรวมไปถึงแนวโน้มในอนาคตที่ดีก่อน
ผมขอเงินคุณพ่อ(คุณพ่อท่านก็ใจดีให้เงินผมลงทุนเพราะรุ้ว่าผมต้องลงทุน
ในหุ้นได้เฉพาะที่คุณปู่ผมแนะนำ)
ผมเริ่มซื้อเจาตราช้าง ตั้งแต่ราคาร้่อยบาทปลายๆ
จนซื้อราคาแพงที่สุดเมื่อตอนราคา 250
หลังจากนั้นเจ้าตราช้างวิ่งขึ้นไปจนถึงประมาณ 280
(ต้นทุนผมอยู่ที่ 230 บาท)
ผมดีใจมากเพราะผมคิดว่าผมลงทุนถูกต้องแล้ว
และตั้งแต่ตอนแรกที่ลงทุนผมกะจะถือเจ้าตราช้างเป็นเวลา 10 ปี
และผมก็คิดว่าแค่ไม่กี่เดือนผมได้กำไรขนาดนี้
แล้วถ้าผมถือไป 10 ปี ผมจะได้กำไรขนาดไหน
ตอนที่เจ้าตราช้างขึ้นไปถึง 280 บาท นั้นเป็นช่วงที่ผมกำลังยุ่งๆ
กับการเรียนเนื่องจากกำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย
บวกกับความเชื่อที่ว่า เจ้าตราช้างเป็นหุ้นที่ลงยาก ฝรั่งรัก คนไทยชอบ
ผมเลยไม่ค่อยได้ติดตามทั้งราคาและผลประกอบการของมันมากนัก
( ไม่รู้ว่ารายได้และกำไรของธุรกิจมันไม่ได้ขึ้นกับการขายปูนแล้่ว
แต่เปลี่ยนเป็นมาจากธุรกิจปิโตรเคมีแทน ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจมันทั้งคู่ละครับ
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 16, 2008 11:49 pm
โดย kornjackrit
kmphol เขียน:สรุปว่าซื้อหุ้น ต้องมองที่อนาคตของธุรกิจ
ธุรกิจอนาคตดี กำไรเพิ่ม ราคาหุ้นจะวิ่งไปหา New high
ธุรกิจอนาคตแย่ กำไรลด ราคาหุ้นจะวิ่งไปหา New Low
เดี๋ยวนี้เลยไม่เคยคิดจะซื้อของถูก
จะซื้อแต่ของที่อนาคตดี ในราคาที่ลงทุนได้ แล้วรอจนราคามันไปหา
New High
ผมก็คิดเห็นเช่นเดียวกับพี่ kmphol ครับ
(หลังจากได้รับประสบการณ์ติดดอยโดยตรง - -)
dunkphunkorn เขียน:
น้อง kornjackrit แชร์ประสบการณ์ที่ดีครับ
ผมคิดว่าอนาคตน้องน่าจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
อย่างแน่นอนครับ
ขอบคุณสำหรับคำติชมครับ :oops:
ผมจะตั้งใจศึกษาด้านการลงทุนต่อไปเรื่อยๆครับ
ความรู้ด้านการลงทุนส่วนหนึ่งที่ผมพอจะมี(แม้มันจะยังน้อยอยู่ก็ตาม)
ผมก็ได้รับมาจากการอ่านความคิดเห็นที่มีคุณค่า และประสบกาณ์
ของพี่ๆในเว็บ Thaivi นี่ละครับ
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 17, 2008 10:32 pm
โดย Glaxo
คิดง่ายๆว่าคุณเป็นเจ้าของร้านขายกาแฟ
วันนึงมีคนมาเสนอซื้อร้านของคุณทั้งร้าน
คุณจะเช็คอะไรบ้าง เพื่อที่จะรู้ว่าไอ้ร้านเราเนี่ยควรขายดีมั้ยในราคาที่มีคนเสนอมา
จะคุ้มหรือไม่คุ้ม ถ้าจะขายกาแฟต่อ
ถ้าไม่รู้ว่าจะเช็คอะไรบ้าง ก็ควรไปถามหมอ confirm หรือหมอฟันธงก็ได้
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 24, 2008 1:27 pm
โดย cantona_z
ยกตัวอย่างนะครับ ไม่รู้ว่าถูกหรือไม่
สมมติคุณตัดสินใจ pttep เมื่อ 6 เดือนก่อนที่ราคาน้ำมัน 150+- usd และถือไว้เรื่อยๆเพราะคุณประเมิณว่ายังไง น้ำมันไม่ต่ำกว่า 75+- usd แน่ๆ แต่ปรากฎมันลงมาที่ 40+- usd อันนี้พื้นฐานเปลี่ยนและส่งผลกระทบต่อรายได้แน่นอน อย่างนี้ต้องขายครับ[/i]
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 24, 2008 1:45 pm
โดย sai
[quote="cantona_z"]ยกตัวอย่างนะครับ ไม่รู้ว่าถูกหรือไม่
สมมติคุณตัดสินใจ pttep เมื่อ 6 เดือนก่อนที่ราคาน้ำมัน 150+-
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 24, 2008 2:19 pm
โดย lufthansa
แนะนำ จขกท. ว่า ให้ดูหลายๆอย่างประกอบ
เพราะ ถ้าดูปัจจัยพื้นฐานว่า เปลี่ยนไปแล้วบางทีมันช้าไปสำหรับนักลงทุนรายย่อย ควรใช้ จุด cut loss หรือ การใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคประกอบด้วย
ปัจจัยพื้นฐาน ที่ส่งผลต่อรายได้ ในหุ้นแต่ละกลุ่ม ก้อไม่เหมือนกัน ต้องไปเรียนรู้ เพื่อที่เราจะได้ใช้ประกอบการตัดสินใจเมื่อถึงเวลา เช่น ค่าระวางเรือ ,spread ของ chemical หรือ ราคาน้ำมัน เป็นต้น
ในหุ้นบางกลุ่มจะมีลักษณะของ sentiment เข้ามาเกี่ยวด้วย เช่น อย่างช่วงที่ผ่านมา ที่มีการเปลี่ยนรัฐบาล จะเห็นว่า หุ้น CK มีลักษณะการขึ้นที่แรงมากกว่าปกติ เป็นต้น
สิ่งต่างๆเหล่านี้ มันต้องพยายามอ่าน research daily บ่อยๆ จะได้เข้าใจในวิธีการคิดและตีความ เพื่อหาทิศทางของตลาด ถ้าใครทำได้จนชำนาญ ก้อจะมีความได้เปรียบในการเลือกซื้อหุ้นนั้นๆ
บางคน ก้อใช้วิธีง่ายๆว่า ถ้าลง ต่ำกว่า 5-10% จะ cut loss โดยที่ไม่สนใจว่า พื้นฐานจะเป็นยังไง หรือ บางคน อาจจะใช้ เทคนิคประกอบว่า หุ้นที่มีการทำ death cross จะ cut loss โดยที่ไม่ต้องดูปัจจัยอย่างอื่นให้เสียเวลา ทั้งหมดนี้ ตัวนักลงทุน จะเป็นคนเลือกใช้เกณฑ์ต่างๆด้วยตัวเอง
เขียนบรรยาย สั้นๆ 3 คำ เอาง่ายๆว่า สำหรับผมแล้ว ใช้ 3 อย่าง ประกอบคือ
techinical - fundamental - sentiment
ทั้ง 3 อย่างได้ จากการอ่านเยอะๆครับ อ่านข่าว - อ่าน research และความคิดเห็น-มุมมองจาก house ต่างๆ รวมไปถึงการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค ประกอบการตัดสินใจ โดยส่วนมากถ้าเราคิดถูกเนี่ย ทิศทางของปัจจัยทางความคิดต่างๆ ในระบบความคิดเราจะไปทางเดียวกันนะ มันจะไม่ขัดแย้งกัน
เวลาจะเป็นเครื่องช่วยให้เราสั่งสมสิ่งเหล่านี้ ได้เอง จขกท. ไม่ต้องกังวล
ผมกับน้องชายก็เจอ เจ้าตราช้าง นั่นแหละทำแสบ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 24, 2008 5:20 pm
โดย lovebanana_45
อันนี้เหมือนเพื่อน ที่ตอบไปข้างต้น ตัวนี้ซื้อเป็นตัวที่ 2 ของชีวิต ใครบอกอะไรก็ไม่เชื่อ เชื่อว่ามันยิ่งใหญ่แล้วมันต้องยิ่งใหญ๋ตลอดไป ต้นทุนประมาณ 200 ก่า ๆ ขายไปตอน 175 เพราะตอนนั้นเกิดอาการโลภอยากได้ตัวอื่นที่เจ๋งกว่า เดชะบุญความโลภช่วยไว้แท้ ๆ เพราะถ้าไม่โลภ ปานนี้ยังถืออยู่เลยเพราะเชื่อเจ้าตราช้าง เหมือนเคย
ส่วนหนึ่งมาจาก กูรู้ ท่านหนึ่งใส่แว่น ชื่อ วิ...อะไรเนี่ยแหละ บอกว่า ลงทุนใน เจ้าตราช้าง ไม่มีวันสาย ที่ไหนได้ เรามันอ่อน มันจากไปพร้อม ๆ กับความเก่งขึ้นของเรา
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 24, 2008 5:43 pm
โดย กาละมัง
นักลงทุนอาจใช้หลักเดียวกัน คือ
ถ้าเล่นด้วยเทคนิค.... ซื้อที่แนวรับ ขายที่แนวต้าน
ถ้า VI .....ซื้อเมื่อเห็นว่าถูกเมื่อทียบกับปัจจัยพื้นฐาน ขายเมื่อเห็นว่าแพงเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน
ในแง่หลักการอาจเหมือนกัน แต่ปรากฎว่าส่วนใหญ่ทุกคนซื้อที่ราคาต่างกัน แล้วก็ขายที่ราคาต่างกัน
เช่นเดียวกันปัจจัยเปลี่ยนแปลงแค่ไหนถึงจะขาย.....หลักการอาจเหมือนกัน ปฏิบัติก็ไม่เคยเหมือนกัน สุดท้าย คือ หาคำตอบด้วยตัวเองครับ
Re: ผมกับน้องชายก็เจอ เจ้าตราช้าง นั่นแหละทำแสบ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 24, 2008 5:54 pm
โดย cantona_z
lovebanana_45 เขียน:อันนี้เหมือนเพื่อน ที่ตอบไปข้างต้น ตัวนี้ซื้อเป็นตัวที่ 2 ของชีวิต ใครบอกอะไรก็ไม่เชื่อ เชื่อว่ามันยิ่งใหญ่แล้วมันต้องยิ่งใหญ๋ตลอดไป ต้นทุนประมาณ 200 ก่า ๆ ขายไปตอน 175 เพราะตอนนั้นเกิดอาการโลภอยากได้ตัวอื่นที่เจ๋งกว่า เดชะบุญความโลภช่วยไว้แท้ ๆ เพราะถ้าไม่โลภ ปานนี้ยังถืออยู่เลยเพราะเชื่อเจ้าตราช้าง เหมือนเคย
ส่วนหนึ่งมาจาก กูรู้ ท่านหนึ่งใส่แว่น ชื่อ วิ...อะไรเนี่ยแหละ บอกว่า ลงทุนใน เจ้าตราช้าง ไม่มีวันสาย ที่ไหนได้ เรามันอ่อน มันจากไปพร้อม ๆ กับความเก่งขึ้นของเรา
แรงนิดนึงนะครับแต่อยากให้เปลี่ยนความคิดใหม่......................................่....การตัดสินใจลงทุนในหุ้น ต้องตัดสินใจเองครับ ผิดพลาดไปจากทีคิดต้องยอมรับและเอาบทเรียนมาคิดต่อว่าเป็นเพราะอะไร เราพลาดตรงไหน ขาดความรู้ด้านใด ผมไม่อยากให้อ้างว่าซื้อเพราะคนโน้นคนนี้ เป็นเพราะอย่างโน้นอย่างนี้ สถานการณ์แต่ละคนไม่เหมือนกันครับ กูรูท่านนั้นอาจมีต้นทุนต่ำ หรือเค้ามองเห็นสิ่งดีๆที่เรามองระยะสั้นไม่เห็น พอราคาหุ้นตกเราไปว่าเค้าคงไม่ค่อยถูก เชื่อผมเถอะครับ รับความเห็นคนอื่น รับข้อมูลจากหลายทาง ประมวลผลแล้วตัดสินใจด้วยตัวเอง ในระยะยาวแล้วจะส่งผลดีกับตัวเราที่สุดครับ
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 24, 2008 8:04 pm
โดย AuI_a VI
ราคาน้ำมันที่ร่วงลง...จะเหมือนราคากล้องโพลารอยด์หรือปล่าวน้ออ :roll:
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 24, 2008 8:15 pm
โดย sai
[quote="AuI_a VI"]ราคาน้ำมันที่ร่วงลง...จะเหมือนราคากล้องโพลารอยด์หรือปล่าวน้ออ
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 25, 2008 11:42 am
โดย worapong
ผมเคยฟังความเห็นของดอกเตอร์นิเวศน์ กูรูแห่งวีไอนะครับ เลยขอเอามาแชร์นะครับ
ดอกเตอร์ให้ความเห็นว่า เวลาเราซื้อหุ้นนั้น ต้องเลือกหุ้นที่ดีจริงๆ แล้วถ้าหุ้นนั้นดีจริง พื้นฐานมันไม่เปลี่ยนหรอก ถ้ามันเปลี่ยนกันได้บ่อยๆ ส่วนใหญ่มันไม่ดีจริงครับ ดอกเตอร์อธิบายมากกว่านี้ แต่สมองอันน้อยนิดจำได้แค่นี้ครับ
ความเห็นเพิ่มเติมของผมคือ เราต้องรู้จักบริษัทที่เราจะซื้อหุ้นก่อนนะครับ ว่าเค้าทำมาหากินยังไง มีอะไรมากระทบบ้าง ถ้าวันที่เราซื้อปัจจัยนั้นยังไม่เกิด แต่พอซื้อแล้ว ปัจจัยนั้นมันเกิดขึ้นมา คงต้องพิจารณาเป็นบทเรียนเพื่อในอนาคตเราจะไม่ทำผิดพลาดแบบเดิมครับ แต่แน่นอนว่าความผิดพลาดมันย่อมเกิดขึ้นได้ แต่ขอให้เป็นความผิดพลาดแบบใหม่ๆนะครับ แล้วค่อยๆเรียนไปเรื่อยๆ พอแก่เท่าบัฟเฟตก็เก่งเองครับ ถึงจะไม่เก่งเท่าบัฟเฟต แต่ก็ต้องเก่งกว่าตอนนี้แน่ครับ
หุ้นดีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนยังไงเปลี่ยนเเค่ไหนถึงจะขายทิ้งคะ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 25, 2008 12:10 pm
โดย investment biker
TIARA เขียน:แปลว่ามือใหม่ต้องซื้อตัวที่ชัวร์ๆก่อนเหรอคะ
เเละซื้อน้อยๆ เเล้วค่อยๆหาประสบการณ์ไป
เเต่ว่าโอกาศเเบบนี้สิบปีมีซักครั้ง
รอเรียนรู้ตามประสบการณ์เห็นท่าจะไม่ทันกิน
ที่ผมว่ามือใหม่ควรลงทุนแต่น้อยเพราะว่าประสบการณ์โดยตรงครับ หุ้นตัวแรก ๆ ที่ผมลงก็ขาดทุนครับ
เคยได้ยินมาว่าหุ้นตัวแรก ๆ ที่คุณ Yo Yo ลงทุนก็ขาดทุน ปีแรกที่พี่ลูกอีสานลงทุนก็ขาดทุน
เลยอยากฝากให้มือใหม่ใจเย็น ๆ จะได้ไม่พลาดเหมือนผม
ขอบคุณครับ สำหรับคำแนะนำ
โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 30, 2008 12:21 pm
โดย lovebanana_45
สถานะการณ์แบบนี้มันบอกมันสอนอะไรเราเยอะ มาก ๆ ได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น ได้รู้ว่าหุ้น เราฝากชีิวิต ทั้งชีวิต ไม่ได้ สิ่งที่ฝากได้คือความรู้และประสบการณ์ของเราเอง