Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ให้ความสำคัญ=_____%

แล้วแต่ละคนมั๊งครับ มีหมอคนนึง ตั้งใจไปเรียนจิตวิทยา จบบอร์ดแล้ว อันที่จริงหมอคนนี้ จบสองบอร์ดนะ

แต่ไม่ได้ทำอาชีพหมอเลย เล่นหุ้นอย่างเดียว

หมอคนนี้ บอกว่า ตั้งใจไปเรียนจิตวิทยา เพื่อมาเล่นหุ้นครับ

เฮีย Jeng นี่ทั้งนอนดึก......และตื่นเช้า

ถึงทั้ง.......เก่ง(เซียน).......+รวย ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ถามพี่ว่า.....แล้วหมอคนนั้นประสบความสำเร็จ

ในการลงทุนเปล่า

ประสบความสำเร็จ มากที่สุดคนหนึ่ง พอร์ท ก็น้องๆ ดร.นิเวศน์ ในเว็บนี้เท่าที่เจอเป็นการส่วนตัวไม่น่ามีใครมีพอร์ทใหญ่เท่าครับ

คือบางทีมีคนที่มีพอร์ทใหญ่กว่า แต่ไม่ได้บอก อันนี้ก็ไม่ทราบเด้อ

ขอบคุณพี่ Jeng  :)

คือผมเรียนหนังสือมาน้อย  :( เข้าตลาดปี 2003 +100%

ออกไปปี 2006 (ขาดทุนที่ได้มา)

กลับมาใหม่ปลายปี 2007

ดูงบก็ไม่ขาด ดูเทคนิคก็วาดเส้นไม่ถูก จน....คิดได้

อาศัยวิชาการดูคน ดูนิสัยคน ดูนิสัยหุ้น ดูนิสัยเจ้าของหุ้น

(เจ้ามือชอบหลอกเอาเงินจากรายย่อย....ขายแล้วขึ้นทุกที)

ไม่รู้ใช่จิตวิทยาการเล่นหุ้นเปล่า พี่ๆ ทุกท่านเห็นไร

http://www.se-ed.com/eshop/Search/Searc ... ctType=All

แนะนำหนังสือที่ดี เล่มหนึ่งครับ "จิตวิทยาการลงทุน"
จะชนะตลาดได้ ต้องเริ่มที่ชนะใจตัวเองก่อน หากมีพื้นฐานอยู่บ้างแล้ว ก็ยิ่งต้องอ่านครับ
จริงๆ จิตแพทย์ ก็ไม่ได้เปรียบนักลงทุนทั่วไปหรอกครับ ถ้ามีสติรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง และหมั่นศึกษาเพิ่มเติมก็ประสบความสำเร็จได้ทุกคน

การลงทุน ผมว่าไม่เกี่ยวกับจิตแพทย์เท่าไหร่นะครับ

แต่การลงทุน เกี่ยวกับการรู้จักตัวตนของตนเองเป็นอันดับ 1 ครับ
คราวนี้เราจะรู้จักตนเองอย่างไรครับ

สิ่งรอบตัวทุกๆอย่างทำให้ท่านได้รู้จักตนเอง และรู้จักคนอื่นๆครับ

มีหลายครั้งที่การตูน เช่น นารูโตะ ทำให้ผมเห็นโอกาสการลงทุนครับ

บางครั้งสิ่งที่เรามองข้ามไป
บางทีก็นึกเสียดายที่เรามองข้ามเค้าครับ

มีความสุขกับการลงทุนหุ้นคุณค่านะครับ

ให้ครับแต่ให้แบบสวนกระแส

ถ้าดูแล้วธุรกิจไม่น่าเจ๊งบริษัทแข็งแรงในระยะยาวแต่ข่าวร้ายเยอะคนเทหุ้นนี่ผมโดดเข้าใส่

ถ้าข่าวดีมากๆคนเฮตามกันเยอะๆนี่ผมจะหนีให้ไกล

แต่ว่าผมยังลงทุนมาไม่นานครับต้องดูๆไปว่าจะรอดไหม

1. จิตวิทยาของนักลงทุนที่เห็นชัดประการหนึ่ง ก็คือ มักจะซื้อหุ้นที่ตัวเองชอบ

หุ้นที่รู้สึกว่ามันดี ซื้อแล้วรู้สึกเป็นสุขและสบายใจ เปรียบเหมือนการที่ได้

เจอกับเพื่อนเก่า รองเท้าคู่เก่า หรือแม้กระทั่งคล้ายกับสุนัขตัวเก่า หุ้นเหล่านี้

ว่าไปแล้ว มักจะมีความอ่อนไหวกว่าตลาด หากจะซื้อเพียงเพราะเห็นว่า

ราคาถูกและมีความคุ้นเคย คุณก็อาจจะได้หุ้นที่ราคาไม่เคลื่อนไหว

ในเมื่อจะลงทุนแล้วคุณจะต้องสาวลงไปให้ลึก และสือเสาะหาหุ้นที่จะ

ทำกำไรให้ได้ ไม่ใช่ทำอะไรอย่างผิวเผินแค่นั้น


2. นักเล่นหุ้นที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งเคยกล่าวว่า "มีอารมณ์ 2 แบบอยู่ในตลาดหุ้น

คือ ความหวัง และความกลัว ปัญหาคือ เรามักหวังในขณะที่เราควรกลัว และ

เรากลัวในขณะที่เราควรหวัง

3. จิตวิทยามวลชนเป็นปัจจัยอันสำคัญ ที่จะเป็นชี้นำตลาดและ

หากคุณต้องการเป็นนักลงทุนที่ประสบผลสำเร็จแล้วละก็ คุณจะต้องเข้าใจ

มันให้ดี ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก และสภาพจิตวิทยา ที่ผสานเข้าด้วยกัน

ซึ่งบ่อยครั้งแทบจะไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับสภาพเศรษฐกิจเลย แต่มันก็

สามารถมีอำนาจเหนือการเคลื่อนไหวของตลาดได้ และโดยเฉพาะข่าวลือ

ถือว่าเป็นตัวนำเลยทีเดียว

 :oops:  :oops:  :oops:  :oops:  :oops:  :oops:

4. เนื่องจากตลาดหุ้นมีตัวแปรจำนวนมาก ทั้งทางด้านการเมือง สังคม

หรือสภาวะทางธุรกิจ ทางหนึ่งที่จะศึกษาก็อาจดูได้จากประวัติศาสตร์เดิม

ของภาวะตลาดในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี จากกรณีตัวอย่างของตลาดหุ้น

สหรัฐอเมริการพบว่า สิ่งที่มีผลต่อการตกของตลาดอย่างมาก เป็นปัจจัย

ทางด้านจิตวิทยาแทบทั้งนั้น ไม่ใช่ปัจจัยของเศรษฐกิจ

    5. อย่าลงทุนในขณะที่กำลังมีปัญหาส่วนตัว การละเลยกฏข้อนี้

นำไปสู่หายนะ การตัดสินใจลงทุนไม่อาจจะทำได้ดีเลย หากคุณประสบ

ปัญหาส่วนตัวอยู่ในขณะนั้น ทั้งในเรื่องของอารมณ์ และความไม่พร้อม

ของร่างกาย

------------------------------------------------------------------------------


6. โซรอสกล่าวว่า ทฤษฎีการสะท้อนกลับของเขา จะเป็นส่วนเสริม

การวิเคราะห์หุ้นในแบบดูปัจจัยพื้นฐาน ที่เป็นตัวกำหนดค่าของหุ้น

ในขณะที่ทฤษฎีของเขาชี้ว่า ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงไปเพราะ

การตีความการรับรู้ของฝูงชนต่อหุ้นตัวนั้น  :twisted:  :twisted:

คำถามข้อนี้ ผมลังเลอยู่นานเพราะไม่กล้าตอบ
แต่ที่สุดแล้ว
คิดว่าถึงคำตอบของผมจะไม่ถูกเป๊ะๆแบบร้อยเปอร์เซนต์
ก็น่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง

ที่ไม่กล้าตอบเพราะว่าตัวผมเองไม่ใช่จิตแพทย์
เป็นเพียงแพทย์เวชปฏิบัติไปทั่ว (ทั่วไปนั่นแหละ :lol: )
เลยอาจจะไม่รู้ลึกซึ้งว่าจิตแพทย์เขาเรียนกันเจาะลึกเพียงใด

แต่เท่าที่เป็นแพทย์ไปทั่วนี้
ก็มีการสอนเรื่องจิตวิทยาโดยเฉพาะที่เป็นหลักๆอยู่ไม่น้อย
และที่เรียนส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับ
ความผิดปกติของจิตในรูปแบบต่างๆที่จำเป็นต้องรักษา ก็เราเป็นหมอนิ
และเรื่องจิตที่ผิดปกตินี้น่าจะกินเวลาและเนื้อหามากกว่า 80% เป็นอย่างน้อย
อันไหนที่ไม่ผิดถึงขั้นต้องรักษาก็จะไม่ค่อยเน้นหนัก เพราะไม่ได้เอาไปใช้
จิตที่เป็นปกติจริงๆแล้วก็มีเรียนอยู่
แต่ก็เป็นไปเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนกับอันไม่ปกติเท่านั้นเอง
แต่ก็ไม่ถึงกับมีเรียนในแง่ที่ว่าคนปกติจะเป็นอย่างไร
คนเล่นหุ้นจะมีสภาพจิตเหมือนหรือแตกต่างจากคนไม่เล่นหุ้นอย่างไร

และที่สำคัญ
ไม่มีสอนว่าคนเล่นหุ้นกลุ่มใหญ่ๆถึงขั้นเป็น mass
จะคิดอย่างไรและตัดสินใจอย่างไร
ไม่มีจริงๆครับ
และก็มองไม่เห็นเหตุผลว่า
โรงเรียนแพทย์จะมีแรงจูงใจอย่างไรถึงจะต้องบรรจุเรื่องแบบนี้ในหลักสูตรการ training ของจิตแพทย์

ว่าอันที่จริงเรื่องจิตวิทยามวลชนขนาดใหญ่เอาเฉพาะที่เล่นหุ้นนั้น
บัฟเฟตต์ก็ได้สรุปออกมาเป็นภาพรวมๆที่ดูง่ายๆไว้แล้ว
เขาตั้งชื่อมวลชนกลุ่มนี้ว่า "Mr. Market"
ซึ่งลักษณะอารมณ์รวมทั้งวิธีคิดและการตัดสินใจของ Mr. Market
เป็นอย่างไรนั้น สมาชิกน่าจะทราบดี

และบัฟเฟตต์เองก็ประสบผลสำเร็จในการลงทุนเสียด้วย

เรื่องจิตวิทยาเองก็คงจะมีประโยชน์ในการลงทุนอยู่บ้าง
แต่น่าจะเป็นเปอร์เซนต์ที่ไม่สูงนัก

ผมให้ความสำคัญกับการอ่านและควบคุมจิตใจตัวเอง ให้ตัด Bias ออก
แต่ไม่ใช้การไปอ่านจิตใจคนอื่นหรือจิตวิทยาหมู่
ไม่รู้แบบนี้ให้เรียกว่าให้ความสำคัญกับจิตวิทยาในการลงทุนรึเปล่า

เล่นหุ้นมันอยู่ที่ใจ (หนังสือจิตวิทยาการเล่นหุ้น)หน้า 14 บทที่ 1

เราอาจคุ้นเคยอยู่ทุกวันกับการเล่นหุ้นที่กำไรบ้าง และขาดทุนบ้าง

เรามองดูหุ้นแต่ละตัวกันอย่างถ้วนถี่ถ่องแท้ ดูผลประกอบการ การคาดการ

ผลกำไร นโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวกับบริษัท และคำแนะนำสารพัดร้อยแปด

จากผู้เชี่ยวชาญต่างๆ  :shock:  และเราก็ใช้เวลาไม่น้อยในการศึกษา

หุ้นแต่ละตัวที่เราคิดว่าจะลงทุน หรือแม้กระทั่งบางคนที่ไม่ดูอะไรเลย

หรือดูแต่เฉพราะตัวเลขและสัญญาณในทางเทคนิค แต่เคยคิดบ้าง

หรือไม่ว่า.....

                                                   :idea:

ในการตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นแต่ละครั้งนั้นอะไรคือจุดสุดท้ายของการ

ออกคำสั่งให้โบรกเกอร์ทำการสั่งซื้อหรือขาย หรือกดลงไปบนแป้น

คอม เพื่อเคาะคำสั่งซื้อด้วยตนเอง ลึกๆ แล้วเราล้วนอยู่ภายใต้การครอบงำ

ด้วยอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งในเวลานั้น  และบ่อยครั้งเราหาได้

อยู่ใต้การคิดการตัดสินใจบนหลักเหตุผลเสมอไปไม่



หลักจิตวิทยาการเล่นหุ้นจะสอนให้ Mr. Market  เรียนรู้ที่จะตัดสินใจกับ stpi
ใน 100+100 หุ้น

เล่าสู กล่าวว่า:

ใครที่รู้มากเกี่ยวกับผู้อื่นนับว่าเป็นผู้ที่ร่ำเรียน

แต่ใครที่เข้าใจตนเองอย่างดีนับว่าเฉลียวฉลาด

ใครที่ควบคุมคนอื่นได้นับว่ามีพลัง

แต่ใครผู้ซึ่งควบคุมตนเองได้นั้น นับว่าเป็นผู้ที่แข่งแกร่งที่แท้จริง



ให้พี่ YOYO คนเดียว

ในความคิดของผมเองนะครับ

 การวิเคราะห์ทางเทคนิค ความจริงน่าจะอาศัยเรื่องของจิตวิทยาของตลาดมาอธิบายได้ อย่างเช่น เรื่องของแนวรับ แนวต้าน อันนี้เห็นชัดเจน

 เรื่องการใช้จิตวิทยาในการลงทุนสำหรับผม ก็เลยเป็นเรื่องของจังหวะการเข้า และออกจากตลาด (ซึ่งปกติเข้าแล้วไม่เคยออกซักที)

  :lol: อิอิ จริงหรือเปล่านะ ชักงงตัวเองเหมือนกันครับ

จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ . ... . ๐๐๐๐๐ ooooo OOOOOOOO


แล้ว....ปัจจุบัน ชาว VI ก็เพิ่มขึ้นมหาศาล  :idea:  :idea:  :idea:


= หนึ่ง.หมื่น.เก้าพัน.สี่ร้อย.สิบแปด (สมาชิก)

Hughes เขียน:ถ้าดูแล้วธุรกิจไม่น่าเจ๊งบริษัทแข็งแรงในระยะยาวแต่ข่าวร้ายเยอะคนเทหุ้นนี่ผมโดดเข้าใส่

ถ้าข่าวดีมากๆคนเฮตามกันเยอะๆนี่ผมจะหนีให้ไกล

จะซื้อจะขาย บางทีผมก็ไม่ได้ระวัง บางครั้งซื้อแล้ว --  -- บางครั้งผมขายแล้ว --  -- โดยไม่เคยระวัง และไม่เคยใช้แนวความคิดดังกล่าวเลย ... เห็นทีต้องขอยืมไปใช้แระครับ  :lol:  :lol:  :lol:

แล้ว มันเป็นเหตุเป็นผลกันรึเปล่าครับ
ที่เรียนจิตวิทยา แล้วทำให้ประสบความสำเร็จมากน่ะครับ

ไม่ได้กวนนะครับ แต่สงสัยจริงๆ

อีกเรื่องนึงที่ สงสัย คือ
แล้วถ้ามั่นใจในพื้นฐานบริษัทแล้ว ว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงในทางที่แย่ลง ทำไมจะต้องซื้อหรือขาย โดยอาศัยความรู้ทางจิตวิทยามวลชน มาหาโอกาสในจุดเข้าออกล่ะครับ

Jeng เขียน:ประสบความสำเร็จ มากที่สุดคนหนึ่ง พอร์ท ก็น้องๆ ดร.นิเวศน์ ในเว็บนี้เท่าที่เจอเป็นการส่วนตัวไม่น่ามีใครมีพอร์ทใหญ่เท่าครับ

คือบางทีมีคนที่มีพอร์ทใหญ่กว่า แต่ไม่ได้บอก อันนี้ก็ไม่ทราบเด้อ

ดูจิตใจตัวเองสำคัญที่สุดครับ
ดูว่าเราเป็น Mr market หรือเปล่า เพราะถ้าหารเราคิดเหมือน Mr market แล้ว
พอเขาเข้ามาแคะประตูบ้าน
Market : เอาหุ้น IAHT ไหมครับ  7 บาท
Me : พึ่งซื้อเมื่อเดือนที่แล้วติดดอยอยู่  ฝาก Mr Market ขายให้ด้วย 6 บาท

แต่ที่สำคัญที่สุดคือคำถาม หากถามง่ายๆ สั้นๆ เอามักง่ายเข้าว่าแล้วผมตอบสั้นๆ
ว่า ไม่ โดยไม่อธิบายขยายความ แล้วมันจะมีปัญญาเห็น ธรรมไหม?

การเข้าและออกจากตลาดเป็นเรื่องที่สำคัญเหมือนกันนะครับ

โดยตัวผมเอง ไม่ได้ถือแต่หุ้นเท่านั้น แต่มีพวกกองทุนด้วย

การเข้าและออกระหว่างกองทุนดัชนี และ money market ช่วยให้ผมทำกำไรส่วนต่างได้ โดยมีความเสี่ยงน้อยกว่าครับ

เป็นการช่วงชิงจังหวะการลงทุนมากกว่าครับ

 แต่ว่าตอนนี้  :doi:  มันช่างอ้างว้างจริงๆๆ

apothecary เขียน:การเข้าและออกจากตลาดเป็นเรื่องที่สำคัญเหมือนกันนะครับ

เข้าออก โดยใช้ Timing หรือว่า Pricing ครับ

เรื่องราคามากกว่าครับ เพราะกองทุนไม่มีเรื่องปัจจัยพื้นฐานของหุ้น มาให้ยุ่งยากในการตัดสินใจครับ
 
 เข้า-ออก ถูกจังหวะก็สร้างผลตอบแทนได้ครับ แต่ก็เป็นบางช่วงเวลาเท่านั้น

เวลาตอนนี้ก็นั่งเศร้าต่อไปครับ

เรื่องของเวลา อันนั้นใช้เวลาเข้าซื้อหุ้นครับ ได้ราคาที่พอใจ หาจังหวะเข้าจากช่วงที่ตลาดผันผวน แต่ปัจจัยไม่เปลี่ยน ได้ราคาน่าพอใจ แต่อนาคตราคาไปไหน ไว้ดูกันต่อครับ อิอิ  :roll:

เพิ่งเข้ามาอ่านกระทู้นี้ครับ

ผมเป็นคนหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับจิตวิทยาพอสมควร
จิตวิทยาที่ผมหมายถึง จะรวมไปถึง การดูบุคลิกและการให้ข่าวของผู้บริหาร การดูจังหวะการซื้อ+ขาย สำหรับบางช่วงบางโอกาสที่เห็นความเปลี่ยนแปลงมากๆ

หุ้นบางตัว ผู้บริหารจะให้ข่าวออกมา ดูเผินๆก็น่าจะดี มองดีๆก็อาจรู้สึกแปลก ถ้าผมรู้สึกว่าข่าวของผู้บริหารอ่านดูแล้วไม่ค่อยตอบรับกับความรู้สึก ผมก็จะยั้งๆหลีกๆหุ้นตัวนั้นไว้ก่อน หลายครั้งเหมือนกันที่ผมปลอดภัยมาได้

มีครั้งหนึ่งได้ไปประชุมใหญ่บริษัทหนึ่ง เป็นบริษัทที่มีเงินสดเยอะมาก กำไรก็ดี และเราก็หวังว่าวันหนี่งเค้าคงตอบแทนผู้ถือหุ้นบ้าง ...แต่เมื่อเห็นบุคลิกผู้บริหาร นำมาประมวลกับท่าทีของบริษัทแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ขายหุ้นบริษัทนั้นออกไปทั้งหมด  เพราะดูแล้วรู้สึกว่าเค้ามองผู้ถือหุ้นเป็นคนอื่นที่ไม่ควรได้ประโยชน์จากกิจการของที่เค้าปั้นขึ้นมาเอง

เรื่องข่าวก็ถือว่าสำคัญมาก บางทีเราจะพบสัญญาณอันตรายจากข่าวดีของผู้บริหารได้เลยครับ ที่นักลงทุนแบบเราเจ๊งๆกันอย่างหนัก ก็เกิดจากพวกข่าวพวกนี้แหละครับ

จิตวิทยาพวกนี้ควรต้องหมั่นฝึกศึกษาไว้ จะเพิ่มความปลอดภัยให้นักลงทุนรายย่อยแบบเราได้ดีขึ้นครับ...

จิตวิทยาที่สำคัญที่สุด คือ การรู้จักกาย รู้จักใจของตัวเอง ทำอะไรก็ทำอย่างมีสติครับ  :)

[quote="slam2711"]จิตวิทยาที่สำคัญที่สุด คือ การรู้จักกาย รู้จักใจของตัวเอง ทำอะไรก็ทำอย่างมีสติครับ