หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ลงทุนต้องสบายใจ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 22, 2009 10:45 am
โดย tum_H
รพี สุจริตกุล..ลงทุนต้องสบายใจ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


รพีเชื่อว่า “ความสะดวก ความสบายใจ” เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุน ในเมื่อโปรดักท์ของแต่ละ บลจ.ไม่ต่างกัน

“รพี สุจริตกุล” ถือเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ความสามารถอีกคนหนึ่งของแวดวงตลาดเงินตลาดทุนของไทย จากมือกฎหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขยับเข้ามาร่วมสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

ก่อนจะที่จะผันตัวเองมาทำงานในภาคเอกชนโดยร่วมงานกับเครือกสิกรไทยและได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย คนปัจจุบัน วันนี้เราจะมารู้จักเขาในอีกมิติในแง่มุมของการบริหารเงินออมและเงินลงทุนส่วนตัวกัน

รพี บอกว่า ส่วนตัวเป็นคนที่รับความเสี่ยงได้มากประกอบกับทำงานอยู่ในแวดวงตลาดเงินตลาดทุนพอจะเข้าใจในเรื่องความเสี่ยงต่างๆ จึงพยายามที่จะเก็บเงินอยู่ในบัญชีเงินฝากให้น้อยที่สุด โดยจัดสรรเงินลงทุนไปในหุ้น 40% ตราสารหนี้ 55% และเงินฝากธนาคารเพียง 5% เท่านั้น

ในส่วนของหุ้นมีทั้งที่ลงทุนโดยตรงและลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งจะมีสไตล์การลงทุนที่แตกต่างกันโดยในส่วนของหุ้นรายตัวจะเน้นถือหุ้นรวมทั้งกองทุน Exchange Traded Fund (ETF) ไม่เกิน 5 ตัว เน้นลงทุนระยะยาวแต่ช่วงไหนที่มีกำไรก็จะขายทำกำไรออกมาในลักษณะนั้นมากกว่าถือเป็นส่วนการลงทุนในหุ้นที่ตัวเองสามารถที่จะติดตามดูแลได้ในระดับหนึ่ง สำหรับการลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนจะเป็นการลงทุนแบบ Passive คือปล่อยให้ผู้จัดการกองทุนซึ่งเป็นมืออาชีพบริหารจัดการลงทุนแทนเราไป

“ก่อนหน้านี้ 4-5 ปี การลงทุนในหุ้นจะมีสัดส่วนที่มากกว่านี้แต่ก็เปลี่ยนแปลงไปตามอายุ ในอนาคตเมื่ออายุมากขึ้นก็พยายามที่จะขยับมาเป็นตราสารหนี้มากขึ้น ในแง่ของหุ้นก็คิดว่าพอแล้วประมาณ 40% สำหรับคนอายุ 48 ปี ถือว่าพอสมควรแล้ว คงจะพยายามขยับมาด้านตราสารหนี้เพิ่มขึ้น อาจจะทยอยลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงไปจนเหลือ 15-20% แต่ยังไงจะต้องมีหุ้นอยู่ในพอร์ตแน่นอน ตอนนี้อาจจะดูเยอะไปนิดแต่เพราะตัวเองสามารถที่จะรับความเสี่ยงได้มากนั่นเอง”

รพี ยังบอกอีกว่า การลงทุนผ่านกองทุนรวมทั้งหมดทั้งในส่วนที่เป็นหุ้นและตราสารหนี้เลือกที่จะใช้บริการของ บลจ.กสิกรไทยที่เดียวมาตลอดส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเองทำงานอยู่ในเครือกสิกรไทยและอีกเหตุผลที่สำคัญคือมั่นใจในวิธีการลงทุนที่นอกจากจะดูในเรื่องของผลตอบแทนแล้วยังดูแลเรื่องความเสี่ยงให้กับผู้ลงทุนด้วย กองทุนตราสารหนี้ของ บลจ.กสิกรเป็นอะไรที่เน้นความปลอดภัยค่อนข้างมาก

อะไรที่มีความเสี่ยงก็พยายามจะหลีกเลี่ยง อันนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ เพราะกองทุนของ บลจ.กสิกรไทยขายผ่านสาขาธนาคารกสิกรไทยทั่วประเทศ คนที่ซื้อกองทุนของเราก็ซื้อเพราะไว้วางใจในชื่อของกสิกรไทยว่าจะเป็นคนคอยดูในเรื่องของไส้ในให้ว่าจะไม่นำเงินของเขาไปลงทุนในอะไรที่เสี่ยงหรือไม่เสี่ยงมากน้อยเพียงใด

เพราะฉะนั้นกองทุนต่างๆ ของ บลจ.กสิกรไทยที่มีอยู่เกณฑ์ต่างๆ จะค่อนข้างเข้มพอสมควร แล้วในช่วงที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้ไปลงทุนในอะไรที่ก่อให้เกิดความเสียหาย เป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทค่อนข้างระมัดระวัง นี่ก็ทำให้ตัวเองสบายใจได้ในระดับหนึ่ง

“การลงทุนในตราสารหนี้จะใช้อัตราดอกเบี้ยเป็นกุญแจสำคัญในการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุน อย่างตอนนี้ดอกเบี้ยมีแนวโน้มลงก็อยากจะล็อกผลตอบแทนเอาไว้สัก 1 ปี เพราะถ้าลงตราสารหนี้ระยะสั้นหรือเงินฝากผลตอบแทนก็คงจะลงมาเรื่อยๆ การมองหาผลตอบแทนจะดูเรื่องความเสี่ยงประกอบด้วย”

ส่วนตัวรพีเชื่อว่า “ความสะดวก ความสบายใจ” เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุน ในเมื่อโปรดักท์ของแต่ละ บลจ.ไม่ต่างกัน ยกเว้นเราเป็นนักลงทุนอาชีพ แต่คนที่ซื้อกองทุนส่วนใหญ่จะมีอาชีพประจำอยู่แล้ว เวลาที่เขามาใช้ในการดูเรื่องการลงทุนคงไม่ใช่เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตเพราะฉะนั้นขั้นตอนแรกคือเข้าใจสินค้าหรือเปล่า แล้วเราสบายใจกับตัวความเสี่ยงที่มากับผลิตภัณฑ์ทางการเงินนั้นมากน้อยแค่ไหน

ถ้าเราสบายใจก็ไม่ต้องมานั่งพะวงกับการลงทุน สามารถที่จะนอนหลับสบายได้ รวมถึงความสะดวกสบายในการใช้บริการต่างๆ

“ดังนั้นนักลงทุนต้องทำการบ้านด้วยแต่เข้าใจว่าบางครั้งก็เป็นเรื่องที่ยากที่จะเข้าใจเรื่องตรงนี้ทั้งหมด แต่ถ้าไม่เข้าใจเป็นอะไรที่นักลงทุนควรจะถามเพราะเป็นเงินของเรา ถามได้ถ้าเกิดข้อสงสัย แต่ทั้งหมดกลับเข้ามาที่ตอนซื้อตอนแรกว่าเราเข้าใจในสินค้ามากน้อยแค่ไหนยังไง ถ้าซื้อไปโดยไม่เข้าใจว่าข้างในมีอะไร

อันนั้นจะเป็นต้นตอของปัญหา แต่ถ้าเราเข้าใจในกองทุนที่เราซื้อจริงๆ รู้จักมันจริงๆ เป็นความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ ตรงนั้นจะทำให้สบายใจขึ้นมาก”

เป้าหมายการลงทุนของรพีเป็นการสะสมความมั่งคั่งในระยะยาวให้พอกพูนเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะต้องได้ผลตอบแทนต่อปีกี่เปอร์เซ็นต์ แต่ขอให้ได้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก ชนะเงินเฟ้อได้ก็เป็นอะไรที่สบายใจแล้ว

ลงทุนต้องสบายใจ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 22, 2009 10:47 am
โดย tum_H
ตลาดหุ้นทั่วโลกซบเซา

โดย : บัญชรหุ้น

โบรกเกอร์คาดตลาดหุ้นซบเซาไปตลาดหุ้นทั่วโลก มีความเสี่ยงที่จะปรับลดลงหากมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ แนะห้ถือเงินสดต่อ

แผนกอบกู้เศรษฐกิจโอบามาไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ตลาดหุ้นพร้อมใจปรับตัวลดลงต่อเนื่องตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มปรับลดลงสร้างจุดต่ำใหม่ ขณะที่ราคาทองคำและค่าเงินดอลลาร์กลับแข็งค่าไปในทางเดียวกัน ตัวเลขคนว่างงานสหรัฐสิ้นสุด ณ วันที่ 14 ก.พ. ทรงตัวชี้เศรษฐกิจถดถอยทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น

จับตาการเคลื่อนไหวการเมืองภายในประเทศอาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น

ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบ

นักลงทุนย่านวอลล์สตรีทและนักทุนทั่วโลกเมินมาตรการกอบกู้เศรษฐกิจสหรัฐฯของโอบามา ตัวเลขเศรษฐกิจและตัวเลขคนว่างงานล่าสุด 627,000 ราย สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่ถดถอยกำลังทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น

อุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งจีเอ็มและไครสเลอร์เตรียมขอกู้เงินรัฐบาลเพิ่มเกือบ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่โอบามาเตรียมทุ่มเม็ดเงินเกือบ 10 ล้านล้านดอลลาร์ฟื้นฟูตลาดที่อยู่อาศัย สัญญาณเหล่านี้ล้วนตอกย้ำว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

ความเชื่อมั่นที่มีต่อตลาดหุ้นลดลง เป็นแรงผลักดันให้ทั้งนักลงทุนและกองทุนแห่เข้าเก็งกำไรตลาดทองคำอย่างต่อเนื่อง หนุนราคาทองคำทะยานขึ้นแตะ 980 ดอลลาร์/ออนซ์ และมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นทดสอบจุดสูงเก่าที่ 1,030 ดอลลาร์/ออนซ์ที่เคยทำไว้เมื่อเดือนมี.ค.2551

นอกจากราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้วค่าเงินดอลลาร์ก็แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง นับเป็นสิ่งผิดปกติที่ราคาทองคำและค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าไปในทางเดียวกัน

ตัวเลขเศรษฐกิจภายในประเทศ กระทรวงการคลังออกมายอมรับ 4 เดือนแรกของงบประมาณปี 2552 ขาดดุลเงินสด 2.4 แสนล้านบาท ขณะที่กระทรวงพาณิชย์เผยตัวเลขการส่งออกเดือนม.ค.2552 ลดลง 26.5% แต่ยังเกินดุลการค้าอยู่ 1.38 พันล้านดอลลาร์

รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยปล่อยค่าเงินบาทอ่อนลงแตะ 35.70 บาท/ดอลลาร์ หวังกระตุ้นการส่งออก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศขยายตัวอยู่ที่ระดับ 0-2%

สัปดาห์นี้คงต้องติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองที่จะออกมาเรียกร้องที่หน้าทำเนียบรัฐบาล จะส่งกระทบในเชิงจิตวิทยาการลงทุนมากน้อยเพียงใด

ปัจจัยทางเทคนิค

จากกราฟรายสัปดาห์ ดัชนีตลาดแกว่งตัวแคบๆ มีทิศทางเคลื่อนตัวออกด้านข้าง มูลค่าการซื้อขายลดลง ดัชนีปิดลดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10 สัปดาห์ ดัชนีตลาดซิกแซ็กเป็นคลื่น ABC ที่ปรับตัวขึ้นเพื่อจบคลื่น 4 หากดัชนีตลาดไม่สามารถยืนปิดเหนือ 424 จุด ดัชนีตลาดจะปรับลดลงไปหาแนวรับจุดต่ำเก่า และมีโอกาสที่จะปรับลดลงสร้างจุดต่ำใหม่เพื่อจบคลื่น 5

สัญญาณ OSCILLATOR จากกราฟรายสัปดาห์ สัญญาณทั้งระยะสั้นและระยะยาวเป็นบวก
จากกราฟรายวัน ดัชนีตลาดแกว่งตัวแคบๆ ระหว่างเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10, 25 และ 75 วัน ดัชนีแกว่งตัวเป็นรูปธงที่มีชายธงชี้ขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณถึงการปรับตัวลงต่อแบบ CONTINUATION PATTERN สัญญาณนี้จะถูกยืนยันเมื่อดัชนีตลาดปิดลงต่ำกว่าแนวรับที่ 427 จุด ดัชนีตลาดจะมีทิศทางปรับลดลงเข้าหาแนวรับของจุดต่ำเก่าที่ 380 จุด

สัญญาณ OSCILLATOR จากกราฟรายวัน สัญญาณทั้งระยะสั้นและระยะยาวเป็นลบ และโดยที่สัญญาณ ADX ยังชี้ลงทำให้ดัชนีตลาดมีทิศทางแกว่งตัวขึ้นลงแคบๆ แต่ถ้ามีปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบ ดัชนีตลาดก็พร้อมจะปรับลดลงแรงหรือขึ้นแรงทันที

ทิศทางตลาดหลักทรัพย์ในรอบสัปดาห์นี้ บรรยากาศการลงทุนมีแนวโน้มที่จะซบเซาต่อเนื่องมาจากสัปดาห์ก่อน และโดยที่ตลาดขาดหุ้นกลุ่มตลาดและปัจจัยบวกเข้ามาหนุน หากตลาดได้รับผลกระทบเชิงลบจากปัจจัยภายนอก ดัชนีตลาดจะดิ่งเข้าหาแนวรับที่ 425-420 จุด โดยมีกรอบแนวต้านอยู่ที่ 445-450 จุด

กลยุทธ์การลงทุน
การซื้อขายหลักทรัพย์เป็นไปอย่างซบเซาและมีความเสี่ยงที่จะปรับลดลงหากมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ จึงยังคงแนะนำให้ถือเงินสดต่อ

(ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ WWW.THAISTOCKTIMES.COM
ดีวีดี “พิชิตหุ้นด้วยปัจจัยทางเทคนิค”
คู่มือการวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยทางเทคนิค
สั่งซื้อ โทร.08-1843-5037

ลงทุนต้องสบายใจ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 22, 2009 10:50 am
โดย tum_H
กฎ 10 ข้อก่อนลงสนามลงทุน..โกลด์ ฟิวเจอร์ส

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน

การลงทุนในโกลด์ ฟิวเจอร์ส (Gold Futures) ทั้งซับซ้อนและมีแง่มุมอันหลากหลายให้คุณต้องทำการบ้านอย่างหนัก ก่อนจะตัดสินใจเดินลงสนาม

แน่นอนว่า ด้านหนึ่งคือ "โอกาส" ที่แทรกตัวขึ้นกลางวิกฤติ  หากแต่อีกด้านหนึ่งของโกลด์ ฟิวเจอร์ส คือ "ความเสี่ยง" ที่หากไม่รู้จักดีพอ ก็อาจจะบาดเจ็บได้ 10 ข้อเหล่านี้ คือคำถามที่คุณจำเป็นต้องถามตัวเอง ก่อนที่จะเข้าไปลงทุนในโกลด์ ฟิวเจอร์ส

1. คุณเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แค่ไหน

นั่นเป็นคำถามแรกที่ควรถามตัวเอง  เรื่องนี้ “อติ อติกุล” ผู้อำนวยการ ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) บอกว่า นักลงทุนที่ลงทุนในโกลด์ ฟิวเจอร์สต้องตระหนักถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นว่าเมื่อลงทุนในโกลด์ ฟิวเจอร์ส 1 สัญญาเปรียบเสมือนได้ลงทุนในราคาของทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 96.5% น้ำหนักจำนวน 50 บาทของทอง  ผู้ลงทุนใน 1 สัญญาต้องสามารถยอมรับความเสี่ยงจากความผันผวนของทองคำมูลค่าน้ำหนัก 50 บาทได้

“กิดาการ สุวรรณธรรมา” ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจอนุพันธ์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ให้ทัศนะว่า การลงทุนในสินค้าจริงกับการลงทุนในอนุพันธ์นั้นไม่เหมือนกัน หากซื้อทองคำจากร้านทอง สามารถนำมาเก็บ ชื่นชม หรือสวมใส่ได้ และเวลาซื้อมาแล้วเรามักจะไม่ค่อยได้สนใจว่าราคาทองจะไปทางไหน เพราะซื้อเพื่อใส่หรือเพื่อเก็บสะสมไปเรื่อยๆ ราคาทองจะขึ้นจะลง ความผันผวนของราคาทองมากน้อยขนาดไหนก็ไม่รู้สึกเดือดร้อน

แต่การซื้อทองคำล่วงหน้านั้นความผันผวนของราคาอาจทำให้เดือดร้อนได้ เนื่องจากหากราคาโกลด์ ฟิวเจอร์สเคลื่อนไหวจนทำให้ขาดทุนเกิน 400 บาท ต่อทองคำน้ำหนัก 1 บาท จะต้องวางหลักประกันเพิ่ม เพราะมีการขาดทุนในหลักประกันของเราไปแล้วไม่น้อยกว่า 19,950 บาท

“ก่อนที่จะเข้ามาซื้อขายโกลด์ ฟิวเจอร์สในตลาดอนุพันธ์ฯ นักลงทุนควรรู้จักตัวเองก่อนว่ามีวัตถุประสงค์ในการลงทุนเป็นแบบไหน เช่น ลงทุนเพื่อการเก็งกำไร หรือลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงเป็นหลัก และประการสำคัญคือ ต้องรู้จักตัวเองก่อนว่ายอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน

วิธีการง่ายๆ ที่จะรู้จักตนเองว่ายอมรับความเสี่ยงได้แค่ไหน เพียงแค่นักลงทุนยอมเสียเวลาเพียงเล็กน้อยทำแบบทดสอบระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หรือ Risk Profile Questionnaire ที่จัดทำขึ้นโดยโบรกเกอร์ หรืออาจจะเข้าไปทำแบบสอบถาม TSI Risk Profile Questionnaire ที่จัดทำขึ้นโดยเว็บไซต์ของ TSI “ผู้เชี่ยวชาญในตลาดอนุพันธ์อีกรายหนึ่งให้ทัศนะ

2. คุณรู้จักตลาดอนุพันธ์ดีแค่ไหน

กิดาการบอกว่า สินค้าในตลาดอนุพันธ์ทุกชนิด เป็นสินค้าที่มีลักษณะเฉพาะตัว ผู้ที่จะก้าวเข้ามาลงทุนในตลาดอนุพันธ์ ควรมีความรู้เรื่องการลงทุนในสินค้าอ้างอิงๆ จริงๆ ก่อนระดับหนึ่ง เช่น สนใจซื้อขายอนุพันธ์ในหุ้น ก็ควรจะมีประสบการณ์ลงทุนในหุ้นมาก่อน หรือ สนใจซื้อขายอนุพันธ์ในทองคำ ก็ควรจะมีประสบการณ์ลงทุนในทองคำจริงๆ มาก่อน

ส่วนอติเสริมว่า การลงทุนในตราสารอนุพันธ์ ผู้ลงทุนต้องเข้าใจก่อนว่าต้องเปิดบัญชีอนุพันธ์ ซึ่งแยกจากบัญชีหุ้น การลงทุนในอนุพันธ์ของลูกค้าบุคคลต้องมีการวางหลักประกันเป็นเงินสดก่อนส่งคำสั่งซื้อขาย

ผู้เชี่ยวชาญด้านอนุพันธ์รายเดิมบอกว่า นักลงทุนที่ต้องการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สในตลาดอนุพันธ์ ต้องเข้าใจด้วยว่าสามารถทำการสั่งซื้อหรือขายโกลด์ฟิวเจอร์สโดยผ่านโบรกเกอร์ที่เป็นสมาชิกของตลาดอนุพันธ์ เมื่อนักลงทุนส่งคำสั่งซื้อขายผ่านบริษัทโบรกเกอร์แล้ว จะส่งคำสั่งซื้อขายเข้าไปยังระบบการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์ โดยตลาดอนุพันธ์จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจับคู่คำสั่งซื้อขายด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ วิธีการจับคู่คำสั่งซื้อขาย จะใช้หลักการของราคา และเวลาที่ดีที่สุด

3. คุณเป็นนักลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาว

จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องถามตัวเองก่อนว่าคุณเป็นนักลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาว เพราะการลงทุนสัญญาโกลด์ ฟิวเจอร์ส ในตลาดอนุพันธ์ฯ นักลงทุนมี 2 ทางเลือกคือ 1. ถือสัญญาโกลด์ฟิวเจอร์สไว้จนถึงวันที่สัญญาสิ้นสุดอายุแล้วรับรู้ผลกำไรขาดทุนในวันทำการที่ซื้อขายได้เป็นวันสุดท้ายหรือ last trading day 2. ซื้อขายเก็งกำไรและปิดฐานะก่อนที่สัญญาจะสิ้นสุดอายุ

หากคุณเป็นนักลงทุนในระยะสั้นก็ควรซื้อขายสัญญาและปิดฐานะการลงทุนก่อนที่สัญญาจะสิ้นสุดอายุ แต่หากคุณเป็นนักลงทุนระยะยาวก็สามารถถือสัญญาไว้จนสัญญาสิ้นสุดอายุและรับรู้ผลกำไรขาดทุน หรือหากต้องการถือสัญญาไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยงในระยะยาว นักลงทุนอาจทำการต่ออายุสัญญา (roll over) โดยการปิดฐานะสัญญารุ่นเดือนที่กำลังจะสิ้นสุดอายุ และทำการเปิดฐานะสัญญาในรุ่นเดือนถัดไปก็ได้เช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการลงทุน
กิดาการมองว่า ในความเป็นจริงแล้วอนุพันธ์ไม่ใช่การลงทุน แต่อนุพันธ์มักถูกนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงของการบริหารความเสี่ยงหรือการเก็งกำไรมากกว่า

สำหรับโกลด์ ฟิวเจอร์สนั้น สามารถถือสัญญาได้นานที่สุดไม่เกิน 6 เดือน หากในรอบการลงทุนปกติของคุณคุ้นเคยกับการลงทุนแล้วถือเกิน 6 -12 เดือนเสมอ หมายความว่าคุณน่าจะเป็นนักลงทุนระยะยาว  การซื้อขายอนุพันธ์จึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบเนื่องจาก 1.นี่ไม่ใช่การลงทุน และ 2. การที่สามารถถือครองได้ไม่นานย่อมหมายความว่าต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อขาย จากถือยาว เป็นถือสั้นลง ซึ่งบางทีอาจไม่ใช่ความถนัดของคุณ

ส่วนอติมองว่าหากผู้ลงทุนต้องการลงทุนในราคาของทองคำแท่งระยะสั้นเพื่อทำกำไรเป็นรอบๆ หรือต้องการบริหารความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนในทองคำเป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน การลงทุนในโกลด์ ฟิวเจอร์สจะมีความคล่องตัวมากกว่าการซื้อๆ ขายๆ ทองคำแท่งจริง  

โดยที่โกลด์ ฟิวเจอร์นั้นเป็นตราสารอนุพันธ์ที่มีอายุจำกัด และในแต่ละช่วงเวลาจะมีโกลด์ ฟิวเจอร์ให้เลือกลงทุนอยู่ 3 สัญญา ซึ่งแต่ละสัญญาจะหมดอายุในเดือนเลขคู่ที่ใกล้สุดนับจากปัจจุบัน เช่น ปัจจุบันเป็นเดือนกุมภาพันธ์  ก็จะมี 3 สัญญาให้เลือกลงทุน คือดีลที่สิ้นอายุเดือนกุมภาพันธ์, เมษายน และมิถุนายน ตามลำดับ  ส่วนการลงทุนในทองคำแท่งโดยตรงนั้นเหมาะกับการถือลงทุนระยะยาว
 
4. คุณรู้หรือไม่ว่าโกลด์ ฟิวเจอร์สเสี่ยงกว่าทองคำ

การลงทุนซื้อขายสัญญาโกลด์ ฟิวเจอร์สนั้น นักลงทุนควรที่จะรู้จักกับความเสี่ยงในการลงทุนเสียก่อน ว่ามีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนซื้อทองคำ เนื่องจากการลงทุนในสัญญาโกลด์ ฟิวเจอร์ส นักลงทุนเพียงแค่วางเงินหลักประกันเพียงบางส่วนคือประมาณ 10% ของมูลค่าเต็มของสินค้าก็สามารถซื้อทองคำที่มีมูลค่าเต็มสูงถึงประมาณ 750,000 บาทได้

ดังนั้น หากราคาทองคำเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ นักลงทุนอาจขาดทุนมากกว่าเงินหลักประกันเริ่มต้นก็ได้ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของการซื้อขายสัญญาโกลด์ ฟิวเจอร์สที่สิ้นสุดอายุในเดือนที่ไกลออกไปจะมีสภาพคล่องน้อยกว่าสัญญาที่สิ้นสุดอายุในเดือนที่ใกล้กว่า

กิดาการขยายความว่า ความเสี่ยงของโกลด์ ฟิวเจอร์สในปัจจุบันได้แก่ สภาพคล่องที่ยังน้อย อาจทำให้ต้องซื้อขายในราคาที่ไม่อยากได้จริงๆ สภาพคล่องที่ยังน้อยอาจทำให้ปิดสถานะได้ลำบากกรณีที่มีสถานะมากๆ และราคาของโกลด์ ฟิวเจอร์แกว่งขึ้นลงได้ทั้งวัน ในขณะที่ราคาของสมาคมค้าทองคำ ประกาศวันละไม่กี่หนและไม่แกว่งมาก  ซึ่งถ้าหากซื้อทองคำจริงไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกเรียกหลักประกันเพิ่มหรือถูกบังคับปิดสถานะ

ฝ่ายอติย้ำว่าการลงทุนในโกลด์ ฟิวเจอร์สมีความเสี่ยงแตกต่างกันกับการลงทุนในทองคำแท่งจริง  โดยสามารถมีผลกำไรมากหรือขาดทุนมากกว่าการลงทุนในทองคำแท่งหลายเท่าตัว   เนื่องจากการลงทุนในโกลด์ ฟิวเจอร์ใช้เงินลงทุนวางเป็นหลักประกันไม่ถึง 10% ของมูลค่าทองคำ ทว่าหากลงทุนในทองคำแท่งต้องใช้เงินเต็มจำนวน  
 

5. คุณรู้หรือไม่ว่ากำไรหรือขาดทุนจากโกลด์ ฟิวเจอร์สเกิดจากอะไร

เนื่องจากการลงทุนในสัญญาโกลด์ ฟิวเจอร์ส นักลงทุนต้องวางเงินหลักประกันก่อนส่งคำสั่งซื้อขาย และทุกสิ้นวันทำการสำนักหักบัญชีจะทำการคำนวณผลกำไรขาดทุนของพอร์ตการลงทุน เพื่อให้สะท้อนกับราคาปัจจุบัน หรือเรียกว่าการ mark-to-market นั่นเอง

ดังนั้น หากนักลงทุนซื้อขายสัญญาโกลด์ ฟิวเจอร์สในระยะยาวนักลงทุนก็จะมีความเสี่ยงจากการแกว่งตัวของราคาตลาดทองคำสูงกว่าการลงทุนในระยะสั้น เนื่องจากราคาตลาดของทองคำเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ นักลงทุนจะมีความเสี่ยงจากการถูกเรียกเงินประกันเพิ่ม หรือเรียกว่า call margin

หากนักลงทุนเป็นนักเก็งกำไรในระยะสั้นๆ ภายในวันทำการนักลงทุนสามารถรับรู้กำไรขาดทุนได้จากส่วนต่างของราคาที่ซื้อขาย เช่น ถ้านักลงทุนเปิดฐานะขายสัญญาโกลด์ ฟิวเจอร์สไว้ เนื่องจากคาดการณ์ว่าแนวโน้มราคาทองคำจะลดลง นักลงทุนสามารถปิดฐานะการลงทุน โดยการซื้อสัญญาโกลด์ ฟิวเจอร์สในจำนวนที่เท่ากัน และเดือนที่สิ้นสุดสัญญาเดือนเดียวกันกับที่ขายไว้ หากราคาทองคำลดลงตามที่คาดการณ์ไว้นักลงทุนจะได้รับผลกำไร แต่ถ้าหากราคาทองคำสูงขึ้นนักลงทุนจะขาดทุน นี่คือประเด็นที่คุณจำเป็นต้องรู้ก่อนลงทุน

กิดาการ อธิบายเพิ่มเติมว่า กำไรขาดทุนจากโกลด์ ฟิวเจอร์สขึ้นอยู่กับระดับราคาที่เข้าไปเปิดสถานะ และทิศทางความเคลื่อนไหวหลังจากนั้น เวลาซื้อของ เราย่อมคาดให้สินค้านั้นราคาขึ้นไปอีก เพื่อให้ได้กำไร ในทางตรงข้าม เวลาตัดสินในขายอะไร เราย่อมคาดว่า สินค้านั้นราคาจะไม่ขึ้นไปอีกแล้ว เพราะถ้าคาดว่าราคาจะขึ้นต่อ คงจะถือรอไปก่อน โกลด์ ฟิวเจอร์สก็เช่นกัน ถ้าซื้อแล้วราคาตลาดต้องสูงกว่าต้นทุนของเรา จึงจะได้กำไร หรือหากเป็นการขายล่วงหน้า หลังจากนั้นราคาจะต้องลงไปถึงจะได้กำไร แต่ถ้าซื้อแล้วลง หรือขายแล้วขึ้น ก็จะกลายเป็นขาดทุน

“ในการซื้อขาย 1 สัญญา หากราคาล่วงหน้า ขยับไป ทุก 10 บาท หมายถึงกำไร/ขาดที่เกิดขึ้นจริง 500 บาท จะเป็นกำไร หรือขาดทุนอยู่ที่ เราคาดการณ์ราคาถูกทิศทางหรือไม่”
 
6. คุณจะใช้โกลด์ ฟิวเจอร์สเพื่อป้องกันความเสี่ยงหรือเก็งกำไร

กิดาการบอกว่าอนุพันธ์มีประโยชน์ที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การนำไปใช้ แต่จะใช้เพื่ออะไรก็ควรมีการศึกษาให้ดีก่อน

ในขั้นต้น ควรทดลองทำการซื้อขายในกระดาษก่อนเพื่อให้ทราบว่า เครื่องมือชนิดนี้ เหมาะกับเราหรือไม่ สามารถทำประโยชน์ให้เราได้จริงหรือไม่  หากพบว่าอนุพันธ์ให้ประโยชน์ได้ ควรเริ่มต้นจากใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงก่อน การเริ่มต้นแบบนี้ปลอดภัยกว่า เนื่องจาก สถานะในทรัพย์สินจริง กับ สถานะในอนุพันธ์จะถัวความเสี่ยงกันไปในตัวเอง โอกาสกำไรขาดทุนมากๆ จะเกิดได้น้อย  หลังจากใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจนเกิดความชำนาญ จึงค่อยเริ่มใช้ในเชิงเก็งกำไร

ขณะที่ อติมองว่าหากเรามีพอร์ตลงทุนในทองคำแท่ง เช่น เป็นร้านค้าทองหรือผู้ที่ผลิตเครื่องประดับที่ต้องใช้ทองคำเป็นวัตถุดิบ สามารถใช้โกลด์ ฟิวเจอร์สในการบริหารความเสี่ยงได้ แต่หากใช้เพื่อเก็งกำไรในราคาทองขาขึ้นหรือขาลง ผู้ลงทุนต้องหมั่นดูสถานะของพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอหรืออย่างน้อยทุกสิ้นวัน เพราะราคาโกลด์ ฟิวเจอร์สมีความผันผวน

7. คุณรู้หรือไม่ว่าใช้เงินลงทุนเท่าไหร่

กิดาการแจงว่า โกลด์ ฟิวเจอร์ส 1 สัญญา เทียบเท่ากับ ทองคำน้ำหนัก 50 บาท หากราคาทองคำอยู่ที่ 14,800 บาท การซื้อทองคำน้ำหนัก 50 บาทที่ราคานี้ คุณต้องชำระเงิน 740,000 บาท แต่แทนที่จะซื้อทองคำที่เป็นสินค้าจริง เปลี่ยนมาเป็น ซื้อทองคำล่วงหน้า 1 สัญญา ซึ่งเท่ากับทำสัญญาซื้อทองล่วงหน้า น้ำหนัก 50 บาท จะต้องวางเงิน 66,500 บาท แต่คุณมีสิทธิรับรู้กำไรขาดทุนเสมือนการถือครองทองคำน้ำหนัก 50 บาท

ผู้เชี่ยวชาญด้านอนุพันธ์บอกว่าหลังจากนักลงทุนเปิดบัญชีซื้อขายโกลด์ ฟิวเจอร์สกับโบรกเกอร์ที่เป็นสมาชิกของตลาดอนุพันธ์ฯแล้ว ก่อนที่นักลงทุนจะส่งคำสั่งซื้อขายนักลงทุนต้องวางเงินหลักประกันเริ่มต้น (Initial Margin) 66,500 บาท ต่อ 1 สัญญาจึงสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้

แต่เนื่องจากเมื่อราคาเปลี่ยนแปลงไปนักลงทุนอาจเกิดผลขาดทุนจากการลงทุนจนทำให้ถูกเรียกหลักประกันเพิ่มได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม นักลงทุนจึงควรวางหลักประกันก่อนการซื้อขายเป็น 2 เท่าของเงินหลักประกันเริ่มต้น หรือประมาณ 130,000 บาทต่อ 1 สัญญา และสิ่งสำคัญคือ เงินที่จะนำมาลงทุนในสัญญาโกลด์ ฟิวเจอร์ส ควรเป็นเงินลงทุนที่แบ่งไว้สำหรับการลงทุนที่มีความเสี่ยงโดยเฉพาะ และเมื่อเกิดการขาดทุนจากเงินลงทุนก้อนนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวันปกติ

8. คุณรู้หรือไม่ว่ามีปัจจัยอะไรที่มีผลต่อราคาทอง

สิ่งสำคัญก่อนจะลงทุนในโกลด์ ฟิวเจอร์ คุณควรจะรู้ว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลกระทบกับความเคลื่อนไหวของราคาทองคำ  ซึ่งโดยปกติปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาทองคำในประเทศไทย อติแจงว่ามี 5 ปัจจัยหลัก คือ 1. ค่าเงินสหรัฐ  2. ความกลัวเงินเฟ้อ 3. ความไม่มั่นใจในระบบสถาบันการเงินหรือตลาดทุน 4. ความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์การเมืองหรือสงคราม 5. Demand และ Supply ของทองคำในตลาดโลก

นอกจากนี้ราคาทองในเมืองไทยยังมีปัจจัยอีก 2 อย่างเพิ่มเติมนอกเหนือจากปัจจัย 5 ข้อข้างต้น คือ 1. ค่าเงินไทยบาทเทียบกับค่าเงินสหรัฐ  และ 2. ผลของฤดูกาล เช่น ก่อนตรุษจีน หรือก่อนเปิดเทอม

9. คุณรู้หรือยังว่าโกลด์ ฟิวเจอร์สซื้อขายได้ที่ใดบ้าง

อติบอกว่านักลงทุนสามารถซื้อขายโกลด์ ฟิวเจอร์สได้ที่โบรกเกอร์อนุพันธ์ทั้ง 36 ราย และต้นเดือนมีนาคม 2552 จะมีโบรกเกอร์เพิ่มขึ้นมาให้บริการอีก 4 ถึง 5 ราย

กิดาการเสริมว่า กรณีที่คุณมีเงินออมในต่างประเทศ สามารถซื้อขายโกลด์ ฟิวเจอร์สในตลาดอนุพันธ์ในต่างประเทศเช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง และอื่นๆ ได้อีกด้วย
 
10. ควรจะลงทุนในทองหรือโกลด์ ฟิวเจอร์สกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต

จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พบว่าราคาทองคำในไทยมีการเคลื่อนไหวสัมพันธ์กันกับสินค้าโภคภัณฑ์อื่นได้แต่ราคาทองคำในประเทศไทยแทบจะไม่มีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์การลงทุนอื่น เช่น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรือเงินฝาก

ดังนั้น หากนักลงทุนเพิ่มทองคำเข้าไปในพอร์ต การลงทุนก็จะได้รับประโยชน์จากการช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนลงได้ และควรกระจายความเสี่ยงไปไว้ในทองคำประมาณ 10%

ข้อนี้ กิดาการแนะว่ากรณีของการบริหารความเสี่ยง ขึ้นอยู่กับปริมาณทองคำที่ลงทุนระยะยาว เช่น หากถือทองคำน้ำหนัก 100 บาท ก็ควรลงทุนโกลด์ ฟิวเจอร์ 2 สัญญา สำหรับคนที่ต้องการเก็งกำไร ควรค่อยๆ เริ่มต้นที่ระดับ 6-7% เช่น พอร์ตการลงทุน 1,000,000 บาท เริ่มต้นลงทุนด้วยโกลด์ ฟิวเจอร์ส 1 สัญญา ก็ถือเป็นระดับที่ไม่เสี่ยงจนเกินไป จนกระทั่งท่านมีความชำนาญเพิ่มขึ้นจนค่อยๆ เพิ่มขนาดของสถานะ

ส่วนอดติมองว่า การลงทุนในโกลด์ ฟิวเจอร์จำนวนเท่าใดในพอร์ตการลงทุนนั้น ขึ้นอยู่กับการจัดสรรทรัพย์สินในพอร์ตลงทุนซึ่งขึ้นกับ อายุของผู้ลงทุน การกระจายความเสี่ยงของทรัพย์สินหลายประเภท  ความชำนาญในการคาดการณ์ราคาทองคำ ฯลฯ ผู้ลงทุนอาจพิจารณาลงทุนในทองคำ 5-15% ของสินทรัพย์ลงทุน

นี่เป็น 10 ข้อที่คุณจำเป็นต้องถามตัวเอง ก่อนที่จะเข้าไปลงทุนในโกลด์ ฟิวเจอร์  หากมีแม้แต่ข้อเดียวที่ยังไม่กระจ่าง  อย่าเพิ่งลงทุนเด็ดขาด

ลงทุนต้องสบายใจ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 22, 2009 12:34 pm
โดย chaitorn
คนนี้เขาลงทุนในธุรกิจอย่างสบายใจที่สุดครับ :lol:
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 7%CD!.html

'วอร์เรน บัฟเฟตต์' สบายดีอยู่หรือ


รูปภาพ

วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมาเกี่ยวกับมุมมองของเขาต่อสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ลองมาดูว่าเขามีความเห็นอย่า

ถาม: วิกฤติทางการเงินที่เกิดขึ้นทำให้คุณเปลี่ยนวิธีการลงทุนหรือไม่
บัฟเฟตต์: มันไม่ได้เปลี่ยนแนวทางการลงทุนของผมเลยแม้แต่นิดเดียว ผมเรียนรู้การลงทุนจากหนังสือของเบน เกรแฮมตั้งแต่ปี 1949 และไม่เคยเปลี่ยนแนวทางเลยนับจากนั้นมา


ถาม: วิกฤติที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมาย มีผลกระทบต่อปรัชญาการลงทุนของคุณหรือไม่
บัฟเฟตต์: ไม่เลย เหมือนผมต้องการซื้อฟาร์ม ผมคงไม่เปลี่ยนแนวทางในการซื้อฟาร์มของผม เช่นเดียวกับการซื้อบ้านหรือซื้อธุรกิจ หุ้นก็เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ถ้าผมต้องการซื้อหุ้นในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งในเมืองนี้ ผมคงใช้แนวทางที่เคยใช้เมื่อสองปีที่แล้วและก็เป็นแนวทางที่จะใช้ในอีกสองปี ข้างหน้า
ผมจะดูว่าผมจะได้อะไรจากเงินที่ลงทุนไป ผู้บริหารเป็นอย่างไร บริษัทนั้นมีความสามารถในการแข่งขันหรือไม่และฐานะทางการเงินเป็นอย่างไร ถ้าพูดถึง "ตลาดหุ้น" ขอให้คุณลืมมันไปได้เลย สำหรับหุ้นทุกตัวที่ผมมีผมว่าผมคงถือต่อไปอย่างมีความสุข ถึงแม้ตลาดหุ้นจะปิดไปสักห้าปีนับจากวันนี้ พูดอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ผมซื้อธุรกิจ ผมไม่ได้ซื้อหุ้น ผมซื้อส่วนหนึ่งของธุรกิจเหมือนผมซื้อฟาร์ม และมันไม่เคยเปลี่ยน พวกข่าวร้ายต่างๆ ในโลกนี้ไม่สามารถเปลี่ยนมันได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่สามารถซื้อของได้ถูกกว่าวันนี้ มันอาจถูกลง คำถาม ก็คือตอนซื้อนั้นมันคุ้มค่าเงินที่ลงทุนแล้วหรือยัง

ถาม: อะไรเป็นบทเรียนที่สำคัญที่สุดในการลงทุนของคุณ
บัฟเฟตต์: บทเรียนที่สำคัญที่สุดในการลงทุนก็คือการมองหุ้นที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาด เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ไม่ใช่สิ่งที่มีราคาขึ้นๆ ลงๆ ไม่ใช่สิ่งที่มีคนแนะนำให้ซื้อ หรือพูดกันถึงเรื่องกำไรที่จะเพิ่มขึ้นในไตรมาสหน้า แต่เป็นการมองให้เห็นถึงธุรกิจ ถ้าคุณไม่รู้ว่าจะประเมินธุรกิจนั้นๆ อย่างไร คุณก็ไม่ควรจะซื้อหุ้นบริษัทนั้น แต่ถ้าคุณรู้ว่าจะประเมินธุรกิจนั้นอย่างไรและซื้อมันได้ในราคาถูก คุณก็ไม่ต้องไปกังวลกับมันว่าจะเป็นอย่างไรในอาทิตย์หน้า เดือนหน้าหรือปีหน้า

ถาม: คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่คุณกำลังทำนั้นถูกต้อง
บัฟเฟตต์: ผมว่าไม่มีปัญหาถ้าพูดถึงอนาคตข้างหน้าของเศรษฐกิจในระยะยาว ในระยะสั้นผมคงมองว่ายังไม่ดีขึ้น แต่ไม่ใช่ตลาดหุ้น ตอนนี้ผมเริ่มซื้อหุ้นแล้ว ถ้าคุณบอกผมว่าเศรษฐกิจจะไม่ดีในอีก 12 เดือนข้างหน้า แต่ถ้าผมพบสิ่งที่น่าสนใจวันนี้ผมก็จะซื้อมันทันที ผมคงไม่รอและคาดหวังว่าจะซื้อมันได้ถูกลงในอีกหกเดือนข้างหน้า เพราะไม่มีใครรู้ว่าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลงต่ำสุดหรือยัง..ไม่มีใครรู้ สิ่งที่คุณต้องรู้ก็คือคุณได้อะไรคุ้มค่าต่อเงินลงทุนของคุณหรือเปล่า


ถาม: หุ้น Berkshire Hathaway ลดลงอย่างมาก และมีผลต่อผู้ถือหุ้นมาก
บัฟเฟตต์: ใช่!  ส่วนใหญ่ผู้ถือหุ้นของเราลงทุนระยะยาว ตลาดหุ้นปีที่แล้วลดลงกว่า 50% และเราก็หนีไม่พ้นที่ราคาหุ้นของบริษัทเราจะลดลงตามไปด้วย ตลอดชีวิตของผม ผมเห็นราคาหุ้นเบิร์กไชร์ลดลงมากกว่าครึ่งถึงสามครั้ง ครั้งแรกในปี 1974 ราคาหุ้นลดลงจาก 90 เหรียญเหลือ 40 เหรียญ ตอนนั้นผมรู้สึกไม่ดีหรือเปล่า เปล่าเลยผมกลับชอบซะอีกเพราะผมได้ซื้อหุ้นบริษัทเพิ่ม ดังนั้นผมไม่ได้ตัดสินบริษัทจากราคาหุ้น แต่ผมดูบริษัทจากผลการดำเนินงานของบริษัทว่าเป็นอย่างไรมากกว่า

ลงทุนต้องสบายใจ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 22, 2009 2:47 pm
โดย สามัญชน
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขียน:แต่ถ้าผมพบสิ่งที่น่าสนใจวันนี้ผมก็จะซื้อมันทันที ผมคงไม่รอและคาดหวังว่าจะซื้อมันได้ถูกลงในอีกหกเดือนข้างหน้า เพราะไม่มีใครรู้ว่าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลงต่ำสุดหรือยัง..ไม่มีใครรู้ สิ่งที่คุณต้องรู้ก็คือคุณได้อะไรคุ้มค่าต่อเงินลงทุนของคุณหรือเปล่า
:cool:

ลงทุนต้องสบายใจ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 22, 2009 3:18 pm
โดย สามัญชน
ส่วนเรื่องความสบายใจผมเห็นด้วยบางส่วน
ส่วนใหญ่จะเห็นแย้งด้วยซ้ำ
ขึ้นอยู่กับว่าจะนิยามคำๆนี้ไว้อย่างไร
และจะกำหนดคำว่าสบายใจนี้ไว้ตรงไหน

ที่แน่ๆ

ถ้ากำหนดความสบายใจเป็นเป้าหมายผมไม่เห็นด้วยเด็ดขาด
เมื่อคิดจะเล่นหุ้นก็ควรจะเอากำไรจากเล่นหุ้นเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่ง
ส่วนความสบายใจเอาไว้เป็นผลพลอยได้จะดีกว่า
และเมื่อเล่นถูกหลักถูกวิธี
กำไรก็มาเอง

ความสบายใจก็มาเอง
เรียกว่าเล่นไปบรรเทิงไป
นั่งรถไปดูข้างทางไป
สนุกไปทุกข์ไปคละเคล้ากันไป
มีสีสันและมีรสชาติในชีวิตจะดีกว่า

ถ้าอยากสบายใจจริงๆและยึดความสบายใจเป็นอันดับหนึ่งก็เข้าวัดสิครับ
มาเล่นหุ้นทำไม ความเสี่ยงเยอะแยะ

ลงทุนต้องสบายใจ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 22, 2009 3:19 pm
โดย สามัญชน
ผมเคยเจอสามีภรรยาคู่หนึ่ง
ภรรยาเป็นคนวิเคราะหุ้นและลงมือซื้อหุ้น
สามีอยู่ห่างๆคอยให้กำลังใจในบางครั้งและคอยตักเตือนในบางครา

เรื่องของเรื่องคือว่า
ภรรยาซื้อหุ้นตัวหนึ่ง ราคาประมาณ 8 บาท
ภรรยาบอกว่าวิเคราะห์มาดีแล้วและมั่นใจ
แต่แล้วราคาหุ้นกลับต่ำลงเรื่อยๆ
สร้างความไม่สบายใจให้ฝาละมี

แต่เมื่อเกิดเรื่องไม่สบายใจขึ้น
ทั้งภรรยาและสามีมีวิธีแก้ปัญหาที่ต่างกัน
ภรรยาย้อนไปดูพื้นฐานของกิจการ
และก็พบว่ากิจการยังดีอยู่บวกกับกำไรก็ของบริษัทก็ขยับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แต่ราคาหุ้นวิ่งลงสวนทาง
ร่วงจาก 6 บาท มา 5.6 บาท

ฝาละมีไม่สบายใจแต่ก็ทำอะไรไม่เป็น
ทำเป็นอย่างเดียวคือบีบให้ภรรยาขายหุ้น
เพราะฝาละมีไม่เชื่อในเรื่องปัจจัยพื้นฐานใดๆทั้งสิ้น
ปัจจัยไหนๆก็ไม่สนใจ
พูดอยู่คำเดียวว่า  ถ้ามันดีจริงหุ้นมันต้องขึ้น
นี่หุ้นมันลงแปลได้ชัดๆว่าหุ้นมันไม่ดี
ไม่งั้นมันจะลงได้ยังไง(คำพูดนี้บัฟเฟตต์กับคุณฉัตรชัยไม่เห็นด้วยแน่ๆ)

และประโยคที่เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่บังคับให้ภรรยาขายหุ้นคือคำว่า
(ผมถือหุ้นตัวนี้แล้ว ผมไม่สบายใจ ขายให้หมดเลย)

ลงทุนต้องสบายใจ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 22, 2009 3:22 pm
โดย สามัญชน
ภรรยาจึงอยู่ในภาวะจำยอมเพราะความไม่สบายใจของสามี
แต่ก็ขายเพียงครึ่งเดียวที่เป็นส่วนของสามี
พูดแล้วเหมือนนิยาย
แต่ถ้าใครที่เคยเจอเรื่องแบบนี้จะบอกว่าไม่ใช่นิยายเลยและเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆด้วยซ้ำ เพราะ.....

หลังจากขายหุ้นของสามีหมด
วันรุ่งขึ้นราคาหุ้นกลับค่อยๆสวนตลาดขยับขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนมีใครบางคนรู้ เหมือนชะตากลั่นแกล้ง
ราคาหุ้นวิ่งจาก 5.6 ไป 6 บาท
ไป  7---> 8 มาเท่าทุน
จาก 8 วิ่งไป 9---> 10 ----> 11  จนถึง 16
และเมื่อผลประกอบการทะยอยออกมาเป็นไตรมาสแล้วไตรมาสเล่า
หุ้นก็วิ่งไปถึง 25 บาท
โดยถ้านับจากราคาหุ้นที่ 5.6 บาทวิ่งไปถึง 25 ใช้เวลาแค่ปีเดียว

ตอนนี้ภรรยาสบายใจมากและสุขใจในแนวทางการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
ส่วนสามีทุกข์ใจไปอีกนานเพราะขาดทุน

ลงทุนต้องสบายใจ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 22, 2009 3:24 pm
โดย สามัญชน
การวิเคราะห์หุ้นเพื่อเลือกและลงทุนนั้น

ตามความเห็นผม
ควรจะเข้มงวดในการวิเคราะพอๆกับการทำวิจัยหรือทำวิทยานิพนธ์เลยทีเดียวครับ

เรื่องอารมณ์ความรู้สึกควรจะแยกไว้ห่างๆ

เพราะทั้งเรื่องความทุกข์ใจและความสบายใจล้วนเป็น bias ที่เราควรหลีกเลี่ยง

เรื่องรักหุ้นและแค้นหุ้นเป็นเรื่องต้องห้าม
เพราะทำให้เราวิเคราะห์ด้วยความลำเอียง

พูดไปก็เหมือนธรรมชาติเล่นตลกกับชีวิต
อยากได้อะไรมักจะได้ตรงกันข้าม
อยากจำกลับลืม
อยากลืมกลับจำ
อยากมีสมาธิเห็นนิมิต  มักจะไม่เห็น
ไม่อยากเห็นนิมิต อยากแค่มีสมาธิ กลับเห็นนิมิตเต็มตา
ใฝ่ร้อนจะนอนเย็น
ใฝ่เย็นจะเข็ญใจ

อยากสบายใจกลับทุกข์ใจ
ไม่กลัวเรื่องสบายหรือไม่สบาย  กลับสบายใจ

Re: ลงทุนต้องสบายใจ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 22, 2009 3:41 pm
โดย สามัญชน
รพี สุจริตกุล. เขียน:รพี สุจริตกุล..ลงทุนต้องสบายใจ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


รพีเชื่อว่า ความสะดวก ความสบายใจ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุน ในเมื่อโปรดักท์ของแต่ละ บลจ.ไม่ต่างกัน
อันนี้ก็ไม่จริงครับ.......