ลงทุนต้องสบายใจ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 22, 2009 10:45 am
รพี สุจริตกุล..ลงทุนต้องสบายใจ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
รพีเชื่อว่า “ความสะดวก ความสบายใจ” เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุน ในเมื่อโปรดักท์ของแต่ละ บลจ.ไม่ต่างกัน
“รพี สุจริตกุล” ถือเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ความสามารถอีกคนหนึ่งของแวดวงตลาดเงินตลาดทุนของไทย จากมือกฎหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขยับเข้ามาร่วมสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ก่อนจะที่จะผันตัวเองมาทำงานในภาคเอกชนโดยร่วมงานกับเครือกสิกรไทยและได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย คนปัจจุบัน วันนี้เราจะมารู้จักเขาในอีกมิติในแง่มุมของการบริหารเงินออมและเงินลงทุนส่วนตัวกัน
รพี บอกว่า ส่วนตัวเป็นคนที่รับความเสี่ยงได้มากประกอบกับทำงานอยู่ในแวดวงตลาดเงินตลาดทุนพอจะเข้าใจในเรื่องความเสี่ยงต่างๆ จึงพยายามที่จะเก็บเงินอยู่ในบัญชีเงินฝากให้น้อยที่สุด โดยจัดสรรเงินลงทุนไปในหุ้น 40% ตราสารหนี้ 55% และเงินฝากธนาคารเพียง 5% เท่านั้น
ในส่วนของหุ้นมีทั้งที่ลงทุนโดยตรงและลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งจะมีสไตล์การลงทุนที่แตกต่างกันโดยในส่วนของหุ้นรายตัวจะเน้นถือหุ้นรวมทั้งกองทุน Exchange Traded Fund (ETF) ไม่เกิน 5 ตัว เน้นลงทุนระยะยาวแต่ช่วงไหนที่มีกำไรก็จะขายทำกำไรออกมาในลักษณะนั้นมากกว่าถือเป็นส่วนการลงทุนในหุ้นที่ตัวเองสามารถที่จะติดตามดูแลได้ในระดับหนึ่ง สำหรับการลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนจะเป็นการลงทุนแบบ Passive คือปล่อยให้ผู้จัดการกองทุนซึ่งเป็นมืออาชีพบริหารจัดการลงทุนแทนเราไป
“ก่อนหน้านี้ 4-5 ปี การลงทุนในหุ้นจะมีสัดส่วนที่มากกว่านี้แต่ก็เปลี่ยนแปลงไปตามอายุ ในอนาคตเมื่ออายุมากขึ้นก็พยายามที่จะขยับมาเป็นตราสารหนี้มากขึ้น ในแง่ของหุ้นก็คิดว่าพอแล้วประมาณ 40% สำหรับคนอายุ 48 ปี ถือว่าพอสมควรแล้ว คงจะพยายามขยับมาด้านตราสารหนี้เพิ่มขึ้น อาจจะทยอยลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงไปจนเหลือ 15-20% แต่ยังไงจะต้องมีหุ้นอยู่ในพอร์ตแน่นอน ตอนนี้อาจจะดูเยอะไปนิดแต่เพราะตัวเองสามารถที่จะรับความเสี่ยงได้มากนั่นเอง”
รพี ยังบอกอีกว่า การลงทุนผ่านกองทุนรวมทั้งหมดทั้งในส่วนที่เป็นหุ้นและตราสารหนี้เลือกที่จะใช้บริการของ บลจ.กสิกรไทยที่เดียวมาตลอดส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเองทำงานอยู่ในเครือกสิกรไทยและอีกเหตุผลที่สำคัญคือมั่นใจในวิธีการลงทุนที่นอกจากจะดูในเรื่องของผลตอบแทนแล้วยังดูแลเรื่องความเสี่ยงให้กับผู้ลงทุนด้วย กองทุนตราสารหนี้ของ บลจ.กสิกรเป็นอะไรที่เน้นความปลอดภัยค่อนข้างมาก
อะไรที่มีความเสี่ยงก็พยายามจะหลีกเลี่ยง อันนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ เพราะกองทุนของ บลจ.กสิกรไทยขายผ่านสาขาธนาคารกสิกรไทยทั่วประเทศ คนที่ซื้อกองทุนของเราก็ซื้อเพราะไว้วางใจในชื่อของกสิกรไทยว่าจะเป็นคนคอยดูในเรื่องของไส้ในให้ว่าจะไม่นำเงินของเขาไปลงทุนในอะไรที่เสี่ยงหรือไม่เสี่ยงมากน้อยเพียงใด
เพราะฉะนั้นกองทุนต่างๆ ของ บลจ.กสิกรไทยที่มีอยู่เกณฑ์ต่างๆ จะค่อนข้างเข้มพอสมควร แล้วในช่วงที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้ไปลงทุนในอะไรที่ก่อให้เกิดความเสียหาย เป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทค่อนข้างระมัดระวัง นี่ก็ทำให้ตัวเองสบายใจได้ในระดับหนึ่ง
“การลงทุนในตราสารหนี้จะใช้อัตราดอกเบี้ยเป็นกุญแจสำคัญในการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุน อย่างตอนนี้ดอกเบี้ยมีแนวโน้มลงก็อยากจะล็อกผลตอบแทนเอาไว้สัก 1 ปี เพราะถ้าลงตราสารหนี้ระยะสั้นหรือเงินฝากผลตอบแทนก็คงจะลงมาเรื่อยๆ การมองหาผลตอบแทนจะดูเรื่องความเสี่ยงประกอบด้วย”
ส่วนตัวรพีเชื่อว่า “ความสะดวก ความสบายใจ” เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุน ในเมื่อโปรดักท์ของแต่ละ บลจ.ไม่ต่างกัน ยกเว้นเราเป็นนักลงทุนอาชีพ แต่คนที่ซื้อกองทุนส่วนใหญ่จะมีอาชีพประจำอยู่แล้ว เวลาที่เขามาใช้ในการดูเรื่องการลงทุนคงไม่ใช่เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตเพราะฉะนั้นขั้นตอนแรกคือเข้าใจสินค้าหรือเปล่า แล้วเราสบายใจกับตัวความเสี่ยงที่มากับผลิตภัณฑ์ทางการเงินนั้นมากน้อยแค่ไหน
ถ้าเราสบายใจก็ไม่ต้องมานั่งพะวงกับการลงทุน สามารถที่จะนอนหลับสบายได้ รวมถึงความสะดวกสบายในการใช้บริการต่างๆ
“ดังนั้นนักลงทุนต้องทำการบ้านด้วยแต่เข้าใจว่าบางครั้งก็เป็นเรื่องที่ยากที่จะเข้าใจเรื่องตรงนี้ทั้งหมด แต่ถ้าไม่เข้าใจเป็นอะไรที่นักลงทุนควรจะถามเพราะเป็นเงินของเรา ถามได้ถ้าเกิดข้อสงสัย แต่ทั้งหมดกลับเข้ามาที่ตอนซื้อตอนแรกว่าเราเข้าใจในสินค้ามากน้อยแค่ไหนยังไง ถ้าซื้อไปโดยไม่เข้าใจว่าข้างในมีอะไร
อันนั้นจะเป็นต้นตอของปัญหา แต่ถ้าเราเข้าใจในกองทุนที่เราซื้อจริงๆ รู้จักมันจริงๆ เป็นความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ ตรงนั้นจะทำให้สบายใจขึ้นมาก”
เป้าหมายการลงทุนของรพีเป็นการสะสมความมั่งคั่งในระยะยาวให้พอกพูนเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะต้องได้ผลตอบแทนต่อปีกี่เปอร์เซ็นต์ แต่ขอให้ได้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก ชนะเงินเฟ้อได้ก็เป็นอะไรที่สบายใจแล้ว
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
รพีเชื่อว่า “ความสะดวก ความสบายใจ” เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุน ในเมื่อโปรดักท์ของแต่ละ บลจ.ไม่ต่างกัน
“รพี สุจริตกุล” ถือเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ความสามารถอีกคนหนึ่งของแวดวงตลาดเงินตลาดทุนของไทย จากมือกฎหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขยับเข้ามาร่วมสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ก่อนจะที่จะผันตัวเองมาทำงานในภาคเอกชนโดยร่วมงานกับเครือกสิกรไทยและได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย คนปัจจุบัน วันนี้เราจะมารู้จักเขาในอีกมิติในแง่มุมของการบริหารเงินออมและเงินลงทุนส่วนตัวกัน
รพี บอกว่า ส่วนตัวเป็นคนที่รับความเสี่ยงได้มากประกอบกับทำงานอยู่ในแวดวงตลาดเงินตลาดทุนพอจะเข้าใจในเรื่องความเสี่ยงต่างๆ จึงพยายามที่จะเก็บเงินอยู่ในบัญชีเงินฝากให้น้อยที่สุด โดยจัดสรรเงินลงทุนไปในหุ้น 40% ตราสารหนี้ 55% และเงินฝากธนาคารเพียง 5% เท่านั้น
ในส่วนของหุ้นมีทั้งที่ลงทุนโดยตรงและลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งจะมีสไตล์การลงทุนที่แตกต่างกันโดยในส่วนของหุ้นรายตัวจะเน้นถือหุ้นรวมทั้งกองทุน Exchange Traded Fund (ETF) ไม่เกิน 5 ตัว เน้นลงทุนระยะยาวแต่ช่วงไหนที่มีกำไรก็จะขายทำกำไรออกมาในลักษณะนั้นมากกว่าถือเป็นส่วนการลงทุนในหุ้นที่ตัวเองสามารถที่จะติดตามดูแลได้ในระดับหนึ่ง สำหรับการลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนจะเป็นการลงทุนแบบ Passive คือปล่อยให้ผู้จัดการกองทุนซึ่งเป็นมืออาชีพบริหารจัดการลงทุนแทนเราไป
“ก่อนหน้านี้ 4-5 ปี การลงทุนในหุ้นจะมีสัดส่วนที่มากกว่านี้แต่ก็เปลี่ยนแปลงไปตามอายุ ในอนาคตเมื่ออายุมากขึ้นก็พยายามที่จะขยับมาเป็นตราสารหนี้มากขึ้น ในแง่ของหุ้นก็คิดว่าพอแล้วประมาณ 40% สำหรับคนอายุ 48 ปี ถือว่าพอสมควรแล้ว คงจะพยายามขยับมาด้านตราสารหนี้เพิ่มขึ้น อาจจะทยอยลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงไปจนเหลือ 15-20% แต่ยังไงจะต้องมีหุ้นอยู่ในพอร์ตแน่นอน ตอนนี้อาจจะดูเยอะไปนิดแต่เพราะตัวเองสามารถที่จะรับความเสี่ยงได้มากนั่นเอง”
รพี ยังบอกอีกว่า การลงทุนผ่านกองทุนรวมทั้งหมดทั้งในส่วนที่เป็นหุ้นและตราสารหนี้เลือกที่จะใช้บริการของ บลจ.กสิกรไทยที่เดียวมาตลอดส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเองทำงานอยู่ในเครือกสิกรไทยและอีกเหตุผลที่สำคัญคือมั่นใจในวิธีการลงทุนที่นอกจากจะดูในเรื่องของผลตอบแทนแล้วยังดูแลเรื่องความเสี่ยงให้กับผู้ลงทุนด้วย กองทุนตราสารหนี้ของ บลจ.กสิกรเป็นอะไรที่เน้นความปลอดภัยค่อนข้างมาก
อะไรที่มีความเสี่ยงก็พยายามจะหลีกเลี่ยง อันนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ เพราะกองทุนของ บลจ.กสิกรไทยขายผ่านสาขาธนาคารกสิกรไทยทั่วประเทศ คนที่ซื้อกองทุนของเราก็ซื้อเพราะไว้วางใจในชื่อของกสิกรไทยว่าจะเป็นคนคอยดูในเรื่องของไส้ในให้ว่าจะไม่นำเงินของเขาไปลงทุนในอะไรที่เสี่ยงหรือไม่เสี่ยงมากน้อยเพียงใด
เพราะฉะนั้นกองทุนต่างๆ ของ บลจ.กสิกรไทยที่มีอยู่เกณฑ์ต่างๆ จะค่อนข้างเข้มพอสมควร แล้วในช่วงที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้ไปลงทุนในอะไรที่ก่อให้เกิดความเสียหาย เป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทค่อนข้างระมัดระวัง นี่ก็ทำให้ตัวเองสบายใจได้ในระดับหนึ่ง
“การลงทุนในตราสารหนี้จะใช้อัตราดอกเบี้ยเป็นกุญแจสำคัญในการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุน อย่างตอนนี้ดอกเบี้ยมีแนวโน้มลงก็อยากจะล็อกผลตอบแทนเอาไว้สัก 1 ปี เพราะถ้าลงตราสารหนี้ระยะสั้นหรือเงินฝากผลตอบแทนก็คงจะลงมาเรื่อยๆ การมองหาผลตอบแทนจะดูเรื่องความเสี่ยงประกอบด้วย”
ส่วนตัวรพีเชื่อว่า “ความสะดวก ความสบายใจ” เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุน ในเมื่อโปรดักท์ของแต่ละ บลจ.ไม่ต่างกัน ยกเว้นเราเป็นนักลงทุนอาชีพ แต่คนที่ซื้อกองทุนส่วนใหญ่จะมีอาชีพประจำอยู่แล้ว เวลาที่เขามาใช้ในการดูเรื่องการลงทุนคงไม่ใช่เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตเพราะฉะนั้นขั้นตอนแรกคือเข้าใจสินค้าหรือเปล่า แล้วเราสบายใจกับตัวความเสี่ยงที่มากับผลิตภัณฑ์ทางการเงินนั้นมากน้อยแค่ไหน
ถ้าเราสบายใจก็ไม่ต้องมานั่งพะวงกับการลงทุน สามารถที่จะนอนหลับสบายได้ รวมถึงความสะดวกสบายในการใช้บริการต่างๆ
“ดังนั้นนักลงทุนต้องทำการบ้านด้วยแต่เข้าใจว่าบางครั้งก็เป็นเรื่องที่ยากที่จะเข้าใจเรื่องตรงนี้ทั้งหมด แต่ถ้าไม่เข้าใจเป็นอะไรที่นักลงทุนควรจะถามเพราะเป็นเงินของเรา ถามได้ถ้าเกิดข้อสงสัย แต่ทั้งหมดกลับเข้ามาที่ตอนซื้อตอนแรกว่าเราเข้าใจในสินค้ามากน้อยแค่ไหนยังไง ถ้าซื้อไปโดยไม่เข้าใจว่าข้างในมีอะไร
อันนั้นจะเป็นต้นตอของปัญหา แต่ถ้าเราเข้าใจในกองทุนที่เราซื้อจริงๆ รู้จักมันจริงๆ เป็นความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ ตรงนั้นจะทำให้สบายใจขึ้นมาก”
เป้าหมายการลงทุนของรพีเป็นการสะสมความมั่งคั่งในระยะยาวให้พอกพูนเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะต้องได้ผลตอบแทนต่อปีกี่เปอร์เซ็นต์ แต่ขอให้ได้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก ชนะเงินเฟ้อได้ก็เป็นอะไรที่สบายใจแล้ว