หน้า 1 จากทั้งหมด 2

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 02, 2009 7:31 pm
โดย naijan
ต่างชาติเข้าซื้อหลายวัน วอร์ลุ่มเริ่มมาแล้ว และสถานการณ์ต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศ เริ่มปรากฏข่าวดีให้เห็นบ้างแล้ว หุ้นขึ้นกันทั้งโลก เริ่มเป็นขาขึ้น(เข้าสู่ภาวะกระทิงเด็กๆ)แล้วใช่ไหมครับ เพื่อนคิดว่าไงครับ ถือเต็มพอร์ตได้หรือยังครับ
:lol:

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 02, 2009 7:44 pm
โดย satantuey
โดยส่วนตัว  ผมว่า  เร็วไปนิด  ผมว่าปีนี้ทั้งปีคงซึมๆไซด์เวย์  แต่หวังให้มันซึมขึ้น  ไม่ซึมลง  เป็นใช้ได้ :lol:  :lol:


ปล.ต่างประเทศไม่รู้  แต่ในประเทศยังมีปัจจัยการเมืองให้ลุ้นกันอยู่  หลังวันที่ 8 เมษา  ค่อยว่ากันอีกที...งุงิ :twisted:  :twisted:

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 02, 2009 8:49 pm
โดย Hughes
ใครว่ารถขายไม่ออกนี่ ไป motorshow มาไม่เห็นมีส่วนลดอะไรเลยคนซื้อกันระเบิดเถิดเทิง

แต่ห้างยังซึมๆไม่รู้เพราะ Over Supply หรือ เพราะพิษเศรษฐกิจกันแน่?

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 02, 2009 10:57 pm
โดย Alastor
Hughes เขียน:ใครว่ารถขายไม่ออกนี่ ไป motorshow มาไม่เห็นมีส่วนลดอะไรเลยคนซื้อกันระเบิดเถิดเทิง

แต่ห้างยังซึมๆไม่รู้เพราะ Over Supply หรือ เพราะพิษเศรษฐกิจกันแน่?
น่าจะเพราะอั้นกำลังซื้อในช่วงที่รอความชัดเจนเรื่องภาษีนะครับ จริงๆส่วนลดขึ้นกับว่าเรา ทำการบ้าน check ราคาข้างนอก แล้วมาต่อในงานหรือเปล่า ผมโยน bid ต่ำๆเอาแล้วบอกว่าถ้า offer มา match พอดีจะซื้อเลย เค้าก็ให้ครับ

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 02, 2009 10:57 pm
โดย noooon010
เคยฟัง ดร.พูดถึงปี 41 ตอนนั้นเป็นช่วงหลังวิกฤติใหม่ๆ
คนก็จะลังเล ว่า ฟื้นแล้วหรือยัง

สุดท้ายแล้ว ...warren buffett เค้าก็บอกว่า ให้เรามองที่ กิจการ เพราะเราเป็นนักวิเคราะห์กิจการ&ธุรกิจ

ไม่ได้บอกให้ไม่ให้ดู macro economic นะครับ
แต่ต้องดูอย่างมีสติ

ใน ชนะอย่างเต่า ดร.ก็พูดเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจ
ท่านว่า ถ้าอยากเห็นเศรษฐกิจดีๆ ให้ดูที่จีน

GDP จีนโตมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่บริษัทในจีนก็ไม่ได้ดีซะทุกบริษัทใช่ไหมครับ

เพราะอย่างนี้ เราถึงหาโอกาสการลงทุน ที่มี Margin of safety ได้เรื่อยๆ หากเราดูที่กิจการ และเรารู้จักรอคอย

ทั้งรอคอยที่จะไม่ขายหุ้น ถ้าเหตุผลที่ซื้อหุ้นนั้นยังไม่หมดไป หรือยังไม่พบหุ้นที่ดีกว่า หรือหุ้น over value มากๆแล้ว

และรอคอยที่จะไม่ซื้อหุ้น ถ้ามันยังไม่เข้า criteria ของเรา

มีสติ และมีความสุขในการลงทุนนะครับผม  :D

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 03, 2009 12:43 am
โดย sorawut
noooon010 เขียน:เพราะอย่างนี้ เราถึงหาโอกาสการลงทุน ที่มี Margin of safety ได้เรื่อยๆ หากเราดูที่กิจการ และเรารู้จักรอคอย

ทั้งรอคอยที่จะไม่ขายหุ้น ถ้าเหตุผลที่ซื้อหุ้นนั้นยังไม่หมดไป หรือยังไม่พบหุ้นที่ดีกว่า หรือหุ้น over value มากๆแล้ว

และรอคอยที่จะไม่ซื้อหุ้น ถ้ามันยังไม่เข้า criteria ของเรา

มีสติ และมีความสุขในการลงทุนนะครับผม  :D
:cool:  :cool:  :cool:

ส่วนตัวพยายามไม่เอาเงินใหม่ลงทั้งหมด และก็ไม่เอาเงินเก่าออกครับ

ถ้ามันลงอีกก็มีเงินมาเติม แต่ถ้าขึ้นก็ไม่เสียโอกาสครับ :wink:

ถ้าใคร port ยังว่างก็รีบๆหาหุ้น หาความรู้ และทำความเข้าใจในหุ้นตัวนั้นเร็วๆหน่อย โอกาสอย่างนี้หลายสิบปีมีครั้ง :8)

และที่สำคัญ ต้อง under value (ยิ่งมากยิ่งดี)

Re: ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 03, 2009 8:23 am
โดย beammy
naijan เขียน:ต่างชาติเข้าซื้อหลายวัน วอร์ลุ่มเริ่มมาแล้ว และสถานการณ์ต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศ เริ่มปรากฏข่าวดีให้เห็นบ้างแล้ว หุ้นขึ้นกันทั้งโลก เริ่มเป็นขาขึ้น(เข้าสู่ภาวะกระทิงเด็กๆ)แล้วใช่ไหมครับ เพื่อนคิดว่าไงครับ ถือเต็มพอร์ตได้หรือยังครับ
:lol:
โลกมองว่าวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้อาจจะฟื้นตัวเร็วกว่าที่คิด
ก้อเลยดักซื้อหุ้นไว้ ครับ

คำว่า "มองว่า" เป็นเพียงแค่การคาดการณ์ครับ
ผมรอให้มีสิ่งที่ยืนยันก่อนดีกว่าว่ามันฟื้นตัวแล้วจริงๆ
ซื้อไว้อาจได้กำไรน้อยกว่า แต่ความเสี่ยงก้อลดลง ครับ

ปอลิง อะไรที่ under value ก้อซื้อได้ครับ ไม่ว่าวิกฤตหรือไม่วิกฤต  :8)

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 03, 2009 9:11 am
โดย chavanakorn
โดยส่วนตัวผมว่า ตลาดหุ้นบ้านเรามักอิงกับการซื้อสุทธิของต่างชาติมากเกินไป ซึ่งบางทีแล้วเค้าก็ไม่ได้ซื้อตามปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจเลยด้วยซ้ำ ดูอย่างดัชนีดาว์นโจนส์ในอเมริกา แค่เพียงมีผู้บริหารออกมาให้ข่าวว่าสองเดือนที่ผ่านมาบริษัทเค้ามีกำไร ดัชนีก็ขึ้นทันที ดังนั้นแล้วถ้าเรามองแต่แรงซื้อ แรงขายของต่างชาติ อย่างเดียวโดยถือว่ามันเป็นสัญญาณ เราอาจจะถูกสัญญาณนั้นทำร้ายเราได้นะครับ ซึ่งบางทีผมว่าเราดูปัจจัยพื้นฐานเป็นตัวบริษัทต่างๆจะดีกว่า อย่างเช่นบริษัทที่ดีในอุตสาหกรรมที่ไม่เติบโตมาก แต่บริษัทมี Margin สูง ต้นทุนการดำเนินงานต่ำ มี Market share ในตลาดสูง มีการขายเป็นเงินสดส่วนใหญ่ บริษัทพวกนี้ก็น่าจะผ่านพ้นอุปสรรคในภาวะเศรษฐกิจไม่ดีไปได้ ขอให้ทุกคนใช้สติในการลงทุนนะครับ :oops:  :oops:  :oops:

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 03, 2009 9:49 am
โดย pavilion
มติG20อัดฉีด $1.1ลล.กู้ศก.โลก
มติที่ประชุม G 20 อัดฉีดเงิน $1.1ล้านล้านกู้เศรษฐกิจโลก เพิ่มทุนให้ IMF อีก $5 แสนล้านช่วยปท.ที่ประสบปัญหา

การประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม G20 ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว โดยที่ประชุมสนับสนุนให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มีบทบาทเป็นแกนนำในการรับมือกับวิกฤตการเงินและวางระเบียบควบคุมระบบการเงินโลก ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติอัดฉีดงบประมาณรวม 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อคลี่คลายวิกฤตการณ์การเงินและยับยั้งเศรษฐกิจโลกจากภาวะถดถอย ซึ่งครอบคลุมถึงการอัดฉีดเงินทุนให้กับ IMF เพิ่มอีก 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมกับเงินทุนก้อนเดิมเป็น 7.5 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือประเทศที่เผชิญกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงิน
         

นอกจากนี้ ที่ประชุม G20 ยังเตรียมทุ่มเงินถึง 2.5 แสนล้านล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นการค้าโลกในระยะ 2 ปี โดยเงินจำนวนดังกล่าวจะนำไปใช้เป็นสินเชื่อเพื่อการส่งออกและการลงทุน รวมถึงอัดฉีดให้กับธนาคารเพื่อการลงทุนระดับภูมิภาค                
         

ที่ประชุม G20 ยังเปิดทางให้ IMF ปล่อยกู้เงินยืมฉุกเฉินให้กับตลาดทุนทั่วโลกในกรณีที่จำเป็น ขณะเดียวกัน นายกอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษระบุว่า กลุ่ม G20 กำลังพิจารณาให้ IMF ขายทองคำในคลังสำรองเพื่อระดมทุนในการช่วยเหลือประเทศยากจน อย่างไรก็ตาม กลุ่ม G20 ยังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ
         

ในส่วนของมาตรการควบคุมระบบการเงินนั้น ที่ประชุม G20 มุ่งเน้นเรื่องการตรวจสอบกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ ผ่านการจัดตั้งหน่วยงานตรวจสอบเฉพาะ และยังหารือกันเรื่องการควบคุมแหล่งฟอกเงินและเลี่ยงภาษี  ซึ่งในประเด็นนี้ นายอลิสแตร์ ดาร์ลิง รัฐมนตรีคลังอังกฤษเตือนว่าประเทศที่เป็นแหล่งฟอกเงินและเลี่ยงภาษีจะเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรจากกลุ่ม G20 อย่างแน่นอน
         

นายโดมินิก สเตราส์-คาห์น ผู้อำนวยการ IMF กล่าวในที่ประชุมว่า เศรษฐกิจโลกคงฟื้นตัวได้ยากหากไม่มีการแก้ไขปัญหาในภาคการเงินและการธนาคารอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับแสดงความชื่นชมสหรัฐที่รุกคืบใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเห็นด้วยกับยุโรปที่มุ่งเน้นการจัดระเบียบควบคุมในระบบการเงิน อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการ IMF มองว่าทั้งสหรัฐและยุโรปยังแก้ไขปัญหาในระบบการเงินได้ไม่รวดเร็วพอ
         

ด้านประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐ ได้แสดงความพอใจต่อผลการประชุม G20 โดยกล่าวว่าการที่ผู้นำในที่ประชุมมีความเห็นพ้องต้องกันในประเด็นหลักๆที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการพลิกฟื้นเศรษฐกิจโลกนั้น ทำให้การประชุม G20 ครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ และกล่าวด้วยว่าวิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งนี้นำมาซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญทั้งในด้านความร่วมมือและการใช้มาตรการเชิงรุกครั้งใหญ่ นอกจากนี้ โอบามากล่าวชื่นชมผู้นำกลุ่ม G20 ที่ร่วมกันต่อต้านนโยบายกีดกันทางการค้า และสามารถประสานความแตกต่างทางความคิดให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้
         

ขณะที่ผู้นำเยอรมนีและฝรั่งเศสก็แสดงความพอใจกับการประชุมครั้งนี้เช่นกัน โดยนายนิโคลาส์ ซาร์โกซี ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ซึ่งก่อนหน้านี้เคยขู่ว่าจะวอล์คเอาท์ออกจากที่ประชุมหากผลการประชุมออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจ กล่าวว่า เขารู้สึกพอใจกับผลการประชุมครั้งนี้เป็นอย่างยิ่งและเป็นผลการประชุมที่เหนือความคาดหมายของเขา พร้อมกล่าวว่า ยุคสมัยที่การดำเนินงานของธนาคารและสถาบันการเงินต้องเป็นความลับและไม่สามารถตรวจสอบได้นั้น ควรจะจบสิ้นลงแล้ว
         
คิดว่าพอช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้บ้างไหมครับ

490

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 04, 2009 10:19 am
โดย naijan
ไตรมาส2ไกลสุด490จุด
วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2552

โพสต์ทูเดย์ ทรีนีตี้คาดไตรมาส 2 เกิดปรากฏการณ์หุ้นฟื้นท่ามกลางภาวะหมีซึม ลากดัชนีถึง 490 จุด เพิ่มอีก 44 จุดจากตอนนี้ เชียร์พลังงาน ปิโตรเคมี

นางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปะชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ตามสถิติภายหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจทุกครั้ง จะเกิดภาวะหุ้นฟื้นท่ามกลางตลาดหุ้นอยู่ในภาวะหมี (Bear Market Rally) เหมือนกับในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ดัชนีหุ้นแตะระดับต่ำสุดที่ 207.4 จุด ในเดือนก.ย. 2541 หลังจากนั้นตลาดเข้าสู่ภาวะฟื้นตัวท่ามกลางภาวะหมี โดยในช่วง 9 เดือนดัชนีหุ้นเพิ่มขึ้นเกือบ 350 จุด หรือ 70% ขึ้นไปแตะที่ระดับ 551 จุด หลังจากนั้นก็ปรับตัวลดลง
สำหรับวิกฤตรอบนี้คาดว่าจะเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว โดยในช่วงไตรมาส 2 นี้ดัชนีมีโอกาสขึ้นทดสอบ 490 จุด เพราะนักลงทุนเริ่มมีความคิดว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยนั้นเริ่มลดความรุนแรงลง และรัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง

ภาวะหุ้นฟื้นท่ามกลางภาวะหมีในรอบนี้อาจไม่ได้ลากยาวถึง 9 เดือนเหมือนปี 2540 ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงจากโลกาภิวัตน์ การรับรู้ข่าวสารที่รวดเร็ว ดังนั้นในไตรมาส 3 ดัชนีน่าจะอ่อนตัวลงและแตะระดับต่ำสุดของปีที่ระดับ 391 จุด และค่อยไปฟื้นตัวในไตรมาส 4 ซึ่งขึ้นไปสูงสุดของปีที่ระดับ 590 จุด

ดังนั้น ในไตรมาส 2 นี้ทางฝ่ายวิจัยมองว่าควรเพิ่มน้ำหนักหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี เช่น บริษัท ปตท. (PTT) บริษัท บางจากปิโตรเลียม (BCP) บริษัท ไทยออยล์ (TOP) และสินค้าโภคภัณฑ์อื่น เช่น บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) เป็นต้น

สำหรับกลุ่มธนาคารพาณิชย์นั้น ให้น้ำหนักเท่ากับตลาดในช่วงไตรมาส 2 และลดน้ำหนักลงต่ำกว่าตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะมีความกังวลว่าสินเชื่อจะไม่เติบโต ขณะที่จะมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เพิ่มขึ้น คาดว่าปีนี้ทั้งระบบจะอยู่ที่ 9% จาก 7% ในปีที่ผ่านมา

ด้านหุ้นวานนี้ ตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น ตามดัชนีดาวโจนส์ที่เพิ่มขึ้น 216.48 จุด หรือ 2.8% ปิดที่ 7,978 จุด รับผลดีประชุม จี20 ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยบวก 3.08 จุด ปิดที่ 446.04 จุด มูลค่าซื้อขาย 14,063 ล้านบาท โดยต่างชาติซื้อสุทธิเกือบ 2,000 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=40971

net buy

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 04, 2009 11:04 am
โดย naijan
Foreign... net buy ...+2,298 ล้านบาท
fund flow...เข้าไทยต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สาม
set index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.19%
แต่ underperform หลายตลาดในเอเชีย

PER ตลาดปัจจุบันอยู่ที่ 11.48 เท่า
Foreign สะสม long open tfex  อย่างต่อเนื่อง
หุ้นที่ foreign เพิ่มการถือครองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา...
หุ้นที่ foreign ลดการถือครองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา...
Foreign net buy เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน...
แหล่งข้อมูลที่นี่ครับ
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 00742.html

Re: ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 04, 2009 8:48 pm
โดย tum_H
beammy เขียน: คำว่า "มองว่า" เป็นเพียงแค่การคาดการณ์ครับ
ผมรอให้มีสิ่งที่ยืนยันก่อนดีกว่าว่ามันฟื้นตัวแล้วจริงๆ
ซื้อไว้อาจได้กำไรน้อยกว่า แต่ความเสี่ยงก้อลดลง ครับ
อย่างที่ว่า เป็นเพียงแค่การคาดการณ์ พอตลาดวิ่งขึ้นเหตุผลดีๆก็จะมาเต็มเลย
พอหุ้นตก เรื่องปวดหัวก็เพิ่มขึ้นมาไม่หยุดหย่อน

วิ่งตามเขา หากลืมใส่รองเท้า ก็อาจเจ็บเท้าได้

อย่างที่คุณนุ่นว่า ซื้อ ตามพื้นฐานของกิจการ น่าจะสบายใจที่สุด

:D

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 05, 2009 10:19 pm
โดย Flashy
ไม่รุ ไม่ชิ
ผมดูที่ อีกอย่างน้อยถึง 3 ปีข้างหน้าจะเปนไง ใครน่าจะรุ่งไปเรื่อยๆ
เน้นดูที่กิจการเป็นหลัก ตอนนี้หุ้นก็ถูกแล้วนะ

ปล. บอกผมที คิดอย่างนี้ผิดมหันต์รึเปล่า

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 07, 2009 10:32 am
โดย sunrise
Flashy เขียน:ไม่รุ ไม่ชิ
ผมดูที่ อีกอย่างน้อยถึง 3 ปีข้างหน้าจะเปนไง ใครน่าจะรุ่งไปเรื่อยๆ
เน้นดูที่กิจการเป็นหลัก ตอนนี้หุ้นก็ถูกแล้วนะ

ปล. บอกผมที คิดอย่างนี้ผิดมหันต์รึเปล่า
มาถูกทางแล้วครับ
เราไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแม่นยำหรอกว่าตลาดจะขึ้น หรือ ลง
ไปถึงไหน

แต่ธุรกิจเราสามารถคาดเดาได้ โดยดูภาพรวมของตัวธุรกิจเอง
มาถูกทางแล้วครับ ผมขอย้ำ  :wink:

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 07, 2009 4:24 pm
โดย nw108
:D
 

     ซื้อเพิ่มตลอด ไม่ได้สนใจว่า set จะไปทางไหน

สนใจว่าตัวที่มองราคาโดนใจหรือยัง

:B  


     ,

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 07, 2009 10:38 pm
โดย CEO
อ้าว ผมเพิ่งรู้ครับ
แต่ผมก็เคาะขาทั้งวันเลยวันนี้ มันสะใจดีจริงๆ

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 07, 2009 10:45 pm
โดย pavilion
ขึ้นเลย แดงมา  :!:  ขาขึ้นไปอยู่บนหน้าผากแล้วครับ

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 08, 2009 10:50 pm
โดย haruti
ช่วงเดือน เม.ย.หุ้นจะขึ้นแทบทุกปีเลยครับ ลองหาสถิติย้อนหลังก็ได้แต่พอเดือนหน้า ก็จะมีแนวโน้มซึมๆ ถ้าจะบอกว่า เก็งเรื่องผลประกอบการไตรมาส 1 พอข่าวออกก็ขาย
ก็ต้องมาดูว่า ทิศทางหุ้นตัวไหน จะมีผลประกอบการเป็นบวก จาก q4 ของปีที่แล้ว
ดูแล้วน่าจะเป็นกลุ่ม น้ำมัน ส่วน bank ไม่น่าใช่
ถ้าเป็นตาม การคาดการณ์ เราๆท่านๆ รวมถึงนักวิเคราะห์ ก็จะมีกระแส...หุ้นน้ำมันอีกครั้ง....จากนั้น เขาก็ขายๆๆๆเราก็ซื้อๆๆๆ
เป็นอย่างนี้หรือเปล่า....ลองติดตาม กันเดือนหน้านะครับ :wink:

ตลาดต่างประเทศ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 10, 2009 9:44 am
โดย naijan
อิจฉาตลาดต่างประเทศจังครับ ดูเหมือนจะฟื้นตัวอย่างตัวเนือง แต่ตลาดหุ้นบ้านเรากลับเจอพวกป่วนเมืองกดดัน จนดูเหมือนไม่ไปไหน คนยังไม่มีหุ้นก็ดีไปมีโอกาสเก็บของถูกๆต่อเนื่อง แต่คนที่มีหุ้นอยู่เต็มพอร์ตนอนไม่หลับครับ มันไม่ใช่กังวลแค่ผลทางจิตวิทยาหรอกครับ แต่หากสภาพการณ์แบบนี้ไปเรื่อยๆมันจะบั่นทอนภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย แล้วบริษัทที่เราลงทุนก็คงหนีไม่พ้นที่จะได้รับผลกระทบไปด้วย

Re: ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 10, 2009 3:26 pm
โดย Jimmy
อย่างที่ว่า เป็นเพียงแค่การคาดการณ์ พอตลาดวิ่งขึ้นเหตุผลดีๆก็จะมาเต็มเลย
พอหุ้นตก เรื่องปวดหัวก็เพิ่มขึ้นมาไม่หยุดหย่อน

วิ่งตามเขา หากลืมใส่รองเท้า ก็อาจเจ็บเท้าได้

อย่างที่คุณนุ่นว่า ซื้อ ตามพื้นฐานของกิจการ น่าจะสบายใจที่สุด

:D
เห็นด้วยครับ ดูจากตอนนี้ในประเทศก็ไม่ดีมีแต่ต่างประเทศที่ดี ขึ้นอย่างนี้น่ากลัวจริง ๆ

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 10, 2009 4:42 pm
โดย Amadeus
เริ่มคิดเป็นจริงเป็นจังแล้วว่า ขาขึ้นจิงอ่ะป่าว อิอิ

เงินบาทแข็งขึ้นนิดหน่อยไหม เงินไหลเข้ามาจริงหรือ

หรือเงินที่ขายแล้วยังไม่ได้ขนออกกลับมาซื้อใหม่

วันนี้เหมือนซื้อระบายอารมณ์เลย หลังจากอั้นมาหลายวัน

แต่อัตราการว่างงาน ต่างประเทศยังไม่หยุดเลยนี่นา

ตัวเลขส่งออกก็คาดว่าจะแย่กว่าเดือนกพ.

มองแล้วยังไม่เห็นสัญญาณบวกเลย

คำถามที่ยังตอบไม่ได้อีกมากมาย (ไม่รวมการเมืองที่คาดเดาไม่ได้)

ไหนลองแชร์ความเห็นกันหน่อยเป็นไงครับ ใครมีหลักการอะไรลองเอามาจับดู
คุ้นๆว่า มีเซียนฟันโฟลว์ อยากให้ลองเข้ามาแชร์กันครับ :)

ต่างชาติยังซื้อต่อเนื่อง

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 11, 2009 11:05 am
โดย naijan
ต่างชาติยังซื้อเพิ่มอีก รวมเม.ย.52 ซื้อสุทธิต่อเนื่อง 5,292 ล้านบาทแล้ว
:lol:  :lol: http://www.kimeng.co.th/thai/cuminv.asp

กราฟทางเทคนิคเริ่มสวย
:lol:  :lol: http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 29336.html

แต่เจอบรรยากาศเมื่อเช้าแก็งค์เสื้อแดงป่วนเมืองพัทยา แล้วเซ็งเลย
:cry:  :cry:
http://breakingnews.nationchannel.com/r ... sid=374214

ไม่แน่เสียแล้ว

โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 13, 2009 4:58 pm
โดย naijan
ณ.เวลานี้อาจจะไม่แน่เสียแล้วครับว่าจะขาขึ้นกำลังจะมา สถานการณ์เปลี่ยนไปพอสมควร ต่างชาติกำลังจะเปลี่ยนลดเกรดประเทศไทย งานนี้การท่องเที่ยวหรือเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวท่าจะโดนหนักกว่าเพื่อน เจอสามเด้งเต็มๆ เด้งที่1เสื้อเหลือง, เด้งที่2เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำ เด้งที่สาม เสื้อแดง
 งานนี้นักลงทุนไทยคงได้แต่มองหุ้นต่างชาติเขียว แต่ตรงกันข้ามกับหุ้นบ้านเรากับแดงและซึมยาว
 แต่อาจะดีต่อนักลงทุนที่พอร์ตเล็กและยังถือเงินสดเต็มมือที่จะค่อยๆทะยอยซื้อเก็บไปเรื่อยๆ...
 ใครที่เต็มพอร์ตแล้วก็เศร้าไปตามระเบียบ...

good news

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 17, 2009 10:43 am
โดย naijan
ข่าวดีจากประเทศต่างๆทั่วโลกเริ่มปรากฏให้เห็นถี่ขึ้นเรื่อยๆแล้ว


เศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณฟื้นตัวในไตรมาสนี้ หลังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มเห็นผล

http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

500

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 18, 2009 10:23 am
โดย naijan
เป้า500สูงเกินไป
วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2552

โพสต์ทูเดย์ โล่งอก! หุ้นไม่ดิ่งหลังการเมืองเดือด ปิดบวก 3 ตามเพื่อนบ้าน ต่างชาติขายจิ๊บจ๊อย เอ็มเอฟซีเล็งหดเป้า ดัชนีหุ้นปีนี้เหลือต่ำกว่า 500 จุด

ผลงานโตไม่ถึงเป้า20% วานนี้ตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนสูง ดัชนีแกว่งขึ้นลงเกือบ 10 จุด เหมือนวันก่อน โดยเปิดตลาดบวกตามต่าง  

ประเทศ แต่ระหว่างวันมีแรงขายทำกำไรกดให้อ่อนตัวลงมาติดลบ และภาคบ่ายมีแรงไล่ซื้อหุ้นพลังงานกลับอีกรอบ ผลักดันให้ตลาดบวก 3.83 จุด ปิดที่ 456.80 จุด มูลค่าซื้อขายหนาแน่น 20,452 ล้านบาท โดยต่างชาติขายสุทธิน้อยลงเพียง 276 ล้านบาท ไม่มากเหมือนวันก่อนหน้าที่ขายมากกว่าซื้อกว่า 2,600 ล้านบาท ขณะที่รายย่อยได้โอกาสขายทำกำไร ส่วนสถาบันในประเทศช้อนเก็บ 675 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=42964

จากนี้มีgap ให้ขึ้นอีก10เปอร์เซ็นต์กว่าๆเองเหรอ :cry:

ความเห็นส่วนตัวครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 18, 2009 3:26 pm
โดย greenman
วัฏจักรธุรกิจเป็นช่วงขาขึ้นเร็วไปหรือไม่ lag time จากมาตรการภาครัฐ (G) ควรจะต้องมีบ้าง

bull or bear or blur

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 21, 2009 11:24 am
โดย naijan
Bull or Bear or Blur

รายงานโดย :สุกิจ อุดมศิริกุล: วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2552

สวัสดีครับ...ทุกท่าน สัปดาห์นี้ผมจะขอนำเสนอความคิดเห็นของผมเกี่ยวกับทิศทางของการลงทุนในตลาดหุ้น รวมถึงนำเอาความเห็นของทิศทางตลาดหุ้นโลกจากสื่อสิ่งพิมพ์ชั้นนำจากต่างประเทศมานำเสนอให้ทุกท่านได้ทราบ

เริ่มต้นที่ตลาดหุ้นไทย คงต้องยอมรับครับว่าเก่งมากสำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์แดงเดือด เนื่องจากทั้งดัชนีราคาหุ้น และมูลค่าการซื้อขายทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบหลายเดือน ซึ่งดูเหมือนจะไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจและความเสี่ยงทางการเมืองในปัจจุบันสักเท่าไหร่ ซึ่งผมเชื่อว่านักลงทุนหลายท่านก็อาจจะสงสัยในข้อนี้
สำหรับตัวของผมเองก็คิดเช่นเดียวกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นไทย ดังนั้น ผมจึงเร่งทำการบ้านในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา และก็ได้คำตอบที่ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้ โดยคิดว่าต้นเหตุสำคัญ คือ นักลงทุนสถาบันในประเทศกลับมาซื้อหุ้นคืน เนื่องจากถือเงินสดไว้มากก่อนหน้านี้ โดยหากพิจารณาจากมูลค่าซื้อสุทธิ (Net Buy) ในช่วงวันที่ 16-17 เม.ย. 2552 พบว่ามีมูลค่าเท่ากับ 1,660 ล้านบาท และเริ่มขายสุทธิวานนี้ 97 ล้านบาท ซึ่งเทียบกับมูลค่าขายสุทธิ (Net Sell) ในช่วงวันที่ 7-10 เม.ย. 2552 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเทศกาลวันหยุด พบว่ามีมูลค่าเท่ากับ 2,911 ล้านบาท ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ว่าการแก้ไขปัญหาความไม่สงบของรัฐบาล ที่สามารถจัดการได้เป็นอย่างดีเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้นักลงทุนสถาบันในประเทศกลับเข้ามาซื้อหุ้นคืน ซึ่งหากพิจารณาจากตัวเลขขายสุทธิข้างต้น ก็น่าจะมีโอกาสที่นักลงทุนสถาบันจะซื้อสุทธิได้อีกเพียงเล็กน้อย ในทางตรงข้ามนักลงทุนต่างประเทศมีมูลค่าซื้อสุทธิในช่วงวันที่ 7-10 เม.ย. 2552 เท่ากับ 2,674 ล้านบาท ส่งผลให้ในวันที่ 16-18 เม.ย.2552 มีมูลค่าขายสุทธิ ออกมา 2,947 ล้านบาท ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีการขายสุทธิออกมามากกว่าที่ซื้อสุทธิ ไปแล้ว สำหรับนักลงทุนรายย่อยในประเทศ เนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้ซื้อสุทธิ เพียง 237 ล้านบาท ส่งผลให้มีการกลับมาซื้อสุทธิเพิ่มอีก 1,287 ล้านบาท ในช่วงวันที่ 16-17 เม.ย. แต่เริ่มขายทำกำไรออกมาบ้างแล้ว

จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้ผมประเมินว่าภายในสัปดาห์นี้หากสมมติฐานของผมเป็นจริง นักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศน่าจะปรับพอร์ตการลงทุนเสร็จสิ้น ซึ่งจะทำให้ทิศทางของตลาดหุ้นและมูลค่าการซื้อขายลดลงอีกครั้ง

นอกจากสมมติฐานข้างต้น ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยด้านสภาพคล่อง ปัจจัยในเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ลดต่ำลงมาก จนทำให้นักลงทุนบางกลุ่มเริ่มกลับเข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนบรรยากาศการลงทุน และเพิ่มมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นในช่วงนี้ แต่ทุกท่านต้องไม่ลืมนะครับว่าการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นจากการเก็งกำไรระยะสั้นนั้น สามารถเปลี่ยนภาพตลาดหุ้นได้ทันที หากนักเก็งกำไรรู้สึกว่ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

สำหรับมุมมองต่อตลาดหุ้นโลกนั้น ผมขอเรียนว่ามีทั้งมุมมองที่ Bullish และ Bearish ครับ โดยผมนำความเห็นจากหนังสือพิมพ์ The Asian Wall Street Journal ฉบับวานนี้มานำเสนอ ทั้งนี้ความแตกต่างของความเห็นนั้น ขึ้นอยู่กับการคาดการณ์เกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ แต่หากประเมินจากดัชนีความกลัว (CBOE VIX Index) ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนความผันผวนล่วงหน้าในตลาดหุ้นสหรัฐได้ปรับตัวลดลงจนอยู่ในระดับก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ Lehman Brother ล้มละลาย ทำให้ตีความได้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐขณะนี้มีเสถียรภาพมากขึ้น จึงส่งผลให้หุ้นสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้ว 24% จากจุดต่ำสุดของปีนี้

สำหรับมุมมองต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศนั้น ในฝ่ายที่ Bullish นั้น ให้ความเห็นว่า ภาคการเงินสหรัฐมีแนวโน้มฟื้นตัว เนื่องจากมูลค่าของสินทรัพย์ที่ด้อยค่าลงนั้นต่ำกว่าความเป็นจริง รวมถึงคาดว่าการบริโภคและการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินจะกลับมาปกติ ส่งผลให้เห็นว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2552 ของสถาบันการเงินในสหรัฐกลับมารายงานเป็นกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น (Citi $1,593 ล้าน Goldman $967 ล้าน JP 1,707 ล้าน) ปัจจัยดังกล่าวคาดว่าจะผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวแบบ V-Shape โดยคาดว่าการฟื้นตัวจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมิ.ย.-ต.ค. 2552

สำหรับฝ่ายที่ Bearish ต่อเศรษฐกิจสหรัฐนั้น ประเมินว่าตลาดสินเชื่อของสหรัฐจะไม่สามารถฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในขณะที่ประเมินว่าผลประกอบการของธนาคารที่ดีขึ้น เกิดจากการช่วยเหลือของรัฐบาลไม่ใช่มาจากความสามารถของธนาคารเอง นอกจากนี้ยังคงประเมินว่าความเสี่ยงเกี่ยวกับการที่บ้านจะถูกยึด การตัดหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นของสถาบันการเงิน และหนี้เสียบัตรเครดิตยังคงไม่ผ่านจุดต่ำสุด จะเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอีกครั้ง โดยประเมินว่าดัชนี S&P 500 มีโอกาสลดลงไปที่ระดับ 600 จุด จากปัจจุบันที่ 896 จุด จึงแนะนำให้ใช้โอกาสที่หุ้นขึ้นขายหุ้น

สำหรับความเห็นของผมนั้น ผมค่อนข้างไปทางด้าน Bearish ครับ โดยเชื่อว่าวิกฤตสถาบันการเงินและเศรษฐกิจรอบนี้จะไม่สามารถฟื้นได้เร็ว แต่ยอมรับว่าภาวะเศรษฐกิจเริ่มทรงตัวขึ้น และอาจผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดรอบหนึ่งไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ผมประเมินว่าตัวเลขเศรษฐกิจทั่วโลกในช่วงไตรมาส 2/2552 จะเริ่มส่งสัญญาณที่สับสนมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 1/2552 ที่ส่งสัญญาณการฟื้นตัว โดยเฉพาะในด้านอุปทาน ที่มีโอกาสกลับมาอ่อนแอ เนื่องจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ที่คาดว่าจะยังคงไม่แข็งแกร่ง ทั้งนี้คงต้องให้เวลาเศรษฐกิจในการปรับตัวเข้าสู่ภาวะสมดุลใหม่ หลังพื้นฐานของตลาดสินเชื่อและภาคอุตสาหกรรมมีการเปลี่ยนไป โดยผมประเมินว่าการลดลงของตัวเลขเศรษฐกิจและตลาดหุ้น จะไม่รุนแรงเหมือนในช่วงเกิดวิกฤต Lehman Brother ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นการลดลงจากภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ไม่ใช่เกิดจากภาคการเงินอย่างเดียว

สำหรับการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจนั้น ผมอยากจะขอเสนอให้ทุกท่านหันมาให้ความสำคัญกับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมมากกว่าการติดตามตัวเลข GDP เพียงอย่างเดียว เพราะผมประเมินว่าการประมาณการตัวเลข GDP ในปี 2552-2553 ค่อนข้างขาดความน่าเชื่อถือ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจกำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลง ซึ่งผมยังคงไม่เห็นภาพที่แท้จริงว่าพื้นฐานเศรษฐกิจโลกหลังวิกฤตในรอบนี้จะเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ผมคาดว่า ประเทศในกลุ่มเอเชียจะมีบทบาทต่อเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากวิกฤตในรอบนี้จบลง ดังนั้น จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นสถาบันวิจัยมีการปรับประมาณการ GDP หลายครั้งมากในปีนี้
http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=43446

ขาขึ้นแล้วใช่ไหม

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 21, 2009 8:31 pm
โดย tum_H
เงินตลาดเงินทะลักเข้าหุ้นดันดัชนีพุ่งแรง  
วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2552

หลากข่าวดีดันหุ้นไทยแรลลีตามต่างประเทศมีลุ้นรอบนี้ 520 จุด หลังพบกระแสเงินไหลออกจากตลาดเงินสู่ตลาดทุน

ตลาดหุ้นไทย วานนี้ พุ่งขึ้นสูงสุดเฉียด 15 จุด แถว 471 จุด ก่อนย่อมาปิดที่ 466.28 จุด เพิ่มขึ้น 9.48 จุด หรือ 2.08% มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 21,995.84 ล้านบาท แต่ต่างชาติยังคงขายสุทธิ 538 ล้านบาท โดยมีแรงซื้อทะลักเข้าหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ปตท. (PTT) ปิด 178 บาท บวก 5.33%
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการบล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า รอบนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแรลลีของตลาดหุ้นไทยจากก่อนหน้าตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิเอเชียได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแล้วเฉลี่ยกว่า 30% นับตั้งแต่ต้นเดือนมี.ค. ขณะที่หุ้นไทยเพิ่มขึ้นเพียง 10% เพราะมีปัญหาการเมือง โดยให้ระดับแนวต้านไว้ที่ 520 จุด

หุ้นวิ่งขึ้นเพราะมองว่าวิกฤตเศรษฐกิจถึงจุดต่ำสุดไปแล้ว และอาจมีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นเกาหลีและจีนมาไทย เพราะสองตลาดนี้ขึ้นไปกว่า 40% แล้ว นายไพบูลย์ กล่าว

นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ กล่าวว่า จากข้อมูลเจ.พี.มอร์แกน ระหว่างวันที่ 12-18 มี.ค. มีเงินไหลออกจากตลาดเงินเข้าสู่ตลาดทุนชัดเจน โดยบทวิเคราะห์ของกองทุน US Money Market มีเงินไหลออกถึง 30,404 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่กองหุ้น เช่น USEquity มียอดซื้อสุทธิ 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐ กองเอเชียยกเว้นญี่ปุ่นมียอดซื้อ 409 ล้านบาท และกองหุ้นละตินอเมริกา มียอดซื้อ 22 ล้านบาท

สาเหตุที่เงินไหลเข้าตลาดหุ้น เพราะอัตราดอกเบี้ยลงมาเกือบ 0% ทำให้นักลงทุนแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่า และราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำ

บล.ธนชาต ระบุว่า ผลสำรวจของบีเอ็นพีพาร์รีบาร์ พบว่าความกังวลของนักลงทุนน้อยลง ทำให้มีแรงซื้อหุ้นมากขึ้น และตั้งแต่เดือน มี.ค. มีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียมูลค่าสุทธิกว่า 5,250 ล้านเหรียญสหรัฐ

:lol:  :lol:  :lol:

improve

โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 22, 2009 12:24 pm
โดย naijan
ดัชนีเชื่อมั่นการลงทุนในไทย Q1/52 เพิ่มขึ้น  
วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552 11:52

ING เผยดัชนีเชื่อมั่นการลงทุนในไทย Q1/52 เพิ่มขึ้น แนวโน้มยังเน้นถือเงินสด ฮ่องกง-สิงคโปร์อยู่ในระดับต่ำที่สุด

ไอเอ็นจี กรุ๊ป เปิดเผยรายงานการสำรวจภาวะการลงทุนรายไตรมาสว่า ความเชื่อมั่นของการลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 65 ในไตรมาส 1/52 จาก 59 ในไตรมาส 4/51 แต่ลดลง 50% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยยังคงจัดอยู่ในระดับต่ำ (Pessimistic)
         
ขณะที่ฮ่องกงและสิงคโปร์มีดัชนีความเชื่อมั่นของการลงทุนในระดับต่ำที่สุด(Very Pessimistic) ในภูมิภาคเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) ในไตรมาส 1/2552 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นการลงทุนในประเทศจีนและอินเดีย เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นในไตรมาส 1/2552
         
นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บลจ. ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในไตรมาส 1/52 นักลงทุนไทยส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ยังอาจสั่นคลอนได้หากสภาพเศรษฐกิจในอนาคตตกต่ำลง ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการลดการจ้างงาน และการมีรายได้จากต่างประเทศลดลง สืบเนื่องจากการทรุดตัวของธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญของเงินตราต่างประเทศและการจ้างงาน
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=43668

improve

โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 22, 2009 12:27 pm
โดย naijan
ส.อ.ท.เผยดัชนีเชื่อมั่นอุตฯมี.ค.อยู่ที่ 69.4  
วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552 11:58

ส.อ.ท.เผยดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรมมี.ค.อยู่ที่ 69.4 จาก 63.0 ในก.พ. คาด 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 75.1 คาดส่งออกฟื้นตัวช่วงปลาย Q2/52 ทั้งปีติดลบไม่เกิน 10%

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมี.ค.อยู่ที่ 69.4 เพิ่มขึ้นจาก 63.0 ในเดือน ก.พ. เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งผลิตสินค้าเพื่อชดเชยการจำหน่ายในเดือน เม.ย.ที่มีวันหยุดต่อเนื่อง และมีการบริหารจัดการด้านต้นทน จึงทำให้ต้นทุนลดลง ซึ่งช่วยประคองธุรกิจให้อยู่รอดได้ ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองที่วุ่นวายอยู่ในขณะนี้
         
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ใน 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 75.1 เพิ่มขึ้นจากระดับ 73.0 ในเดือน ก.พ.เนื่องจากภาคเอกชนคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะได้ผล โดยเฉพาะมีการแจกเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท ที่จะมาช่วยสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศได้ในระดับหนึ่ง ตลอดจนการสต๊อกสินค้าของลูกค้าเริ่มลดลง จึงน่าจะช่วยทำให้คำสั่งซื้อจากตลาดทั้งในและต่างประเทศมีทิศทางปรับเพิ่มขึ้น
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=43669