หน้า 1 จากทั้งหมด 1
หนังสือ The Essential Buffett แก่นแท้ของบัฟเฟตต์
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 26, 2009 7:15 am
โดย เอก
ในนั้นเขียนว่าบัฟเฟตต์สนใจ"ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น" แต่ไม่สนใจ"กำไรต่อหุ้น" ลึกๆมันต่างกันยังไงครับสองตัวนี้
หนังสือ The Essential Buffett แก่นแท้ของบัฟเฟตต์
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 26, 2009 10:00 am
โดย SV2
ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น ROE บอกให้รู้ถึงความสามารถในการทำกำไร ยิ่งสูงยิ่งดี เช่นสูงกว่า 15 % และเมื่อดูย้อนหลังหลายปีจะยิ่งบอกถึงความสามารถในการทำกำไรที่มั่นคงถ้าตัวเลขมีแนวโน้มสูงขึ้น
แต่กำไรต่อหุ้นมีตัวแปรหลายตัวที่จะทำให้ตัวเลขเปลี่ยนแปลงไป เช่น มีการแตกพาร์ มีลูกหุ้นเข้าใหม่ ก็เหมือนว่ากำไรลดลง หรือแม้กระทั่งมีการซื้อหุ้นคืนก็ทำให้ต้วเลขดูดีขึ้น ทั้งๆที่การทำกำไรเท่าเดิม
ส่วนมากการดูกำไรต่อหุ้นมักนำไปสู่การเปรียบเทียบราคาหุ้นมากกว่า หรือดูค่า PE แต่บัฟเฟตต์ชอบดูธุรกิจมากที่สุด
หนังสือ The Essential Buffett แก่นแท้ของบัฟเฟตต์
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 26, 2009 10:42 am
โดย sathaporne
ผมว่า ROE หมายถึงความสามารถในการใช้ทรัพยากรส่วนที่ตัวเองเป็นเจ้าของหรือพูดง่ายๆว่า ใช้เงินของตัวเองได้มีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน
เช่น ROE = 15% หมายถึงว่าลงเงินไป 100ได้ผลตอบแทนมา15บาท ก็ถือว่าค่อนข้างสูง
บริษัทที่มี ROE สูงๆก็ยิ่งน่าสนใจที่เราจะเอาเงินไปร่วมลงทุนกับเขา --> เพราะมันแปลว่าเขาจะสามารถใช้เงินของเรา(ที่เอาไปร่วมลงทุนกับเขา)ได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลตอบแทนที่มากที่สุด
ส่วนกำไรต่อหุ้น มันไม่ได้บ่งบอกอะไรมากนักในเรื่องประสิทธิภาพในการใช้เงิน
บางครั้งกำไรต่อหุ้นอาจจะโตขึ้น แต่ก็อาจจะโตมาจากการที่ใช้เงินที่เพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่มากกว่าเดิม บริษัทอย่างนี้ก็คงไม่น่าสนใจ
เช่น เมื่อก่อนใช้เงิน 100 บาท ในการสร้างกำไร 15 บาท ผลตอบแทนก็คือ 15%
แต่ปีต่อมาอาจทำกำไรได้มากขึ้นคือ 20 แต่เป็นกำไรที่เกิดจากการใช้เงินไป 200 บาท
ในกรณีนี้ผลตอบแทนก็คือ 10%
จะเห็นว่าความสามารถในการสร้างผลตอบแทนลดลงจาก 15%-->10%
จะเห็นว่าประสิทธิภาพของเขาในการบริหารเงินของเราดูไม่น่าไว้วางใจ
อย่างไรก็ตาม อาจจะต้องดูรายละเอียดด้วยว่าทำไมมันลดลง
มันเป็นเพียงชั่วคราวเพียงปีเดียวหรือเปล่า เพราะบางทีอาจจะเป็นเพราะยอดขายอาจจะยังไม่ถึงจุดคุ้มทุนสำหรับเงินที่ลงไปใหม่
แต่ในระยะยาวแล้วก็จะกลับมาในระดับเดิมหรืออาจมากกว่านั้น
ด้วยประการฉะนี้เอง ที่บัฟเฟตเขาถึงให้ความสำคัญกับ ROE มากกว่ากำไรต่อหุ้น
หนังสือ The Essential Buffett แก่นแท้ของบัฟเฟตต์
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 26, 2009 11:12 am
โดย Quadrifoglio Verde
อ่านเหมือนผมเลยครับ... :lol: เท่าที่เข้าใจอย่างนี้นะครับ
คือต้องพูดว่า ไม่ถึงกับไม่สนใจกำไรต่อหุ้นเลยนะครับ แต่ว่าให้ความสำคัญมากกว่ากับ กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นน่ะครับ เพราะมันเป็นตัวเลขที่บ่งบอกว่าบริษัททำอะไรให้กับผู้ถือหุ้นบ้าง ซึ่งบัพเฟ็ตซีเรียสกับเรื่องตรงนี้มากกว่า ตัวเลขกำไรต่อหุ้นซึ่งเป็นเหมือนม่านบังตา เพราะว่าบริษัทส่วนใหญ่จะชอบปั่นกำไรต่อหุ้นมาอวดกันเพราะปั่นได้ง่าน พลิกแพลง ตลบแตลงได้ง่ายมาก
อย่างที่ในนั้นเขียนเอาไว้น่ะครับว่า กำไรต่อหุ้นสามารถ หมกหรือแอบซ่อนกำไรบางส่วนของปีก่อนเอาไว้ แล้วเอามารวมกับปี่ปัจจุบันได้ง่ายดายมากๆครับ เค้าว่าอย่างนั้น ทำให้บริษัทดูเหมือนจะมีกำไรได้ทุกปีๆ :shock:
หนังสือ The Essential Buffett แก่นแท้ของบัฟเฟตต์
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 26, 2009 11:49 am
โดย sorawut
Quadrifoglio Verde เขียน:อย่างที่ในนั้นเขียนเอาไว้น่ะครับว่า กำไรต่อหุ้นสามารถ หมกหรือแอบซ่อนกำไรบางส่วนของปีก่อนเอาไว้ แล้วเอามารวมกับปี่ปัจจุบันได้ง่ายดายมากๆครับ เค้าว่าอย่างนั้น ทำให้บริษัทดูเหมือนจะมีกำไรได้ทุกปีๆ :shock:
เอ... ถ้าบริษัททำแบบนั้นจริง ROE ก็ถูกบิดเบือนเหมือนกันนี่ครับ ไม่ใช่เฉพาะกำไรต่อหุ้น
หนังสือ The Essential Buffett แก่นแท้ของบัฟเฟตต์
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 26, 2009 1:39 pm
โดย Quadrifoglio Verde
ใช่ครับ และในนั้นก็ได้เขียนเอาไว้เหมือนกันว่า ROE ที่ดูจากหนังสือสรุปรายปี หรือตามแหล่งต่างๆ นั้นยังไม่ใช่ ROE ที่จะเอามาคำนวนกันให้เห็นถึงประสิทธิภาพของบริษัทในการให้ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นจริงๆ
ผมจะลองยกคำแปลในหนังสือมาให้คุณดูล้วนๆ โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงคำพูดเลยสักสองประโยค
" ในส่วนของบัพเฟตต์เขาให้ว่ากาไรต่อหุ้นเป็นม่านควัน บริษัทส่วนใหญ่เก็บกำไรในส่วนหนึ่งของปีที่แล้วเป็นกำไรสะสมซึ่งเป็นวิธีการในการเพิ่มฐานเงินทุนของบริษัทอย่างหนึ่ง"
" อย่างไรก็ตามการในการใช้อัตราส่วนนี้(ROE) เราจำเป็นจะต้องปรับหลายๆอย่าง ข้อแรก.หลักทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดทั้งหมดควรที่จะตีราคาที่ต้นทุนไม่ใช่ราคาตลาด เพราะว่ามูลค่าในตลาดหุ้นโดยรวมสามารถที่จะส่งผลกับผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ถ้าตลาดหุ้นขึ้นสูงมากในปีหนึ่ง มันจะเพิ่มความมั่งคั่งของบริษัท ผลการดำเนินงานที่โดดเด่นอย่างแท้จริงจากการดำเนินงานจะลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับตัวหารที่ใหญ่ขึ้น ในทางตรงกันข้ามราคาหุ้นที่ลดลงจะลดส่วนของผู้ถือหุ้นซึ่งหมายถึงผลการดำเนินงานธรรมดาๆ จะดูเหมือนดีกว่าที่เป็น
ข้อสอง. เราจะต้องควบคุมผลของรายการผิดปรกติที่อาจจะมีกับตัวตั้งของอัตราส่วนนี้ บัฟเฟตต์จะแยกกำไรหรือขาดทุนจากการขายหุ้น เช่นเดียวกับรายการพิเศษต่างๆ "
หนังสือ The Essential Buffett แก่นแท้ของบัฟเฟตต์
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 26, 2009 8:28 pm
โดย เอก
ขอบคุณนะครับสำหรับคำตอบเรื่อง EPS vs ROE ขอถามอีกเรื่องนะครับการประเมินมูลค่าหุ้นของบัฟเฟตต์ใช้เงินสดที่บริษัทสร้างขึ้นมาได้ตลอดช่วงอายุของบริษัทแล้วคิดลดด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม "สิ่งที่ยากที่สุดคือเวินสดที่บริษัทหาได้ตลอดอายุ" ถึงว่าคุณปู่วอเรนถึงได้ต้องเข้าใจธุรกิจที่ลงทุนอย่างชัดเจนจึงจะซื้อหุ้น เพื่อนๆมีใครใช้วิธีคิดลดแบบนี้มั้ยครับ
หนังสือ The Essential Buffett แก่นแท้ของบัฟเฟตต์
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 26, 2009 10:12 pm
โดย sorawut
เอก เขียน:ขอบคุณนะครับสำหรับคำตอบเรื่อง EPS vs ROE ขอถามอีกเรื่องนะครับการประเมินมูลค่าหุ้นของบัฟเฟตต์ใช้เงินสดที่บริษัทสร้างขึ้นมาได้ตลอดช่วงอายุของบริษัทแล้วคิดลดด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม "สิ่งที่ยากที่สุดคือเวินสดที่บริษัทหาได้ตลอดอายุ" ถึงว่าคุณปู่วอเรนถึงได้ต้องเข้าใจธุรกิจที่ลงทุนอย่างชัดเจนจึงจะซื้อหุ้น เพื่อนๆมีใครใช้วิธีคิดลดแบบนี้มั้ยครับ
ใช้ครับ แต่เงินไม่สดเท่าไร :lol: (NOPAT: Net Operating Profit After Tax)
หนังสือ The Essential Buffett แก่นแท้ของบัฟเฟตต์
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 26, 2009 10:38 pm
โดย sorawut
จากหนังสือ Warren Buffett and the Interpretation of Financial Statements: The Search for the Company with a Durable Competitive Advantage
(ห้ามพลาดนะครับ ยืมได้จากห้องสมุดมารวย ขนาดกระทัดรัด :lol:)
ในหนังสือเรียกการซื้อ Treasury Stocks ว่าเป็น Financial Engineering
ฉะนั้นก่อนประเมินเพื่อกรองหาบริษัทที่มี DCA ให้ + Treasury Stocks (ปกติเป็นลบ ให้แปลงเป็นบวกก่อน) กลับเข้าไปที่ส่วนของผู้ถือหุ้นด้วยครับ เพราะว่ามันทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยเกินความจริง
เช่น D/E จะทำให้ดูมีหนี้เทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น ซึ่งจริงๆแล้ว อาจจะไม่ได้ก่อหนี้เพิ่มขึ้นเลย