หน้า 1 จากทั้งหมด 1

จับฉ่าย กับ จับใหญ่

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 11, 2009 10:39 am
โดย areliang
ผมพยายามเปรียบเทียบว่าตลาดหุ้น คล้ายกับอะไร ก็เปรียบออกมาได้หลายๆอย่างหลายๆประเภทตามแต่คนจะใช้กันไปในทางต่างๆ

จากคนที่ผมรู้จักหลายๆคน ซึ่งมีอาชีพเป็นพ่อค้า ค้าขายเพื่อดำรงชีวิต บางคนขายของชิ้นเล็ก บางคนชิ้นใหญ่ บางคนขายของราคาแพง บางคนขายของราคาถูก แตกต่างกันไป งั้นมามองดูที่กำไรดีกว่าเพราะคือสิ่งที่ทุกคนที่ทำการค้าต้องการ ผมก็เลยมองไปที่คนขายของชิ้นเล็ก ก็เลยเริ่มไปมองที่น้อต ตัวเล็กๆมากมาย ขายปลีกที่ราคา 3 บาทต่อตัว ได้กำไรตัวละ 2 บาท โอ้โห๋ แปลว่าได้กำไร 66.66% จากราคาขายเชียวนะ หรือ 200% จากทุนเชียวนะ ซึ่งของชิ้นเล็กและเป็นของใช้ทั่วไปก็มีโอกาสขายได้บ่อยครั้ง และเรื่อยๆ งั้นขอชำเลืองของชิ้นใหญ่สักอัน เลยดูไปที่ตู้เซฟ ทำจากเหล็กเหมือนน้อตเลย ก็เลยถามคนรู้จักว่ากำไรได้เยอะมั้ย ด้วยว่ารู้จักกันเค้าเลยบอกว่า ถ้าขายแบบราคาทั่วไปนะ น่าจะได้กำไรราว 30% จากราคาขาย ตอนแรกฟัง โถ่ จอกว่ะ น้อต ที่เคยได้ยินมา ได้ตั้ง 66.66% ก็ลองคิดต่อ มองไปที่ป้ายราคาตู้เซฟ ขนาดกลางทั่วๆไปพอจะยกสินค้าไปเองได้ไม่ต้องขนส่ง ราคาใบละ 5,000 บาท 30% ก็เท่ากับ 1,500 บาท เฮ้ย น้อต 1 ตัวได้ 2 บาท ตู้เซฟ 1 ใบได้ 1,500 บาท งั้นแปลว่าขายปลีกน้อต 750 ตัวจะได้ 1,500 บาท ถึงจะเท่ากับขายตู้เซฟได้ 1 ใบ 750:1 แต่ตู้เซฟ ใครจะมาซื้อบ่อยๆจริงป่ะ ซื้อแล้วใช้ได้นานมาก น้อตเด่ะ เดี๋ยวทำนู้นทำนี่ก็มาซื้อแล้ว แต่ 750:1 เชียวนะ ถ้าขายปลีก 750 ตัว เราต้องเดินไปหยิบกี่ครั้ง ดูให้ลูกค้ากี่ครั้ง แต่ขายตู้เซฟ ขายลูกค้าคนเดียว อืม

เอาต่อ ถามคนขายเสื้อผ้าเหมือนกัน คนหนึ่งขายเสื้อผ้าชุดนักศึกษาทั่วไป ด้วยการที่เป็นคนรู้จักเค้าเลยบอกว่าได้กำไรราว 40-60% จากราคาขาย สมมุติสินค้าที่ราคา 160 บาท ก็จะได้ประมาณ 60 บาทต่อตัว เลยได้มีโอกาสถามอีกคน ขายเสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิง ก็ถามเค้าว่ากำไรเยอะมั้ย กี่% เค้าตอบว่าไม่รู้สิคิดยังไงล่ะ ก็นี่ตั้งขาย 800 บาท บางทีก็มา 150 บาทก็มี ฟังดังนั้นก็คิด 800-150=650 บาท (650/800)*100=81.25% โอ้โห๋แฮะ อย่างนี้ไม่กำไรอื้อเลยเหรอ แต่บางทีก็มีลูกค้าต่อราคากำไรก็ไม่ถึง วันนึงก็ไม่ได้ขายได้เยอะมากมายหรอก แต่ขายได้ไม่กี่ตัวก็อยู่รอดแล้วหักค่าเช่าค่าแรง แปลว่า ขายเสื้อแฟชั่นราคาแพง 1ตัว ได้กำไรเท่ากับขาย ชุดนักศึกษา 10 ตัว อืม

แต่แค่อัตรากำไรคงไม่พอ อีกอันนึงที่ต้องสนใจ คือยอดขาย เพราะกำไรมากแต่ขายไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ งั้นขอเป็นการสมมุติยอดขาย ถ้าจะเอาเดือนละ แสน ปีละ 1,200,000 บาท ถ้าขายน้อตตัวละ 3 บาทให้ได้ 1,200,000 คงเหนื่อยน่าดู 1.2ล้าน/3 = 4 แสนตัว ตู้เซฟ 1.2ล้าน/5000 =240ตู้ ชุดนักศึกษา 1.2ล้าน/160=7500 ตัว เสื้อ แฟชั่น 1.2ล้าน/800=1500 ตัว ก็ต้องคิดกันดูอันไหนทำได้ง่ายอันไหนยาก และพอได้ยอดขายก็หักค่าใช้จ่ายต่างๆก็เป็นกำไร และผมก็ไม่แน่ใจว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่กี่% เมื่อเทียบกับยอดขายต่อปี และการขยายสาขาของการค้าปลีกก็อาจจะมีขอบเขตที่จำกัดระดับหนึ่ง ทั้งเรื่องคน สถานที่ และอื่นๆ

เลยมามองดูตัวเอง ลงทุนหุ้น ฟังโทรทัศน์ไปเรื่อยๆได้ยินพิธีกรบางคนเรียกนักลงทุนหุ้นว่า นักค้าหุ้น เอ่ เหมือนพ่อค้ามั้ยเนี่ยคำว่านักค้าอ่ะ  งั้นถ้าเราโมเม มาเปรียบกัน หุ้นก็จะกลายเป็นสินค้าของผม แต่หุ้นนั้นแตกต่างจากสินค้าทั่วไปหลายแง่ เช่น สินค้าถ้าเป็นหุ้นนั้น ขอบเขตมูลค่ามันใหญ่มากจากตลาดหุ้นที่มีมูลค่าเป็นล้านๆบาท ดังนั้นเราสามารถลงทุนได้ที่หลายๆล้านบาท ข้อต่อมาผลตอบแทน ในรูปเงินปันผล สมมุติได้ 8% รวมเครดิตภาษีได้รวม 10% แปลว่าจะได้ 10% จากเงินลงทุน ซึ่งการลงทุนนี้จะไม่ค่อยมีค่าใช้จ่ายใดๆ เช่น ค่าเช่า ค่าเดินทาง และอื่นๆ นั่นแปลว่าจะได้กำไรสุทธิ 10% จากยอดขายซึ่งเท่ากับจำนวนเงินที่ลงทุน และเมื่อเกิด การกำไรในราคาหุ้น ก็เป็นส่วนเสริม และสามารถขายหุ้น ซึ่งเป็นสินค้าของเราออกไปได้ในตลาดหุ้น แปลว่าเมื่อเรามีเงินเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ก็ยังคงนำเงินไปลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเปรียบเป็นการเพิ่มยอดขายไปเรื่อยๆ

อืม ผมว่านี่เป็นวิธีการ จับใหญ่ ทีเดียว

ทั้งหมด เป็นเพียงแนวคิดอันหนึ่งของผม ไม่ได้หมายถึงสิ่งใดถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี นะครับ

จับฉ่าย กับ จับใหญ่

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 11, 2009 10:46 am
โดย por_jai
:8) จับฉ่ายก็มีของไหหลำ ของแต้จิ๋ว ของกวางตง
      จับใหญ่ก็มีหมอยง คุณปู่ เฮียวิ พี่แตงโม พระอาจารย์แม็ค
      มันมีแบ่งย่อยไปอีกนะ