รู้ทัน คนไร้ค่า (Dead Wood)
ดร.โสภณ พรโชคชัย ([email protected])
ในสังคมไทยทุกวันนี้ มีคนที่ดูดี เป็นผู้ดี มีธรรมะชูคออยู่มากหลาย คนเหล่านี้โดยมากจะพูดจารื่นหู ดูมีศาสนา แต่นั่นเป็นแค่เปลือกนอก ความจริงหลายคนเป็น คนไร้ค่า เป็นยิ่งกว่า ไม้แก่ดัดยาก คือมีสถานะคล้าย แตงเถาตาย หรือฝรั่งเรียกว่า Dead Wood (ไม้ที่ถูกตัดจากตอแล้ว) ไม่อาจเติบโตได้อีก ได้แต่รอวันเน่าเปื่อยไปมากกว่า
.
บุคคลไร้ค่าเหล่านี้ไม่ได้มีส่วนช่วยพัฒนาชาติ และอาจกีดขวางความเจริญ รวมทั้งยังอาจ กลายพันธุ์ ถึงขั้นทำลายชาติหากเพิ่มความเลวเข้าไปด้วย บทความนี้จึงมุ่งชี้ให้เห็นถึงวิธีสังเกตว่า คนไร้ค่า และคนชั่วนั้นเป็นเยี่ยงไร เพื่อว่าเราจะได้รู้ทัน ไม่ตกเป็นเครื่องมือของคนเหล่านี้ และไม่กลายเป็นคนเหล่านี้เสียเอง
.
.
ลักษณะ 8 ของคนไร้ค่า
.
บุคคลผู้เป็น คนไร้ค่า มักมีลักษณะสำคัญครบถ้วนทั้ง 8 ประการดังต่อไปนี้:
.
1. ชมชอบชอบเสพสุข (Hedonist) ในรูปแบบต่าง ๆ ในฐานะผู้ได้เปรียบในสังคม เช่น ไปเที่ยวโสเภณี (ราคาแพง) ชอบกีฬาแฟชั่นทั้งหลาย เป็นพวก นิยมวัตถุ ซึ่งต่างจาก วัตถุนิยม (materialism) ที่เป็นหลักปรัชญาที่ตรงข้ามกับ จิตนิยม (idealism) จะสังเกตได้ว่าพวกนี้รักสุขภาพสุดชีวิต กะจะมีชีวิตอยู่อย่างยาวนาน แต่น่าเสียดายที่เป็นได้แค่ แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน เพราะนอกจากเสพสุขแล้ว ก็แทบไม่ได้สร้างสรรค์อะไรเพื่อคนอื่น
.
2. ไม่ใฝ่ใจศึกษา: พวกเขามักเป็นคนที่ขี้เกียจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ บ้างก็ทำตัวเป็น ชาล้นแก้ว บางคนอาจทำการศึกษาแต่ใช้วิธีการ ยืมจมูกคนอื่นหายใจ ไม่ลงมือปฏิบัติเอง หรือเข้ารับการศึกษาโดยไม่ใช่เพื่อหาความรู้แต่เพื่อเข้าคลุกวงใน (networking) มากกว่า คนเหล่านี้มักเป็นพวก แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน ไม่ทันความรู้ใหม่ ๆ ยกเว้นการจำคำพูดคนอื่นมาคุยโตไปวัน ๆ
.
3. ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง: เมื่อไม่รู้จริง ก็มักเกลียด กลัวและต่อต้านการเปลี่ยนแปลงที่เป็นคุณต่อส่วนรวมแต่กระทบในทางลบต่อตนเอง กลัวตนเองจะหมดบทบาทในสังคมก้าวหน้า คนเหล่านี้มักเป็นผู้มีสถานะดีในสังคมหรือมีอาชีพน่ายกย่อง เช่น อาจารย์ แพทย์ หรือนักวิชาชีพชั้นสูงอื่น แต่ทั้งนี้ถือเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลไม่ได้เหมารวมยกเข่งทั้งวงการ คนไร้ค่า เหล่านี้แม้อยู่ในวงการศึกษาหรือวงวิทยาการชั้นสูง ก็ไม่ค่อยเปิดรับสิ่งใหม่ ถือตนว่ามีใบปริญญาบัตรแต่แท้จริงไม่ใช่ปัญญาชน เราจึงเห็นนักวิทยาศาสตร์ (ที่ทำงานแบบกลไกไปวัน ๆ ) ผู้กลับงมงายในไสยศาสตร์
.
4. ชอบทำดีเอาหน้า: ทั้งนี้เพื่อสร้างภาพหรือเพื่อลวงให้คนอื่นเข้าใจว่าตนเป็นคนดี จึงเป็นการทำดีแบบ ลูบหน้าปะจมูก ผักชีโรยหน้า หรือ ไฟไหม้ฟาง คล้ายกับพวกคุณหญิงคุณนายที่เที่ยวแจกของเพื่อให้ตัวได้รับเกียรติยศ แต่สังคมก็แทบไม่เคยดีขึ้นเพราะความดีฉาบฉวยดังกล่าว หากสังเกตให้ดี คนเหล่านี้บางคนไปร่วมกิจกรรมทำดีโดยไม่ออกเงินตัวเองสักบาท หรือออกเงินแต่น้อย (แต่ออกข่าวใหญ่โต) หรือใช้สถานะของตนเองไป ไถ เงินผู้อื่นมาทำดี อาจกล่าวได้ว่า ในความเป็นจริง คนเหล่านี้เป็นคนขี้เหนียว ไม่ใช่คนใจกว้างจริงแต่อย่างใด
.
5. มีความเป็นเจ้าขุนมูลนายสูง: ทั้งนี้คล้ายกับที่มักปรากฏในภาพยนตร์น้ำเน่าประเภท ผู้ดีตีนแดง ตะแคงตีนเดิน หรือ หนังจักร์ ๆ วงศ์ ๆ บุคคลที่ชอบทำตัวเป็นเจ้าขุนมูลนายเช่นนี้ มักทำไปเพื่อลบปมด้อยของการเป็นคนระดับล่างในอดีต หรือหวังยกระดับตนเองให้มีฐานะดูเหนือผู้อื่น หรือเป็นพวกจมไม่ลง คนเหล่านี้มีความชมชอบที่จะให้คนอื่นยกย่อง เอาใจ และมักเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง (self-centredness) ซึ่งแสดงว่าคนเหล่านี้ไม่คิดถึงใครอื่นอีกเลย
.
6. สยบยอมต่อผู้มีอำนาจ: ในขณะที่ตัวเองมีความเป็นเจ้าขุนมูลนายสูงมาก แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มักเป็นคนสยบยอมกับผู้มีอำนาจเหนือกว่าโดยดุษฎี การนี้แสดงว่าคนเหล่านี้ยินดี เลีย หรือทำงานด้วยลิ้น เพื่อหวังให้ตนเองได้ก้าวหน้าในธุรกิจหรือการงาน และหากจำเป็นจริง ๆ คนเหล่านี้ไม่ว่าเพศใด ก็อาจยินดีเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตน คือนอกจาก พายเรือให้โจรนั่ง แล้ว ยังยอมให้ โจรพายเรือให้ตนนั่ง (ประสบความสำเร็จโดย โจร สนับสนุน) เสียอีก ลองสังเกตในวงการรอบตัวเราให้ดีว่าเราพบตัวอย่างเช่นนี้อยู่บ้างหรือไม่
.
7. เฉยชากับความไม่เป็นธรรมโดยถือคติว่า ธุระไม่ใช่ หรือไพล่ไปโทษบาปกรรมแต่ชาติปางก่อน พวกเขาไม่ใช่คนประเภท ตัวสั่นทุกครั้ง (ทนไม่ได้) ที่เห็นความอยุติธรรม แต่อย่างใด พวกเขายินดีวาง อุเบกขา โดยถือคติ วัวเขาจะหาม อย่าเอาคานเข้าไปสอด พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง หรือ เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ กับเรื่องอะไรก็ตามที่แม้จะเสื่อมเสียศีลธรรมหรือผิดกฎหมายก็ตาม ตราบเท่าที่ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียผลประโยชน์
.
8. ชอบห่อหุ้มด้วยศาสนา: ทั้งนี้เพื่อใช้ศาสนาเป็นอาภรณ์หรือเครื่องมือโฆษณาให้ตนดูดี และเพื่อบำบัดความอ่อนแอทางจิตซึ่งอาจเป็นผลจากการทำบาป (อยู่เนือง ๆ) คนเหล่านี้เปลือกนอกดูสงบงาม พล่ามจริยธรรม ชอบชวนคนเข้าวัด แต่แท้จริงสุดรุ่มร้อน ลักษณะเด่นของคนเหล่านี้ก็คือ เสพติด การนั่งสมาธิ (แต่อย่าเข้าใจผิดว่าคนดีที่นั่งสมาธิเป็นคนเช่นนี้ไปด้วย) คือแทนที่นั่งแล้วจะเกิดความสงบ กลับยิ่งทำให้เห็นนิมิตต่าง ๆ และยิ่งเป็นการแบ่งชนชั้นมากขึ้นเพราะไปอ้างอิงถึงการสั่งสมบุญเก่าแต่อดีตชาติเพื่อข่มคนอื่น คนเหล่านี้มักไม่เอาแก่นศาสนา แต่มักเพี้ยนไปเน้นกระพี้ เช่น เรื่องพิธีกรรม ชาดก ไสยศาสตร์ ชาติก่อน-ชาติหน้า หรือเครื่องรางของขลัง เป็นต้น
.
.
รู้ทัน คนไร้ค่า
.
ในแง่ของพลังสร้างสรรค์ ใฝ่เรียนรู้ ใจกล้าหาญ คิดก้าวหน้า ออกแรงปฏิบัติหรือออกเงินหนุนนั้น พวก คนไร้ค่า ยังอาจมีสิ่งเหล่านี้น้อยกว่า ยัยแจ๋ว สาวฉันทนา ยามหน้าหมู่บ้าน หรือคนขับสามล้อ พวกเขามักกลัวการสูญเสีย เข้าทำนอง ตะปูตำเท้าตัวเดียว ก็ลืมโลกไปทั้งโลก (มัวแต่ร้องโอดโอยสงสารตัวเอง) การดำรงอยู่ของ คนไร้ค่า เหล่านี้จึงไม่ใช่ อยู่อย่างยิ่งใหญ่ ตายอย่างมีเกียรติ แต่เป็นพวก อยู่อย่างเหลวไหล ตายอย่างไร้ค่า เสียมากกว่า
.
ประวัติศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า คนไร้ค่า เหล่านี้ไม่ได้รักชาติจริง หรือรักชาติแต่ปากหรือรักตามแฟชั่นหรือตามคนอื่น ถ้าถึงคราวสิ้นชาติ เช่น ลาว เขมร และเวียดนามในยุคสงครามอินโดจีน พวกนี้แหละที่จะหนีไปก่อน เพราะพวกเขาเห็นว่าชีวิตของตนมีค่ามากกว่าจะเอามาทิ้งไว้ในแผ่นดินเกิด และคนที่จะยังอยู่สร้างชาติให้พวกนี้กลับมาตุภูมิ มาทำธุรกิจอีกครั้งหนึ่งก็คือสามัญชนคนธรรมดานั่นเอง
.
อย่างไรก็ตาม คนไร้ค่า เหล่านี้ มีอาการที่ตรงกันอย่างหนึ่งก็คือ มักจะ อับอายจนกลายเป็นโทสะ หรือ โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ อยู่เสมอ หากมีใครสามารถ จับได้ไล่ทัน หากสังเกตให้ดี พวกนี้ชมชอบที่จะใช้กลยุทธ์ พวกมากลากไป มีพิธีกรรม มีศัพท์แสงหรือวาทกรรมเฉพาะที่ดูดี ใครไม่เข้าสังคมในกลุ่มเช่นตน มักจะถูก โดดเดี่ยว
.
.
กลายร่างเป็น คนชั่ว
.
เมื่อพิจารณาถึงโอกาสและแนวโน้มแล้ว บุคคลข้างต้นอาจมีพัฒนาการขั้นสุดท้ายจนกลายเป็นคนชั่วที่สร้างความเสื่อมเสียต่อตนเองและคนอื่น หากเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองก็อาจทรยศและสร้างความวิบัติต่อประชาชน ทั้งนี้ คนไร้ค่า ข้างต้นจะต้องมีลักษณะอีกข้อหนึ่งคือ ร่วมขบวนการโกงกิน
.
โดยในกรณีบุคคลในภาคราชการ มีตัวอย่างเช่น พวกที่ ซื้อตำแหน่ง คนเหล่านี้มักฝ่าฟันสู่ตำแหน่งด้วยความชั่วร้าย เช่น ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน จึงมักไม่ละอายที่จะกอบโกยโดยไม่สมควร โกงประเทศชาติและประชาชน จะสังเกตได้ว่าในหน่วยราชการที่ไม่ค่อยมีผลประโยชน์ ลูกน้องไม่ต้องเอาใจนายมากนัก อย่างมากก็ถือคติ รับใช้นายจนพอแรง แต่ทำไมในส่วนราชการบางแห่ง ลูกน้องจึงต้อง เลีย นายแบบ เลี้ยงดูปูเสื่อ สุดชีวิต หากไม่ใช่เพราะหวังจะได้ผลประโยชน์มหาศาลที่ยินดีแลกด้วยการลดศักดิ์ความเป็นมนุษย์ของตนเองลง
.
ส่วนบุคคลในภาคเอกชนก็ได้แก่พวกที่อาศัยทำการค้าเอาเปรียบคนอื่น โดยได้รับสัมปทานด้วยการใช้เส้นสนกลในและการจ่ายใต้โต๊ะ บุคคลในภาพยนตร์เช่น อาเหลียง นั้น ไม่ใช่รวยล้นฟ้าเพราะการอดออมเป็นสำคัญ แต่เพราะสามารถได้ใบอนุญาตทำธุรกิจกึ่งผูกขาด และอาศัยเส้นสายทางการเมืองชิงความได้เปรียบ เหยียบหัวคู่แข่งอื่นอย่างไม่เป็นธรรมต่างหาก
.
อาจกล่าวได้ว่าคหบดีที่รวยปกตินั้น ต่างมาจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองเป็นสำคัญ แต่บุคคลผู้ร่ำรวยผิดปกตินั้น ต้องตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่าไปโกงเขามา ถ้าสืบประวัติดูแล้วบุคคลที่ร่ำรวยผิดปกตินั้นไม่ได้โกงมา ก็พึงตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่า พ่อเขาคงโกงมา หรือถ้าพ่อเขาไม่.โกงมา ก็คงเป็นปู่เขา (บุคคลรุ่น อาเหลียง โกงมา) เก่งบวกเฮง ไม่อาจส่งให้ใครรวยล้นฟ้าแต่อย่างใด
.
คนชั่วในภาครัฐและภาคเอกชนเหล่านี้แหละที่จะมารวมกันสร้างกลไกครอบงำประเทศ ทำให้ประเทศชาติเป็นที่ตักตวงผลประโยชน์ส่วนตัวในที่สุด
.
.
ส่งท้าย: ช่วยกันสังเกตหน่อย
.
คนที่ยังมีความหวังที่จะเป็นทรัพยากรของชาติ หรือเป็นผู้นำพาการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) นอกจากจะต้องพยายามขัดเกลาตัวเองให้มีคุณสมบัติที่ดีต่อไปแล้ว ยังพึงระวัง คนไร้ค่า และ คนชั่ว ในคราบคนดีเหล่านี้ที่อาจเขามากีดขวางหรือทำลายความเจริญของประเทศชาติ สิ่งที่พึงทำได้ก็คือ
.
1. คนหนุ่มสาว ต้องพิจารณาคนวัยกลางคนที่มีความเสี่ยงเป็น Dead Wood เช่นนี้
.
2. นักศึกษา ต้องจับตาดูอาการของอาจารย์บางคนที่อาจมีลักษณะเพี้ยนเช่นกัน
.
3. ยัยแจ๋ว ยัยเอี้ยง ยัยเอื้อง ต้องพิจารณาคุณผู้ชาย คุณผู้หญิงของตนเองไว้ให้ดี
.
4. ลูกน้องก็พึงสังเกต เจ้านาย ให้ดีว่าได้กลายร่างเป็นคนเช่นนี้หรือยัง
.
5. สามล้อ หรือ แท็กซี่ ต้องคอยดูและช่วยกันจับตาดูบุคคลประเภทนี้ในสังคม เป็นต้น
.
.
ช่วยกันรู้ทันและช่วยกันเปิดโปง และช่วยกันระวังไม่ให้ตนเองถลำลึกไปเป็น คนไร้ค่า เช่นนี้ อย่าลืมว่าเกิดมาต้องสร้างสรรค์ ต้องทำดีเพื่อชาติ ไม่ใช่เป็นสวะลอยน้ำไปวัน ๆ