Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ในการลงทุนแบบValueนั้น อย่างที่รู้ๆว่าถ้ามีความสามารถทางบัญชีก็ได้เปรียบ

ผมจบวิศวโยธามา แต่ลองทำงานแล้วไม่ชอบอย่างแรง(โดนเครนฟาดมา1ที เกือบตาย เหมือนพระเจ้าส่งนิมิตมาว่า เจ้าไม่เหมาะกับงานด้านนี้) ผมอยากเปลี่ยนไปสายการเงินมาก คิดว่าการเรียนเกี่ยวกับบัญชีน่าจะทำให้มีแต้มต่อ

บริหารก็ลังเลเพราะสงสัยว่ามันจะทำให้เกิดความสับสนกับแนวคุณค่ารึเปล่า เพราะสิ่งที่บัฟเฟตสอนกับสิ่งที่ตำราสอนมันขัดกันและทำให้งง


ถ้าเป็นท่านๆจะเรียนอะไรครับ ระหว่าง บริหาร บัญชี หรือไฟแนนซ์ หากจุดประสงค์ที่เรียนไม่ได้เพื่อสมัครงานแต่เพื่อลงทุนเอง

ถ้าเพื่อการลงทุน ไฟแนนซ์ น่าจะตรงสายกว่านะครับ เพราะจะเห็นภาพรวมการลงทุนได้ครบกว่า แต่ถ้าเรียนบัญชีโดยตรงน่าจะมองไปในส่วนของการบันทึกบัญชีมากกว่าอัตราส่วนทางการเงิน แต่ผมเรียนบัญชี รามอยู่นะครับ อิอิ  :lol:

เ้ห็นด้วยกับพี่ Sai คับ
ผมว่าเรียน Finance ตรงที่สุดคับ
ถ้าจะให้ดีต้องเรียน Econ เสริมด้วยคับ
รับรอง เมพขิงๆ :lol:  :lol:

สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุด
ผมว่านักลงทุนต้องมีวิสัยทัศน์คับ
อาจจะหาเรียนที่ไหนไม่ได้
เพราะมันต้องอาศัยประสบการณ์
และการอ่านหนังสือแนวธุรกิจเยอะๆ

[quote="sai"] แต่ผมเรียนบัญชี รามอยู่นะครับ อิอิ

ตอนนั้นกี่ปีมาแล้วไม่รู้ที่เกิดวิกฤต "ไฟแนนซ์ตายเกลื่อน"น่ะครับ ยังจำกันได้ไหม

เลยมีความเชื่อนิดๆว่า พวกนั้นมันเรียนไฟแนนซ์มาสูงส่งทำไมตายเกลื่อน แต่อย่างว่า มันอาจจะขึ้นกับตัวบุคคลก็เป็นได้

แล้วไฟแนนซ์นี่หลักๆมันสอนไรบ้างครับ

ผมรู้ว่าบัญชีสอน...เอ่อ... บัญชี(ชื่อมันก็บอกอยู่) อ่านบัญชี ลงบัญชี ดูความผิดปกติของบัญชี น่าจะพอได้ใช้

แล้วไฟแนนซ์มันสอนอะไรครับ

ผมคิดว่ามันไม่เกี่ยวหรอกครับ ว่า ใครกำหนดให้คุณต้องเรียนอะไร มันขึ้นอยู่กับตัวเราเองมากกว่า ว่าเรารักและศรัทธาในอาชีพของเราแค่ไหน ทุกๆอาชีพมันย่อมความเลวร้ายของตัวเองเสมอ หากเราบอกว่าเราเจอเรื่องเลวร้ายจากอาชีพหนึ่ง แล้วเราต้องเปลี่ยนอาชีพ อย่างนี้เราไม่ต้องเปลี่ยนอาชีพกันสามเวลาหลังอาหารเหรอครับ
คนเรามีความรู้หลายๆด้านเป็นสิ่งที่ดีมากครับ แต่สิ่งสำคัญ คืออย่างน้อยเราควรจะมีความรู้ด้านที่เราถนัดมากที่สุดติดตัวไว้
อาชีพการเงิน การธนาคารมันหอมหวนและสวยหรู เพราะคนอื่นคิดว่าเรา ทำงานกับเงินทอง ทั้งๆที่จริงมันไม่ใช่ของเราสักนิดเลย

Warantact เขียน: ผมจบวิศวโยธามา แต่ลองทำงานแล้วไม่ชอบอย่างแรง(โดนเครนฟาดมา1ที เกือบตาย เหมือนพระเจ้าส่งนิมิตมาว่า เจ้าไม่เหมาะกับงานด้านนี้)
ไม่ทราบว่าทำงานสาขานี้กี่ปีครับ ถึงได้มั่นใจว่าไม่เหมาะ
ผมอยากเปลี่ยนไปสายการเงินมาก คิดว่าการเรียนเกี่ยวกับบัญชีน่าจะทำให้มีแต้มต่อ บริหารก็ลังเลเพราะสงสัยว่ามันจะทำให้เกิดความสับสนกับแนวคุณค่ารึเปล่า เพราะสิ่งที่บัฟเฟตสอนกับสิ่งที่ตำราสอนมันขัดกันและทำให้งง
 เกิดความลังเลสงสัยแน่นอนครับ หากคิดว่า วิชาใดวิชาหนึ่งเป็นแก่นของ
ความคิดในการลงทุน  

ถ้าเป็นท่านๆจะเรียนอะไรครับ ระหว่าง บริหาร บัญชี หรือไฟแนนซ์ หากจุดประสงค์ที่เรียนไม่ได้เพื่อสมัครงานแต่เพื่อลงทุนเอง

 
     เรียนทุกอย่างครับ (ไม่ได้กวนครับ)  ถ้าเป็นผม จะเริ่มจากการหาหนังสือที่เกี่ยวกับการลงทุนหรือไม่ก็พวกธุรกิจมาอ่าน  จากนั้นอาจลงคอร์สสัมนาสั้นๆที่จัดโดย Thaivi เอง หรือไม่ก็จากผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ เพื่อให้เห็นภาพกว้าง ความสำคัญของแต่ละวิชาว่า จะสามารถนำมาช่วยเพิ่มมุมมองในการลงทุนอย่างไรบ้าง  
    ปล.  ถ้าไม่ได้อยากทำอาชีพการเงินจริงๆ  ก็ไม่จำเป็นต้องชุบตัวครับ
เสียดายเวลา เสียโอกาสหารายได้ในอาชีพที่เราสามารถทำได้ (งานเดิม หรือ งานใหม่ที่เราคาดว่าจะทำได้)  

http://www.thaivi.com/mobile/thread.php ... &&start=40

ลองอ่านกระทู้นี้ดูครับ  อาจพอช่วยตอบคำถามในใจได้

Warantact เขียน:ในการลงทุนแบบValueนั้น อย่างที่รู้ๆว่าถ้ามีความสามารถทางบัญชีก็ได้เปรียบ

ผมจบวิศวโยธามา แต่ลองทำงานแล้วไม่ชอบอย่างแรง(โดนเครนฟาดมา1ที เกือบตาย เหมือนพระเจ้าส่งนิมิตมาว่า เจ้าไม่เหมาะกับงานด้านนี้) ผมอยากเปลี่ยนไปสายการเงินมาก คิดว่าการเรียนเกี่ยวกับบัญชีน่าจะทำให้มีแต้มต่อ

บริหารก็ลังเลเพราะสงสัยว่ามันจะทำให้เกิดความสับสนกับแนวคุณค่ารึเปล่า เพราะสิ่งที่บัฟเฟตสอนกับสิ่งที่ตำราสอนมันขัดกันและทำให้งง


ถ้าเป็นท่านๆจะเรียนอะไรครับ ระหว่าง บริหาร บัญชี หรือไฟแนนซ์ หากจุดประสงค์ที่เรียนไม่ได้เพื่อสมัครงานแต่เพื่อลงทุนเอง

คงต้องถามหาความรู้ก่อนนะว่า  อาชีพสายการเงินเป็นอย่างไร  เหมือนดังที่เราคาดหวังไว้หรือไม่

ทำไมในอดีตถึงได้เรียน วิศวะ โยธา ละครับ

อย่าให้พลาดเหมือนตอนเรียนปริญญาตรีนะครับ  พลาดคราวนี้ไม่รู้จะเปรียบอาชีพได้ไหม

[quote="chatchai"]

ทำไมในอดีตถึงได้เรียน วิศวะ โยธา ละครับ

อย่าให้พลาดเหมือนตอนเรียนปริญญาตรีนะครับ

[quote="Voldtrest"][quote="chatchai"]

ทำไมในอดีตถึงได้เรียน วิศวะ โยธา ละครับ

อย่าให้พลาดเหมือนตอนเรียนปริญญาตรีนะครับ

Warantact เขียน:ในการลงทุนแบบValueนั้น อย่างที่รู้ๆว่าถ้ามีความสามารถทางบัญชีก็ได้เปรียบ

ผมจบวิศวโยธามา แต่ลองทำงานแล้วไม่ชอบอย่างแรง(โดนเครนฟาดมา1ที เกือบตาย เหมือนพระเจ้าส่งนิมิตมาว่า เจ้าไม่เหมาะกับงานด้านนี้) ผมอยากเปลี่ยนไปสายการเงินมาก คิดว่าการเรียนเกี่ยวกับบัญชีน่าจะทำให้มีแต้มต่อ

บริหารก็ลังเลเพราะสงสัยว่ามันจะทำให้เกิดความสับสนกับแนวคุณค่ารึเปล่า เพราะสิ่งที่บัฟเฟตสอนกับสิ่งที่ตำราสอนมันขัดกันและทำให้งง


ถ้าเป็นท่านๆจะเรียนอะไรครับ ระหว่าง บริหาร บัญชี หรือไฟแนนซ์ หากจุดประสงค์ที่เรียนไม่ได้เพื่อสมัครงานแต่เพื่อลงทุนเอง

มีแต่คนอยากเรียนบัญชีกันเน้อ จะบอกว่า การลงทุนใช้เรื่องบัญชีนิดเดียวเองค่ะ คือเราจบบัญชี ทำงานด้านนี้ เราเรียนและทำงานมากกว่าสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการลงทุน เพราะเราเรียนการจัดทำงบการเงินมาให้พวกท่านๆอ่านกัน

จริงๆแล้ว การรู้เข้าไปถึงก้นบึ่งว่างบการเงินจัดทำมาอย่างไรก็จะอ่านมันได้เร็วกว่า ย้ำว่าแค่เร็วกว่านะคะ เพราะการต่อยอดของการอ่านนั้นว่า มันผิดหรือเปล่า มันเล่นตัวเลขยังไง คุณจะหาไม่ได้จากวิชาบัญชี มันต้องอาศัยการสังเกตและดู case เก่าๆซึ่งพวกนี้ เราเห็นเค้าจัดอมรมกันออกบ่อยๆ

เนื่องจากเราจบบัญชี ความเห็นอาจ bias ไปนิดนึงนะคะ เราใช้ความรู้บัญชีน้อยมากในการอ่านงบ แค่เรียนบัญชีพื้นฐานให้เข้าใจงบการเงินแต่ละแบบ มันเชื่อมโยงยังไง อันนี้สำคัญมาก แค่นี้เราว่าพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้ไปถึงการลงรายการ แต่อันนี้ก็แล้วแต่พื้นเดิมของแต่ละท่านด้วย เราก็แค่แชร์ประสบการณ์ค่ะ พอรู้พื้นฐาน เอาเวลามาฝึกอ่านดีกว่า รายการแปลกๆเยอะแยะที่บางทีเราก็รู้พร้อมเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่นี่ บางรายการมีคนถามไว้แล้วในห้องมือใหม่ ถ้าลองอ่านๆดู วันนึงก็เก่งไปเองค่ะ นอกจากนี้

คุณจะมีความช่วยเหลือเสมอถ้าคุณยื่นมือออกไป ไม่รู้ก็ให้ถามนะคะ

ทั้งนี้ทุกการเรียนมีประโยชน์ทั้งนั้นค่ะ เราไม่ได้ห้ามไม่ให้เรียน ลองไปเอาวิชาเรียนมาอ่านดูก่อนว่าตอบโจทย์หรือเปล่านะคะ

เห้นด้วยกับคุณ krisy นะครับ ตอนนี้เรียนไปถึงปี 2 กว่ากว่า ก็จะพบได้ว่ามันไม่ค่อยตรงกับการวิเคราะห์หุ้นสักเท่าไร เรียนเรื่องการพิสูจน์ยอดเงินฝากธนาคารบ้าง การบัญชีต้นทุนบ้าง 555 เวลาเราจะดูงบการเงินเพื่อวิเคราะห์หาหุ้นที่เราลงทุน เราคงไม่ต้องรู้ลึกขนาดนั้นหรอกครับ ที่ผมเรียนเพราะตั้งใจจะนำมาใช้ประโยชน์ในการค้าของภรรยาด้วยน่ะครับเพราะทุกวันนี้ทำบัญชีกันมั่วมากเลย อยากset ให้มันเป็นระบบแบบเค้าบ้างจะได้ไม่มีปัญหาภายหลังครับ ส่วนเอามาใช้วิเคราะห์หุ้นนั้นเป็นผลพวงมากกว่าครับผม อนาคตตั้งใจจะให้เงินทำงานและให้ภรรยาทำงานครับผม :lol:

sai เขียน:เห้นด้วยกับคุณ krisy นะครับ ตอนนี้เรียนไปถึงปี 2 กว่ากว่า ก็จะพบได้ว่ามันไม่ค่อยตรงกับการวิเคราะห์หุ้นสักเท่าไร เรียนเรื่องการพิสูจน์ยอดเงินฝากธนาคารบ้าง การบัญชีต้นทุนบ้าง 555 เวลาเราจะดูงบการเงินเพื่อวิเคราะห์หาหุ้นที่เราลงทุน เราคงไม่ต้องรู้ลึกขนาดนั้นหรอกครับ ที่ผมเรียนเพราะตั้งใจจะนำมาใช้ประโยชน์ในการค้าของภรรยาด้วยน่ะครับเพราะทุกวันนี้ทำบัญชีกันมั่วมากเลย อยากset ให้มันเป็นระบบแบบเค้าบ้างจะได้ไม่มีปัญหาภายหลังครับ ส่วนเอามาใช้วิเคราะห์หุ้นนั้นเป็นผลพวงมากกว่าครับผม อนาคตตั้งใจจะให้เงินทำงานและให้ภรรยาทำงานครับผม :lol:

 

   มีธุรกิจ และ ครอบครัวแล้วหรือครับ  คุณไสย... (อุ๊ย ขอโทษครับ พี่ซาอิ)
ผมยังไม่เป็นผู้เป็นคนเลยครับ จะเบญจเพศอยู่แล้ว  :(

sai เขียน:อนาคตตั้งใจจะให้เงินทำงานและให้ภรรยาทำงานครับผม  :lol:

ขอเอาไอเดียนี้ โดยเฉพาะช่วงหลังไปใช้บ้างนะคับบ

อิอิอิ

เห็นด้วยเลยครับ หากเรียนปริญญาตรี หรือปริญญาโทบัญชีแบบจริงจัง จะมีรู้บัญชีมากกว่าที่จำเป็นสำหรับการลงทุน

ในความคิดของผม ไม่ต้องมีความรู้บัญชีขนาด รู้ที่มาที่ไปของทุกรายการบัญชี แต่ขอให้ความเข้าใจบัญชีหลักๆ ว่าหมายถึงอะไร แสดงถึงความเป็นไปของธุรกิจ หรือสภาพของกิจการนั้นอย่างไรบ้าง ผมว่าความเข้าใจพื้นฐานพวกนี้ ไม่ต้องเรียนวิชาบัญชีหรอก ยิ่งเป็นวิศวะ logic ดีๆ ลองเริ่มจากการอ่านงบการเงินบริษัทขนาดกลางๆ เอาธุรกิจง่ายๆ ที่เป็นโรงงานผลิตสินค้า (เพราะเป็นธุรกิจพื้นฐาน งบการเงินไม่ซับซ้อน) ดูก่อน พวกนี้บัญชีหลักๆ มีไม่กี่บัญชีหรอก พออ่านงบพื้นฐานเหล่านี้สักพัก รู้จักบัญชีหลักๆ 7-8 item ก็จะสบายแล้ว พอขยับไปอ่านงบที่อื่นๆ ที่มีบัญชีแปลกๆ เฉพาะทาง เช่น พัฒนาอสังหาฯ ก่อสร้าง หรือธุรกิจการเงิน จะพบว่าต้องทำความเข้าใจเพิ่มอีกไม่กี่ item เท่านั้นเอง

การอ่านงบการเงิน ผมว่าใช้ common sense มากกว่าความรู้บัญชี หรือการเงินมาก เราจึงเห็น หลายคนที่ไม่จบสายบัญชีโดยตรง เข้าใจงบการเงิน วิเคราะห์ความเป็นไปของธุรกิจ ได้ดีกว่าคนที่จบมาสายตรงเสียอีก

Warantact เขียน:...ผมจบวิศวโยธามา แต่ลองทำงานแล้วไม่ชอบอย่างแรง(โดนเครนฟาดมา1ที เกือบตาย เหมือนพระเจ้าส่งนิมิตมาว่า เจ้าไม่เหมาะกับงานด้านนี้) ผมอยากเปลี่ยนไปสายการเงินมาก คิดว่าการเรียนเกี่ยวกับบัญชีน่าจะทำให้มีแต้มต่อ

ผมก็เป็นคนนึงที่ทำงานในสายงานวิศวกรรมครับ
ชื่อก็บอกแล้วว่า "วิศวกรรม" เพราะมันมีความหมายว่า "กรรมของวิศวะ" :lol:

ตั้งแต่เริ่มทำงานใหม่ๆ ประสบการณ์ไม่มีเลยครับ เคยทำงานพลาดเหมือนกัน
แต่ก็โชคดีที่ตอนนั้นรอดมาได้ (แต่ Case คล้ายๆ กันนี้ ตายกันมาเยอะแล้วครับ)

ยังไงถ้ายังไม่ได้เปลี่ยนสายงาน แต่ต้องยังทำงานสายวิศวะต่อไป
อยากให้มองในมุมใหม่ๆ ครับ ว่าเรามาทำงานนี้ นอกจากจะต้องรับภาระ
รับผิดชอบชีวิตตัวเอง ชีวิตคนอื่นก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ความตายน่ะมันเรื่องเล็กน้อยครับ คนเราเกิดมาก็ต้องตาย
ตายได้ครั้งเดียว แต่กว่าจะตายเนี่ยครับ วิศวกรคนนึง ทำอะไรได้อีกตั้งเยอะ

Safety First จงเจริญ...

เห็นถามกันจังว่าทำไมไม่ชอบ ทำงานกี่ปีทำไมไม่ชอบ?

มันไม่ต้องมีเงื่อนไขในการทำงานหรอกครับ ไม่ชอบคือไม่ชอบ ถ้าจะหาเหตุผลสำหรับผมคือ วิศวะโยธานั้น ตากแดดตัวดำ อากาศร้อน ทำงานเช้าจรดเช้า เทปูนกลางสายฝน แรงงานพม่าพอกลางวันก็"ลายๆ จากินอาลาย" ทำงานเยี่ยงทาส แลกเงินเล็กน้อยคิดแล้วตกชั่วโมงละไม่ถึงสองร้อย

ใครเคยทำจะเข้าใจ บางคนที่เป็นวิศวะโยธาอาจบอกว่า มันก็ธรรมดานี่

ใช่! แต่ผมไม่ได้ทำแค่งานนี้งานเดียว ผมเคยทำงานหลายอย่าง

มีช่วงหนึ่ง ไปเป็นคนสอนคลาสในแคลิฟอเนีย(ไม่ได้สมัครนะ เรื่องมันซับซ้อน เอาเป็นว่าได้เงิน) อากาศเย็น ที่ร่ม มีสาวๆผิวขาวสวยสุขภาพดีจ่ายเงินเพื่อมาเต้นให้เราดู แถมถ้าคิดเป็นค่าแรงก็ตกชั่วโมงละพัน มันผิดกันมาก!

มีช่วงหนึ่งไปทำขายตรง สาลิกาลิ้นทอง คุยแป๊ปๆขายไปสองแสน ได้คอมมาสี่หมื่น ไม่ถึงสามชั่วโมงได้แล้ว!

ผมจึงได้เข้าใจว่า "เราจะทำงาน200ชั่วโมงต่อเดือนแลกกับค่าแรงแค่หมื่นสี่ไปทำซากอะไร ในเมื่อเราสามารถหาได้ชั่วโมงละสี่หมื่น?"

ผมจึงหยุดงานวิศวะค้นหาตัวเอง อ่านหนังสือ ออกเดินทาง(ตอนนี้ยังไม่รอบโลกแต่เกือบแล้ว) แล้วก็มาจุดประกายกับคอนเซ็ปการลงทุน ทั้งหุ้นทั้งอสังหา ทั้งธุรกิจ มันดีทั้งนั้นเลยนี่หว่า!? จึงตัดสินใจเรียนต่อเพื่อเติมความรู้บางส่วนที่คาดว่าต้องใช้

ขอบคุณท่านที่เป็นนักบัญชีที่บอกมาในรายละเอียดว่าไม่ต้องลงลึกขนาดนั้น แต่บางทีมันคาใจ เมื่อมันอ่านไปเจออะไรที่เราไม่เข้าใจ(นิสัยวิศวะมันฝังลึก วิศวะส่วนใหญ่ก็จะคิดคล้ายๆกันคือ ไอ้นี่มันมาจากไหน มันมายังไง มันบอกอะไร มันสำคัญไหม ตัดทิ้งได้ไหม อะไรประมาณนี้)

ที่จะเรียนสายการเงินก็จะได้ทำงานการเงินไปด้วยเลย อาจเพื่อหาประสบการณ์ ให้ผ่านตาเยอะๆ ไหนๆก็จะลงทุนแล้วก็ทำงานทางลงทุนไปเลย

ส่วนที่เลือกเรียนวิศวะตอนแรกนั้น เพราะตอนนั้นยังมึนๆไม่รู้ตัวเองครับว่าจะเรียนอะไรทำอะไร ไม่รู้อะไรเลย เลยถามบิดาว่า "พ่อๆ เจ๋งที่สุดรองจากหมอมันอะไร"พ่อบอกวิศวะ

"แล้ววิศวะอะไรเจ๋งสุด" พ่อบอก ก่อสร้างสิ รวยดี

ผมก็เอาอันนี้หละ (มารู้ทีหลังว่าคนที่รวยไม่ใช่วิศวะครับ แต่เป็นเจ้าของโครงการ ซึ่งเรียกว่าอาแปะ ส่วนวิศวะนั้น... รับเงินจากอาแปะอีกที)

หมายเหตุ ภาษาบ้านผมจะเรียนนายทุนทำก่อสร้างที่เป็นคนจีนแล้วไม่ได้จบด้านวิศวะว่า อาแปะ

ผมขอโทษนะครับ
ผมว่าอย่าไปเรียนเลยดีกว่าครับ
ถ้า Concept คือ ทำงานสบาย แต่ได้เงินเยอะ
ในโลกนี้ไม่มีหรอกครับ
อย่าไปดูที่จุดหมายความสำเร็จของพวกเค้าเหล่านั้นสิครับ
แต่จงดูที่เส้นทางที่พวกเค้าเหล่านั้น เดินฝ่าฟันมาสิครับ
ย้ำนะครับคนที่ประสบความสำเร็จแบบยั่งยืน ไม่ใช่ชั่ววูบ

ปล.ขอโทษนะครับถ้าพูดแรงไป

Warantact เขียน: ขอบคุณท่านที่เป็นนักบัญชีที่บอกมาในรายละเอียดว่าไม่ต้องลงลึกขนาดนั้น แต่บางทีมันคาใจ เมื่อมันอ่านไปเจออะไรที่เราไม่เข้าใจ(นิสัยวิศวะมันฝังลึก วิศวะส่วนใหญ่ก็จะคิดคล้ายๆกันคือ ไอ้นี่มันมาจากไหน มันมายังไง มันบอกอะไร มันสำคัญไหม ตัดทิ้งได้ไหม อะไรประมาณนี้)

ไม่ได้ขัดศรัทธา

ยินดีต้อนรับค่ะ

ไม่มีงานสบายแต่ได้เงินเยอะ คุณพูดถูก

งั้นทำไมคุณไม่เป็นกรรมกร?ไปเลยหละ เรียนทำไม? งานมันต่างกันที่ leverage

หากลองทำหลายๆงานจะเข้าใจว่าแต่ละงานมันมีความแตกต่าง ไม่งั้นคนก็เป็นหมอหมดแล้วสิ? เศรษฐีแต่ละคนดูประวัติทำงานหนักทั้งนั้น แต่พวกเขาทำงานที่ชอบ และทำอย่างฉลาดด้วย

ที่ตั้งกระทู้ก็เพื่อถามผู้รู้หรือผู้เคยเรียนมาแล้วว่า วิชาพวกนี้อะไรมันจะได้ประโยชน์สูงสุด เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ

หลายคนบอกได้ดีมาก ผมขอบคุณมาก และดีใจมากที่มีคนเรียนจบบริหาร จบการเงิน จบบัญชี มาตอบให้

หากจะตอบขอความกรุณาตอบอย่างสร้างสรรค์ด้วย

ขอโทษนะครับถ้าพิมพ์แรงไป

เมื่อก่อน.. ผมเคยคิดเสมอ ทำงานก็เพื่อเงิน

แต่พอรู้จัก อ.นิเวศน์ และเพื่อนๆ นักลงทุน ถึงได้รู้ว่า...
การลงทุนน่ะ มันสนุก ความสนุก ทำให้เกิดความสุข
หุ้นลงก็ได้ยิ้ม หุ้นขึ้นก็ได้หัวเราะ :lol:

เวลาไปทำงานวิศวกรไปตากแดดตากฝน ทำงาน 7 วันไม่มีวันหยุด
ใหม่ๆ ก็เซ็ง คนอื่นพลัดเข้าพลัดออก แต่เราเป็นวิศวกร ต้องอยู่ที่ Site ตลาด
แต่อยู่ไปซักพักพอได้เห็นรอยยิ้มของคนรอบข้าง
พ่อ แม่ พี่น้อง ชาวบ้าน ลูกเด็กเล็กแดง ถึงได้เข้าใจว่า...

โอ้... เราเกิดมาเพื่อสิ่งๆ นี้นี่เอง ...

โห วิศว เทพ นับถือ

ไม่เทพหรอกครับ...

สมัยที่ทำงานช่วงแรกๆ เข้าออก Site งานลำบากมาก
ผมมักจะเอาความคิดตัวเองมาเข็กหัวเสมอ ว่า...
"กรูมาทำอะไรอยู่ที่นี่(วะ)เนี่ย..."

จนกระทั่งวันนึง
ผมเหลือบไปเห็นเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ มอมแมมคนนึง
เดินตีนเปล่าไปโรงเรียน

ความคิดของผมก็เปลี่ยนไปตั้งแต่นั้น และ...
ไอความคิดที่ว่า "กรูมาทำอะไรอยู่ที่นี่(วะ)เนี่ย..." ของผม
ก็ไม่เคยเข็กโดนหัวผมอีกเลย

วันนี้เอาประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดมาแชร์ให้อ่านกัน

เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อเย็นนี้ผมไปช๊อปปิ้งที่ร้านหนังสือใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองซานตาบาบาร่า แคลิฟอเนีย ในนั้นมีหนังสือเทพมากมาย ทั้งปีเตอร์ลินซ์ บัฟเฟต และเกรแฮม

ผมหยิบอินเทลิเจนท์อินเวสเตอร์ขึ้นมา ในใจกระหยิ่มคิดด้วยความปลื้มปิติ

"555 ในที่สุดข้าก็ได้หนังสือการลงทุนที่ดีที่สุดในโลกตลอดการมาครอบครอง"
ผมตัดสินใจจะซื้อ จู่ๆวิญญาณบัฟเฟตตัวจิ๋วก็มาปรากฏ ณ เบื้องขวาของหัวไหล่
แล้วพูดกับผมว่า

"อย่าเพิ่งซื้อ ไปดูราคาในอเมซอนก่อน มันอาจจะถูกกว่านะ หนังสือเล่มนั้นราคาตั้ง22$"ผมยืนคิดพิจรณาอยู่นาน อ่านเล่มอื่นไป เดินชมไป ในใจอยากได้มันทุกเล่ม

ผมวางหนังสือลงบนชั้น จะเดินออกจากร้าน ทันใดนั้นวิญญาณแมงเม่าก็โผล่มาบนไหล่ซ้ายของผม "โอ้วววว หนังสือสุดยอดของโลกอยู่ตรงหน้านี้แล้ว จะรอไปทำไม แค่22$เอง คุ้มแสนคุ้ม ต่อให้อเมซอนถูกกว่ามันก็อาจมีค่าขนส่ง แล้วก็ต้องรออีกสองสามวัน ซื้อเลย"

คำพูดของแมงเม่าดูมีเหตุผลมาก แมงเม่าจึงบินชนปู่บัฟเฟตตกจากหัวไหล่ของผม ผมซื้อหนังสือมาด้วยความดีใจ

ผมเดินขึ้นเขากลับบ้านพัก เข้าเวปไซท์ เปิดอเมซอน มายก๊อดดดด
เล่มเดียวกันเลยแค่14$ ถูกกว่าตั้ง6$ ลดไปเกือบครึ่ง กินอาหารดีๆได้ตั้งมื้อนึง แถมส่งฟรีอีกตังหาก

ปู่บัฟเฟตจึงโผล่ขึ้นมาอีกครั้งกระซิบข้างหูผมเบาๆ "กรูบอกเมิงแล้ว"


อ๊ากกกกก เจ็บปวด
base on true story

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมื่อบัฟเฟตในหัวใจคุณปรากฏตัว อย่าฟังแมงเม่า

Warantact เขียน:วันนี้เอาประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดมาแชร์ให้อ่านกัน

เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อเย็นนี้ผมไปช๊อปปิ้งที่ร้านหนังสือใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองซานตาบาบาร่า แคลิฟอเนีย ในนั้นมีหนังสือเทพมากมาย ทั้งปีเตอร์ลินซ์ บัฟเฟต และเกรแฮม

ผมหยิบอินเทลิเจนท์อินเวสเตอร์ขึ้นมา ในใจกระหยิ่มคิดด้วยความปลื้มปิติ

"555 ในที่สุดข้าก็ได้หนังสือการลงทุนที่ดีที่สุดในโลกตลอดการมาครอบครอง"
ผมตัดสินใจจะซื้อ จู่ๆวิญญาณบัฟเฟตตัวจิ๋วก็มาปรากฏ ณ เบื้องขวาของหัวไหล่   บัฟเฟตยังไม่ตายครับ  วิญญาณยังไม่ออกจากร่าง  ให้เป็น Angel ล่ะกัน :lol:  
แล้วพูดกับผมว่า

"อย่าเพิ่งซื้อ ไปดูราคาในอเมซอนก่อน มันอาจจะถูกกว่านะ หนังสือเล่มนั้นราคาตั้ง22$"ผมยืนคิดพิจรณาอยู่นาน อ่านเล่มอื่นไป เดินชมไป ในใจอยากได้มันทุกเล่ม

ผมวางหนังสือลงบนชั้น จะเดินออกจากร้าน ทันใดนั้นวิญญาณแมงเม่าก็โผล่มาบนไหล่ซ้ายของผม "โอ้วววว หนังสือสุดยอดของโลกอยู่ตรงหน้านี้แล้ว จะรอไปทำไม แค่22$เอง คุ้มแสนคุ้ม ต่อให้อเมซอนถูกกว่ามันก็อาจมีค่าขนส่ง แล้วก็ต้องรออีกสองสามวัน ซื้อเลย"  

คำพูดของแมงเม่าดูมีเหตุผลมาก แมงเม่าจึงบินชนปู่บัฟเฟตตกจากหัวไหล่ของผม ผมซื้อหนังสือมาด้วยความดีใจ   โอ้....กร๊ากกก  กรั๊กๆๆๆ  แล้วไปยืนตรงนั้นให้ เขาชนทำไม... :lol:
ผมเดินขึ้นเขากลับบ้านพัก เข้าเวปไซท์ เปิดอเมซอน มายก๊อดดดด
เล่มเดียวกันเลยแค่14$ ถูกกว่าตั้ง6$ ลดไปเกือบครึ่ง กินอาหารดีๆได้ตั้งมื้อนึง แถมส่งฟรีอีกตังหาก

ปู่บัฟเฟตจึงโผล่ขึ้นมาอีกครั้งกระซิบข้างหูผมเบาๆ "กรูบอกเมิงแล้ว"


อ๊ากกกกก เจ็บปวด
base on true story

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมื่อบัฟเฟตในหัวใจคุณปรากฏตัว อย่าฟังแมงเม่า

ใจเย็นๆๆครับพี่ Warantact  อาการนี้เหมือนผมเมื่อ 2 ปีก่อนเลย  ระวังนะ
Intelligent Investor เนี่ย  จะทำให้พี่ไม่ยอมหลับ ยอมนอนเลย  ถึงพี่อยากหลับ  พี่ก็จะหลับไม่ลง   :lol:

อ่ะจริงดิ?

เห็นคนบอกว่าอ่านแล้วยาก อ่านแล้วยาก แต่ดีมากๆ เลยลองไปพลิกๆอ่านดู

มันก็พอเข้าใจนี่หว่า อย่างนี้ต้องลองของ


จากนั้นก็... เป็นไปตามนิทานข้างต้น

อ่อ อีกอย่าง ปู่แกจะ80แล้ว(หรือ80กว่าแล้ว?) วิญญาณเลยออกจากร่างเป็นพักๆครับ พอดีผมเป็นสาวกชาวไทยที่อยู่ใกล้ที่สุดในขณะนั้นแล้วกำลังจะลงทุน แกเลยมาแนะให้ครับ

ส่วนเหตุผลที่หลบไม่พ้นเพราะแกแก่แล้ว และแมงเม่ามันมีเป็นฝูง

5555แถไปได้(ที่จริงมันมีตัวเดียวนะ แต่ตัวใหญ่พอๆกะแกเลย)