หน้า 1 จากทั้งหมด 2

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 22, 2009 7:19 pm
โดย winkung
สวัสดีพี่ๆ TVI ทุกคนครับ ผมเป็นน้องใหม่ พึ่งจะลงทุนหุ้นแนว VI ได้ไม่ถึงสองเดือนครับ
เริ่มเข้าสู่ตลาดหุ้นราวๆ 5 เดือนที่แล้ว แต่ก่อนหน้านั้น ล้มลุกคลุกคลานกับ style การลงทุนมามากพอสมควร ( technical analysis )

ความคิดของผมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ  หลังจากได้อ่านหนังสือ "ตีแตก" ของ ดร.นิเวศน์
ผมเริ่มศึกษาการดูผลประกอบการของบริษัทที่ผมสนใจ , ดูงบการเงิน รวมถึงกระทู้ในห้อง ร้อยคนร้อยหุ้น ซึ่งช่วยผมได้มากในกรณีเป็นบริษัทที่ผมไม่รู้จักมาก่อน

ผมตั้งกฎของตัวเองไว้ว่า
1. หลังจากที่ตัดสินใจซื้อไปแล้ว ตราบใดที่ธุรกิจยังไม่เปลี่ยน ผมก็จะถือเพื่อ let profit run
2. ผมจะซื้อหุ้นอีกครั้ง ในกรณีที่ตลาดวันนั้นแดงเดือด นั่นคือนักลงทุนพร้อมใจกันเทขาย  ซึ่งหากตลาดยังเขียว  ผมต้องยับยั้งชั่งใจไม่ซื้อเพิ่มเด็ดขาด  ส่วนหนึ่งเพื่อรักษา margin of safety ไว้ด้วย



แต่ ... หลายวันมานี้ ตลาดปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โอกาสเข้าซื้อหุ้นแทบไม่มี  
ถามว่าหุ้นที่มีอยู่  ได้แสดงกำไรออกมาไหม  ?
ก็ต้องตอบว่า  ให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจ ...... แต่


แต่ ผมเริ่มรู้สึกว่า "ความโลภ" มันเริ่มคืบคลานเข้ามา
ผมมีความรู้สึกว่า "น่าจะ" ซื้อเพิ่มนะ  อัตรากำไรจะได้เพิ่มสูงขึ้น
ผมมักคิดว่า "เสียดาย  น่าจะซื้อจำนวนเยอะกว่านี้"



แต่จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่ได้แหกกฎตัวเองนะครับ

จุดประสงค์ที่ตั้งกระทู้ เพียงเพื่ออยากทราบความเห็นของพี่ๆที่นี่
รวมถึงคำเตือนในการลงทุน  ว่าการหลงระเริงกับการได้กำไรของพอร์ท แท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไร


ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ตัวผมอาจจะไม่เก่งอะไรเลยก็ได้
เพียงแต่ตอนนี้ตลาดมันพาไป  ต่อให้ใครมาเล่น
เลือกหุ้นสักหนึ่งตัว  ยังไงซะมันก็ต้องวิ่งขึ้น




สุดท้าย ... ที่ผมตั้งกระทู้ เพราะผมอยากบอกตัวเอง เตือนตัวเองว่า
อย่ามือบอน  และแหกกฎที่ตั้งไว้แต่แรกครับ :shock:



เสียดาย ที่ไม่มีโอกาสซื้อเพิ่ม แต่ดีกว่าซื้อเพราะอารมณ์เป็นตัวกำหนด  ใช่ไหมครับ  :roll:

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 22, 2009 8:41 pm
โดย leotis
ผมว่าเอาตามความสบายใจละกันนะคัฟ  :lol:

ถ้าซื้อไปแล้วสบายใจก็ซื้อ โดยส่วนตัวผมก็มีนิสัยไม่ดีหลายอย่าง และผมก็เปนน้องใหม่สำหรับนักลงทุนเช่นกัน ผมรู้สึกว่าผมไม่สบายใจผมจะไม่ซื้อเด็ดขาด ผมขอแค่กลับมาถึงห้องมามองพอทเขียวๆที่มีผมก็สบายใจแล้วคัฟฟ ผมจะไม่ถือหุ้นที่ผมไม่ค่อยเข้าใจ เพราะทำให้เวลาผมติดตามข่าวผมจะงงๆเวลาอ่านไปด้วย  แม้แต่กระทั่งหุ้นที่ผมถืออยู่เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงแต่ผมไม่เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงมันจะออกมาในแบบไหน ผมก็จะปล่อยมันไปคัฟฟ

ที่สำคัญคัฟฟฟ ผมว่าลองเรียนรู้นิสัยพี่ๆในเว็บ TVI ดูคัฟฟ หลายๆคนทำให้ผมละความโลภไปได้เยอะเลย

ที่พูดนี่ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับที่ถามหรือเปล่านะคัฟฟฟ :?

แต่ความอยากได้มันก็คงอยากได้กันทุกคนคัฟฟ แต่ได้แบบสบายใจด้วยดีกว่า

มีกฎการเล่นหุ้นที่ว่า High risk High return แต่ถ้าเล่นแบบมึนๆ ระวัง High RISK  RISK RETURN นะคัฟฟฟ :lol:

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ย. 23, 2009 9:18 am
โดย ซากคน
เข้าตลาดห่างกันไม่มากนัก

อาการประสาทกินเวลาหุ้นขึ้นไม่หยุดแบบนี้  ผมเป็นเมื่อ 2 เดือนก่อน

เรื่องราวของผมอ่านได้ที่นี่  (มาอ่านอีกที  ผมยังอยากจับหมอนี่ช๊อตไฟฟ้าเลยจริงๆ...)

http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=38850

เรื่องราวของเพื่อนๆหลายคนที่มีความตั้งใจอันดี

http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... 4%B5%B5%A1


ผมแก้ไขมันด้วยการ เลิกดูจอหุ้นทุกอย่างในช่วงเวลาทำการ วันนี้เป็นน่าจะ

เป็นวันที่ 11 แล้วที่ผมไม่ดูจอหุ้น ไม่ว่ามันจะแดง-เขียว  แล้วเอาเวลามาค้น

หาตนเอง ศึกษาหลักการลงทุนที่เรายังอ่อน พอทำไปเรื่อยๆ ความสนใจผมก็

เปลี่ยนไป จดจ่ออยู่กับ การตามหา/ฝึกฝนทักษะ ที่น่าจะการันตีผมในอีก 5 ปี

ข้างหน้าว่า  โอกาสที่ผมจะเป็น laggard  =  0 %

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ย. 23, 2009 11:05 am
โดย jung_oh
เวลาซื้อขายหุ้นนี่มีทั้งชีวิตครับ

ซื้อดีไหม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 25, 2009 10:19 pm
โดย หยำฉ่า
คำตอบของผมคือซื้อครับ แต่ผมซื้อเมื่อผมเห็นหุ้นที่มีราคาถูกอยู่เมื่อเทียบกับความสามารถของเขาในอนาคต ผมไม่ซื้อเพราะว่าวันนั้นหุ้นตก เพราะรอแล้วอาจไม่ได้ซื้อ แต่ซื้อเมื่อผมเห็น จำไว้นะครับว่า อย่าซื้อเพราะเงินเหลือ อย่าซื้อเพราะอยากซื้อ อย่าซื้อเพราะเห็นหุ้นขึ้น ซื้อเพราะคุณ "รอบคอบ" และตัดสินใจแล้ว set เป็นเพียงตัวเลขวิ่งไปวิ่งมาในสายตาผมเท่านั้น

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 25, 2009 10:28 pm
โดย akekarat
ขอเตือนสติว่า เป็นคนไทย ควรใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องครับ

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 25, 2009 11:36 pm
โดย vivitawin
แปลกดี ผมมีแต่อยากจะขายนะ แทนที่อยากจะซื้อเพิ่ม จงจำไว้ครับ ว่า
Be fearful when others are greedy and vice versa   :lol:

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 26, 2009 1:28 am
โดย gnomeller
ผมก็ประมาณเดียวกันฮะ  :?

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 26, 2009 3:07 am
โดย Juninho
ดีใจด้วยครับ แต่อย่าลืมมองความเสี่ยงนะครับ
เวลาหุ้นขึ้นนี่ เกือบทุกคนจะเป็นเหมือนกันคือ มีอาการ overconfidence
มองแต่ upside gain เป็นหลัก ลืมมองความเสี่ยง อาจทำให้เจ็บตัวได้
ควรจำไว้เสมอว่าการลงทุนในตลาดหุ้น

"มันเป็นเรื่องของการวิ่งมาราธอนไม่ใช่การวิ่งเร็ว"

ไปช้าหน่อยแต่ชัวร์ ๆ ดีกว่า มีความสุขกับการลงทุน
พร้อมกับได้เงินไปด้วย  จะหาที่ไหนได้อีก นอกจาก
การลงทุนแบบวีไอ
(เหมือนพี่ ๆ พูดกันเลยว่า การลงทุนแบบวีไอ รักแล้ว รักเลย)

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 27, 2009 12:13 pm
โดย holidaytours
อยากให้คิดถึงกฏธรรมชาติครับ
น้ำมีขึ้นมีลง
หุ้นมีบวกมีลบ

คิดกลับกันนะครับ
ถ้าวันนี้หุ้นกลับไปลงต่อ
(จิง ๆ มันอาจจะขึ้นไปอีกก็ได้)
จะรู้สึกอย่างไร ครับ

เหตุผลที่โง่ที่สุดในการซื้อหุ้นสำหรับวีไอนะครับ
ไม่ใช่นักเก็งกำไร
คือการที่คิดว่าซื้อแล้วหุ้นมันจะขึ้น
เพราะการซื้อหุ้นเพราะหวังส่วนต่าง ไม่ใช่หลักการลงทุนแบบวีไอครับ
พวกถึงเป็นเซียนวีไอก็ไม่รู้หรอกครับ ว่าหุ้นมันจะขึ้นหรือลงในระยะสั้น

สำหรับวีไอ หัวใจของการลงทุนอยู่ที่
ความได้เปรียบในการแข่งขันและความยั่งยืนของความได้เปรียบนั้นครับ
:D

Re: อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 27, 2009 2:16 pm
โดย picatos
[quote="winkung"]...
ผมตั้งกฎของตัวเองไว้ว่า
1. หลังจากที่ตัดสินใจซื้อไปแล้ว ตราบใดที่ธุรกิจยังไม่เปลี่ยน ผมก็จะถือเพื่อ let profit run
2. ผมจะซื้อหุ้นอีกครั้ง ในกรณีที่ตลาดวันนั้นแดงเดือด นั่นคือนักลงทุนพร้อมใจกันเทขาย

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 27, 2009 2:18 pm
โดย centrady
Warren Buffett ได้บรรยายที่ Stanford University ในปี 1978 ไว้ว่า
ความสำเร็จทางการลงทุนไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางตรงกับจำนวนชั่วโมงในการทำงานหรือความเฉลียวฉลาดเลย แต่ถ้าจะมี มันก็อาจจะเป็นความสัมพันธ์ในลักษณะผกผันซะด้วยซ้ำ ( เช่น ทำงาน 80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ + IQ 200 = 0 ) อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จทางการลงทุนจะมีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับ แนวทางการลงทุนและภาวะจิตใจของนักลงทุน จากที่ผ่านมา มันชัดเจนว่า นักลงทุนจะสามารถสร้างความมั่งคั่งจากตลาดหุ้นได้ หาก:

1) พวกเขาสามารถยับยั้งชั่งใจที่จะไม่เข้าไปเล่นในทุกๆเกม ทุกๆเวลาได้
2) พวกเขามีภาวะจิตใจที่มั่นคง
3) พวกเขามีความสนใจและความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้นในระดับที่สูงพอ
4) พวกเขามีวินัย
5) พวกเขาอยู่ห่างจากตลาดมากพอจนไม่ถูกภาวะตลาดครอบงำ


ที่มา : คุณ web

Re: อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 27, 2009 2:54 pm
โดย winkung
[quote="picatos"][quote="winkung"]...
ผมตั้งกฎของตัวเองไว้ว่า
1. หลังจากที่ตัดสินใจซื้อไปแล้ว ตราบใดที่ธุรกิจยังไม่เปลี่ยน ผมก็จะถือเพื่อ let profit run
2. ผมจะซื้อหุ้นอีกครั้ง ในกรณีที่ตลาดวันนั้นแดงเดือด นั่นคือนักลงทุนพร้อมใจกันเทขาย

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 27, 2009 10:24 pm
โดย podrbu
เป็นเหมือนกันครับ

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 27, 2009 11:51 pm
โดย Hughes
ช่วงนี้หาหุ้นยากจริงๆ

จาก easy mode ตอนนี้เปลี่ยนเป็น normal mode แล้ว

เมื่อไหร่จะเป็น hard mode เนี่ย  :evil:

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 8:23 am
โดย sunrise
อยากให้ลองปรับกฏ หรือมุมมองที่มีอยู่ครับ

ผมคิดให้มุมมองว่า
1. คุณ winkungแสดงว่ายังประเมินมูลค่าหุ้นไม่ได้ ดังนั้น ยังคำนวณ safety of margin ไม่ได้ ดังนั้นจุดซื้อขายดูจะไม่ใช่จุดที่ดีนักในกฏ
2. การที่หุ้นในตลาดเขียวไม่ได้หมายความว่าไม่ดี ถ้าราคายังห่างจากเป้าเยอะ หรือตลาดแดงก็ไม่เกี่ยว ว่าต้องซื้อ
3. กฏทั้งสองข้อเป็นกฏที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงเลย เห็นได้จากไม่มีคำว่าเสียหายเลยครับ
ตอนนี้ตลาดดี อะไรๆก็สดใส การมาลงทุนแบบ VI ไม่ได้ต้องเก่งมาก แต่ผมว่าต้องสร้าง concept ให้ดีก่อนครับผม

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 5:29 pm
โดย winkung
sunrise เขียน:อยากให้ลองปรับกฏ หรือมุมมองที่มีอยู่ครับ

ผมคิดให้มุมมองว่า
1. คุณ winkungแสดงว่ายังประเมินมูลค่าหุ้นไม่ได้ ดังนั้น ยังคำนวณ safety of margin ไม่ได้ ดังนั้นจุดซื้อขายดูจะไม่ใช่จุดที่ดีนักในกฏ
ถูกต้องเลยครับ ผมยังประเมินมูลค่าหุ้นไม่ได้
ณ ตอนนั้นที่ผมตัดสินใจซื้อหุ้นตัวนั้น ผมทำได้แค่บอกว่า หุ้นตัวนี้ถูก และผลประกอบการย้อนหลังดี งบการเงินโอเค ratio ต่างๆไม่น่าเกลียด

นั่นคือ concept คร่าวๆที่ผมใช้ตัดสินใจซื้อหุ้นตัวนั้นครับ :shock:
ณ ตอนนั้นคำว่า margin of safety ก็ยังไม่เข้าใจถึงหลักของมันมาก  :(
sunrise เขียน: ตอนนี้ตลาดดี อะไรๆก็สดใส การมาลงทุนแบบ VI ไม่ได้ต้องเก่งมาก แต่ผมว่าต้องสร้าง concept ให้ดีก่อนครับผม
โอเคครับ ผมจะลองบอก concept ในการเลือกซื้อหุ้นของผม
รบกวนพี่ TVI ช่วยดูให้หน่อยว่า หลักการของผม ยังขาด หรือยังอ่อนในตรงจุดไหนบ้าง  :cry:
-----------------------------
1. ผมจะเรียงลำดับ p/e ของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน จากน้อยไปมาก แล้วเลือกหุ้นที่มี p/e ต่ำกว่า 10 แต่ market cap ต้องมากกว่าพันล้าน

2. เมื่อได้ list หุ้นมาแล้ว ผมก็จะเข้าเวป set เพื่อไปดูผลประกอบการย้อนหลัง  5 ปี (แบบคร่าวๆก่อน) ของหุ้นตัวนั้น  เช่น
รูปภาพ

สิ่งที่ผมจะให้ความสำคัญ คือ
2.1 กำไรควรจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง
2.2 หนี้สินควรมีแนวโน้มลดลง
2.3 ส่วนของผู้ถือหุ้นมีค่าเพิ่มมากขึ้น ถือว่าดี
2.4 %ROE ควรมากกว่า 15% และควรมีค่าเกาะกลุ่มกันในแต่ละปี  (ไม่แปรปรวนเกินไป)
2.5 หากราคาล่าสุดยังต่ำกว่า book value ถือว่าดี

3. เมื่อมองภาพรวมอย่างคร่าวๆแล้ว พบว่า "น่าสนใจ" ขั้นตอนต่อไปผมจะโหลดงบการเงินล่าสุดมาดูผลประกอบการ
ดูการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์ , หนี้สิน และคำนวณอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญๆต่างๆ เพื่อมองภาพใหญ่ของหุ้นตัวนั้น  (ตัวอย่างเป็นแบบนี้ครับ)


รูปภาพ

รูปภาพ

4. หากพบว่าให้ผมเป็นที่น่าพอใจ ปกติผมก็จะตัดสินใจซื้อหุ้นตัวนั้นเลย แต่มาตอนนี้ ผมพึ่งเรียนรู้วิธีการ "ประเมินค่า p/e" ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่รู้มาก่อนเลย

ตรงจุดนี้เลยเป็นส่วนที่เพิ่มเข้ามาใหม่ครับ  :shock:

5. เมื่อทุกอย่าง OK แล้ว  ขั้นตอนสุดท้ายคือการประเมินค่า p/e ที่เหมาะสมครับ
-----------------------------------

ขอยกตัวอย่างเป็นหุ้น TF ละกันนะครับ

รูปภาพ

ข้อมูลเบื้องต้นนะครับ

จำนวนหุ้นจดทะเบียนกับตลท. 18,000,000 หุ้น
กำไรสุทธิของ Q2/53 = 599.45 ลบ

ดังนั้น eps จะมีค่าเท่ากับ (599.45/18) = 33.02 ต่อสองไตรมาส
ปรับให้เป็น 1 ปี จะได้ eps เท่ากับ 33.02 x 2 = 66.60 ต่อปี
(คูณ 2 ซึ่งเป็นการสมมติฐานว่ากำไรอีกสองไตรมาสที่เหลือจะใกล้เคียงกันน่ะครับ)

ราคาล่าสุด เท่ากับ 592.00 บาท
ดังนั้น p/e จะมีค่าเท่ากับ  (592/66.6) = 8.96

ค่าที่เราคำนวณได้มีค่า p/e = 8.96
ในขณะที่ตลาดตีค่าให้มีค่าเท่ากับ 10.88

หมายความว่า
ณ ที่ราคานี้ ยังถูกเกินไป  :!:   ยังมีส่วนต่างของราคาอยู่

นั่นคือเป็นการตอกย้ำว่า ลงทุนกับหุ้นตัวนี้ได้  :shock:




วิธีการทั้งหมดนี้ ถือว่าถูกต้องไหมครับ
มีข้อบกพร่องตรงไหน  รบกวนพี่ๆ TVI ให้คำแนะนำด้วยนะครับ  ผมไม่อยากลงทุนอย่างหลักลอย ไร้กฎเกณฑ์น่ะครับ   :cry:

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 8:33 pm
โดย sai
สวัสดีครับพี่ คนจนที่อยากรวย แหมผมล่ะนึกว่าใคร ที่แท้ ขาใหญ่ cpf pantip นี่เอง
pe 10.88 ที่พี่ดูจากในเวป set.or.th เป็นการเอา eps 4 q ย้อนหลังและนำมาคำนวณกับราคาตลาดณ.วันนั้นนั้นครับ ไม่ใช่ pe ที่ตลาดให้นะครับ (เพราะความจริงไม่มีใครรู้ว่าตลาดจะให้ pe หุ้นตัวใดใดที่ราคาเท่าไร เพราะแล้วแต่อารมณ์นายตลาดครับ สูงบ้างต่ำบ้าง ) ดังนั้นการประเมิณมูลค่าเหมาะสมโดยใช้ pe จึงควรใช้ การคาดการณ์ eps ในอนาคต และนำมาคำนวณหาค่า pe ที่น่าจะเป็นของตัวบริษัทนั้นนั้น ที่เราคาดว่าตลาดจะให้ ( ตรงนี้ต้องขึ้นอยู่กับประสบการณ์แต่ละท่านว่ามีความเข้าใจในธรุกิจตัวนั้นมากหรือน้อยแค่ไหน ) จนสุดท้ายจึงนำมาเทียบกับราคาในตลาดในปัจจุบันว่า มูลค่าที่เราคำนวณได้และราคาปัจจุบันเป็นอย่างไร หากพอใจก็ซื้อเลย หากยังไม่พอใจก็รอจนกว่าจะพอใจครับผม  :lol:

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 9:48 pm
โดย picatos
ผมว่าการลงทุนนี่ไม่มีถูกหรือผิดหรอกครับ... ถูกบางคนอาจจะเป็นผิดของอีกคนก็ได้ครับ

สิ่งที่สำคัญที่คิด คือ คุณพอใจกับผลตอบแทนที่คุณคาดว่าจะได้รับรึเปล่า? แล้วในกรณีเลวร้ายถ้าสิ่งที่คุณคิดไม่เป็นอย่างที่คุณคิดคุณจะทำยังไง? ความเสียหายสูงสุดที่อาจจะเจอมันมากน้อยขนาดไหน...

จริงๆ แล้วผมว่าแนวคิดของ VI เป็นแนวคิดที่สุ่มเสี่ยงที่อาจจะเกิดความเสียหายต่อพอร์ตได้รุนแรงที่สุดเมื่อเทียบกับ Technical หรือ Fund Flow โดยเฉพาะคนที่ไม่เข้าใจในกิจการที่เราลงทุนอย่างแท้จริง หรือสำคัญตนผิดคิดว่าตัวเองเข้าใจกิจการดี แล้วมีทัศนะคติว่า VI ต้องถือยาวๆ

ซึ่งความซวยอาจบังเกิดได้ เมื่อเราคิดว่าเราเข้าใจกิจการดี แต่จริงๆ เราไม่เข้าใจ สิ่งที่เราคิดว่ามันดี แต่จริงๆ แล้วมันไม่ดี หรือมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้คุณภาพของกิจการแย่ลงแต่เราอ่านไม่ขาด... ซึ่งคนที่เข้าใจกิจการหรืออ่านขาดกว่าเราอาจเทขายหุ้นลงมา และทำให้หุ้นตก

เมื่อเราเห็นหุ้นตก... ด้วยความที่เรามีอคติเราอาจซื้อเพิ่ม หรือปลอบใจตัวเองว่าเราเป็น VI อดทนถือไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันนึงที่เรารับรู้ว่าปัจจัยมันเปลี่ยนไป เราก็มีอคติอีก คิดว่าราคามัน undervalue เมื่อเทียบกับมูลค่าของกิจการอยู่ดี โดยไม่ได้ดู หรือมีอคติต่อ expected return ที่เปลี่ยนไป สุดท้ายก็เป็นการติดหุ้น...

ผมคุ้นๆ ว่า... สมัยก่อนเคยมีพี่คนหนึ่งโพสใน ThaiVI ว่าการลงทุนแบบ VI เป็นการลงทุนที่อันตรายพอสมควร... (ใ่ช่พี่นักดูดาวรึเปล่าน้า...า)

จริงๆ แล้วว่า ผมว่าการหุ้นลงทุนแบบ VI จำเป็นต้องมี Stop-Loss แต่จะ Stop-Loss ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี เพราะ หุ้นทุกตัวที่เราลงทุนเราเข้าใจมันได้ไม่หมดหรอก... ซึ่งถ้าเราคิดว่าเราเข้าใจมันได้ไม่หมด แล้วเราอ่านไม่ขาดว่าในกรณีเลวร้ายที่สุึดเราต้องถือหุ้นตัวนั้นๆ ไปนานๆ สัก 5 ปี 10 ปี แล้วผลตอบแทนของเราจะเป็นเท่าไหร่ การมี Stop-Loss จะเป็นตัวกำจัดความเสียหายได้ดีในระดับหนึ่ง

ลองคิดดู... คนทำธุรกิจ หรือเจ้าของธุรกิจเอง ยังไม่รู้เลยว่า กำไรในอนาคตมันจะเป็นอย่างไร จะมีปัจจัยอะไรใหม่ๆ เข้ามาทำให้ธุรกิจแย่ลงหรือเปล่าก็ไม่รู้... เราเป็นแค่คนเล่นหุ้น เราจะมั่นใจมูลค่าในระยะยาวที่เราประเมินได้ขนาดไหน... ดังนั้นผมคิดว่าถ้าหุ้นที่เราถือ ถ้ามองยาวไป 5 ปี กระแสเงินสดที่ได้รับจากการลงทุนไม่ Cover เงินลงทุนนี่... ผมไม่สนใจนะ...

ปล. ตอบไม่ตรงประเด็นเอาซะเลย... หลุดไปเรื่องอะไรก็ไม่รู้เนี่ย...  :lol:

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 9:53 pm
โดย picatos
ขอย้ำนิดนึงละกันว่า... Stop-Loss ของผมไม่ได้หมายถึง Stop-Loss ทางเทคนิคนะ... จะเป็นอะไรก็แล้วแต่...

อย่าง Stop-Loss ของผม... ถ้าผมเก็งกำไรรายไตรมาส... EPS ออกมาไม่ใช่อย่างที่คิด ก็ Stop... ถ้าผมเก็งสถานการณ์พิเศษ... ไม่เป็นอย่างที่คิด ก็ Stop... ถ้าลงทุนถือยาวๆ กับธุรกิจที่ Business Model ดีๆ สภาวะการแข่งขันดีๆ แต่ถ้าพื้นฐานในภาพใหญ่เปลี่ยนก็ Stop อะไรประมาณนั้น...

อย่างคุณ hongvalue เซียนฟันโฟลว์อาจจะดู Indicator บางอย่างในการ Stop ก็แล้วแต่คนไป...

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 10:32 pm
โดย winkung
picatos เขียน:จริงๆ แล้วผมว่าแนวคิดของ VI เป็นแนวคิดที่สุ่มเสี่ยงที่อาจจะเกิดความเสียหายต่อพอร์ตได้รุนแรงที่สุดเมื่อเทียบกับ Technical หรือ Fund Flow โดยเฉพาะคนที่ไม่เข้าใจในกิจการที่เราลงทุนอย่างแท้จริง หรือสำคัญตนผิดคิดว่าตัวเองเข้าใจกิจการดี แล้วมีทัศนะคติว่า VI ต้องถือยาวๆ

ซึ่งความซวยอาจบังเกิดได้ เมื่อเราคิดว่าเราเข้าใจกิจการดี แต่จริงๆ เราไม่เข้าใจ สิ่งที่เราคิดว่ามันดี แต่จริงๆ แล้วมันไม่ดี หรือมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้คุณภาพของกิจการแย่ลงแต่เราอ่านไม่ขาด... ซึ่งคนที่เข้าใจกิจการหรืออ่านขาดกว่าเราอาจเทขายหุ้นลงมา และทำให้หุ้นตก

เมื่อเราเห็นหุ้นตก... ด้วยความที่เรามีอคติเราอาจซื้อเพิ่ม หรือปลอบใจตัวเองว่าเราเป็น VI อดทนถือไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันนึงที่เรารับรู้ว่าปัจจัยมันเปลี่ยนไป เราก็มีอคติอีก คิดว่าราคามัน undervalue เมื่อเทียบกับมูลค่าของกิจการอยู่ดี โดยไม่ได้ดู หรือมีอคติต่อ expected return ที่เปลี่ยนไป สุดท้ายก็เป็นการติดหุ้น...
สวัสดีครับพี่ picatos
ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำครับ
เอาเป็นว่าผมเข้าใจจุดประสงค์ที่พี่ต้องการบอกผมนะครับ

"VI ไม่ใช่การซื้อหุ้น(ที่คิดว่าดี)แล้วดักดานทนถือมันโดยไม่ดูตามาตาเรือ"

ถูกของพี่ครับ เราไม่สามารถมองธุรกิจนั้นๆได้ขาด 100%
เปรียบเทียบก็เหมือนกับ เราไม่สามารถบอกได้อย่างแน่นอนว่า พรุ่งนี้ ตลาดจะปิดบวกหรือลบ  :!:

ขอบคุณที่เตือนเรื่องการกำหนดจุด stop loss
เชื่อว่าทุกคนคงไม่อยากให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกับตัวเอง ... แต่ยังไงก็ต้องเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในแบบที่เรา "คาดไม่ถึง"  ให้ได้  :wink:

จะพยายามดูครับ  :D

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 10:52 pm
โดย yoyo
ชอบ comment ของพี่ picatos นะ ...
ผมเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ประสบการณ์การเจ็บตัวจากหลายๆครั้ง รวมถึงปีที่แล้วที่เจ็บเยอะหน่อย ทำให้เกิดการตกผลึกเป็นแนวคิดที่ทำให้ตาสว่างขึ้น

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 11:15 pm
โดย sai
คุณ picatos นี่มี comment ดีดีอยู่เรื่อยเลยครับ อ่านไปก็ทึ่งไป
คนอะไรไม่รู้ การศึกษาดี ฐานะดี หน้าตาดี ภรรยาสวยอีก
ต่างหาก  สังหรณ์ใจว่าเร็วเร็วนี้อาจมีกระทู้  คุยกับ picatos แน่แน่เลย  :lol:

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 29, 2009 7:00 am
โดย vivitawin
picatos เขียน:
อย่าง Stop-Loss ของผม... ถ้าผมเก็งกำไรรายไตรมาส... EPS ออกมาไม่ใช่อย่างที่คิด ก็ Stop... ถ้าผมเก็งสถานการณ์พิเศษ... ไม่เป็นอย่างที่คิด ก็ Stop... ถ้าลงทุนถือยาวๆ กับธุรกิจที่ Business Model ดีๆ สภาวะการแข่งขันดีๆ แต่ถ้าพื้นฐานในภาพใหญ่เปลี่ยนก็ Stop อะไรประมาณนั้น...
ชอบครับ ผมก็คิดเรื่องการ stop-loss หรือแม้แต่ stop-profit แบบนั้นเหมือนกัน   :lol:

คือเริ่มต้นคิดจะซื้อเพราะอะไร ก็ต้องขายถ้าไม่เป็นไปอย่างที่คิด
แต่บางครั้ง บางสถานการณ์ หุ้นบางตัว สั้นก็ได้ ยาวก็ดี ก็มีบ้างเหมือนกันครับ
คือสั้นอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิด แต่ระยะยาวยังไปได้ ก็ยังสู้ต่อก็มี
แล้วแต่วิจารณญาณแต่ละคนครับ หุ้นมันมีสเน่ห์ตรงนี้แหละ  :D

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 29, 2009 8:49 am
โดย picatos
-_-" :vm:

mod ฝากลบความเห็นของคุณ sai ทีได้ไหมเนี่ย...  :cry:

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 29, 2009 9:47 am
โดย kurapica
ผมก็มือใหม่เหมือนกัน ตอนนี้มุ่งเข้าหาแนวมวยวัด ทั้งพื้นฐานและเทนนิค ช่วงนี้เสียวๆเลยหาหุ้นที่คนไม่ค่อยซื้อขายกันมาก ราคาจะได้ไม่เปลี่ยนมาก แต่พื้นฐานดี หรือมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อย และปันผลดี ถึงจะขายยากก็ไม่เป็นไร เพราะเงินผมเป็นเงินญี่ปุ่น (เงินเย็น) กินปันผลมันไปเรื่อยๆนี่แหละ

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 29, 2009 12:59 pm
โดย uncleBE
เข้ามาเก็บความรู้ด้วยคนครับ
คุณ winkung ถามได้ดีทำให้ผมได้ความรู้เพิ่มไปด้วย
ท่านอื่นๆ ก็ตอบได้น่าฟังผมก็ได้แนวคิดเพิ่ม
ขอบคุณครับ
:)

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 29, 2009 5:27 pm
โดย b4solid
ผมก็ชอบ แนวคิดของคุณ picatos แฮะ

แต่ก่อนติดกับดักของคำว่าอย่าขาดทุน เลยไม่กล้า stop-loss เลย  :?

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 29, 2009 6:10 pm
โดย McDull
vivitawin เขียน:
ชอบครับ ผมก็คิดเรื่องการ stop-loss หรือแม้แต่ stop-profit แบบนั้นเหมือนกัน

อยากให้พี่ๆช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ (พยายามข่มใจตัวเองอยู่)

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ย. 30, 2009 12:59 am
โดย sorawut
picatos เขียน:จริงๆ แล้วผมว่าแนวคิดของ VI เป็นแนวคิดที่สุ่มเสี่ยงที่อาจจะเกิดความเสียหายต่อพอร์ตได้รุนแรงที่สุดเมื่อเทียบกับ Technical หรือ Fund Flow โดยเฉพาะคนที่ไม่เข้าใจในกิจการที่เราลงทุนอย่างแท้จริง หรือสำคัญตนผิดคิดว่าตัวเองเข้าใจกิจการดี แล้วมีทัศนะคติว่า VI ต้องถือยาวๆ

ซึ่งความซวยอาจบังเกิดได้ เมื่อเราคิดว่าเราเข้าใจกิจการดี แต่จริงๆ เราไม่เข้าใจ สิ่งที่เราคิดว่ามันดี แต่จริงๆ แล้วมันไม่ดี หรือมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้คุณภาพของกิจการแย่ลงแต่เราอ่านไม่ขาด... ซึ่งคนที่เข้าใจกิจการหรืออ่านขาดกว่าเราอาจเทขายหุ้นลงมา และทำให้หุ้นตก

เมื่อเราเห็นหุ้นตก... ด้วยความที่เรามีอคติเราอาจซื้อเพิ่ม หรือปลอบใจตัวเองว่าเราเป็น VI อดทนถือไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันนึงที่เรารับรู้ว่าปัจจัยมันเปลี่ยนไป เราก็มีอคติอีก คิดว่าราคามัน undervalue เมื่อเทียบกับมูลค่าของกิจการอยู่ดี โดยไม่ได้ดู หรือมีอคติต่อ expected return ที่เปลี่ยนไป สุดท้ายก็เป็นการติดหุ้น...
โดนครับโดน ปีที่แล้วมีหุ้นที่ซื้อไป 30% ของ port แต่ทำขาดทุนไป 50% ของขาดทุนทั้งหมด
เพราะอ่านไม่ขาดนี่แหละ ทั้งๆที่รู้ข้อมูล :vm:  :vm:  :vm: