หน้า 1 จากทั้งหมด 1

Note Set in the cityแนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ปี53 (Part I)

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 13, 2009 11:59 pm
โดย radtanapan
ได้มีโอกาสไปฟัง สัมนา "แนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ปี 53 โดย คุณ ไพบูลย์ นลินทรางกูร ดร. ก้องเกียรติ โอภาสวงการ และ ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ (12 Nov 09)" มาครับ

จะสรุปความคิดเห็นของแต่ละท่านแยกกันเป็นคนละตอนนะครับ เพราะค่อนข้างยาว ^^"

เนื่องจากว่าชั่วโมงบินของผมเรื่องเศรษฐกิจและการลงทุน อาจจะยังไม่เยอะมาก หากมีส่วนไหนของข้อมูลที่สรุปมาผิดพลาด หรือ ทะแม่งๆ ... comment มาได้เลยนะครับ จะขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ

ดร. ก้องเกียรติ

* สิ่งที่ต้องจับตามองในปีหน้า เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และ ตัวเลขการว่างงานของ US
- มีโอกาสที่เงินเฟ้อสูง อัตราดอกเบี้ยจะขึ้น (AUS ขึ้นไปแล้วสองครั้ง) ระวังว่า US จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า นอกจากนั้นให้ดูตัวเลขอัตราการว่างงานของสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 10.2x% สูงสุดในรอบ 20 กว่าปี
- ภาพรวมในปีหน้ามีแนวโน้มว่าไม่สดใสเท่ากับปีนี้ ไม่ทรง ก็ ทรุด

* Competitive Advantage ระยะยาวของไทยน่าเป็นห่วง
- มีการคาดคะเนว่าไทยจะมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในปีหน้าอยู่ที่ 3-4% ซึ่งพอๆกับค่าเฉลี่ยการเติบโตเศรษฐกิจของโลก (สังเกตุว่าเวลาหุ้นต่างประเทศปรับตัวไปในทิศทางไหนเราก้อจะปรับตามเค้า) ซึ่ง ถ้าดูประเทศที่สำคัญๆ เช่น จีน (9%) อินเดีย และ อินโดนีเซีย (> 5%) (ประเทศอินโดนีเซียมีทรัพยากรทางธรรมชาติที่สมบูรณ์มากในประเทศหนึ่งในย่านอาเซียน นอกจากนั้น การเมืองของเค้ามีเสถียรภาพ หลังจากล้มลุกคลุกคลานมาสักพักใหญ่ๆ) แสดงให้เห็นว่าเม็ดเงินที่เข้ามาในประเทศเราไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น ทั้งๆที่เรามีจุดแข็ง เช่นเรื่องอาหาร การท่องเที่ยว เป็นต้น ตัวเลขการเติบโตของประเทศที่พัฒนาแล้วเค้าโตน้อยๆได้เพราะเม็ดเงินที่ต้องใช้มีมูลค่าที่สูงมาก

* เราควรได้ประโยชน์จากการเติบโตของจีนมากกว่านี้
- ปัจจุบันจีนมีมาตรการทางการเงินคือ ควบคุมค่าเงินหยวนให้ไปในทิศทางเดียวกันกับUSD ไม่ได้ยอมปล่อยให้ค่าเงินหยวนแข็งเหมือนกับประเทศอื่นๆ ผลพลอยได้คือทำให้ตัวเลขการส่งออกของจีนดี (เพราะเงินสกุลอื่นแข็งค่ากัน)
- เรื่องที่จะมีพูดคุยในประชุม APEC เรื่องนึงคือ เสถียรภาพของ USD ซึ่งทำให้หลายๆประเทศกำลังประสบกับปัญหาการส่งออกอยู่ในขณะนี้
- จีน อินเดีย และพวก Emerging Market จะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังไม่ได้ความช่วยเหลือจากจีนมากเท่าที่ควรจะเป็น เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน ที่เกาะตามจีนไปแล้ว เช่น สิงคโปร์ หรือ มาเลเซีย (ในช่วงที่บ้านเรามีปัญหามาบตาพุต มาเลเซียมีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ คล้ายๆกับ BOI บ้านเรา มีการลดหย่อนสิทธิทางภาษี 10%) ข้อต่อภายในของประเทศไทยเองควรมีการขับเคลื่อนให้เป็นขบวนเดียวกันมากกว่านี้

* Sector ที่น่าสนใจในปีหน้า
- High Yield/Dividend คุณโอภาสให้มุมมองที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ สาเหตุที่หุ้นไทยมีการปันผลมากกว่าประเทศเพื่อนบ้านเนื่องจาก หุ้นส่วนใหญ่ของไทยยังมีเจ้าของเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ :)
- เริ่มสังเกตุได้ว่ามีการควบรวมกิจการมากขึ้น ราคาหุ้นตัวที่จะถูกควบรวมก็มีโอกาสสูงที่ราคาจะเพิ่มขึ้น
- บริษัทที่มีความเป็นสากลมากขึ้น มีการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ช่วยลดความเสี่ยงปัจจัยภายในประเทศ
- กลุ่มค้าปลีก/เกี่ยวกับการใช้สอยภายในประเทศ

ตอนต่อไปจะแชร์มุมมองของคุณไพบูลย์นะครับ ส่วนตัวผมชอบมาก แกอธิบายที่มาที่ไปของนโยบายการเงินและการคลังของสหรัฐว่าทำอย่างไรถึงทำให้ USD อ่อนและส่งผลถึงตลาดทุน และ commodityได้มากถึงขนาดนี้

Re: Note Set in the cityแนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ปี53 (Par

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 14, 2009 12:21 am
โดย นักดูดาว
radtanapan เขียน:
ดร. ก้องเกียรติ


* สิ่งที่ต้องจับตามองในปีหน้า เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และ ตัวเลขการว่างงานของ US
- มีโอกาสที่เงินเฟ้อสูง อัตราดอกเบี้ยจะขึ้น (AUS ขึ้นไปแล้วสองครั้ง) ระวังว่า US จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า นอกจากนั้นให้ดูตัวเลขอัตราการว่างงานของสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 10.2x% สูงสุดในรอบ 20 กว่าปี
- ภาพรวมในปีหน้ามีแนวโน้มว่าไม่สดใสเท่ากับปีนี้ ไม่ทรง ก็ ทรุด
STRONG BUY!!!

ก้องเกียรติเอฟเฟก!

Re: Note Set in the cityแนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ปี53 (Par

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 14, 2009 12:34 am
โดย miracle
นักดูดาว เขียน: STRONG BUY!!!

ก้องเกียรติเอฟเฟก!
แล้วซื้ออะไรล่ะครับ
:)

Note Set in the cityแนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ปี53 (Part I)

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 14, 2009 7:00 am
โดย sai
ขอบคุณที่นำมาเอื้อเฟื้อครับ

Re: Note Set in the cityแนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ปี53 (Par

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 14, 2009 11:19 am
โดย กาละมัง
radtanapan เขียน:- มีโอกาสที่เงินเฟ้อสูง อัตราดอกเบี้ยจะขึ้น (AUS ขึ้นไปแล้วสองครั้ง) ระวังว่า US จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า นอกจากนั้นให้ดูตัวเลขอัตราการว่างงานของสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 10.2x% สูงสุดในรอบ 20 กว่าปี
- ภาพรวมในปีหน้ามีแนวโน้มว่าไม่สดใสเท่ากับปีนี้ ไม่ทรง ก็ ทรุด
เมื่อวิกฤตต้มยำกุ้ง....ไทยมีอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกว่า  15%  10 ปีให้หลังลดลงมาตลอดจนเหลือ 1-2%....เหตุเพราะว่าธุรกิจเริ่มประมาณตน (conservative)  บริหารอย่างรอบคอบ  พยายามก่อหนี้ให้น้อยที่สุด

สำหรับ USA   เชื่อว่าจะเดินคล้าย ๆ ไทย คือ อัตราดอกเบี้ย จึงคงไม่อาจขึ้นได้ในระยะสั้น  เพราะการขึ้นดอกเบี้ยจะสร้างภาระให้ลูกหนี้เดิม  และจะก่อให้เกิด NPL เพิ่มขึ้นตามมาได้  ส่วนผู้กู้ใหม่น่าจะน้อยลง เพราะกลัวหัวหดไม่กล้ากู้อีกแล้ว   อีกทั้งรัฐบาลได้อัดฉีดเงินช่วยเหลือเข้าสู่ระบบเป็นจำนวนมหาศาลขนาดนั้น    การขึ้นดอกเบี้ยตามมาจะยิ่งซ้ำเติมปัญหา....จึงเชื่อว่าเร็วเกินไปที่ดอกเบี้ย US  จะปรับขึ้นในระยะอันใกล้