หายนะ !!
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 23, 2009 10:13 am
นั่งกินเข้าเช้า ไปอ่านเจอคอลัมภ์ของคุณนิติภูมิ อ่านแล้วรู้สึกเศร้ามากๆ เหตุใดประเทศไทยของเราถึงเป็นแบบนี้ครับ.. เสื้อตัวที่ห้ากลายร่างสู่แมวตัวที่ยี่สิบ... ทำยังไงกันดี
หายนะ
จันทร์ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
อังคารวันพรุ่งนี้ เวลา ๑๕.๑๕ ๑๖.๓๐ น. ธนาคารทหารไทยชวนนิติภูมิพูด ผลกระทบโอกาสด้านการตลาดสำหรับ SME รับใช้ผู้ประกอบการ SME ที่เป็นลูกค้าของธนาคาร ๒๐๐ คน ที่ The Empress Convention Center จ. เชียงใหม่
เสาร์ที่ผ่านมา ผมไปพูดรับใช้ผู้ประกอบการธุรกิจยานยนต์ที่ จ. นครราชสีมา นักธุรกิจหลายท่านเจอหน้าก็เข้ามายิงคำถาม โดยเฉพาะถามถึงเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในสาขาบริการสำคัญของไทย ผมตอบไปว่า...
ปีนี้ พ.ศ. ๒๕๕๑ นักลงทุนจากประเทศสมาชิกอาเซียน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฯลฯ ถือหุ้นบริษัทไทยในสาขาโลจิสติกส์ได้ไม่น้อยกว่า ๔๙% หมายความว่าคนไทยสามารถถือได้ ๕๑%
ปีหน้า ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นไป ในสาขาโลจิสติกส์ นักลงทุนจากชาติสมาชิกอาเซียนถือหุ้นได้ ๕๑% (คนไทยถือ ๔๙%)
อีก ๓ ปีถัดไป พ.ศ. ๒๕๕๖ ในสาขาโลจิสติกส์เดียวกันนี้ นักลงทุนจากชาติสมาชิกอาเซียนถือหุ้นได้ ๗๐% (คนไทยถือ ๓๐%)
ท่านทั้งหลายที่มาฟังผมที่โคราช ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของบริษัทรถขนส่งสินค้าซึ่งเป็นสมาชิกสมาคมผู้ประกอบการขนส่งสินค้าภาคอีสาน หลายท่านมาจากสมาคมขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย และอีกส่วนหนึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ท่านผู้ฟังจำนวนไม่น้อยที่ไม่ทราบข้อมูลเรื่องการลงนามปฏิญญาว่าด้วยแผนงานการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่มีผลผูกพันต่อประเทศสมาชิกมาก่อน
ผมเห็นใจท่านทั้งหลายนะครับ ที่เรามีรัฐบาลหนูจ๋า ไม่มีอำนาจการเจรจาต่อรอง และไม่ได้รับความเคารพจากนานาประเทศ นอกจากนั้น ยังอ่อนประชาสัมพันธ์ ทั้งที่สื่อของรัฐมีบานเบอะเยอะแยะ แต่ก็ไม่มีปัญญาแพร่กระจายขยายความรู้สู่ประชาชน ว่าอะไรบ้างที่จะกระทบต่อสถานะของผู้ประกอบการไทย
รัฐมนตรีทั้งหลายที่มีอยู่ในปัจจุบัน ท่านก็ไม่ทำงาน เที่ยวเอาเวลานาทีที่มีราคาค่างวดของการบริหารประเทศไปวิ่งไล่จับคนคนเดียว เที่ยวไปทะเลาะกะเพื่อนบ้าน ไม่เคยมีรัฐมนตรีหน้าไหนโผล่หน้ามาอธิบายให้ประชาชนคนไทยทราบเลยว่า โดยทางอ้อม ข้อตกลงการลงทุนอาเซียนให้สิทธิพิเศษกับสมาชิกนอกภูมิภาคด้วย ซึ่งต่างจากของอียู ซึ่งเป็นข้อตกลงภูมิภาคที่ให้สิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิกในภูมิภาคเท่านั้น
ผมมองหน้าท่านผู้ถามซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทขนส่งขนาดกลางของประเทศไทยแล้วก็เห็นใจ ว่าภายในเวลาอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ธุรกิจของท่านอาจจะล้มหายตายจากไป คนในครอบครัวของท่าน ซึ่งแต่เดิมเป็นลูกหลานเจ้าของกิจการ อาจจะต้องกลายไปเป็นลูกจ้างบริษัทต่างชาติ หรือกลายเป็นคนไร้งาน
ถ้าคนไต้หวันต้องการเข้ามาคุมกิจการโลจิสติกส์ในไทย ทำได้ง่ายนิดเดียว เพียงแต่เข้ามาตั้งบริษัทในประเทศสิงคโปร์ที่คนต่างชาติเป็นเจ้าของหุ้นได้ ๑๐๐%
คนไต้หวันพวกนี้ก็จะมีสถานะเป็น นักลงทุนอาเซียน และเมื่อมาลงทุนต่อในประเทศไทย ท่านก็คิดคำนวณเอาเถิดตามที่ผมรับใช้ไปย่อหน้าข้างบน ๔๙ : ๕๑ (พ.ศ. ๒๕๕๑) ๕๑ : ๔๙ (พ.ศ. ๒๕๕๓) และ ๗๐ : ๓๐ (พ.ศ. ๒๕๕๖)
ผมยังไม่ได้รับใช้ถึงเรื่องการเพิ่มสัดส่วนของการถือหุ้นในสาขาบริการสำคัญของไทย อย่างสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ สุขภาพ และการท่องเที่ยว นะครับ ซึ่งนักลงทุนที่เป็นบุคคล หรือที่เป็นนิติบุคคลสัญชาติอาเซียนถือหุ้นเป็นสัดส่วนกับผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยได้ ๔๙ : ๕๑ (พ.ศ. ๒๕๕๑) และไม่น้อยกว่า ๗๐ : ๓๐ (พ.ศ. ๒๕๕๓)
หลายท่านว่า อ้า ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ดี ผม จะได้ไปลงทุนในมาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ฯลฯ จะเป็นเจ้าของธุรกิจในประเทศพวกนั้นให้โก้ไปเลย
นิติภูมิขอทำนายทายทักว่า ทุนอย่างเรา จะไปสู้ทุนญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ฮ่องกง ฯลฯ ได้หรือ? ต่อไปบริษัทพวกนี้จะกลายมาเป็นเจ้าใหญ่ในอาเซียนและไทย
ทราบข้อมูลจากการบรรยายพิเศษของ ผศ. ดร. ลาวัณย์ ถนัดศิลปะกุล ซึ่งท่านศึกษาเกี่ยวกับวิสาหกิจพบว่า องค์กรธุรกิจในประเทศไทยมีทั้งหมด ๒ ล้านกว่าราย ซึ่งเป็น ๙๙.๕% ของวิสาหกิจทั้งประเทศ แต่วิสาหกิจของไทยทั้งหมดเหล่านี้ส่งออกได้เพียง ๒๐% ของการส่งออกทั้งหมดของไทยเท่านั้น
ขณะที่บริษัทข้ามชาติซึ่งมีเพียง ๐.๕% ของบริษัททั้งหมดในประเทศ กลับส่งออกได้มากถึง ๘๐% ซึ่งบริษัทข้ามชาติพวกนี้เป็นของคนไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฯลฯ ท่านจะเอาอะไรไปสู้กับนักลงทุนจากประเทศพวกนี้ บริษัทต่างชาติพวกนี้นี่แหละครับ คือผู้สร้างจีดีพีของไทยตัวจริงเสียงจริง
หากอยากให้ลูกหลานไทยได้กินครบ ๓ มื้อ ก็ต้องสอนลูกหลานของท่านให้รู้จักการเป็นลูกจ้างที่ดี มีความขยันขันแข็ง
เพราะต่อไปท่านจะไม่ค่อยได้เห็นคนไทยเป็นเจ้าของธุรกิจอีกแล้ว.
[23/11/2552]
ที่มา http://www.nitipoom.com/th/article1.asp ... &ipagenum=
หายนะ
จันทร์ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
อังคารวันพรุ่งนี้ เวลา ๑๕.๑๕ ๑๖.๓๐ น. ธนาคารทหารไทยชวนนิติภูมิพูด ผลกระทบโอกาสด้านการตลาดสำหรับ SME รับใช้ผู้ประกอบการ SME ที่เป็นลูกค้าของธนาคาร ๒๐๐ คน ที่ The Empress Convention Center จ. เชียงใหม่
เสาร์ที่ผ่านมา ผมไปพูดรับใช้ผู้ประกอบการธุรกิจยานยนต์ที่ จ. นครราชสีมา นักธุรกิจหลายท่านเจอหน้าก็เข้ามายิงคำถาม โดยเฉพาะถามถึงเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในสาขาบริการสำคัญของไทย ผมตอบไปว่า...
ปีนี้ พ.ศ. ๒๕๕๑ นักลงทุนจากประเทศสมาชิกอาเซียน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฯลฯ ถือหุ้นบริษัทไทยในสาขาโลจิสติกส์ได้ไม่น้อยกว่า ๔๙% หมายความว่าคนไทยสามารถถือได้ ๕๑%
ปีหน้า ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นไป ในสาขาโลจิสติกส์ นักลงทุนจากชาติสมาชิกอาเซียนถือหุ้นได้ ๕๑% (คนไทยถือ ๔๙%)
อีก ๓ ปีถัดไป พ.ศ. ๒๕๕๖ ในสาขาโลจิสติกส์เดียวกันนี้ นักลงทุนจากชาติสมาชิกอาเซียนถือหุ้นได้ ๗๐% (คนไทยถือ ๓๐%)
ท่านทั้งหลายที่มาฟังผมที่โคราช ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของบริษัทรถขนส่งสินค้าซึ่งเป็นสมาชิกสมาคมผู้ประกอบการขนส่งสินค้าภาคอีสาน หลายท่านมาจากสมาคมขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย และอีกส่วนหนึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ท่านผู้ฟังจำนวนไม่น้อยที่ไม่ทราบข้อมูลเรื่องการลงนามปฏิญญาว่าด้วยแผนงานการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่มีผลผูกพันต่อประเทศสมาชิกมาก่อน
ผมเห็นใจท่านทั้งหลายนะครับ ที่เรามีรัฐบาลหนูจ๋า ไม่มีอำนาจการเจรจาต่อรอง และไม่ได้รับความเคารพจากนานาประเทศ นอกจากนั้น ยังอ่อนประชาสัมพันธ์ ทั้งที่สื่อของรัฐมีบานเบอะเยอะแยะ แต่ก็ไม่มีปัญญาแพร่กระจายขยายความรู้สู่ประชาชน ว่าอะไรบ้างที่จะกระทบต่อสถานะของผู้ประกอบการไทย
รัฐมนตรีทั้งหลายที่มีอยู่ในปัจจุบัน ท่านก็ไม่ทำงาน เที่ยวเอาเวลานาทีที่มีราคาค่างวดของการบริหารประเทศไปวิ่งไล่จับคนคนเดียว เที่ยวไปทะเลาะกะเพื่อนบ้าน ไม่เคยมีรัฐมนตรีหน้าไหนโผล่หน้ามาอธิบายให้ประชาชนคนไทยทราบเลยว่า โดยทางอ้อม ข้อตกลงการลงทุนอาเซียนให้สิทธิพิเศษกับสมาชิกนอกภูมิภาคด้วย ซึ่งต่างจากของอียู ซึ่งเป็นข้อตกลงภูมิภาคที่ให้สิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิกในภูมิภาคเท่านั้น
ผมมองหน้าท่านผู้ถามซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทขนส่งขนาดกลางของประเทศไทยแล้วก็เห็นใจ ว่าภายในเวลาอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ธุรกิจของท่านอาจจะล้มหายตายจากไป คนในครอบครัวของท่าน ซึ่งแต่เดิมเป็นลูกหลานเจ้าของกิจการ อาจจะต้องกลายไปเป็นลูกจ้างบริษัทต่างชาติ หรือกลายเป็นคนไร้งาน
ถ้าคนไต้หวันต้องการเข้ามาคุมกิจการโลจิสติกส์ในไทย ทำได้ง่ายนิดเดียว เพียงแต่เข้ามาตั้งบริษัทในประเทศสิงคโปร์ที่คนต่างชาติเป็นเจ้าของหุ้นได้ ๑๐๐%
คนไต้หวันพวกนี้ก็จะมีสถานะเป็น นักลงทุนอาเซียน และเมื่อมาลงทุนต่อในประเทศไทย ท่านก็คิดคำนวณเอาเถิดตามที่ผมรับใช้ไปย่อหน้าข้างบน ๔๙ : ๕๑ (พ.ศ. ๒๕๕๑) ๕๑ : ๔๙ (พ.ศ. ๒๕๕๓) และ ๗๐ : ๓๐ (พ.ศ. ๒๕๕๖)
ผมยังไม่ได้รับใช้ถึงเรื่องการเพิ่มสัดส่วนของการถือหุ้นในสาขาบริการสำคัญของไทย อย่างสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ สุขภาพ และการท่องเที่ยว นะครับ ซึ่งนักลงทุนที่เป็นบุคคล หรือที่เป็นนิติบุคคลสัญชาติอาเซียนถือหุ้นเป็นสัดส่วนกับผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยได้ ๔๙ : ๕๑ (พ.ศ. ๒๕๕๑) และไม่น้อยกว่า ๗๐ : ๓๐ (พ.ศ. ๒๕๕๓)
หลายท่านว่า อ้า ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ดี ผม จะได้ไปลงทุนในมาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ฯลฯ จะเป็นเจ้าของธุรกิจในประเทศพวกนั้นให้โก้ไปเลย
นิติภูมิขอทำนายทายทักว่า ทุนอย่างเรา จะไปสู้ทุนญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ฮ่องกง ฯลฯ ได้หรือ? ต่อไปบริษัทพวกนี้จะกลายมาเป็นเจ้าใหญ่ในอาเซียนและไทย
ทราบข้อมูลจากการบรรยายพิเศษของ ผศ. ดร. ลาวัณย์ ถนัดศิลปะกุล ซึ่งท่านศึกษาเกี่ยวกับวิสาหกิจพบว่า องค์กรธุรกิจในประเทศไทยมีทั้งหมด ๒ ล้านกว่าราย ซึ่งเป็น ๙๙.๕% ของวิสาหกิจทั้งประเทศ แต่วิสาหกิจของไทยทั้งหมดเหล่านี้ส่งออกได้เพียง ๒๐% ของการส่งออกทั้งหมดของไทยเท่านั้น
ขณะที่บริษัทข้ามชาติซึ่งมีเพียง ๐.๕% ของบริษัททั้งหมดในประเทศ กลับส่งออกได้มากถึง ๘๐% ซึ่งบริษัทข้ามชาติพวกนี้เป็นของคนไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฯลฯ ท่านจะเอาอะไรไปสู้กับนักลงทุนจากประเทศพวกนี้ บริษัทต่างชาติพวกนี้นี่แหละครับ คือผู้สร้างจีดีพีของไทยตัวจริงเสียงจริง
หากอยากให้ลูกหลานไทยได้กินครบ ๓ มื้อ ก็ต้องสอนลูกหลานของท่านให้รู้จักการเป็นลูกจ้างที่ดี มีความขยันขันแข็ง
เพราะต่อไปท่านจะไม่ค่อยได้เห็นคนไทยเป็นเจ้าของธุรกิจอีกแล้ว.
[23/11/2552]
ที่มา http://www.nitipoom.com/th/article1.asp ... &ipagenum=