AFTAกระตุ้นส่งออกปีนี้โต10% น่าจับตา"เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์"
--------------------------
หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น วันที่ 12 ม.ค. 2553
การผลิตและการส่งออกอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทยในปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบมากจากปัญหาเศรษฐกิจโลกถดถอย ในไตรมาสแรกของปี 52 การส่งออกของไทยหดตัวลงไปค่อนข้างมาก เนื่องจากธุรกิจต่างก็พยายามลดสินค้าคงคลังซึ่งถือเป็นต้นทุนและชะลอการสั่งซื้อเพิ่ม
อย่างไรก็ดี เมื่อธุรกิจได้ลดระดับของสินค้าคงคลังเข้าสู่ระดับที่ต่ำมาก จึงทำให้เมื่อเข้าไตรมาส 2 ก็เริ่มมีการสั่งซื้อเข้ามาเพื่อนำมาผลิตเป็นสินค้า ทำให้การส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในไตรมาส 2 และ 3 ของไทย เริ่มเห็นการหดตัวอัตรา ที่ชะลอลง ตามลำดับ
นอกจากผลของสินค้าคงคลัง การปรับตัวดีขึ้นของการส่งออกยังมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางด้านฤดูกาล และการปรับตัวของผู้ผลิต/ผู้ส่งออกโดยการเพิ่มการส่งออกไปยังตลาดในเอเชีย จีน อินเดีย กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก รวมทั้ง กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนตลาดดั้งเดิม
โดยในปี 52 จีนได้กลายเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งแทนที่สหรัฐ ขณะที่ตลาดใหม่ เช่น
อินเดีย สาธารณรัฐเช็ก เวียดนาม และบางประเทศในแถบตะวันออกกลาง มีการขยายตัวสูง และด้านการส่งออกไปยังตลาดดั้งเดิมบางส่วน เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ได้กลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว โดยมูลค่าการส่งออกของอุตสาหกรรมโดยรวมเริ่มกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ในเดือนพ.ย. อย่างไรก็ดี เนื่องจากการหดตัวสูงในช่วงต้นปี การส่งออกช่วง 11 เดือนแรกจึงยังหดตัวอยู่ 16.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับเดือนธ.ค. คาดว่าคำสั่งซื้อมีแนวโน้มที่อาจทรงตัวอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับในเดือนพ.ย.
สำหรับปี 53 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่ามูลค่าการส่งออกอาจขยายตัวได้อยู่ในช่วง 5.4-10.4% มูลค่า 44,542-46,656 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มขยายตัว 5-10% เมื่อเทียบกับปีก่อน คิดเป็นมูลค่าส่งออก 28,235-29,580 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้ามีแนวโน้มขยายตัว 6-11% มูลค่า 16,307-17,076 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ (ส่วนใหญ่เป็นฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ) คาดว่ามูลค่าส่งออกอาจขยายตัวได้ในช่วง 7-12% เมื่อเทียบกับปีก่อน (มูลค่า 15,356-16,073 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากที่หดตัวไป 13.5% ในปี 52 ซึ่งการเติบโตของการส่งออกฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟจะเป็นไปตามแนวโน้มของตลาดโลก ส่วนแผงวงจรไฟฟ้า คาดว่าอาจหดตัวเล็กน้อยที่ 3% ถึงขยายตัว 5% (มูลค่า 6,240-6,754 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เมื่อเทียบกับปี 52 ที่หดตัว 11.2%
จากภาพรวม สำหรับสินค้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์คาดว่าแรงสนับสนุนจากผลของสินค้าคงคลังในช่วงก่อนจะค่อยๆ หมดลงไปในช่วงไตรมาสแรก ทำให้ปัจจัยที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนความต้องการสั่งซื้อสินค้าของผู้ผลิตหรือผู้ค้าจะขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของตลาดอุปสงค์ขั้นสุดท้ายในตลาดโลก ที่สำคัญ ได้แก่ สินค้าไอที เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ อุตสาหกรรมยานยนต์
ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ของบริษัทวิจัยและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม ประเมินแนวโน้มของตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ปี 53 ว่าอาจเติบโตได้ถึง 10% โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของสมาร์ทโฟนซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีการสื่อสาร ด้านตลาดคอมพิวเตอร์ ปี 53 คาดว่าอาจเติบโตได้ถึง 10% โดยได้รับปัจจัยบวกจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของอุปสงค์ในตลาดประเทศเกิดใหม่ และความนิยมในการใช้คอมพิวเตอร์พกพาทั้งโน้ตบุ๊คและเน็ตบุ๊ค ขณะที่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ปีหน้า คาดว่ายอดขายรถจะขยายตัว 4.7% จากปี 52 ซึ่งหดตัวกว่า 14% เนื่องจากจีน อินเดีย และบราซิล แม้ว่าตลาดในสหรัฐฯ และประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ อาจยังค่อนข้างทรงตัว
แม้ว่าจากตัวเลขเครื่องชี้ของอุตสาหกรรมที่ผ่านมา จะเริ่มเห็นการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น สหรัฐฯ ยุโรป และความเสี่ยงของการเกิดเศรษฐกิจฟองสบู่ในจีนและอีกหลายๆ ประเทศในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดผู้บริโภคสินค้าขั้นสุดท้ายที่สำคัญของสินค้ากลุ่มการสื่อสารและเทคโนโลยี และเป็นตลาดรถยนต์หลักของโลก
ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่อาจกระทบต่อผู้ประกอบการ ได้แก่ เทรนด์ของการควบรวมกิจการ/หน่วยผลิตบางส่วนของเหล่าผู้ผลิตสินค้าไอทีและเครื่องใช้ไฟฟ้าในช่วงก่อน ซึ่งส่งผลให้อำนาจต่อรองของผู้ซื้อเพิ่มขึ้น ทำให้มองได้ว่าในปี 53 ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อาจยังคงต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านราคาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนของการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้า มองว่า ปัจจัยบวกต่อการส่งออกในอนาคตที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การเข้ามาลงทุนในไทยและ/หรือขยายฐานการผลิตของบริษัทข้ามชาติผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายรายทั้งจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ได้เข้ารวมถึงมีการจัดตั้งศูนย์ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประจำภูมิภาคขึ้นในไทย ทำให้ไทยมีศักยภาพในการเป็นฮับการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจุดแข็งของไทยจะอยู่ในกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน
ทั้งนี้ ในปี 53 การทำข้อตกลงการเปิดเสรีอาเซียนและอาเซียน-จีน จะทำให้อัตราภาษีของส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภทเป็น 0% ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.เป็นต้นไป จะเป็นผลดีต่อผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทยที่จะสามารถนำเข้าชิ้นส่วนในต้นทุนที่ต่ำลงในขณะที่มีแนวโน้มขยายตลาดส่งออกได้มากขึ้น
รายสินค้าในปี 53 กลุ่มโทรทัศน์มีแนวโน้มขยายตัวเป็นบวกโดยยอดขายในประเทศแถบเอเชีย อาทิ อินเดีย เวียดนาม และอิหร่าน จะขยายตัวได้ดี ขณะที่หลายประเทศซึ่งการส่งออกหดตัวไปสูงในช่วงก่อน เช่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ มีแนวโน้มกลับมาเติบโตเป็นบวก ด้านสินค้ากลุ่มเครื่องปรับอากาศประเภทที่ใช้ในที่อยู่อาศัยที่ส่งออกไปประเทศแถบยุโรปอาจได้รับผลดีจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ทำให้ความต้องการใช้เครื่องปรับอากาศเพิ่มขึ้น แต่การส่งออกไปยังประเทศแถบตะวันออกกลาง คือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ น่าจะเห็นการหดตัวค่อนข้างมากในปี 53 เพราะปัญหาภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์
แม้ว่ามูลค่าส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าปี 53 มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวเป็นบวก แต่ก็อาจจะเป็นไปในอัตราที่จำกัด เนื่องจากแม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นแต่ยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนอยู่มาก ประกอบกับอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับสูง ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ตลาดประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น บางประเทศมีแนวโน้มที่อาจหดตัวลดลงจากปีก่อนแต่จะยังไม่กลับมาขยายตัวเป็นบวก ด้านตลาดใหม่ แม้ว่าในภาพรวมน่าจะเติบโตได้ดี แต่ยังคงต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพการเติบโตของเศรษฐกิจในบางประเทศ และการส่งออกของไทยได้
ทั้งนี้ สิ่งที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมควรต้องคำนึงถึง ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกในอนาคต ได้แก่ 1.การเปิดเสรีการค้า (FTA) ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.53 ไทยมีพันธะที่จะต้องลดภาษีสินค้าปกติ ตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน และเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ซึ่งจะมีผลให้สินค้าประเภทผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายสินค้า ได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า ซึ่งผู้ประกอบการบางกลุ่มอาจได้รับประโยชน์จากการใช้ชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบนำเข้าในต้นทุนที่ถูกลง และการขยายตลาดส่งออกในภูมิภาค ทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ในอีกด้าน ผู้ผลิตชิ้นส่วนกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากสินค้านำเข้า ก็ต้องปรับตัวรับมือกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
2.กฎระเบียบทางการค้า โดยการใช้มาตรการที่มิใช่ภาษีในประเทศคู่ค้าที่เข้มข้นขึ้น ทั้งในรูปแบบของมาตรฐานสินค้า กฎระเบียบที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้บริโภค สุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม เช่น ในจีน แม้ว่าไทยจะมีข้อตกลงการเปิดเสรี แต่การส่งออกสินค้ายังต้องเผชิญกับมาตรฐานสินค้าและกฎระเบียบอื่นๆ ที่มีอยู่ในประเทศ ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกและเป็นภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น หรือในกลุ่มสหภาพยุโรป ซึ่งมีการบังคับใช้มาตรฐาน REACH, WEE, RoHS เป็นต้น
3.เทรนด์สีเขียว โดยหลายๆ ประเทศได้บรรจุไว้ในมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ญี่ปุ่นซึ่งขยายระยะเวลาการให้เงินอุดหนุนสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในกลุ่มนี้ หรือสหรัฐ และประเทศในยุโรป ขณะที่ไทยซึ่งมีนโยบายส่งเสริมพลังงานทางเลือก (พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ฯลฯ) และล่าสุด สหภาพยุโรปได้ออกข้อกำหนดเกี่ยวกับฉลากพลังงานเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่ทำการผลิตหรืออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งการใช้นโยบายส่งเสริมสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะเป็นโอกาสสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน สินค้า Eco-design ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นส่วนประกอบสินค้ากลุ่มนี้และที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือก เป็นต้น
4.การเติบโตของจีน ในปี 53 ผู้ประกอบการยังต้องจับตาการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์จากจีน ซึ่งส่วนแบ่งตลาดในตลาดโลกขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยสินค้าจากจีนมีความได้เปรียบด้านต้นทุนและมีหลายระดับคุณภาพและราคา ตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีแบรฺนด์และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ไฮเทคไปจนถึงชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป โดยสินค้าบางกลุ่มของจีนสามารถแข่งขันกับสินค้าจากต่างประเทศได้ เมื่อประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซา ทำให้ผู้บริโภค และผู้ประกอบการในต่างประเทศที่ใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนประกอบ อาจหันไปนำเข้าจากจีนเพิ่มมากขึ้นเพื่อลดค่าใช้จ่าย ซึ่งจุดนี้อาจกระทบต่อการส่งออกของไทย
อย่างไรก็ตามในอีกด้านหนึ่ง ผู้ประกอบการที่เป็นส่วนหนึ่งในสายการผลิตของจีนจะได้รับประโยชน์ กลยุทธ์ของธุรกิจส่งออกที่อยู่ในไทยในการรับมือจึงอาจกล่าวได้กว้างๆ เป็น 2 แนวทาง คือ การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมมือเพื่อโตไปกับจีน และ/หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนให้มีความแตกต่าง เป็นต้น
5.การแข่งขันดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากโครงสร้างของอุตสาหกรรมมีลักษณะเป็นเครือข่ายการผลิตโลก ดังนั้นการเข้ามาลงทุนของบริษัทข้ามชาติจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อแนวโน้มการส่งออกของไทยในอนาคต หมายความว่าภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศและการพัฒนาธุรกิจที่อยู่ในประเทศในอุตสาหกรรมนี้ เพื่อรักษาความได้เปรียบให้ไทยคงเป็นศูนย์กลางในการผลิตและกระจายสินค้าของภูมิภาค ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีบทบาทที่จะช่วยดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพและอยู่ในระดับที่แข่งขันได้
คาดการณ์การส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ปี 2552/53
2551 2552e 2553eรวมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (%) -2.6 -14.0 5.4 ถึง 10.4เครื่องใช้ไฟฟ้า (%) 6.1 -16.7 6 ถึง 11อิเล็กทรอนิกส์ (%) 0.7 -13.5 5 ถึง 10คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ (%) 6.1 -13.5 7 ถึง 12แผงวงจรไฟฟ้า (%) -14.0 -11.2 -3 ถึง 5
--------------------------
ที่มา :
http://www.kaohoon.com/pg.newspaper/rep ... ?cid=35435