ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 27, 2009 7:24 am
ผมหยิบคอมพิวเตอร์ขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะเขียนถึงทฤษฎีการปลูกพืช ( จริง ๆ ผมอาจจะใช้คำพูดผิดก็ได้น่ะครับ เพราะ การเป็นทฤษฎีจะต้องผ่านกระบวนการทดลองทางวิทยาศาตร์และได้ข้อสรุปที่แน่นอน แต่นี่อาจจะเป็นเพียงสมมติฐาน ที่ผ่านการกระทำของคนแค่บางคนที่ประสบผลเป็นที่น่าพอใจของเขาเพียงเท่านั้น ที่ผมได้เอามาถ่ายทอดต่อ ) นึก ๆ ไปผมว่า ผมเองก็โชคดีมากที่ได้พบและพูดคุยกับชายผู้นั้น มันเหมือนคนถูก Lotto ครับ แต่นี่มันเป็น lotto ทางปัญญาครับ
หลังจากการคุยกันคราวนั้น ผมใช้เงินสดส่วนหนึ่งที่ไม่ได้เดือนร้อนในการหามาและจำเป็นต้องใช้ในยามฉุกเฉิน ที่กูรูหุ้นหลายคนเรียกว่า เงินเย็นนั่นแหละครับ ผมหย่อนเงินเย็นของผมลงไปใน พอร์ต หรือ ที่ผมเรียกมันว่า pot หรือหม้อเก็บเงินของผม 100,000 บาท ไม่มากไปใช่ไหมครับ และ ก็ไม่น้อยไปสำหรับ มือใหม่ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในตลาดหุ้นเลย แล้วผมก็ทิ้งเงินหนึ่งแสนไว้อย่างนั้นแหละครับ หลายคนคงจะบอกว่า อ้าวทำไมไม่ซื้อหุ้นสักตัวล่ะ ยังหรอกครับ ผมยังเหลือเวลาอีกมากในชีวิตที่จะคลิกขวา สีเขียวสีแดงที่เห็นในกราฟไม่ได้มีอิทธิพลอะไรต่อผม ณ เวลาขณะนั้นแม้แต่น้อย ( อย่าคิดว่าเก่งน่ะครับ.....ไม่รู้ ....ดูไม่เป็นและวิเคราะห์ไม่ได้ต่างหากล่ะ 55 ! ) ไอ้ความไม่รู้นี่แหละครับเป็นครูอันดีนักสำหรับผม ไม่อย่างนั้นผมคงกระโจนเข้าไปคลิ๊กหุ้นตัวที่กำลังเป็นสีเขียวปริมาณการซื้อขายล้นหลาม แต่กลับกันผมพยายามที่จะบอกตัวเองว่า เงินก้อนนี้สำหรับผม ผมจะใช้มันสร้างการทดลองวัคซีนคุ้มกันหม้อเงินของตัวเองขึ้นมาให้ได้ จริงอยู่เงิน 100,000 บาทอาจไม่ใช่อะไรที่มาก แต่ในที่นี้ผมคิดเสมอว่าผมจะแทนที่มันด้วย ตัวเลข ศูนย์ที่เพิ่มขึ้นมาต่อท้ายอีกสองตัว หรือ ในจินตนาการว่า 10,000,000 บาท ดูเป็นหลักการแบบวิทยาศาตร์ดีไหมครับ นั่นก็เท่ากับว่าจินตนาการของผมมันทำให้ผมรู้ว่า ผมกำลังจะใช้เงินมูลค่า สิบล้านบาทในการลงทุน..... ไม่น้อยใช่ไหมครับ
มูลค่าเงินขนาดนี้นี่แหละครับ ที่ทำให้ผมเกิดความกลัวในจินตนาการ มันเหมือนกับที่ “ ไอน์สไตล์” บอกเอาไว้ว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” .... ความกลัวในจินตนาการนี่แหละครับ ที่ทำให้ผมต้องทำการบ้านหนัก เพราะเงินตั้งสิบล้านจะมาลง มั่ว ๆ ซั่ว ๆ ได้ไง
ผมจัดแบ่งกลุ่มการทดลองของผมออกเป็นสี่กลุ่มใหญ่ ๆ ตามแนวทางของพระพุทธองค์ครับ เพราะไม่สามารถไปมองหุ้นได้ทั้งตลาดในเวลาเริ่มต้นก้าวแรกของชีวิตนักลงทุน ผมเรียกมันว่าหุ้น ปัจจัยสี่ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยา รักษาโรค ปัจจัยที่ห้าที่หก เอาไว้เขาแข็งแรงวิ่งได้เมื่อไหร่จะค่อย ๆ ดูเพิ่มครับ
การเริ่มต้นของคน ๆ หนึ่งที่ไม่มีพี่เลี้ยงนี่มันเป็นอะไรที่ยากโคตร ๆ ครับ ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เข้าไปอ่านเว็บนั่น เว็บนี่ก็แล้ว บอร์ดนั่นบอร์ดนี่ก็แล้ว แต่มันยังจับจุดอะไรไม่ได้หาอะไรไม่เจอ เหมือนเราเข้าไปนั่งฟังเล็คเชอร์ในมหาลัยแต่ดันเข้าสาย ในที่นี้คือสายไปเป็นเดือน แต่แล้วจู่ ๆ หน้าของคุณ นักบิน ผู้มีอุปการคุณทางความคิดของผมก็ลอยเข้ามาในคณะที่ผมกำลังจับจดและกำลังจะหลงไปกับข้อความต่าง ๆ ที่พูดที่เชียร์หุ้นแต่ละตัว ในเว็บบอร์ดต่าง ๆ แล้วทฤษฎีการปลูกพืชก็โผล่ขึ้นมาในหัวของผม ข้อมูลที่มากมายในหัวผม ข่าวคราวต่าง ๆ ในโลกการเงิน มันกำลังจะผลักให้ผม เริ่มเพาะถั่วงอกลงในกระถาง !
ครับท่านผู้มีอุปการะคุณคุยกับผมว่า ตลาดหุ้นนี่ก็เหมือนกับฟาร์ม ๆ หนึ่งดี ๆ นี่เอง มีคนมากมายที่ต้องการเข้ามาปลูกพืชหวังผลกันมากมาย โดยส่วนตัวแล้วตัวเขาเองเกิดมาในครอบครัวการเกษตรของออสเตรเลีย สิ่งที่เขารับรู้ได้ในวัยเด็กจนถึงโตนั้นก็คือเรื่องราวของพืชผล ผลผลิต ราคา ที่พ่อและแม่เค้าทำเอาไว้ คุณเชื่อไหมครับว่านักบินเครื่องบินเจ็ทคนหนึ่งที่มีหลายได้ในหลักหลายล้านต่อปี จะซื้อหุ้นการเกษตรต่อเนื่องกันมาเป็นเวลายาวนาน โดยไม่เปลี่ยนกลุ่มเลย ! ! ! ผมถามเขาว่า ทำไม ? คำตอบที่ได้คือ ชีวิตผมรู้แค่เรื่องการเกษตรกับเครื่องบิน แล้วจะให้ผมไปซื้อหุ้นอันที่ผมไม่รู้ได้ไง ผมไม่เสี่ยงที่จะทำอย่างนั้นหรอก ! อ้าวแล้วงั้น ทำไมคุณไม่ไปซื้อหุ้นอย่าง โบอิ้ง แอร์บัสล่ะ ? ผมถามเขาต่อ เขาตอบผมว่า คุณว่าปีหนึ่ง แอร์บัส กับ โบอิ้ง ขายเครื่องได้กี่ลำ คิดเป็นน้ำหนักกี่ตัน ? แต่ประเทศไทย ปลูกข้าวได้กี่ตันล่ะ ปลูกยางพาราได้กี่ตัน หนักกว่า เครื่องบินไหม ? ผมตอบเขาว่าใช่ แต่ผมก็แย้งไปว่า ข้าวมันไม่ได้เป็นราคามากมายขนาดนั้น เขาบอกผมว่า ก็รัฐบาลคุณทำให้มันไม่เป็นราคามากกว่าต่างหากล่ะ คุณคิดดูซิ ว่าราคาข้าวของไทยในออสเตรเลียนี่ กระสอบล่ะเท่าไร ( ราคาตอนนั้น ถุง 25 กก. ราคา ขายปลีก อยู่ประมาณ 60 – 75 เหรียญ ต่อ กระสอบ ....หนึ่งเหรียญ ประมาณ 30 บาทครับ ) แต่ทำไมบริษัทการเกษตรของออสเตรเลียถึงได้มีกำไรต่อเนื่องล่ะ ทำไมชาวนาออสเตรเลียถึงได้มีเครื่องบินขับส่วนตัวล่ะ อ้าวถ้างี้แล้วบริษัทอย่าง แอปเปิ้ลล่ะ อย่างผมยังสนใจเลย ก็เห็น ไอพ็อต ไอโฟนเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดนี่ แล้วคนอย่างคุณไม่คิดจะสนใจบ้างเหรอ ....คำตอบที่ผมได้รับก็คือ สำหรับเขาคนซื้อหุ้น Apple Inc. ไม่ได้ซื้อเพราะเห็น ไอโฟน หรือ ไอพ็อต ขายดี แต่เขาซื้อเพราะความคิดของ สตีฟ จ็อบส์ ต่างหากล่ะ ที่ขายดี แต่หากวันใดไม่มีผู้ชายอย่าง สตีฟ จ็อปส์ หรือ บิลเกตส์ ในบริษัทเหล่านั้นล่ะ ....... มันต่างจากเกษตรกรรม บริษัทน่ะ ที่ไม่จำเป็นต้องมีตัวตนคนแค่บางคนเท่านั้นที่เป็นแบรนด์.....นี่แหละครับที่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ผมเรียกมันว่า ทฤษฎี ปลูกพืชของเขา
เขาบอกว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ในชีวิตของเขาตอนนี้ ก็คือ การปลูกต้น แอปเปิ้ล ต้น มฮอว์กกานี ( ไม่รู้ว่าเขียนถูกป่าว ....เป็นพืชยืนต้นขนาดใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขา คล้ายต้นก้ามปู ใหญ่อย่างนั้นให้ร่มเงาดีนักแล เนื้อไม้เอามาทำประตู หรือ กีตาร์ ) เขาเปรียบเทียบเอาไว้ว่าชีวิตในการลงทุนของของเขา ระยะเวลาการลงทุนมันไม่ต่างอะไรกับการปลูกต้นไม้หรอกครับ อย่างชาวสวนแอปเปิ้ล พวกเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อย สองถึงสามปี ในการที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตและปีที่สี่ที่ห้านั่นแหละครับที่คุณจะเริ่มเห็นผลแอ็ปเปิ้ลเต็มต้นจนแทบจะมองไม่เห็นใบ ในสองสามปีแรกเกษตรกรมักจะต้องพรวนดิน เด็ดลูกเล็ก ๆ ทิ้งเพราะมันจะทำให้ต้นของแอปเปิ้ลนั้นโตไม่สมบูรณ์ มันก็อาจจะเหมือนคนทำสวนมะม่วงบ้านเราน่ะครับ แอปเปิ้ลลูก เล็ก ๆ ที่เด็ดทิ้งเหล่านั้นแหละครับ เขาบอกว่ามันคือเหล่าบริษัทต่าง ๆ ที่เราได้รับข้อมูลต่าง ๆ มาว่ามันจะสุกงอมเป็นลูกแอปเปิ้ลที่ให้ผลหอมหวาน แต่ในความเป็นจริง แล้ว มันกลับไปถ่วงให้พร์อตของเราเติบโตช้าต่างหาก หรือมันทำให้ต้นของเราโตได้ไม่เต็มที่ต่างหากล่ะ เหมือนกับการที่เราต้องแบ่งเงินไปใส่ในบริษัทที่จะถ่วงความเจริญของพร์อตเรานั่นเอง เขาบอกกับผมว่า ในสวนเกษตรทางการเงินแห่งนี้ของเขา เขาบอก แอปเปิ้ลเอาไว้ กว่าครึ่งหนึ่งของพร์อต ส่วนที่เหลืออีกสามสิบเปอร์เซ็นต์นั้น เขาใช้มันปลูกไม้ยืนต้น อย่าง มฮอว์กกานี เอาไว้ เพราะเขาบอกว่าเขาอยากใด้ร่มเงาที่มั่นคงเอาไว้พัก ลมแรง ๆ ก็ต้านไหว จะตัดมาทำบ้าน ไม้มันก็แกร่งพอที่จะใช้ได้อย่างสบายใจ
อ้าวอย่างนี้แล้วอีก 20 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือล่ะ เขาตอบว่าแน่นอน .....ผมไม่ชอบปลูกถั่วงอกหรอก มันดูปลูกง่ายน่ะ แต่มันกินไม่อิ่มหรอก แถมเสียเวลาไปมากกว่า สู้ผมเอาเวลามารดน้ำพรวนดินดีกว่า แต่หากต้องปลูกแล้วล่ะก็ ผมจะรอเวลาที่ใครสักคนมาจ๊ะเอ๋ คุณตลาดให้ตกใจ ! เวลานั้นข้อมูลที่ผมได้ทำการบ้านเอาไว้จะถูกดึงกลับมาใช้อย่างรวดเร็ว การบ้านที่คุณทำมันก็เหมือนกับที่คุณได้พรวนดิน เตรียมดินไว้ตลอดเวลาไงล่ะ ช่วงนี้ล่ะที่คุณจะสามารถปลูกพืชล้มลุกอย่าง สตอร์เบอรี่ หรือ มะเขือเทศ ได้ อย่างน้อย สตอร์เบอรี่หรือมะเขือเทศเหล่านี้ก็อาจจะทำให้คุณนั่งกินไปพลาง ๆ ยามพักผ่อนดูผลผลิตในไร่ไง ! ! ! แต่ที่สำคัญอย่าลืมที่จะขายมันไปเพื่อเตรียมตัวเตรียมดิน เอาไว้ตลอดเวลาล่ะ.....เพราะบางครั้งคุณจำเป็นจะต้องสำรองเงินทุนเอาไว้ซ่อมแซมสวนแห่งนี้ ยามที่พายุใหญ่มันมาถึงจริง ๆ ......อย่าลืมน่ะ เงินสำรองฉุกเฉิน จำเป็นเสมอในสถานะการณ์คับขัน!!!!!!!
ผมไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่ผมได้คุยกับท่านผู้มีอุปการะทางความคิดในวันนั้น ทำให้ผมสามารถเลือกหุ้นที่ผมคิดว่ามันคือต้นแอปเปิ้ลของผมได้มา ประมาณ สิบห้า สิบหกตัวครับ ( คิดว่าใช่ของผมน่ะ....จริง ๆ น่ะ ) แล้วผมก็กลับมาเริ่มต้นจินตนาการกับเงินสิบล้านของผม ผมเริ่มต้นซื้อหุ้นครั้งแรกในชีวิตของผมเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เองครับ คงจะเป็นน้องใหม่ มาก ๆ ครับ สิ่งที่ผมบังเอิญมาก ๆ ก็คงจะเป็นการที่ผมถือเงินสด 10,000,000 ในจินตนาการหรือ หนึ่งแสนในความจริงเอาไว้แล้วบังเอิญไปจ๊ะเอ๋ กับคุณตลาดที่กำลังตกใจจากข่าวสารบางอย่างเข้า จนถึงวันนี้ มันทำให้ หม้อเงินของผมโตขึ้นจริง ๆ ครับ จนถึงวันนี้ หม้อเงินของผม มันโตขึ้น ประมาณ สามสิบกว่า เปอร์เซ็นต์ แต่ผมก็ยังเชื่อว่า ปีหน้ามันจะต้องลดลงกว่านี้ เพราะส่วนหนึ่งผมคงจำเป็นที่ต้องขาย มะเขือเทศทิ้งครับ แล้วอาจจะต้องปลูกแอ๊ปเปิ้ลเพิ่ม เสียดายแต่ว่า ด้วยความเขลาโง่ของผมเอง จึงยังไม่สามารถจะหากล้าของต้นกล้ามปูเจอครับ แต่อย่างน้อยผมเชื่อว่า วัคซีนที่ผมทำการทดลองเอาไว้ วันหนึ่งผมจะสามารถนำมันมาเป็นเกราะคุ้มกันหม้อเงินของผมได้ในอนาคตครับ และผมจะทำให้ได้อย่างที่ บัฟเฟต์ บอก เอาไว้ในกฎข้อที่สองว่า ....ให้กลับไปดูข้อที่หนึ่ง( กฎข้อที่หนึ่ง อย่าขาดทุน .....ผมทำถูกใช่ไหมครับ ? ).....หมาน้อย
หลังจากการคุยกันคราวนั้น ผมใช้เงินสดส่วนหนึ่งที่ไม่ได้เดือนร้อนในการหามาและจำเป็นต้องใช้ในยามฉุกเฉิน ที่กูรูหุ้นหลายคนเรียกว่า เงินเย็นนั่นแหละครับ ผมหย่อนเงินเย็นของผมลงไปใน พอร์ต หรือ ที่ผมเรียกมันว่า pot หรือหม้อเก็บเงินของผม 100,000 บาท ไม่มากไปใช่ไหมครับ และ ก็ไม่น้อยไปสำหรับ มือใหม่ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในตลาดหุ้นเลย แล้วผมก็ทิ้งเงินหนึ่งแสนไว้อย่างนั้นแหละครับ หลายคนคงจะบอกว่า อ้าวทำไมไม่ซื้อหุ้นสักตัวล่ะ ยังหรอกครับ ผมยังเหลือเวลาอีกมากในชีวิตที่จะคลิกขวา สีเขียวสีแดงที่เห็นในกราฟไม่ได้มีอิทธิพลอะไรต่อผม ณ เวลาขณะนั้นแม้แต่น้อย ( อย่าคิดว่าเก่งน่ะครับ.....ไม่รู้ ....ดูไม่เป็นและวิเคราะห์ไม่ได้ต่างหากล่ะ 55 ! ) ไอ้ความไม่รู้นี่แหละครับเป็นครูอันดีนักสำหรับผม ไม่อย่างนั้นผมคงกระโจนเข้าไปคลิ๊กหุ้นตัวที่กำลังเป็นสีเขียวปริมาณการซื้อขายล้นหลาม แต่กลับกันผมพยายามที่จะบอกตัวเองว่า เงินก้อนนี้สำหรับผม ผมจะใช้มันสร้างการทดลองวัคซีนคุ้มกันหม้อเงินของตัวเองขึ้นมาให้ได้ จริงอยู่เงิน 100,000 บาทอาจไม่ใช่อะไรที่มาก แต่ในที่นี้ผมคิดเสมอว่าผมจะแทนที่มันด้วย ตัวเลข ศูนย์ที่เพิ่มขึ้นมาต่อท้ายอีกสองตัว หรือ ในจินตนาการว่า 10,000,000 บาท ดูเป็นหลักการแบบวิทยาศาตร์ดีไหมครับ นั่นก็เท่ากับว่าจินตนาการของผมมันทำให้ผมรู้ว่า ผมกำลังจะใช้เงินมูลค่า สิบล้านบาทในการลงทุน..... ไม่น้อยใช่ไหมครับ
มูลค่าเงินขนาดนี้นี่แหละครับ ที่ทำให้ผมเกิดความกลัวในจินตนาการ มันเหมือนกับที่ “ ไอน์สไตล์” บอกเอาไว้ว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” .... ความกลัวในจินตนาการนี่แหละครับ ที่ทำให้ผมต้องทำการบ้านหนัก เพราะเงินตั้งสิบล้านจะมาลง มั่ว ๆ ซั่ว ๆ ได้ไง
ผมจัดแบ่งกลุ่มการทดลองของผมออกเป็นสี่กลุ่มใหญ่ ๆ ตามแนวทางของพระพุทธองค์ครับ เพราะไม่สามารถไปมองหุ้นได้ทั้งตลาดในเวลาเริ่มต้นก้าวแรกของชีวิตนักลงทุน ผมเรียกมันว่าหุ้น ปัจจัยสี่ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยา รักษาโรค ปัจจัยที่ห้าที่หก เอาไว้เขาแข็งแรงวิ่งได้เมื่อไหร่จะค่อย ๆ ดูเพิ่มครับ
การเริ่มต้นของคน ๆ หนึ่งที่ไม่มีพี่เลี้ยงนี่มันเป็นอะไรที่ยากโคตร ๆ ครับ ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เข้าไปอ่านเว็บนั่น เว็บนี่ก็แล้ว บอร์ดนั่นบอร์ดนี่ก็แล้ว แต่มันยังจับจุดอะไรไม่ได้หาอะไรไม่เจอ เหมือนเราเข้าไปนั่งฟังเล็คเชอร์ในมหาลัยแต่ดันเข้าสาย ในที่นี้คือสายไปเป็นเดือน แต่แล้วจู่ ๆ หน้าของคุณ นักบิน ผู้มีอุปการคุณทางความคิดของผมก็ลอยเข้ามาในคณะที่ผมกำลังจับจดและกำลังจะหลงไปกับข้อความต่าง ๆ ที่พูดที่เชียร์หุ้นแต่ละตัว ในเว็บบอร์ดต่าง ๆ แล้วทฤษฎีการปลูกพืชก็โผล่ขึ้นมาในหัวของผม ข้อมูลที่มากมายในหัวผม ข่าวคราวต่าง ๆ ในโลกการเงิน มันกำลังจะผลักให้ผม เริ่มเพาะถั่วงอกลงในกระถาง !
ครับท่านผู้มีอุปการะคุณคุยกับผมว่า ตลาดหุ้นนี่ก็เหมือนกับฟาร์ม ๆ หนึ่งดี ๆ นี่เอง มีคนมากมายที่ต้องการเข้ามาปลูกพืชหวังผลกันมากมาย โดยส่วนตัวแล้วตัวเขาเองเกิดมาในครอบครัวการเกษตรของออสเตรเลีย สิ่งที่เขารับรู้ได้ในวัยเด็กจนถึงโตนั้นก็คือเรื่องราวของพืชผล ผลผลิต ราคา ที่พ่อและแม่เค้าทำเอาไว้ คุณเชื่อไหมครับว่านักบินเครื่องบินเจ็ทคนหนึ่งที่มีหลายได้ในหลักหลายล้านต่อปี จะซื้อหุ้นการเกษตรต่อเนื่องกันมาเป็นเวลายาวนาน โดยไม่เปลี่ยนกลุ่มเลย ! ! ! ผมถามเขาว่า ทำไม ? คำตอบที่ได้คือ ชีวิตผมรู้แค่เรื่องการเกษตรกับเครื่องบิน แล้วจะให้ผมไปซื้อหุ้นอันที่ผมไม่รู้ได้ไง ผมไม่เสี่ยงที่จะทำอย่างนั้นหรอก ! อ้าวแล้วงั้น ทำไมคุณไม่ไปซื้อหุ้นอย่าง โบอิ้ง แอร์บัสล่ะ ? ผมถามเขาต่อ เขาตอบผมว่า คุณว่าปีหนึ่ง แอร์บัส กับ โบอิ้ง ขายเครื่องได้กี่ลำ คิดเป็นน้ำหนักกี่ตัน ? แต่ประเทศไทย ปลูกข้าวได้กี่ตันล่ะ ปลูกยางพาราได้กี่ตัน หนักกว่า เครื่องบินไหม ? ผมตอบเขาว่าใช่ แต่ผมก็แย้งไปว่า ข้าวมันไม่ได้เป็นราคามากมายขนาดนั้น เขาบอกผมว่า ก็รัฐบาลคุณทำให้มันไม่เป็นราคามากกว่าต่างหากล่ะ คุณคิดดูซิ ว่าราคาข้าวของไทยในออสเตรเลียนี่ กระสอบล่ะเท่าไร ( ราคาตอนนั้น ถุง 25 กก. ราคา ขายปลีก อยู่ประมาณ 60 – 75 เหรียญ ต่อ กระสอบ ....หนึ่งเหรียญ ประมาณ 30 บาทครับ ) แต่ทำไมบริษัทการเกษตรของออสเตรเลียถึงได้มีกำไรต่อเนื่องล่ะ ทำไมชาวนาออสเตรเลียถึงได้มีเครื่องบินขับส่วนตัวล่ะ อ้าวถ้างี้แล้วบริษัทอย่าง แอปเปิ้ลล่ะ อย่างผมยังสนใจเลย ก็เห็น ไอพ็อต ไอโฟนเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดนี่ แล้วคนอย่างคุณไม่คิดจะสนใจบ้างเหรอ ....คำตอบที่ผมได้รับก็คือ สำหรับเขาคนซื้อหุ้น Apple Inc. ไม่ได้ซื้อเพราะเห็น ไอโฟน หรือ ไอพ็อต ขายดี แต่เขาซื้อเพราะความคิดของ สตีฟ จ็อบส์ ต่างหากล่ะ ที่ขายดี แต่หากวันใดไม่มีผู้ชายอย่าง สตีฟ จ็อปส์ หรือ บิลเกตส์ ในบริษัทเหล่านั้นล่ะ ....... มันต่างจากเกษตรกรรม บริษัทน่ะ ที่ไม่จำเป็นต้องมีตัวตนคนแค่บางคนเท่านั้นที่เป็นแบรนด์.....นี่แหละครับที่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ผมเรียกมันว่า ทฤษฎี ปลูกพืชของเขา
เขาบอกว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ในชีวิตของเขาตอนนี้ ก็คือ การปลูกต้น แอปเปิ้ล ต้น มฮอว์กกานี ( ไม่รู้ว่าเขียนถูกป่าว ....เป็นพืชยืนต้นขนาดใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขา คล้ายต้นก้ามปู ใหญ่อย่างนั้นให้ร่มเงาดีนักแล เนื้อไม้เอามาทำประตู หรือ กีตาร์ ) เขาเปรียบเทียบเอาไว้ว่าชีวิตในการลงทุนของของเขา ระยะเวลาการลงทุนมันไม่ต่างอะไรกับการปลูกต้นไม้หรอกครับ อย่างชาวสวนแอปเปิ้ล พวกเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อย สองถึงสามปี ในการที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตและปีที่สี่ที่ห้านั่นแหละครับที่คุณจะเริ่มเห็นผลแอ็ปเปิ้ลเต็มต้นจนแทบจะมองไม่เห็นใบ ในสองสามปีแรกเกษตรกรมักจะต้องพรวนดิน เด็ดลูกเล็ก ๆ ทิ้งเพราะมันจะทำให้ต้นของแอปเปิ้ลนั้นโตไม่สมบูรณ์ มันก็อาจจะเหมือนคนทำสวนมะม่วงบ้านเราน่ะครับ แอปเปิ้ลลูก เล็ก ๆ ที่เด็ดทิ้งเหล่านั้นแหละครับ เขาบอกว่ามันคือเหล่าบริษัทต่าง ๆ ที่เราได้รับข้อมูลต่าง ๆ มาว่ามันจะสุกงอมเป็นลูกแอปเปิ้ลที่ให้ผลหอมหวาน แต่ในความเป็นจริง แล้ว มันกลับไปถ่วงให้พร์อตของเราเติบโตช้าต่างหาก หรือมันทำให้ต้นของเราโตได้ไม่เต็มที่ต่างหากล่ะ เหมือนกับการที่เราต้องแบ่งเงินไปใส่ในบริษัทที่จะถ่วงความเจริญของพร์อตเรานั่นเอง เขาบอกกับผมว่า ในสวนเกษตรทางการเงินแห่งนี้ของเขา เขาบอก แอปเปิ้ลเอาไว้ กว่าครึ่งหนึ่งของพร์อต ส่วนที่เหลืออีกสามสิบเปอร์เซ็นต์นั้น เขาใช้มันปลูกไม้ยืนต้น อย่าง มฮอว์กกานี เอาไว้ เพราะเขาบอกว่าเขาอยากใด้ร่มเงาที่มั่นคงเอาไว้พัก ลมแรง ๆ ก็ต้านไหว จะตัดมาทำบ้าน ไม้มันก็แกร่งพอที่จะใช้ได้อย่างสบายใจ
อ้าวอย่างนี้แล้วอีก 20 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือล่ะ เขาตอบว่าแน่นอน .....ผมไม่ชอบปลูกถั่วงอกหรอก มันดูปลูกง่ายน่ะ แต่มันกินไม่อิ่มหรอก แถมเสียเวลาไปมากกว่า สู้ผมเอาเวลามารดน้ำพรวนดินดีกว่า แต่หากต้องปลูกแล้วล่ะก็ ผมจะรอเวลาที่ใครสักคนมาจ๊ะเอ๋ คุณตลาดให้ตกใจ ! เวลานั้นข้อมูลที่ผมได้ทำการบ้านเอาไว้จะถูกดึงกลับมาใช้อย่างรวดเร็ว การบ้านที่คุณทำมันก็เหมือนกับที่คุณได้พรวนดิน เตรียมดินไว้ตลอดเวลาไงล่ะ ช่วงนี้ล่ะที่คุณจะสามารถปลูกพืชล้มลุกอย่าง สตอร์เบอรี่ หรือ มะเขือเทศ ได้ อย่างน้อย สตอร์เบอรี่หรือมะเขือเทศเหล่านี้ก็อาจจะทำให้คุณนั่งกินไปพลาง ๆ ยามพักผ่อนดูผลผลิตในไร่ไง ! ! ! แต่ที่สำคัญอย่าลืมที่จะขายมันไปเพื่อเตรียมตัวเตรียมดิน เอาไว้ตลอดเวลาล่ะ.....เพราะบางครั้งคุณจำเป็นจะต้องสำรองเงินทุนเอาไว้ซ่อมแซมสวนแห่งนี้ ยามที่พายุใหญ่มันมาถึงจริง ๆ ......อย่าลืมน่ะ เงินสำรองฉุกเฉิน จำเป็นเสมอในสถานะการณ์คับขัน!!!!!!!
ผมไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่ผมได้คุยกับท่านผู้มีอุปการะทางความคิดในวันนั้น ทำให้ผมสามารถเลือกหุ้นที่ผมคิดว่ามันคือต้นแอปเปิ้ลของผมได้มา ประมาณ สิบห้า สิบหกตัวครับ ( คิดว่าใช่ของผมน่ะ....จริง ๆ น่ะ ) แล้วผมก็กลับมาเริ่มต้นจินตนาการกับเงินสิบล้านของผม ผมเริ่มต้นซื้อหุ้นครั้งแรกในชีวิตของผมเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เองครับ คงจะเป็นน้องใหม่ มาก ๆ ครับ สิ่งที่ผมบังเอิญมาก ๆ ก็คงจะเป็นการที่ผมถือเงินสด 10,000,000 ในจินตนาการหรือ หนึ่งแสนในความจริงเอาไว้แล้วบังเอิญไปจ๊ะเอ๋ กับคุณตลาดที่กำลังตกใจจากข่าวสารบางอย่างเข้า จนถึงวันนี้ มันทำให้ หม้อเงินของผมโตขึ้นจริง ๆ ครับ จนถึงวันนี้ หม้อเงินของผม มันโตขึ้น ประมาณ สามสิบกว่า เปอร์เซ็นต์ แต่ผมก็ยังเชื่อว่า ปีหน้ามันจะต้องลดลงกว่านี้ เพราะส่วนหนึ่งผมคงจำเป็นที่ต้องขาย มะเขือเทศทิ้งครับ แล้วอาจจะต้องปลูกแอ๊ปเปิ้ลเพิ่ม เสียดายแต่ว่า ด้วยความเขลาโง่ของผมเอง จึงยังไม่สามารถจะหากล้าของต้นกล้ามปูเจอครับ แต่อย่างน้อยผมเชื่อว่า วัคซีนที่ผมทำการทดลองเอาไว้ วันหนึ่งผมจะสามารถนำมันมาเป็นเกราะคุ้มกันหม้อเงินของผมได้ในอนาคตครับ และผมจะทำให้ได้อย่างที่ บัฟเฟต์ บอก เอาไว้ในกฎข้อที่สองว่า ....ให้กลับไปดูข้อที่หนึ่ง( กฎข้อที่หนึ่ง อย่าขาดทุน .....ผมทำถูกใช่ไหมครับ ? ).....หมาน้อย