หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 27, 2009 7:24 am
โดย Guyguy55
ผมหยิบคอมพิวเตอร์ขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะเขียนถึงทฤษฎีการปลูกพืช ( จริง ๆ ผมอาจจะใช้คำพูดผิดก็ได้น่ะครับ  เพราะ  การเป็นทฤษฎีจะต้องผ่านกระบวนการทดลองทางวิทยาศาตร์และได้ข้อสรุปที่แน่นอน  แต่นี่อาจจะเป็นเพียงสมมติฐาน  ที่ผ่านการกระทำของคนแค่บางคนที่ประสบผลเป็นที่น่าพอใจของเขาเพียงเท่านั้น  ที่ผมได้เอามาถ่ายทอดต่อ )  นึก ๆ ไปผมว่า  ผมเองก็โชคดีมากที่ได้พบและพูดคุยกับชายผู้นั้น  มันเหมือนคนถูก Lotto ครับ  แต่นี่มันเป็น lotto ทางปัญญาครับ  
หลังจากการคุยกันคราวนั้น  ผมใช้เงินสดส่วนหนึ่งที่ไม่ได้เดือนร้อนในการหามาและจำเป็นต้องใช้ในยามฉุกเฉิน  ที่กูรูหุ้นหลายคนเรียกว่า  เงินเย็นนั่นแหละครับ ผมหย่อนเงินเย็นของผมลงไปใน พอร์ต หรือ ที่ผมเรียกมันว่า pot หรือหม้อเก็บเงินของผม  100,000 บาท  ไม่มากไปใช่ไหมครับ และ ก็ไม่น้อยไปสำหรับ มือใหม่  ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในตลาดหุ้นเลย  แล้วผมก็ทิ้งเงินหนึ่งแสนไว้อย่างนั้นแหละครับ   หลายคนคงจะบอกว่า อ้าวทำไมไม่ซื้อหุ้นสักตัวล่ะ ยังหรอกครับ  ผมยังเหลือเวลาอีกมากในชีวิตที่จะคลิกขวา  สีเขียวสีแดงที่เห็นในกราฟไม่ได้มีอิทธิพลอะไรต่อผม ณ เวลาขณะนั้นแม้แต่น้อย  ( อย่าคิดว่าเก่งน่ะครับ.....ไม่รู้ ....ดูไม่เป็นและวิเคราะห์ไม่ได้ต่างหากล่ะ 55 ! ) ไอ้ความไม่รู้นี่แหละครับเป็นครูอันดีนักสำหรับผม   ไม่อย่างนั้นผมคงกระโจนเข้าไปคลิ๊กหุ้นตัวที่กำลังเป็นสีเขียวปริมาณการซื้อขายล้นหลาม   แต่กลับกันผมพยายามที่จะบอกตัวเองว่า  เงินก้อนนี้สำหรับผม  ผมจะใช้มันสร้างการทดลองวัคซีนคุ้มกันหม้อเงินของตัวเองขึ้นมาให้ได้  จริงอยู่เงิน 100,000 บาทอาจไม่ใช่อะไรที่มาก  แต่ในที่นี้ผมคิดเสมอว่าผมจะแทนที่มันด้วย  ตัวเลข ศูนย์ที่เพิ่มขึ้นมาต่อท้ายอีกสองตัว  หรือ ในจินตนาการว่า 10,000,000 บาท ดูเป็นหลักการแบบวิทยาศาตร์ดีไหมครับ  นั่นก็เท่ากับว่าจินตนาการของผมมันทำให้ผมรู้ว่า  ผมกำลังจะใช้เงินมูลค่า สิบล้านบาทในการลงทุน.....   ไม่น้อยใช่ไหมครับ  
มูลค่าเงินขนาดนี้นี่แหละครับ  ที่ทำให้ผมเกิดความกลัวในจินตนาการ   มันเหมือนกับที่ “ ไอน์สไตล์” บอกเอาไว้ว่า  “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” .... ความกลัวในจินตนาการนี่แหละครับ  ที่ทำให้ผมต้องทำการบ้านหนัก   เพราะเงินตั้งสิบล้านจะมาลง มั่ว ๆ ซั่ว ๆ ได้ไง  
ผมจัดแบ่งกลุ่มการทดลองของผมออกเป็นสี่กลุ่มใหญ่  ๆ ตามแนวทางของพระพุทธองค์ครับ  เพราะไม่สามารถไปมองหุ้นได้ทั้งตลาดในเวลาเริ่มต้นก้าวแรกของชีวิตนักลงทุน   ผมเรียกมันว่าหุ้น ปัจจัยสี่ได้แก่  อาหาร  เครื่องนุ่งห่ม  ที่อยู่อาศัย และยา รักษาโรค  ปัจจัยที่ห้าที่หก  เอาไว้เขาแข็งแรงวิ่งได้เมื่อไหร่จะค่อย ๆ ดูเพิ่มครับ
การเริ่มต้นของคน ๆ หนึ่งที่ไม่มีพี่เลี้ยงนี่มันเป็นอะไรที่ยากโคตร ๆ ครับ  ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน  เข้าไปอ่านเว็บนั่น เว็บนี่ก็แล้ว  บอร์ดนั่นบอร์ดนี่ก็แล้ว  แต่มันยังจับจุดอะไรไม่ได้หาอะไรไม่เจอ  เหมือนเราเข้าไปนั่งฟังเล็คเชอร์ในมหาลัยแต่ดันเข้าสาย  ในที่นี้คือสายไปเป็นเดือน  แต่แล้วจู่ ๆ หน้าของคุณ นักบิน ผู้มีอุปการคุณทางความคิดของผมก็ลอยเข้ามาในคณะที่ผมกำลังจับจดและกำลังจะหลงไปกับข้อความต่าง ๆ ที่พูดที่เชียร์หุ้นแต่ละตัว  ในเว็บบอร์ดต่าง ๆ   แล้วทฤษฎีการปลูกพืชก็โผล่ขึ้นมาในหัวของผม   ข้อมูลที่มากมายในหัวผม  ข่าวคราวต่าง ๆ ในโลกการเงิน  มันกำลังจะผลักให้ผม  เริ่มเพาะถั่วงอกลงในกระถาง  !
ครับท่านผู้มีอุปการะคุณคุยกับผมว่า  ตลาดหุ้นนี่ก็เหมือนกับฟาร์ม ๆ หนึ่งดี ๆ นี่เอง  มีคนมากมายที่ต้องการเข้ามาปลูกพืชหวังผลกันมากมาย  โดยส่วนตัวแล้วตัวเขาเองเกิดมาในครอบครัวการเกษตรของออสเตรเลีย  สิ่งที่เขารับรู้ได้ในวัยเด็กจนถึงโตนั้นก็คือเรื่องราวของพืชผล  ผลผลิต  ราคา  ที่พ่อและแม่เค้าทำเอาไว้   คุณเชื่อไหมครับว่านักบินเครื่องบินเจ็ทคนหนึ่งที่มีหลายได้ในหลักหลายล้านต่อปี  จะซื้อหุ้นการเกษตรต่อเนื่องกันมาเป็นเวลายาวนาน  โดยไม่เปลี่ยนกลุ่มเลย ! ! !  ผมถามเขาว่า  ทำไม ? คำตอบที่ได้คือ  ชีวิตผมรู้แค่เรื่องการเกษตรกับเครื่องบิน  แล้วจะให้ผมไปซื้อหุ้นอันที่ผมไม่รู้ได้ไง  ผมไม่เสี่ยงที่จะทำอย่างนั้นหรอก ! อ้าวแล้วงั้น  ทำไมคุณไม่ไปซื้อหุ้นอย่าง โบอิ้ง  แอร์บัสล่ะ ? ผมถามเขาต่อ  เขาตอบผมว่า  คุณว่าปีหนึ่ง  แอร์บัส กับ โบอิ้ง ขายเครื่องได้กี่ลำ  คิดเป็นน้ำหนักกี่ตัน ? แต่ประเทศไทย  ปลูกข้าวได้กี่ตันล่ะ  ปลูกยางพาราได้กี่ตัน  หนักกว่า เครื่องบินไหม ? ผมตอบเขาว่าใช่  แต่ผมก็แย้งไปว่า  ข้าวมันไม่ได้เป็นราคามากมายขนาดนั้น  เขาบอกผมว่า  ก็รัฐบาลคุณทำให้มันไม่เป็นราคามากกว่าต่างหากล่ะ  คุณคิดดูซิ ว่าราคาข้าวของไทยในออสเตรเลียนี่ กระสอบล่ะเท่าไร  ( ราคาตอนนั้น ถุง 25 กก. ราคา ขายปลีก อยู่ประมาณ 60 – 75 เหรียญ ต่อ กระสอบ ....หนึ่งเหรียญ ประมาณ 30 บาทครับ )  แต่ทำไมบริษัทการเกษตรของออสเตรเลียถึงได้มีกำไรต่อเนื่องล่ะ  ทำไมชาวนาออสเตรเลียถึงได้มีเครื่องบินขับส่วนตัวล่ะ  อ้าวถ้างี้แล้วบริษัทอย่าง แอปเปิ้ลล่ะ  อย่างผมยังสนใจเลย  ก็เห็น ไอพ็อต  ไอโฟนเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดนี่  แล้วคนอย่างคุณไม่คิดจะสนใจบ้างเหรอ  ....คำตอบที่ผมได้รับก็คือ  สำหรับเขาคนซื้อหุ้น Apple Inc. ไม่ได้ซื้อเพราะเห็น ไอโฟน หรือ ไอพ็อต ขายดี  แต่เขาซื้อเพราะความคิดของ สตีฟ จ็อบส์ ต่างหากล่ะ ที่ขายดี  แต่หากวันใดไม่มีผู้ชายอย่าง  สตีฟ  จ็อปส์ หรือ บิลเกตส์ ในบริษัทเหล่านั้นล่ะ ....... มันต่างจากเกษตรกรรม บริษัทน่ะ  ที่ไม่จำเป็นต้องมีตัวตนคนแค่บางคนเท่านั้นที่เป็นแบรนด์.....นี่แหละครับที่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ผมเรียกมันว่า ทฤษฎี ปลูกพืชของเขา
เขาบอกว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ในชีวิตของเขาตอนนี้ ก็คือ  การปลูกต้น แอปเปิ้ล  ต้น มฮอว์กกานี  ( ไม่รู้ว่าเขียนถูกป่าว ....เป็นพืชยืนต้นขนาดใหญ่  แผ่กิ่งก้านสาขา  คล้ายต้นก้ามปู  ใหญ่อย่างนั้นให้ร่มเงาดีนักแล  เนื้อไม้เอามาทำประตู  หรือ กีตาร์ )  เขาเปรียบเทียบเอาไว้ว่าชีวิตในการลงทุนของของเขา  ระยะเวลาการลงทุนมันไม่ต่างอะไรกับการปลูกต้นไม้หรอกครับ  อย่างชาวสวนแอปเปิ้ล  พวกเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อย  สองถึงสามปี  ในการที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตและปีที่สี่ที่ห้านั่นแหละครับที่คุณจะเริ่มเห็นผลแอ็ปเปิ้ลเต็มต้นจนแทบจะมองไม่เห็นใบ  ในสองสามปีแรกเกษตรกรมักจะต้องพรวนดิน  เด็ดลูกเล็ก  ๆ ทิ้งเพราะมันจะทำให้ต้นของแอปเปิ้ลนั้นโตไม่สมบูรณ์   มันก็อาจจะเหมือนคนทำสวนมะม่วงบ้านเราน่ะครับ  แอปเปิ้ลลูก เล็ก ๆ ที่เด็ดทิ้งเหล่านั้นแหละครับ  เขาบอกว่ามันคือเหล่าบริษัทต่าง ๆ ที่เราได้รับข้อมูลต่าง ๆ มาว่ามันจะสุกงอมเป็นลูกแอปเปิ้ลที่ให้ผลหอมหวาน   แต่ในความเป็นจริง แล้ว  มันกลับไปถ่วงให้พร์อตของเราเติบโตช้าต่างหาก หรือมันทำให้ต้นของเราโตได้ไม่เต็มที่ต่างหากล่ะ  เหมือนกับการที่เราต้องแบ่งเงินไปใส่ในบริษัทที่จะถ่วงความเจริญของพร์อตเรานั่นเอง  เขาบอกกับผมว่า  ในสวนเกษตรทางการเงินแห่งนี้ของเขา   เขาบอก แอปเปิ้ลเอาไว้ กว่าครึ่งหนึ่งของพร์อต  ส่วนที่เหลืออีกสามสิบเปอร์เซ็นต์นั้น  เขาใช้มันปลูกไม้ยืนต้น อย่าง มฮอว์กกานี   เอาไว้  เพราะเขาบอกว่าเขาอยากใด้ร่มเงาที่มั่นคงเอาไว้พัก  ลมแรง ๆ ก็ต้านไหว จะตัดมาทำบ้าน  ไม้มันก็แกร่งพอที่จะใช้ได้อย่างสบายใจ
อ้าวอย่างนี้แล้วอีก  20 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือล่ะ  เขาตอบว่าแน่นอน  .....ผมไม่ชอบปลูกถั่วงอกหรอก   มันดูปลูกง่ายน่ะ แต่มันกินไม่อิ่มหรอก  แถมเสียเวลาไปมากกว่า  สู้ผมเอาเวลามารดน้ำพรวนดินดีกว่า   แต่หากต้องปลูกแล้วล่ะก็  ผมจะรอเวลาที่ใครสักคนมาจ๊ะเอ๋  คุณตลาดให้ตกใจ ! เวลานั้นข้อมูลที่ผมได้ทำการบ้านเอาไว้จะถูกดึงกลับมาใช้อย่างรวดเร็ว  การบ้านที่คุณทำมันก็เหมือนกับที่คุณได้พรวนดิน เตรียมดินไว้ตลอดเวลาไงล่ะ  ช่วงนี้ล่ะที่คุณจะสามารถปลูกพืชล้มลุกอย่าง  สตอร์เบอรี่  หรือ มะเขือเทศ  ได้  อย่างน้อย  สตอร์เบอรี่หรือมะเขือเทศเหล่านี้ก็อาจจะทำให้คุณนั่งกินไปพลาง ๆ ยามพักผ่อนดูผลผลิตในไร่ไง ! ! ! แต่ที่สำคัญอย่าลืมที่จะขายมันไปเพื่อเตรียมตัวเตรียมดิน เอาไว้ตลอดเวลาล่ะ.....เพราะบางครั้งคุณจำเป็นจะต้องสำรองเงินทุนเอาไว้ซ่อมแซมสวนแห่งนี้  ยามที่พายุใหญ่มันมาถึงจริง ๆ ......อย่าลืมน่ะ  เงินสำรองฉุกเฉิน  จำเป็นเสมอในสถานะการณ์คับขัน!!!!!!!
ผมไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่ผมได้คุยกับท่านผู้มีอุปการะทางความคิดในวันนั้น  ทำให้ผมสามารถเลือกหุ้นที่ผมคิดว่ามันคือต้นแอปเปิ้ลของผมได้มา ประมาณ สิบห้า สิบหกตัวครับ ( คิดว่าใช่ของผมน่ะ....จริง ๆ น่ะ  )  แล้วผมก็กลับมาเริ่มต้นจินตนาการกับเงินสิบล้านของผม  ผมเริ่มต้นซื้อหุ้นครั้งแรกในชีวิตของผมเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เองครับ  คงจะเป็นน้องใหม่ มาก ๆ ครับ  สิ่งที่ผมบังเอิญมาก ๆ ก็คงจะเป็นการที่ผมถือเงินสด 10,000,000 ในจินตนาการหรือ หนึ่งแสนในความจริงเอาไว้แล้วบังเอิญไปจ๊ะเอ๋ กับคุณตลาดที่กำลังตกใจจากข่าวสารบางอย่างเข้า  จนถึงวันนี้  มันทำให้ หม้อเงินของผมโตขึ้นจริง ๆ ครับ จนถึงวันนี้  หม้อเงินของผม  มันโตขึ้น ประมาณ สามสิบกว่า  เปอร์เซ็นต์  แต่ผมก็ยังเชื่อว่า  ปีหน้ามันจะต้องลดลงกว่านี้  เพราะส่วนหนึ่งผมคงจำเป็นที่ต้องขาย  มะเขือเทศทิ้งครับ  แล้วอาจจะต้องปลูกแอ๊ปเปิ้ลเพิ่ม  เสียดายแต่ว่า  ด้วยความเขลาโง่ของผมเอง  จึงยังไม่สามารถจะหากล้าของต้นกล้ามปูเจอครับ  แต่อย่างน้อยผมเชื่อว่า  วัคซีนที่ผมทำการทดลองเอาไว้  วันหนึ่งผมจะสามารถนำมันมาเป็นเกราะคุ้มกันหม้อเงินของผมได้ในอนาคตครับ  และผมจะทำให้ได้อย่างที่ บัฟเฟต์ บอก เอาไว้ในกฎข้อที่สองว่า  ....ให้กลับไปดูข้อที่หนึ่ง( กฎข้อที่หนึ่ง  อย่าขาดทุน .....ผมทำถูกใช่ไหมครับ ? ).....หมาน้อย

ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 27, 2009 9:47 am
โดย SunShine@Night
ขอบคุณครับ

อ่านง่ายได้ข้อคิด :)

ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 27, 2009 10:05 am
โดย OutOfMyMind
เป็นแนวคิดที่น่าสนใจมากครับ
ผมว่าน่าจะมีรายละเอียดอีกเยอะ อยากให้ช่วยอธิบายต่อ

ผมมีคำถาม เพื่อขอคำแนะนำ หรือร่วมกันคิดเพื่อหาคำตอบ ดังนี้

ปีนี้น้ำดี ขายสินค้าได้ราคา เกษตรกรทุกคนหน้าชื่นตาบาน
หากปีหน้าน้ำขาด สินค้าราคาตกต่ำ จะมีคำแนะนำเจ้าของสวนอย่างไร

ก่อนตัดสินใจว่าจะเน้นที่การปลูกแอปเปิ้ล มีวิธีการเลือกพันธ์แอปเปิ้ลอย่างไร
จะมั่นใจได้ยอ่างไรว่า ปลูกแล้วจะโต ออกดอกออกผล แล้วขายได้ราคาครับ
เพราะหากเลือกพันธ์มาผิด แล้วทุ่มปลูกมัน 50% ของไร่ แล้วไม่ได้ผลผลิต ไม่เจ็บหนักหรือครับ

ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 27, 2009 10:40 am
โดย [v]
พอร์ตแบบนี้ผมว่า ความเสี่ยงอยู่ที่ ความไม่พอดี ถ้าปีไหนแอปเปิลราคาตกขึ้นมาล่ะ  ทุกคนมีสวนแอปเปิลที่คิดว่ามันจะดีแน่ๆ คนแห่ไปซื้อจนไม่ได้ดูว่าราคามันเวอร์ไปรึปล่าว ฟองสบู่แอปเปิล

เทียบกับสวนลำไย ลิ้นจี่บ้านเราดีกว่า  ขายดีแห่ปลูกเพิ่ม  พอปลูกเพิ่มราคาตก พอราคาตก เปลี่ยนไปปลูกอย่างอื่น  วนไปวนมาตั้งแต่ผมจำความได้ เพราะสวนไม่มีความหลากหลาย   :?

ถ้าคุณอยากทำการทดลองของคุณผมว่า คุณทำพอร์ตจำลองการลงทุนแล้วใช้เวลาเมื่อ 5 ปี ที่แล้วและราคาหุ้นในตัวที่คุณสนใจ ทำเหมือนว่าตัวเองซื้อหุ้นในช่วงเวลานั้นๆ แล้วใช้ข้อมูลข่าวสารในช่วงเวลานั้นๆเป็นตัวตัดสินดีกว่าไหม แบบนี้ไม่ต้องเอาเงินแสนไปนั่งทดลองด้วย แถมทดลองได้ไม่รู้จบ

ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 27, 2009 11:43 am
โดย Undertaker
ระยะเวลาการลงทุนมันไม่ต่างอะไรกับการปลูกต้นไม้หรอกครับ  อย่างชาวสวนแอปเปิ้ล  พวกเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อย  สองถึงสามปี  ในการที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตและปีที่สี่ที่ห้านั่นแหละครับที่คุณจะเริ่มเห็นผลแอ็ปเปิ้ลเต็มต้นจนแทบจะมองไม่เห็นใบ  ในสองสามปีแรกเกษตรกรมักจะต้องพรวนดิน  เด็ดลูกเล็ก  ๆ ทิ้งเพราะมันจะทำให้ต้นของแอปเปิ้ลนั้นโตไม่สมบูรณ์  
ผมไม่ชอบปลูกถั่วงอกหรอก   มันดูปลูกง่ายน่ะ แต่มันกินไม่อิ่มหรอก  
:cool:  :cool:

ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 27, 2009 11:51 am
โดย Guyguy55
ขอบคุณครับ  สำหรับความคิดที่เข้ามาแชร์กัน  อย่างที่คุณวี  พูดถูกต้องเลยครับ  สิ่งที่ผมทำอย่างแรกคือ  ผมสร้างการทดลองก่อนที่จะซื้อหุ้นจริง ๆ จากตลาด   โดยใช้แบบทดลองย้อนหลังไป โดยประมาณ ห้าปีครับ  แต่สิ่งที่ผมพบก็คือ  ผมไม่สามารถจะหลอกความรู้สึกตัวเองได้ว่า ผมไม่รู้ราคาการขึ้นลงของหุ้นที่ผ่านมา  ในห้าปี  เพราะก่อนที่ผมจะได้คุยกับเขานั่นผมก็ศึกษาไปพอสมควรกับตลาดหุ้นในเวลาย้อนหลังห้าปีที่แล้วครับ  สิ่งสำคัญก็คือ  มันไม่เรียลลิสติกครับ  แต่สิ่งที่ผมกำลังลองทำในฐานนะมือใหม่ก็คือ  ทดลองจากความเป็นจริงด้วยสิ่งที่จับต้องได้จริง ๆ และอารมณ์ร่วมจริง ๆ ในขณะนั้น   ที่สำคัญอย่างที่ผมบอกไปแต่ต้นแล้วครับ  เงินที่ใช้ไปลงทุนนั้น  เป็นเงินเย็น  ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลยทั้งสิ้น   สิ่งนี้ต่างหากล่ะครับที่ผมกำลังจะบอกว่า  การที่เราใช้เงินที่มันเย็นจริง ๆ และไม่ได้มากเกินไปสำหรับเรา  และไม่ได้มีอิทธิจากคนรอบข้างมากดดันว่ากลัวเราจะสูญเสียเงินนั้นจากการลงทุน   มันสามารถที่จะทำให้เราเอาชนะความรู้สึกที่จะร่วมเคลื่อนไหวหรือโอนอ่อนไปกับราคาของตลาดได้ครับ  สิ่งนี้ไงครับ  ที่ผมอยากมาร่วมแชร์ประสบการณ์อันน้อยนิดกับคนที่กำลังจะเข้ามาในโลกของนักลงทุนใหม่ ๆ อย่างผมว่า  ไม่ว่าเงินจำนวนเท่าไหร่ก็ตามหากมันเป็นเงินเย็นและไม่มีอิทธิพลจากคนรอบข้างแล้ว  มันย่อมจะดีกว่า  และคุณก็สามารถจะเปรียบเปรยวิธีคิดอย่างผม ได้สำหรับทุกคนครับ สิ่งที่ผมกำลังจะชี้ในความคิดส่วนตัวของผมก็คือ  การเติบโตเปอร์เซนต์ต่างหากล่ะครับ  เป็นสิ่งที่เราทุกคนกำลังมองและพยายามที่จะรักษามันไว้   สิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ก็คืออยากแชร์เรื่องราวที่เรารับฟังมา  และอยากให้พวกเราทุกคนมาช่วยกันขยายความคิดเพิ่ม  อย่างคุณ  OutOfMyMind  นี่ชอบมาก  ๆ เลยครับ  มันจะได้ช่วยกันพัฒนาความคิดหรือต่อยอดความคิดกันต่อไป  อย่างที่คุณ OutOfMyMind  ถามต่อน่ะครับ  ก็อยากบอกว่า  ตั้งแต่เรื่องนักเดินทางที่ผมเขียนเอาไว้  การลงทุนของผมนั้น  มองที่ภาพรวมของตลาดต่อเนื่องระยะยาวครับ   สำหรับผมการเป็นวีไอ  ไม่ใช่ว่าเราจะเข้าไปซื้อหุ้น  ในราคาที่ต่ำแล้วอดทนถือรอจนราคาหุ้นพุ่งขึ้นมา   แต่การเป็นวีไอ ของผม  ผมกลับรอเวลาที่จะให้หุ้นมันล่วงหล่นลงมาจนถึงจุดที่ผมคิดว่ามันเหมาะสมแล้วสำหรับตัวเองครับ นั่นก็คือ มาร์จิ้นออฟเซฟตี้  นั่นแหละครับ  ในทัศนคติของผม ก็คือช่วงเวลาที่คุณตลาดป่วยหนักนั่นเอง  เพราะผมเชื่อว่า  คุณตลาดเขาไม่มีวันตายครับ  เขาป่วยแล้วเขาก็จะฟื้นและจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ที่สิ่งที่ผมเห็นคนหลาย ๆ คนเป็นคือ  พอมีเงิน  ก็อดที่จะซื้อไม่ได้  อดที่จะถือเงินสดนาน ๆ ไม่ได้ ต้องเข้าไปหาทางเลือกหุ้นมากสักตัวจนได้  ในที่นี้หากเปรียบกับการทำสวนแล้ว  ในช่วงฝนแล้ง  น้ำแห้ง  เพราะปลูกไม่ได้  เราควรจะเตรียมดินครับ  คำว่าเตรียมดินของผมก็คือ  หาความรู้เกี่ยวกับไม้พันธ์ต่าง ๆ ที่เราได้เลือก ๆ มอง ๆ เอาไว้  เก็บรวบบรวมปุ๋ยเอาไว้ครับ  นั่นก็คือ เตรียมเงินสดเอาไว้ในมือให้มากครับ   เพราะผมเชื่อว่าวันเวลาที่ฝนแล้วฝนแห้ง  ร้อน สุด ๆ นั่นแหละครับ  พายุใหญ่กำลังจะมา  แล้วหลังพายุคุณจะเห็นว่า  ไม้พันธุ์ที่คุณเล็งเอาไว้  มันเป็นยังไง   คุณจะได้ไปปลูกมันเพิ่ม เติมปุ๋ยใส่มันได้  แล้วหลังจากนั้นมันก็จะกลับไปยังวงรอบการเติบโตแบบเดิมของมันครับ  จนกว่าระยะเวลาของพายุใหญ่จะมาอีกครั้ง  ก็คงกินเวลาไปอย่างน้อย  6 – 8 ปีอย่างบทความแรกที่ผมกล่าวเอาไว้ครับ  
แล้วยังงี้  หลายคนคงจะบอกว่า  อ้าว แล้วเงินที่เก็บมา  กว่าจะรอให้มันถึงวันพายุเข้า  มันจะไปออกดอกออกผลยังไงล่ะ   เพราะว่า  ฟ้ามันแห้ง  ฝนมันแล้งนี่น่า   ใช่สิน่ะ......? มาแชร์กันเยอะ ๆ ครับ  เราจะได้เห็นดอกผลทางความคิดที่เราร่วมแชร์กัน  แล้วเดี๋ยวมาช่วยกันหาแนวทาง ไกด์ไลน์  ว่าเราจะปลูกพืชล้มลุก  อะไรดี  ในช่วงที่รอฟ้ารอฝนอย่างนี้ครับ

ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 27, 2009 12:11 pm
โดย Stock Broker
[quote="Guyguy55"]เพราะผมเชื่อว่า

ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 28, 2009 11:39 am
โดย สามัญชน
[quote="Guyguy55"] สิ่งที่ผมเห็นคนหลาย ๆ คนเป็นคือ

ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 28, 2009 11:40 am
โดย สามัญชน
ต่อมาหุ้นร่วงจาก 600 มา 500 จุด
เขาได้รางวัลจากความกลัวอีกแล้ว
เขายิ้มแป้นเที่ยวคุยให้ใครต่อใครฟังว่า
เขาอ่านตลาดหุ้นขาด  
และสอนคนข้างเคียงว่า
ต้องใจเย็น  สุขุมรอบคอบถึงจะเป็นผู้ชนะในตลาดหุ้น

รางวัลคราวนี้เสริมให้ตัวตนของเขาใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ  
จากแมงเม่าตอนนี้เขาเข้าใกล้ชั้นเทพ

ที่ 500 จุดเขาก็ไม่ซื้อ
และไม่ลังเลมากนัก  
เขาค่อนข้างมั่นใจด้วยซ้ำว่าหุ้นจะต้องลงไปอีก

ต่อมา หุ้นร่วงต่อเนื่องจาก 500 จุดไป 400 จุด
ตอนนี้เขากลายเป็นเทพไปแล้ว
ความมั่นใจในตัวเองก่อตัวขึ้นมายาวนานจนแข็งประดุจเพชร
หนัแน่นดุจขุนเขา  กว้างใหญ่ดั่งมหาสมุทร

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่ระดับ 400 จุด เขาก็ยังไม่ซื้อ
แถมไม่มีใครมาโยกคลอนเขาได้  ก็เขาเป็นขุนเขาไปแล้ว
ลำคลองหรือจะมาสู้มหาสมุทร
หยกหรือจะประชันกับเพชร

ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 28, 2009 11:41 am
โดย สามัญชน
หุ้นไต่ระดับจาก 400 ไป 450 จุด
แน่นอนว่าเขาไม่ซื้อ
"ตอน 400 ยังไม่ซื้อ  450 ถ้าซื้อก็.....แล้ว"
เขาบอกกับตัวเองว่า เขาไม่มีวันทำเรื่อง......อย่างนั้นแน่

จาก 450 ไป 500 เขายิ่งซื้อไม่ได้
เพราะมันเสียเหลี่ยม
เสียเงินเสียทองยังไม่เท่าไหร่
แต่เสียเหลี่ยมเสียคำพูดเป็นเรื่องที่ตัวตนเขารับไม่ได้

จาก 500 ไป 600 จุด
เขาบอกว่า เสียใจดีกว่าเสียตังค์
เขายังคงกำสตางค์แน่น  
จะมีเหงื่อชุมฝ่ามือหรือไม่  เขาไม่สน และจะไม่แพร่งพรายให้ใครรู้

วันนี้ 700 กว่าจุด
เขายังไม่มีหุ้นแม้แต่ตัวเดียว
ถ้าถามเขาว่า  เขาได้บทเรียนอะไร
เขาคงไม่ยินดีตอบตามความเป็นจริงถ้ามันไปกระทบตัวตนอัตตาของเขา

เราถามตัวเราเองดีกว่าว่าเราได้บทเรียนอะไรจากเรื่องนี้

ถ้าเป็นผมๆก็บอกว่า
ถ้าเป็นหน้าแล้ง  ผมก็จะเตรียมดินเตรียมปุ๋ย  ยังไม่ปลูกอะไร
แต่การทำนากับการเล่นหุ้นต่างกันตรงนี้แหละ
หน้าแล้งหน้าฝนในแต่ละปี
มันมีช่วงเวลาที่แน่นอน  อาจจะมาช้าบ้างเร็วบ้างอย่างเก่งก็เดือนสองเดือน

แต่ฤดูกาลในตลาดหุ้นนั้นไม่แน่นอน
ปีที่แล้ว 2551 หน้าฝนมาต้นปี  หน้าแล้งมาปลายปีเจ็บหนักกันถ้วนหน้า
แต่ปี 2552 หน้าแล้งมาต้นปี  แต่หน้าฝนมาปลายปี ชุมฉ่ำไปไม่น้อย

ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 28, 2009 11:41 am
โดย สามัญชน
ผมลองยกคำพูดของผู้ยิ่งใหญ่จากการลงทุนมาดีกว่า
บัฟเฟตต์ กับปีเตอร์ ลินช์ เขาอยู่ในตลาดหุ้นมายาวนานและได้ข้อสรุปที่คล้ายคลึงกันมาก
เขาบอกว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะเดาว่าหุ้นจะขึ้นจะลง
นานๆหลายสิบปีถึงจะเจอบางจังหวะที่ค่อนข้างชัดเจนและเดาได้แม่น

ก็ช่วงที่บัฟเฟตต์บอกว่าต้องคืนเงินผู้ถือหุ้นทั้งหมด
เพราะเขาหาหุ้นน่าลงทุนไม่ได้สักตัว  ทุกตัวราคาแพงหมดแล้ว
ซึ่งน่าจะเป็นเหตุการณ์เมื่อสักสามสิบปีได้แล้วมั้ง
ปัจจุบันเขาก็ยังอยู่ในตลาดตลอดเวลา
อาจจะมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่เขาเจอมากเจอน้อย

ลินช์บอกว่าถ้าเขาออกจากตลาดสักช่วงหนึ่ง
ช่วงสั้นๆเท่านั้นเอง
แต่เกิดคืนดีคืนร้าย หุ้นเกิดกระชากตัวในช่วงที่เขาออก
ผลตอบแทนของเขามีสิทธ์ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ

ทางออกล่ะ  ผมควรจะเข้าตลาดช่วงไหน
ก็มีหลักการง่ายๆ ขึ้นกับว่า
ผมเจอหุ้นที่ undervalue มากพอหรือยัง

ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 28, 2009 11:48 am
โดย สามัญชน
อ้อ.......มีเรื่องแปลกๆเรื่องหนึ่ง

สมมติว่ามี 100 คน  ขายหุ้นทั้งหมดตอนกลางปี 2551
แลซึ่งเป็นช่วงใกล้ยอดดอย  ถ้าเรามามองย้อนหลัง

ถามว่าจำนวนคนทั้ง 100 คนนี้
มีคนกล้าซื้อหุ้นตอน set อยู่ที่ระดับ 400 จุดมากน้อยแค่ไหน

ผมเดานะครับ  ไม่ได้มีสถิติข้อมูลอะไรมายืนยันหรอก
แต่เดาว่าในแง่จิตวิทยาแล้ว
จะมีจำนวนเพียงน้อยนิดที่กล้าซื้อตอน 400 จุด
เผลอๆมาถึงตอน 700 จุด มีเกินครึ่ง  ที่ยังไม่กล้าซื้อหุ้นเลย
หรือถึงซื้อก็ซื้อนิดๆหน่อยๆ
ทำไมเป็นอย่างนั้น ก็ไม่รู้เหมือนกัน  แปลกไหม

ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 28, 2009 12:55 pm
โดย naris
:bow: เห็นด้วยกับพี่หมออย่างยิ่งครับ
เมื่อปีที่แล้ว ตอนเริ่มเห็นวิกฤต ผมก็เลยย้อนไปหาความคิดเมื่อผมเริ่มเล่นหุ้นใหม่ๆว่า "ผมจะขอเรียนรู้ตลาดหุ้นไปเรื่อยๆ และก่อนวิกฤตผมจะเทหุ้นออกให้หมด และ พอตลาดตกต่ำ ก็จะเข้ามาซื้อ ตามที่หนังสือเขาเคยบอกสัญญาณต่างๆว่าควรซื้อขายรอบใหญ่ๆตรงไหน" :lol:

แต่เอาเข้าจริงๆ พอเล่นหุ้นมาได้ยิ่งนานวัน ยิ่งรู้ว่าเราคิดอย่างนั้นหน่ะทำไม่ได้หรอก เพราะเราไม่มีทางที่จะรู้จริงๆได้เลยว่า มันจะลงไปถึงเมื่อไหร่ และจะฟื้นเมื่อไหร่

เพราะเวลาหวยออกแล้ว มักจะมีอาจารย์ทรงผู้แม่นหวยออกมาตามหลังเสมอ

แต่ยิ่งเล่นหุ้นนานวัน ผมยิ่งรู้ซึ้งถึงสัจจะธรรมข้อหนึ่งที่ว่า ผลประกอบการเท่านั้นที่เป็นของจริง วิกฤตคราวนี้ผมจึงอยากพิสูจน์ความคิดของผมในเรื่องนี้ โดยการลงทุนเต็มร้อยเหมือนเดิม แต่มีการโยกหุ้นไปหาหุ้นที่รองรับวิกฤตได้ดีเยี่ยม(วางแผนก่อนหุ้นลงขนานใหญ่)

และคิดว่าจะสวิทย์คืนเมื่อสัญญาณบ่งบอกว่าเศรษฐกิจฟื้นแล้ว โดยการจะโยกไปหุ้นกึ่งวัฎจักร ที่ได้คุยกับพี่หมอไว้คือ SAT STANLY

ขนาดว่ามีการวางแผนเตรียมตัวตังแต่เฆฆก่อตัวว่าพายุมาแน่ แต่เอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่ได้ซื้อหุ้นในกลุ่มนี้ เพราะมัวแต่มองสัญญาณภาพใหญ่ทางเศรษฐกิจ เช่นสัญญาณฟื้นตัวของราคารถมือสอง สัญญาณฟื้นตัวของยอดขายรถ ดั่งเช่นตำราในอดีตที่เขียนไว้

แต่ถ้าผมใช้หลักการเดียวกับการมองหุ้นรายตัว ว่ามันต่ำเกินมูลค่ามันมากแล้ว ผมคงจะได้หุ้นทั้งสองตัวนี้ และแรกๆคงจะขาดทุนบ้าง แต่ท้ายที่สุดมันก็ฟื้นคืนชีพให้เราเห็น

พูดซะยาวเฟื้อย สรุปว่า การลงทุนเป็นศิลปะจริงๆครับ :)

ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 28, 2009 1:12 pm
โดย ziannoom
[quote="สามัญชน"]อ้อ.......มีเรื่องแปลกๆเรื่องหนึ่ง

สมมติว่ามี 100 คน

ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 28, 2009 4:58 pm
โดย b4solid
ได้ประโยชน์จากกระทู้มากมายจริงๆ แฮะ

ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 28, 2009 9:00 pm
โดย SEHJU
ได้แง่คิดอะไรหล๊ายย อย่าง.... ผมรู้สึกว่ามันเหมือนกับว่าเกมส์เศรษฐี 16 คำถามเลย แบบว่า

พอนั่งดูอยู่ข้างล่างตอบได้หมด พอขึ้นเวทีๆจริงๆ มีเงินในมือเดิมพันจริง ความคิดการตัดสินใจกลับต่างออกไป เรื่องง่ายๆกลับเป็นยาก ไม่แน่ใจไปซะงั้น

ก็งี้นี่ไงผมถึงทึ่งกับผู้ที่สำเร็จอย่างสูงในตลาดแบบเซียนหลายๆท่าน..

ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 29, 2009 1:03 am
โดย moonchild
naris เขียน:"ผมจะขอเรียนรู้ตลาดหุ้นไปเรื่อยๆ และก่อนวิกฤตผมจะเทหุ้นออกให้หมด และ พอตลาดตกต่ำ ก็จะเข้ามาซื้อ ตามที่หนังสือเขาเคยบอกสัญญาณต่างๆว่าควรซื้อขายรอบใหญ่ๆตรงไหน" :lol:
เป็นความคิดที่ผมกำลังคิดอยู่ตอนนี้เลยครับ
ว่าถ้าศึกษาสภาวะเศรษฐกิจโลก จะรอดพ้น หรือไม่เจ็บหนัก
และถอนตัวทันตอนตลาดตกแรงๆครับ
สงสัยต้องกลับไปคิดแนวทางอีกรอบ

มีประโยชน์จริงๆครับ กระทู้นี้ ขอบคุณครับ

ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 29, 2009 6:53 am
โดย Guyguy55
ขอบคุณมาก ๆ ครับ สำหรับทุกความคิดเห็น  โดยเฉพาะพี่หมอ  ผมว่าเรื่องที่พี่หมอเตือนเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ เลยครับ  แต่มันเป็นเรื่องยากสำหรับใครหลาย ๆ คนเลย  หากผมจะพูดว่า “การลงทุนเป็นศิลปะที่ยิ่งใหญ่แขนงหนึ่งในโลกใบนี้”  ก็คงจะมีหลาย ๆ คนที่เห็นด้วย    ผมยอมรับว่าการศึกษาเรื่องการลงทุนอย่างจริงจังของผมตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้มันได้ช่วยขจัดความโง่เขลาและหยากไย่ในสมองของผมออกไปได้บ้าง  แต่ไม่ใช่ว่าเก่งนะครับ....      เพราะการรู้เพิ่มขึ้น..ไม่ได้หมายความว่าเราเก่งขึ้น   สิ่งที่พี่หมอทิ้งเอาไว้ให้คิดต่อในเรื่องความกลัวนั้น  มันทำให้ประจุไฟฟ้าในสมองผมเริ่มทำงานอีกครั้งครับ   ครั้งนี้ผมว่าเรากำลังพูดถึงเรื่อง  “จิตวิทยาความกลัว”
ผมยอมรับว่าผมเองก็เป็นคนหนึ่งครับ  ที่มีความกลัวอยู่เยอะ  แต่สิ่งที่ผมคิดว่าผมจะไม่และจะต้องไม่เป็นก็คือ  การนำความกลัวที่มีอยู่ในจิตมาสร้างเป็น อีโก้  เพื่อรองรับความจริงที่ตนมองเห็นอยู่ มันคือการฆ่าตัวตายตั้งแต่เริ่มต้น... เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับน้องคนนั้นที่พี่หมอเล่ามา   ส่วนตัวผมเองนั้นผมมีเป้าหมายคือการกลับไปใช้ชิวิตอยู่อย่างเรียบ ๆ ที่เมืองไทย  เมื่อต้นอายุ 40 ( ตอนนี้ผม 31  ครับ ) คือต้องการที่จะหลุดพ้นพันธนาการต่าง ๆ ทางการงาน  ของวัฏจักรมนุษย์เงินเดือนอย่างที่หลาย ๆ คนกำลังเป็นอยู่  เพราะฉนั้นจิตของผมตอนนี้มันก็กำลังสร้างความกลัวให้เกิดขึ้นนั่นก็คือ  ผมเหลือเวลาออีก สิบปี โดยประมาณ  ความกลัวเล่านั้นนำมาซึ่งการศึกษาเรื่องราวศิลปะแขนงนี้อย่างจริงจัง  เพื่อที่จะเอาชนะความจริงในโลกแห่งการลงทุน  ผมดีใจมากครับ ที่พี่หมอและพี่นริศรวมทั้งใครอีกหลาย ๆ คนเข้ามาแชร์ความคิดในกระทู้ของผม  มันเหมือนกับที่เรารอคอยเพื่อที่จะขอลายเซ็นต์จากดาราสักคนนั่นแหละครับซึ่งตอนนี้ผมก็ได้มาสองแล้ว  และนี้ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้จิตผมเริ่มหึกเหิมขึ้น  เหมือนทหารที่กำลังจะเข้าสู่สนามรบและมีแม่ทัพมาชี้แนะ...ชี้แนว...ชี้ทางให้คิดครับ  แต่ความหึกเหิมนี้สำหรับผม  มันไม่ได้สร้างอีโก้อะไรให้เกิดขึ้นพอที่จะเชื่อว่า  กรูนี่แหละ....แน่แล้ว  สิ่งที่กรูคิดนั่น.....  ถูกแล้ว    
แต่มันได้สร้างความหึกเหิม  ความคึกคัก  ในการที่จะเพิ่มเติมความรู้ ...เพิ่มรอยหยักในสมอง อันน้อยนิดของผม  ผมบอกตัวเองอยู่เสมอว่าให้ทำตัวเองให้พร้อมในทุกสถานการณ์  ว่า  กรูไม่รู้  กรูไม่แน่  แต่  กรูพร้อม ! สิ่งที่พี่หมอเปิดทางในความคิดของผมวันนี้ผมขอน้อมรับมันไว้ครับ  ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว .....จิตใจคนนี่แหละครับที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด ... เหนือองค์อความรู้ใดทั้งปวง  ......เอาชนะใจตัวเองได้เมื่อไหร่ก็เอาชนะตลาดได้เมื่อนั้นใช่ไหมครับ  !

ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 29, 2009 7:12 am
โดย Guyguy55
เรื่่่องนี้ของพี่หมอ  ผมคิดว่ามันเป็นอุปทานหมู่ที่จิตเริ่มสร้างขึ้นมาร่วมกันเพื่่อขจัดความกลัว  ทำให้เราเห็นว่าคนมากมายทำไมกล้าที่จะเข้าไปซื้อ  ตอน 700 จุด  เพราะพวกเขารู้สึกว่ามันปลอดภัยแล้ว มันขึ้นมาแล้ว  แล้วมันจะขึ้นต่อไปชัวร์  ดูยังไงมันก็ไม่น่าจะลง   ในทางกลับกันทำไมราคา เพียง 400 กลับไม่ค่อยมีคนเข้าไปร่วม
หากจะมองในอีกทางหนึ่งว่า  ทำไมเราไม่ทำตรงข้ามกับคนหมู่มากล่ะ  เพราะหากเราเป็นหนึ่งในคนหมู่น้อยมันไม่ดีกว่าเหรอในการที่จะทำกำไรด้วยความปลอดภัย  คำตอบของผมในขณะีนี้นั่นก็คือ  คนหลายคนอยากเป็นคนส่วนน้อยที่ทำตรงข้ามคนหมู่มาก  แต่เขาเหล่านั้นขาดความรู้ที่จะเป็นส่วนซัพพอร์ตจิตให้เข้มแข็งต่างหากล่ะครับ  ฉนั้นความไม่รู็  จึงสร้าง  อุปทานขึ้นมาว่า  รอก่อน  รอความแน่นอน ก่อน  ให้มันขี้นมากกว่านี้ก่อน  จนเกิดจุดที่เรียกว่าความปลอดภัย  พร้อม ๆ กันกับคนหมู่มากนั่นเอง  ยังไงรบกวนคนที่มีความรู้เรื่องจิตวิทยา  มาแชร์ความรู้กันต่อเนื่องน่ะครับ  เราจะได้มีความรู้หลาย ๆ แขนงมาเป็นภูมิคุ้มกันตัวเราครับ

ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 29, 2009 7:16 am
โดย Guyguy55
!สามัญชน wrote: อ้อ.......มีเรื่องแปลกๆเรื่องหนึ่ง

สมมติว่ามี 100 คน  ขายหุ้นทั้งหมดตอนกลางปี 2551
แลซึ่งเป็นช่วงใกล้ยอดดอย  ถ้าเรามามองย้อนหลัง

ถามว่าจำนวนคนทั้ง 100 คนนี้
มีคนกล้าซื้อหุ้นตอน set อยู่ที่ระดับ 400 จุดมากน้อยแค่ไหน

ผมเดานะครับ  ไม่ได้มีสถิติข้อมูลอะไรมายืนยันหรอก
แต่เดาว่าในแง่จิตวิทยาแล้ว
จะมีจำนวนเพียงน้อยนิดที่กล้าซื้อตอน 400 จุด
เผลอๆมาถึงตอน 700 จุด มีเกินครึ่ง  ที่ยังไม่กล้าซื้อหุ้นเลย
หรือถึงซื้อก็ซื้อนิดๆหน่อยๆ
ทำไมเป็นอย่างนั้น ก็ไม่รู้เหมือนกัน  แปลกไหม




เรื่่่องนี้ของพี่หมอ  ผมคิดว่ามันเป็นอุปทานหมู่ที่จิตเริ่มสร้างขึ้นมาร่วมกันเพื่่อขจัดความกลัว  ทำให้เราเห็นว่าคนมากมายทำไมกล้าที่จะเข้าไปซื้อ  ตอน 700 จุด  เพราะพวกเขารู้สึกว่ามันปลอดภัยแล้ว มันขึ้นมาแล้ว  แล้วมันจะขึ้นต่อไปชัวร์  ดูยังไงมันก็ไม่น่าจะลง   ในทางกลับกันทำไมราคา เพียง 400 กลับไม่ค่อยมีคนเข้าไปร่วม
หากจะมองในอีกทางหนึ่งว่า  ทำไมเราไม่ทำตรงข้ามกับคนหมู่มากล่ะ  เพราะหากเราเป็นหนึ่งในคนหมู่น้อยมันไม่ดีกว่าเหรอในการที่จะทำกำไรด้วยความปลอดภัย  คำตอบของผมในขณะีนี้นั่นก็คือ  คนหลายคนอยากเป็นคนส่วนน้อยที่ทำตรงข้ามคนหมู่มาก  แต่เขาเหล่านั้นขาดความรู้ที่จะเป็นส่วนซัพพอร์ตจิตให้เข้มแข็งต่างหากล่ะครับ  ฉนั้นความไม่รู็  จึงสร้าง  อุปทานขึ้นมาว่า  รอก่อน  รอความแน่นอน ก่อน  ให้มันขี้นมากกว่านี้ก่อน  จนเกิดจุดที่เรียกว่าความปลอดภัย  พร้อม ๆ กันกับคนหมู่มากนั่นเอง  ยังไงรบกวนคนที่มีความรู้เรื่องจิตวิทยา  มาแชร์ความรู้กันต่อเนื่องน่ะครับ  เราจะได้มีความรู้หลาย ๆ แขนงมาเป็นภูมิคุ้มกันตัวเราครับ

ทฤษฎี ปลูกพืช ตามที่ขอครับ ครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 29, 2009 8:49 am
โดย siebelize
ขอบคุณมากครับ

ขยันพิมพ์ดีจัง

หวังว่าความคิดตกผลึกเมื่อไร จะมีอะไรดีๆมาเล่าให้ฟังอีกนะครับ


ถ้าการลงทุนเป็นศิลปะ ก็เป็นศิลปะแขนงที่วัดผลได้ไม่ยากเลยครับ