หน้า 1 จากทั้งหมด 1
ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดทุน...มีเรื่องกังวลใจหนึ่งเรื่อง มาเรียน
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 9:19 pm
โดย luangrit
สวัสดีครับทุกคน....ประมาณต้นปีนี้ผมก็จะเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นแล้ว..
เพียงแต่มีเรื่องไม่สบายใจเรื่องเดียวเท่านั้นที่อยากจะถามทุกคนครับ....
ซึ่งนั่นก็คือ...."การที่เราลงทุนในลักษณะนี้ ถือเป็นการเอาเปรียบคนที่อยู่เบื้องหลังจริงๆของหุ้นหรือไม่ครับ?"....
เพราะจริงๆ แล้วคือนักลงทุนแบบเราๆแทบจะไม่ได้มีส่วนร่วมในการบริหารเลย หน้าที่หลักๆของเรานั่นมีแค่ อ่านข้อมูลบัญชี ประเมินมูลค่า ปัจจัย ตัวเลขต่างๆ....แล้วก็นำเงินไปลงทุนในบริษัทที่ตัวเองให้คุณค่าไว้....หลังจากนั้นก็ติดตาม ตรวจตรา ตรวจสอบบริษัทนั้นๆ อย่างเคร่งครัด
ซึ่งด้วยตามความรู้สึกของผมเองแล้ว....ผมรู้สึกลำบากใจมากครับ เพราะมันคล้ายกับการเอาเปรียบคนที่ทำงานจริงๆ ทางอ้อม...
นั่นจึงที่เป็นที่มาของคำถามของผมครับ....
อยากให้ทุกคนที่มีประสบการณ์ช่วยเล่า หรือ ไขข้อข้องใจตรงนี้ด้วยนะครับ...
ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดทุน...มีเรื่องกังวลใจหนึ่งเรื่อง มาเรียน
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 9:37 pm
โดย MrRobot
ก็เราเอาเงินมาให้เขาไปลงทุนนี่ครับ
เเล้วคอยดูว่าผลงานเป็นยังไง :shock:
ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดทุน...มีเรื่องกังวลใจหนึ่งเรื่อง มาเรียน
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 9:39 pm
โดย Eka
ผมว่ามันไม่ได้เกี่ยวกันเลยนะครับ คนละเรื่องเดียวกันเลยก็ว่าได้
งั้้นต้องลองถามเจ้าของกระทู้กลับแล้วล่ะว่า
เอาเปรียบยังไง เอาเปรียบในแง่ไหน
ถ้าคำว่า คนที่อยู่เบื้องหลังจริงๆของหุ้น คือ พนักงาน หรือผู้บริหาร
เขาก็ได้สิ่งตอบแทนเป็น ค่าจ้าง เงินเดือน bonus
แถมบางบริษัท ผู้ถือหุ้นรายย่อย ยังโดนผู้บริหารเอาเปรียบอีกต่างหาก
เราไม่ได้ไปปล้นเงินใคร หรือว่าไปโกงเงินใครเขามานะครับ :lol:
ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดทุน...มีเรื่องกังวลใจหนึ่งเรื่อง มาเรียน
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 9:40 pm
โดย winkung
[quote="MrRobot"]ก็เราเอาเงินมาให้เขาไปลงทุนนี่ครับ
เเล้วคอยดูว่าผลงานเป็นยังไง
ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดทุน...มีเรื่องกังวลใจหนึ่งเรื่อง มาเรียน
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 9:41 pm
โดย sai
ถ้าเราได้โดยไม่เสี่ยงเลยจึงถือว่าเอาเปรียบครับ (ถ้าไม่เสี่ยงเลยเค้าคงไม่เอาหุ้นออกมาขายเราแน่เลย ) ผมว่า winwin นะ อย่าคิดมากเลยครับ เอาเวลาไปหาหุ้นดีดี แล้วเลือกลงทุนดีกว่ามั้งครับ :lol:
ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดทุน...มีเรื่องกังวลใจหนึ่งเรื่อง มาเรียน
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 9:46 pm
โดย moonchild
ถ้างั้นผมมองว่าบริษัทได้อะไรจากนักลงทุนยังไงบ้างนะครับ
ก่อนเข้าตลาดเค้าก็ได้เงินไปลงทุนเพิ่ม
ถ้าธุรกิจเค้าต้องการเงินเพิ่ม เค้าก็มาเพิ่มทุนเอาเงินฟรีๆได้อีก
บางทีก็แจก esop ให้พนักงานฟรีๆ แล้วก็มาเพิ่มปริมาณหุ้นอีก
แถมผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือผู้ถือหุ้นเดิม ได้มูลค่าสินทรัพย์ในตัวบริษัท
เป็นราคาหุ้นเพิ่มมากขึ้นอีกครับ
เงินที่เค้าเอาไปก็ไปพัฒนาบริษัท บริษัทใหญ่ขึ้น
พนังงานก็เงินเดือนสูงขึ้น
มันน่าจะ win-win มากกว่านะครับ
ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดทุน...มีเรื่องกังวลใจหนึ่งเรื่อง มาเรียน
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 9:50 pm
โดย winkung
win-win เหมือนชื่อผมเลยครับ :8)
ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดทุน...มีเรื่องกังวลใจหนึ่งเรื่อง มาเรียน
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 10:17 pm
โดย ส.สลึง
ท่านผู้ถือหุ้น...
ก็มีหน้าที่เข้าประชุมผู้ถือหุ้น
ทานขนม แฮบของฝาก
ลงมติในระเบียบวาระต่างๆ
แล้วก็เลือกตัวแทน
เข้าไปเป็นแข้งในบอร์ดของบริษัทไงครับ
โห.. ภาระกิจโครตจะยิ่งใหญ่
เอ๊ะ.. รึใครว่า..พวกเราขี้เกียจ
ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดทุน...มีเรื่องกังวลใจหนึ่งเรื่อง มาเรียน
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 13, 2010 10:10 am
โดย GERRARD007
=การที่เราลงทุนในลักษณะนี้ ถือเป็นการเอาเปรียบคนที่อยู่เบื้องหลังจริงๆของหุ้นหรือไม่ครับ=
ผมว่าคงไม่เกี่ยวกันครับ...
เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังหุ้น เค้าก็ได้ค่าจ้าง ค่าตอบแทน โบนัส อะไรต่อมิอะไรมากมาย...
ถ้าหากจะอยู่ในตลาดหุ้นแล้วเรื่องอื่นห้ามคิดครับ...เสียเวลา...เราต้องคิดหาวิธีที่จะทำอย่างไรก็ได้ที่ทำให้เราไม่ขาดทุนจากการลงทุน...
เพราะตลาดหุ้น...บางครั้งก็ดีมากๆ...บางครั้งก็โหดร้ายยิ่งกว่าซาตานซะอีก
รวยด้วยหุ้น
http://www.kewell007.blogspot.com/
ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดทุน...มีเรื่องกังวลใจหนึ่งเรื่อง มาเรียน
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 13, 2010 11:35 am
โดย arwut
ผมว่าเราก็คล้ายๆกับสถาบันการเงินนะครับ บริษัทยืมเงินสถาบันการเงิน ก็เทียบได้กับเรา บริษัทจ่ายดอกเบี้ยยืมเงินสถาบันการเงิน ก็เทียบได้กับจ่ายปัญผลเรา เราขายหุ้นทิ้งก็เหมือนบริษัทจ่ายเงินต้นที่ยืมมาหมด ก็แค่นี้ครับ ... โลกทั้งใบมีแต่การเอาเปรีบครับ แต่ว่าจะเปรียบมากเปรียบน้อยแค่นั้นเอง ถ้าจะคิดเล็กคิดน้อย โลกคงไม่น่ามองครับ หากเราขับรถแฟนเรานั่ง แฟนคงเอาเปรียบเราครับที่ไม่ขับรถ ให้เราขับ มองอย่างนี้ตายยยยกันพอดี...แหะๆๆ
ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดทุน...มีเรื่องกังวลใจหนึ่งเรื่อง มาเรียน
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 13, 2010 8:46 pm
โดย luangrit
อูย...ถึงขั้นคิดเล็กคิดน้อยกับแฟนเลยหรอครับ ฮ่าๆๆ ผมว่ามันชักจะไปกันใหญ่แล้วมั้งครับ
คือ...จริงๆแล้วโดยพื้นฐานผมเป็นคนที่ขี้เกรงใจคนมากครับ มากเกินไปด้วยซ้ำ... เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่ค่อยสบายใจเรื่องนี้น่ะครับ...
เพียงแค่อยากรู้ว่า...จริงๆ แล้วข้อตกลงของการลงทุนในลักษณะแบบเราๆนี้ มีที่ไปที่มีอย่างไร คนที่อยู่เบื้องหลังหุ้นจริงๆ จะได้อะไรจากการลงทุนของเราน่ะครับ...
ซึ่ง ณ ตอนนี้ก็ได้คำตอบมาหนึ่งอย่างแล้วว่า เงินทุนของเราไม่ได้จมไปปล่าวๆ เงินเหล่านั้นได้ไปช่วยให้บริษัทมีการเติบโต พนักงานก็มีรายได้ ซึ่งจะนำไปสู่มาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้น (วงเล็บว่า ผู้บริหารต้องมีคุณธรรมด้วยนะครับ).....คือมันเป็นข้อตกลง ในเมื่อเราไม่มีความรู้จะบริหารธุรกิจตรงนั้น เราก็ควรจะนำเงินของเราไปให้คนที่มีความรู้ความสามารถไปบริหารดีกว่า....
แต่มันมีที่ติดใจนิดนึง คือว่า โดยส่วนตัวผมเอง...พี่ผมทำธุรกิจกับเพื่อนซึ่งเราเพียงแค่เอาเงินไปลงไว้เฉยๆ แล้วปล่อยให้เพื่อนไปบริหารต่อ....ซึ่งสุดท้ายผลที่ตามมาคือ เพื่อนโกง ขาดทุน เนื่องจากสาเหตุก็คือ เค้าคิดว่าพี่ผมไปเอาเปรียบเค้า ให้เค้าทำงาน งกๆ โดยที่พี่ผมรับเงินปันผลอย่างเดียว....
ซึ่งผมเองในฐานะน้องชาย ก็อดที่จะสงสารไม่ได้ เพราะด้วยความที่มุมมองของทั้งสองฝ่ายต่างกัน เลยทำให้เกิดปัญหาตรงนี้....
นั่นจึงเป็นที่มาของคำถามของผมครับ....ว่าเราจะมั่นใจในความรู้สึกของผู้ที่ทำงานจริงๆได้แค่ไหนกันครับ....
มีใครเคยนึกถึงประเด็นตรงนี้บ้างมั้ยครับ เผื่อจะได้ช่วยกันคลายข้อสงสัยครับ....
ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดทุน...มีเรื่องกังวลใจหนึ่งเรื่อง มาเรียน
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 13, 2010 9:16 pm
โดย หมักเตา
[quote="luangrit"]แต่มันมีที่ติดใจนิดนึง คือว่า
ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดทุน...มีเรื่องกังวลใจหนึ่งเรื่อง มาเรียน
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 13, 2010 9:25 pm
โดย winzer
เราก็ได้ให้เงินของเราให้เค้านำไปทำธุรกิจ
สร้างกำไรออกมา เค้าก็ได้ผลตอบแทนของเค้าครับ
อย่างที่ทุกท่านว่าครับ win+win
:lol: :lol:
ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดทุน...มีเรื่องกังวลใจหนึ่งเรื่อง มาเรียน
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 13, 2010 9:39 pm
โดย moonchild
ก็ต้องดูส่วนเงื่อนไข ส่วนแบ่งด้วยครับ
ส่วนนี้ไม่ทราบได้ว่าพี่ชายคุณ luangrit มีการจัดการอย่างไร
แต่ถ้าไม่มีเงินธุรกิจก็คงไม่เกิด หรือดำเนินต่อไปไม่ได้
คนจ่ายเงินผมว่าสำคัญนะครับ
ส่วนคนบริหารก็ควรได้รับสิทธิที่เค้ารู้สึุกว่าไม่ได้โดนเอาเปรียบ
ซึ่งบริษัทในตลาดกว่าจะเข้าตลาดได้ก็เปิดกิจการมาเป็น 10 ปี
กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ส่วนต่างๆ โดยเฉพาะเงินคงแบ่งกันเรียบร้อยแล้วครับ
แล้วการทำธุรกิจเริ่มต้น มันเป็นช่วงหัวเลี่ยวหัวต่อ
ถ้าผมเป็นคนลงเงินเอง ยังไงก็ต้องไปควบคุมดูแลเองครับ
จนกว่าบริษัทจะเสถียร ไม่ใช่ปล่อยเลยตามเลยครับ
ก็เหมือนที่นักลงทุนคอยติดตามข่าว ผลงบการเงิน พวกนี้แหล่ะครับ
ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดทุน...มีเรื่องกังวลใจหนึ่งเรื่อง มาเรียน
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 14, 2010 7:02 pm
โดย chowbe76
ตอบแบบตรงๆตามสไตล์ผมนะครับ
เราคือ"เจ้าของ"บริษัท
แล้ว"ผู้บริหาร"=ลูกจ้าง"ของเรา"
แล้วเราเอาเปรียบตรงไหนครับ
เราต้องตรวจสอบดูแลเสียด้วยซ้ำ
เพราะเราอาจโดนโกงได้
จริงมั้ยครับ
^^
ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดทุน...มีเรื่องกังวลใจหนึ่งเรื่อง มาเรียน
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 14, 2010 8:04 pm
โดย luangrit
โห...คุณโชเบ ตอบได้ฮาร์ดคอมากเลยนะครับ ฮ่าๆๆ
มันก็จริงอย่างที่คุณโชเบพูดนะครับ...เราในฐานะเจ้าของ ก็ต้องมีหน้าที่ดูแลความเป็นไปต่างๆของบริษัท....ซึ่งก็ถือว่าเป็นการทำงานอย่างหนึ่ง อาจจะไม่ใช่แบบโดยตรงนัก
สำหรับผม......ผมคิดว่าความคิดนี้เป็นความคิดที่ตอบโจทย์ของผมได้ดีอันนึงเลยครับ เพราะเราก็ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาบริษัทให้เจริญก้าวหน้าเหมือนกัน ถือได้ว่าเราไม่เอาเปรียบคนอื่นๆครับ....
ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดทุน...มีเรื่องกังวลใจหนึ่งเรื่อง มาเรียน
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 15, 2010 1:02 pm
โดย unnop.t
อย่างที่หลายคนบอกแหละครับ คนลงเงินได้เงินปันผล คนลงแรงได้เงินเดือน คนลงทั้งเงินและแรง ต้องได้ปันผล+เงินเดือน นี้คือหลักการทำธุรกิจ fair deal ไม่ว่าจะเป็นบริษัทในตลาด หรือบริษัททั่วไป
ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดทุน...มีเรื่องกังวลใจหนึ่งเรื่อง มาเรียน
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 15, 2010 11:29 pm
โดย witweew
[quote="winkung"]win-win
ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดทุน...มีเรื่องกังวลใจหนึ่งเรื่อง มาเรียน
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 15, 2010 11:51 pm
โดย winkung
[quote="witweew"][quote="winkung"]win-win
ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดทุน...มีเรื่องกังวลใจหนึ่งเรื่อง มาเรียน
โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 18, 2010 12:04 am
โดย AleAle
เอาบทความของพี่สุมาอี้มาให้อ่านครับ
ทำไมต้องมีตลาดหุ้น
ตลาดหุ้น" ที่ชาวบ้านซื้อขายหุ้นกันอยู่ทุกวันนี้จัดอยู่ในประเภท ตลาดรอง (Secondary Market) ของตลาดทุน ส่วน ตลาดหลัก (Primary Market) จริงๆ ของตลาดทุนซึ่งเป็นตลาดที่กิจการทั้งหลายใช้ระดมทุนเพื่อขยายกิจการ คือ "ตลาด IPO" หรือที่เรานิยมเรียกกันติดปากว่า "หุ้นจอง"
เมื่อ กิจการขายหุ้นจอง เงินที่ได้จะเข้าบริษัทเพื่อนำไปใช้ในกิจการ หลังจากนั้นบริษัทก็มักจะนำหุ้นของบริษัทเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นเพื่อให้ หุ้นของบริษัทกลายเป็นสินค้าตัวหนึ่งที่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือในตลาดหุ้น ได้ หลังจากนี้แล้ว การซื้อขายหุ้นของบริษัทในตลาดหุ้นจะเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนมือไปมาระหว่าง นักลงทุนเท่านั้น ไม่ได้มีเม็ดเงินเข้าสู่บริษัทเพื่อนำไปใช้ในกิจการอีกต่อไป นั่นคือ สิ่งที่ใช้แยกความแตกต่างระหว่างตลาดหลักกับตลาดรองก็คือ เมื่อมีการขายหุ้นแล้ว เงินไปไหน ถ้าเป็นตลาดหลัก เงินจะเข้าสู่บริษัท แต่ถ้าเป็นตลาดรอง เงินจะเข้ากระเป๋าผู้ที่ขายหุ้น
ประเด็น นี้ทำให้มีบางคนกล่าวหาตลาดหุ้นว่า ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับสังคม เพราะเงินไม่ได้เข้าบริษัทเพื่อก่อให้เกิดการลงทุนในระบบเศรษฐกิจจริงๆ เงิน เพียงแต่ไหลจากกระเป๋าของนักลงทุนคนหนึ่งไปยังกระเป๋าของนักลงทุนอีกคนหนึ่ง ไปเรื่อยๆ เท่านั้นและนักลงทุนในตลาดหุ้นก็หากินด้วยการซื้อหุ้นมาในราคาหนึ่งแล้ว ขายออกไปในราคาที่สูงกว่าแล้วเก็บกำไรเข้ากระเป๋า บางคนถึงกับบอกว่าน่าจะยกเลิกตลาดหุ้นไปเลยเหลือไว้แต่ตลาด IPO ก็พอ
นั้น เป็นความคิดของคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ลองคิดดูว่า ถ้าหากไม่มีตลาดรอง ตลาดหลักจะอยู่ได้หรือไม่ คงแทบไม่เหลือนักลงทุนคนไหนที่จะกล้าซื้อหุ้นจองจากบริษัทอีกต่อไป เพราะนักลงทุนเหล่านั้นย่อมรู้ว่าเมื่อซื้อมาแล้วจะไม่สามารถขายหุ้นนั้นต่อ ให้ใครได้หรือถ้าขายได้ก็ต้องขายขาดทุนมากๆ เพื่อให้มีใครสักคนยอมซื้อ ดังนั้นเหตุผลที่แท้จริงที่ต้องมีตลาดหุ้นก็เพื่อให้ตลาดหลักสามารถดำรงอยู่ได้นั่นเอง
บาง คนคิดว่าการที่รถยนต์มีตลาดมือสองนั้นทำให้ตลาดมือหนึ่งแย่ลง เพราะตลาดมือสองจะแย่งลูกค้าส่วนหนึ่งของตลาดมือหนึ่งไป แต่ที่จริงแล้ว ลองคิดดูว่า ถ้าผู้บริโภคซื้อรถยนต์มาแล้ว ห้ามขายต่อโดยเด็ดขาด จะมีผู้บริโภคที่กล้าซื้อรถยนต์มือหนึ่งมากขึ้นหรือน้อยลง ทุกวันนี้มีคนส่วนหนึ่งที่กล้าซื้อรถใหม่บ่อยๆ ก็เพราะเขารู้ว่าเขาสามารถขายต่อในตลาดมือสองเมื่อไรก็ได้ ขาดทุนนิดหน่อยแสนสองแสนถือว่ากำไรใช้ เลยทำให้ตลาดรถใหม่ขายดี ฉันใดก็ฉันนั้น ตลาดรองช่วยส่งเสริมตลาดหลักด้วยการทำให้สินค้าของตลาดหลักกลายเป็นสินค้า ที่มีสภาพคล่องสูง คนที่ซื้อหุ้นจองไปแล้วหากวันดีคืนดีเกิดมีความจำเป็นต้องใช้เงินด่วนขึ้นมา ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายต่อให้ใครไม่ได้
มีบางคน อยากเห็นตลาดหุ้นมีแต่นักลงทุนระยะยาวอย่างเดียวไม่มีนักเก็งกำไรระยะสั้น เพราะพวกเขามีทัศนคติในแง่ลบการคำว่า "เก็งกำไร" แต่ที่จริงแล้ว ลองคิดดูให้ดี ถ้าในตลาดหุ้นมีแต่นักลงทุนทั้งหมด ไม่มีใครเป็นนักเก็งกำไรเลย สภาพคล่องในตลาดหุ้นคงหายไปมากกว่า 95% ถ้าการขายหุ้นออกในตลาดหุ้นกับการไปเร่ขายหุ้นด้วยตนเองนอกตลาดหุ้นมีความ ยากลำบากเท่ากันเพราะหาคนซื้อได้ยากก็ไม่รู้ว่าจะมีตลาดหุ้นเอาไว้เพื่ออะไร ดังนั้น ตลาดหุ้นที่มีคุณค่าต้องเป็นตลาดที่มีคน จำนวนหนึ่งในตลาดยินดีที่จะซื้อหรือขายหุ้นบ่อยๆ โดยแลกกับโอกาสทำกำไรเล็กๆ น้อยๆ ทุกวันเพื่อสร้างสภาพคล่องให้กับคนที่เป็นนักลงทุน กล่าวคือทำให้คนที่เป็นนักลงทุนระยะยาวสามารถขายหุ้นออกได้เสมอ (โดยไม่ต้องขายขาดทุนมากๆ) เมื่อใดก็ตามที่พวกเขามีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินแบบเร่งด่วน พูดง่ายๆ ก็คือการซื้อๆ ขายๆ ของนักเก็งกำไรช่วยลด liquidity risk ให้กับคนที่เป็นนักลงทุนนั่นเอง
โดยส่วนตัว ผมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่าเป้าหมายของการพัฒนานักลงทุนรายย่อยคือการทำให้นักลงทุนรายย่อยหันมาลงทุนระยะยาวกันให้หมด สิ่งที่ผมอยากเห็นมากกว่าคือทำอย่างไรนักลงทุนรายย่อยจึงจะเป็นนักลงทุนที่มีภูมิต้านทาน กล่าวคือ ตัดสินใจจากข้อมูลที่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้เป็นหลัก ไม่ถูกชักจูงไปได้ง่าย ไม่เชื่อข่าวลือข่าวปล่อยต่างๆ ไม่แห่ตามกันโดยขาดวิจารณาณของตนเอง ส่วนจะเป็นนักเก็งกำไรระยะสั้น นักเทคนิค หรือนักลงทุนระยะยาวนั้น ผมกลับคิดว่าไม่ใช่ประเด็นสำคัญ นักลงทุนทุกแบบล้วนแต่มีคุณค่าต่อตลาดทุนทั้งสิ้น หากตั้งใจจะเป็นนักเทคนิค ก็ควรศึกษาเทคนิคให้จริงจัง คนที่เล่นสั้นหลายคนที่ผมรู้จักเป็นคนที่ไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ ผมก็ไม่เคยรู้สึกเป็นห่วงพวกเขาเลย เพราะผมมั่นใจว่าคนนิสัยแบบนี้จะสามารถเอาตัวรอดในตลาดหุ้นได้อย่างแน่นอน
http://portal.settrade.com/blog/1001ii/2007/09/27/159