Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ผมงงครับใครๆก็ว่าถ้าจบสูงๆเป็น DR จะประสบความสำเร็จแต่เห็น

หลายต่อหลายคนไม่จบ ตรี เช่น Bill Gates กลับเป็นคนที่รวยที่สุด

ในโลก เจ้าสัวหลายๆคนในประเทศไทยเราก็จบแค่ ป.4

การศึกษาจะทำให้เราประสบความสำเร็จไหมครับ

แล้วทำไมคนที่เป็น DR ไม่ติด 100 คนรวยครับ

List of billionaires
# Name Nationality Net Worth
1 Bill Gates  United States $46.5 billion  
2 Warren Buffett  United States $44.0 billion  
3 Lakshmi Mittal  India $25.0 billion  
4 Carlos Slim Helú  Mexico $23.8 billion  
5 Alwaleed Bin Talal Bin Abdulaziz Al Saud  Saudi Arabia $23.7 billion  
6 Ingvar Kamprad  Sweden $23.0 billion  
7 Paul Allen  United States $21.0 billion  
8 Karl Albrecht  Germany $18.5 billion  
9 Larry Ellison  United States $18.4 billion  
10 S. Robson Walton  United States $18.3 billion  
11 Jim Walton  United States $18.2 billion  
12 Alice Walton  United States $18.0 billion  
13 Helen Walton  United States $18.0 billion  
14 Lord Thomson of Fleet and family  Canada $17.9 billion  
15 Liliane Bettencourt  France $17.2 billion  
16 Bernard Arnault  France $17.0 billion  
17 Michael Dell  United States $16.0 billion  
18 Sheldon Adelson  United States $15.6 billion  
19 Theo Albrecht  Germany $15.5 billion  
20 Roman Abramovich  Russia $13.3 billion  
21 Li Ka-shing  Hong Kong $13.0 billion  
22 Amancio Ortega Gaona  Spain $12.6 billion  
23 Steve Ballmer  United States $12.1 billion  
24 Silvio Berlusconi  Italy $12.0 billion  
25 Abigail Johnson  United States $12.0 billion  
26 Barbara Cox Anthony  United States $11.7 billion  
27 Anne Cox Chambers  United States $11.7 billion  
28 Stefan Persson  Sweden $11.2 billion  
29 John Kluge  United States $11.0 billion  
30 Walter, Thomas and Raymond Kwok  Hong Kong $10.9 billion  
31 Forrest Mars, Jr.  United States $10.4 billion  
32 Jacqueline Mars  United States $10.4 billion  
33 John Mars  United States $10.4 billion  
34 Luciano Benetton and family  Italy $9.9 billion  
35 Pierre Omidyar  United States $9.9 billion  
36 Galen Weston and family  Canada $9.9 billion  
37 Lee Shau Kee  Hong Kong $9.3 billion  
38 Azim Premji  India $9.3 billion  
39 Nasser Al-Kharafi and family  Kuwait $9.0 billion  
40 Kirk Kerkorian  United States $8.9 billion  
41 Sumner Redstone  United States $8.8 billion  
42 Leonardo Del Vecchio  Italy $8.5 billion  
43 Michele Ferrero and family  Italy $8.5 billion  
44 Michael Otto and family  Germany $8.3 billion  
45 Susanne Klatten  Germany $8.2 billion  
46 Philip Knight  United States $8.2 billion  
47 Hans Rausing  Sweden $8.0 billion  
48 Serge Dassault and family  France $7.8 billion  
49 Carl Icahn  United States $7.8 billion  
50 Rupert Murdoch  United States $7.8 billion  
51 Rudolf August Oetker and family  Germany $7.7 billion  
52 Birgit Rausing and family  Sweden $7.6 billion  
53 Spiro Latsis and family  Greece $7.5 billion  
54 Sergey Brin  United States $7.2 billion  
55 Charles Ergen  United States $7.2 billion  
56 Larry Page  United States $7.2 billion  
57 George Soros  United States $7.2 billion  
58 Reinhold Würth  Germany $7.2 billion  
59 Mukesh & Anil Ambani  India $7.0 billion  
60 Mikhail Fridman  Russia $7.0 billion  
61 Vladimir Lisin  Russia $7.0 billion  
62 Donald Newhouse  United States $7.0 billion  
63 Samuel Newhouse, Jr.  United States $7.0 billion  
64 Adolf Merckle  Germany $6.9 billion  
65 Stefan Quandt  Germany $6.7 billion  
66 Micky Arison  United States $6.5 billion  
67 Philip Green  United Kingdom $6.3 billion  
68 Maria-Elisabeth and Georg Schaeffler  Germany $6.3 billion  
69 August von Finck  Germany $6.3 billion  
70 Eli Broad  United States $6.1 billion  
71 Curt Engelhorn  Germany $6.0 billion  
72 Friedrich Flick, Jr.  Germany $6.0 billion  
73 Edward Johnson, III  United States $6.0 billion  
74 Nicky Oppenheimer and family  South Africa $6.0 billion  
75 Francois Pinault  France $5.9 billion  
76 Philip Anschutz  United States $5.8 billion  
77 Ernesto Bertarelli  Switzerland $5.8 billion  
78 Nobutada Saji and family  Japan $5.8 billion  
79 Sulaiman Bin Abdul Al Rajhi  Saudi Arabia $5.6 billion  
80 Yoshitaka Fukuda and family  Japan $5.6 billion  
81 The Duke of Westminster  United Kingdom $5.6 billion  
82 Reinhard Mohn and family  Germany $5.6 billion  
83 Shari Arison  Israel $5.5 billion  
84 Oleg Deripaska  Russia $5.5 billion  
85 Yasuo Takei and family  Japan $5.5 billion  
86 Jean-Claude Decaux and family  France $5.4 billion  
87 Antonia Johnson  Sweden $5.4 billion  
88 Johanna Quandt  Germany $5.4 billion  
89 Mærsk Mc-Kinney Møller  Denmark $5.3 billion  
90 Joseph & Moise Safra  Brazil $5.2 billion  
91 Onsi Sawiris and family  Egypt $5.2 billion  
92 Dan Duncan  United States $5.1 billion  
93 Michael Bloomberg  United States $5.0 billion  
94 Gustavo Cisneros and family  Venezuela $5.0 billion  
95 Rafael del Pino and family  Spain $5.0 billion  
96 Robert Kuok  Malaysia $5.0 billion  
97 Hasso Plattner  Germany $5.0 billion
98 James Packer  Australia $5.0 billion  
99 Jeffrey Skoll  Canada $5.0 billion  
100 Viktor Vekselberg  Russia $5.0 billion

Links

http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_bi ... res_(2005)

ครับ

ko_hisashi เขียน:ผมงงครับใครๆก็ว่าถ้าจบสูงๆเป็น DR จะประสบความสำเร็จแต่เห็น

หลายต่อหลายคนไม่จบ ตรี เช่น Bill Gates กลับเป็นคนที่รวยที่สุด

ในโลก เจ้าสัวหลายๆคนในประเทศไทยเราก็จบแค่ ป.4

การศึกษาจะทำให้เราประสบความสำเร็จไหมครับ

แล้วทำไมคนที่เป็น DR ไม่ติด 100 คนรวยครับ

ไม่ต้อง งง ครับ คนเรียนสูงหรือจบPh.D.ไม่ได้การันตีว่าจะมั่งคั่ง นี่ครับ
เหมือนกับ การบวชพระหรือการจบเปรียญฯก็ไม่ได้การันตีว่าจะนิพพาน

แต่ถ้าตีความคำว่า "การศึกษา" ไม่ใช่การจบปริญญาแล้ว แต่ตีความว่า เป็นการใฝ่หาความรู้ ผมว่า การศึกษาเป็นบาทฐานที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ ครับ

ได้ idea มาจากหนังสือ Outliers ว่า

การศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ แต่ความจริงมันมีปัจจัยอื่นๆ นอกจากนั้นอีก

เช่น พื้นฐานทางครอบครัว, ทักษะทางด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่ IQ, ความทุ่มเทให้กับสิ่งที่ทำ, โชค ฯลฯ

ที่จะเป็นส่วนประกอบที่จะนำเราไปสู่ความสำเร็จ

ไม่ใช่การศึกษาไม่สำคัญ แต่มันต้องอาศัยปัจจัยอื่นประกอบด้วย

แต่ถ้าจะยกคนที่จบ ดร. แล้วประสบความสำเร็จในไทย ก็  ดร.นิเวศน์ ไงครับ  :D

การจบ ดร. ต้องมีเกรดดีกว่าแน่นอนครับ
ถ้านำดร.ที่รวย/ดร.ทั้งหมด  ต้องได้มากกว่า ปตรีรวย/ปตรีทั้งหมด แน่นอนครับ แต่สาเหตุที่คุณเห็นดร.รวยๆน้อยเพราะมันมีดร.กี่คนละครับเมื่อเทียบกับคนธรรมดา ดังนั้นการเห็นคนธรรมดารวยกว่าดร.ไม่แปลกครับ

ส่วนการจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดนั้นเราต้องเข้าใจคำพูดที่ว่า
"สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ว่ามีเท่าไหร่ แต่สิ่งที่สำคัญคือเราใช้มันอย่างไร" ถ้าเข้าใจคำพูดประโยคนี้อย่างถ่องแท้ก็จะไม่แปลกใจที่สุดยอดคนมีทั้งป.ตรี ป.4 กันมากมายครับ

สังเกตุอย่างเรื่องใกล้ตัวคือ P/BV  Pคือมูลค่าเรา  BVคือการศึกษาและความรู้
จริงๆแล้วถ้าเราไม่มองอะไรมาก Pควรเท่ากับBV PBVควรจะเท่ากับ1
แต่ดูผลลัพซิครับ ดูว่าผู้บริหารแต่ละคนเอาBVไปใช้อย่างแตกต่างกันมาก
จนเราเห็น
PBV=0.2ในตลาด คือคุณมีค่าน้อยกว่าใบปริญญาที่คุณจบ5เท่า
PBV=5.0ในตลาด คือคุณมีค่ามากกว่าใบปริญญาที่คุณจบ5เท่า
การใช้ความรู้ความสามารถที่เรามีอยู่ ก็ไม่ต่างกับการบริหารBVของผู้บริหาร
ดังนั้นมีเท่าไหร่ไม่สำคัญเลยเมื่อเทียบกับใช้อย่างไร

"เรียน ดร. เพราะชอบเรียน" มีเยอะกว่า "เรียน ดร. เพราะอยากรวย" ครับ

ลืมหนึ่ง ดร. ก็ ดร.ทักษิณ ไงครับ  :D

การศึกษา เพิ่มโอกาส ทำให้มีทางเลือกมากขึ้น

แต่ไม่ได้รับประกันความสำเร็จ

ถ้าดูในแง่สถิติแล้ว
การเรียนจบ ดร. คงไม่มีความสัมพันธ์กับ ความรวย
แต่น่าจะสัมพันธ์กับความเชี่ยวชาญในศาสตร์หนึ่งๆ และความขยัน อดทน

ความกังขาของ จขกท. ที่มีต่อการศึกษา เคยเกิดกับผม ตอนจบ ป. ตรี  สาขาวิศวกรรมศาสตร์  ด้วยเกรด 3.2 นิดๆ แล้วพยายามสมัครงานหลายๆที่โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นงานอะไร ออกต่างจังหวัดก็ยอม ขอแค่มีรายได้ 18K ขึ้นไป

เสื่อมศรัทธาต่อการศึกษา    

เริ่มขึ้นระหว่างรอคอยงานโดยไม่มีการตอบรับใดๆเกิดขึ้น  ทำให้จำใจช่วยงานวิจัยของอาจารย์ ซึ่งสุดเบื่อเหลือทนมาตั้งแต่ปี 4  กับค่าตอบแทนเพียง 7,630 บาท/เดือน  โดยที่ไม่ได้สวัสดิการเช่นเดียวกับ พนักงานมหาวิทยาลัย  นานเข้ากลายเป็น รู้สึกผิดหวังกับปริญญาที่ได้รับ  ผิดหวังกับอาจารย์ที่ทำงานวิจัยเพียงขอตำแหน่งทางวิชาการ โดยไม่สนใจแนะแนวเรื่องสำคัญอื่นๆ ที่คนเรียนต้องตอบให้ได้ก่อนเรียนจบ  

จนกระทั่ง 1 เดือนก่อนที่ผมจะได้งานประจำที่โรงงาน แถวสระบุรี  project ที่ส่งเข้าแข่งขันภายในภาควิชา ไม่ได้รับรางวัลตามคำสัญญาของ อาจารย์ (ถ้าชนะจะนำเงินรางวัลมาแบ่งให้) เนื่องจากการเมืองของเหล่าอาจารย์ในภาค ที่อ้างขึ้นมาว่า ผมซึ่งเป็นนิสิตในสังกัดของ อ. เป็นคนเดียวที่สอบ defend proj. ได้ A แล้ว ยังจะเอารางวัล proj. ยอดเยี่ยมอีกเหรอ ???    ด้วยความที่เก็บกดมานาน ผมได้แตกคอกับอาจารย์  ในใจก็ได้สาบส่งภาควิชา  หากไม่จำเป็นจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่เด็ดขาด   เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น  ทำให้
ผมเกลียดการศึกษาในระบบ  ไม่อยากเรียนต่อโทไปเป็นเวลาหลายปีเลยทีเดียว โดยเฉพาะปริญญาโทที่เมืองไทย

ศรัทธาต่อการศึกษาที่ได้กลับมา    

แต่แล้ว..หลังจากที่ออกจากงาน ที่สระบุรี  หางานใหม่ไม่ได้ ว่างงานอยู่หลายเดือนทางบ้านก็แกมบังคับให้เรียนโทในสาขาวิชาที่ไม่อยากเรียน  ผมไม่
สามารถปฏิเสธได้ ต้องยอมไปเรียนแต่โดยดี  พฤติกรรมการเรียนเปลี่ยนจาก
หน้ามือเป็นหลังมือ  วิชาไหนที่อยู่ในความสนใจ และเกี่ยวข้องกับการลงทุน
ผมจะตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ บางวิชาที่ไม่เกี่ยวข้องกับการลงทุน  ผมมักจะพยายามดึง ประเด็นเหล่านั้นโยงเข้าเรื่องการลงทุนให้ได้มากสุด เท่าที่จะทำได้  เป็นหัวโจกของห้องที่พาอาจารย์ออกนอกทะเลเป็นประจำ  มีทั้งคนชื่นชอบและเอือมระคนกันไป      

แม้ว่าทุกวันนี้ ผมจะไม่ได้เรียนปริญญาโทที่นั่นแล้ว  แต่ที่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้น
ที่ทำให้ผมออกแบบคำว่า  การศึกษาที่ผมต้องการนั้นเป็นอย่างไร  พร้อมด้วย
เหตุผลที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการอยู่ต่อ/จากไป

ถือว่าแบ่งปันประสบการณ์กันครับ

การที่ได้ Dr. มาหรือเรียนจบด้วยเกรดสูงๆ นั่นเป็นแค่การพิสูตรว่าคนคนนั้นมีความฉลาดเผ็นเลิศในสาขานั้นๆ แต่คนจะรวยได้ต้องมีความฉลาดทางการเงินครับ ซึ่งมันไม่มีสอนในการศึกษาใดๆบนโลกนี้ครับ สิ่งนี้มันต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง

GeneraX เขียน:การที่ได้ Dr. มาหรือเรียนจบด้วยเกรดสูงๆ นั่นเป็นแค่การพิสูตรว่าคนคนนั้นมีความฉลาดเผ็นเลิศในสาขานั้นๆ

เกรดสุงๆอาจมีส่วนนะครับ แต่จบดร.นี่ผมว่าต้องมี
1.ไม่มีภาระทางบ้าน
2.มีเงิน+มีเวลา
3.ใจรัก
เพราะเพื่อหลายๆคนจบมาเกรดสุงปี๊ด แต่ก็ไม่ได้ต่อโทครับ เพราะต้องทำงาน่สงที่บ้านบ้าง ไม่อยากเป็นนักวิชาการบ้าง ซึ่งผมว่าคนกลึ่มนี้เก่งครับ ถ้าเรียนต่อก็น่าจะสบายๆครับ แต่เขาไม่ได้เรียนเท่านั้นครับ....

แต่สังคมไทยกลับให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มาก ตั้งแต่เรื่องสถานศึกษา เกรด และวุฒิ โดยส่วนตัวผมมองดร.ไม่ต่างจากคนธรรมดาครับ....

การศึกษาไม่ได้จำกัดแค่เพียงในหลักสูตรที่ต้องมีสถาบัน ห้องเรียน การสอบวัดผล และใบประกาศเกียรติคุณ

ที่จำเป็นต้องมีใน "การศึกษา" คือการเรียนรู้ (ดู ฟัง อ่าน) และฝึกฝนลงมือปฏิบัติ (พูด เขียน) ซึ่งอาจจะทำเองคนเดียว หรือมีการแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นก็ได้ ส่วนจะมีการวัดผลเป็นทางการว่าผ่านหรือไม่ มีใบประกาศฯ หรือไม่  ไม่สำคัญ

การศึกษาทั้งในระบบ และนอกระบบหลายรูปแบบนำไปสู่ความมั่งคั่งได้ WB เองก็จบทั้งระดับป.ตรีและโท

จะจบ ป.เอก ในสาขาไหนได้ควรต้องให้องค์ความรู้ใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่วงการนั้นๆ อย่างมีนัยสำคัญ   ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ความร่ำรวยส่วนบุคคลครับ

ผมว่าการศึกษาลดความเสี่ยงของชีวิตที่จะลำบาก มากกว่าทำให้รวยครับ คือถ้ามีปริญญาแล้วนั้น ไม่ต้องพยายามมากเท่าคนที่จบ ป. ๖ ในการหาเลี้ยงชีพ

เจก

แต่ผมมั่นใจว่า คนรวยอันดับต้น ๆ นั้นหัวดี หากสนใจมาเรียน รับรองได้ PhD แน่นอนครับ เพียงแต่ว่าเขาไม่สนใจ เขาอาจจะมองข้ามไปด้วยซ้ำว่า การเรียนมันเสียเวลา เขารู้อยู่แล้ว สู้ออกมาทำมาหากินเพิ่มความมั่งคั่ง อย่างคุณบิลล์ เกตต์นั้น ก็ครอบออกมาจาก ฮาวาร์ด นะครับ ไม่ใช่ว่าหัวไม่ดีนะ แต่หัวดีเกินไป มีของมากจนอยากออกมาปล่อยของตางหาก

OutOfMyMind เขียน:แต่ผมมั่นใจว่า คนรวยอันดับต้น ๆ นั้นหัวดี หากสนใจมาเรียน รับรองได้ PhD แน่นอนครับ เพียงแต่ว่าเขาไม่สนใจ เขาอาจจะมองข้ามไปด้วยซ้ำว่า การเรียนมันเสียเวลา เขารู้อยู่แล้ว สู้ออกมาทำมาหากินเพิ่มความมั่งคั่ง อย่างคุณบิลล์ เกตต์นั้น ก็[ครอบ]ออกมาจาก ฮาวาร์ด นะครับ ไม่ใช่ว่าหัวไม่ดีนะ แต่หัวดีเกินไป มีของมากจนอยากออกมาปล่อยของตางหาก

ดรอป ครับ พิมพ์ผิด

แม้ว่าคนหลายคนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ไม่ได้เรียนมาสูง

แต่ไม่ได้หมายความว่า หากไม่ขยันเรียนแล้วจะได้ดี

พวกพี่เคยได้ยินไหมครับ ว่า วอเรเรน บัฟเฟตต์ ก็ไม่ค่อยชอบแนวทางการลงทุนของ พวก MBA

และก็ต่อต่อต้านด้วย และ Robert P.Miles เคยเขียนไว้ในหนังสือมั่งคั่งอย่างวอเรเรน บัฟเฟตต์

"เขาบอกว่าเขาเป็นนักลงทุนและที่ปรึกษาการลงทุนอายุ 40 กว่าคนหนึ่ง

ผู้ซึ่งเคยลงทุนผิดพลาดมากว่า 30 ปี และคนพบวิธีการของคนที่เก่งที่สุดในโลก"

วอเรเรน บัฟเฟตต์ บอกว่าเขาใช้ +-*2 ยกกำลัง แค่นี้

ผมเชื่อใน "การเรียนรู้" นะครับแต่ ไม่เชื่อในการได้ "วุฒิกับปริญญา"
เคยไหมครับอ่านหนังสือเรียน(เกี่ยวกับการลงทุน)แล้วงง แต่พออ่านของ

พี่สุมาอี้อย่างเช่น หนังสือวัดมูค่าด้วยตัวคุณเอง แล้วปริ๊งพอจะเข้าใจ

พอจะหาอะไรๆเพิ่มต่อเติ่มได้ในสิ่งที่เราไม่รู้ แต่หนังสือเรียนทำให้ผมงง

ไม่รู้จะไปหาอะไรต่อ

บางสาขาวิชาชีพ  การเรียนต่อ ก็มีความจำเป็นครับ

จบพื้นฐาน  แต่ไม่ได้จบเฉพาะด้าน  ก็ไม่มีสิทธิ์  practice  นะครับ

แล้วการเรียนต่อก็ทำให้เรารู้จริงมากขึ้นอีกด้วย

ฉลาดแล้วรวย....เยอะแยะ
โง่แล้วรวย....เยอะแยะ
ฉลาดแล้วจน....เยอะแยะ
โง่แล้วจน....เยอะแยะ

ความเห็นส่วนตัว
ได้โปรด อย่าสร้างความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษา
กับสถานภาพเงิน

เพราะ การศึกษามันก็แค่การรวบรวมข้อมูลเก่าๆ
มาอยู่ในจุดๆหนึ่งแล้วศึกษา ปริญญาตรี โท เอก
ในหลากหลายมุม เชิงลึก กว้าง แคบ ....ก็คือ ความรู้

ซึ่ง ความรู้ถ้าไม่ได้เอามาต่อยอดด้านธุรกิจ
ก็คงไม่งอกเงยเงินออกมา

แต่ถ้าเรายึดแต่ผลเงินเป็นหลัก ความรู้ก็จะมีแต่ถดถอย
สุดท้ายคงกลับไปยุคถ้ำ(ในเชิงเปรียบเทียบ) อย่าง Capitalism

ใจหวังว่ายุค หน้าคงเป็น Brainism

ดังนั้น ฉลาดด้านความรู้ กับฉลาดด้านการเงิน คนละเรื่องกัน

อยากเรียนโทใจจะขาดดด
แต่ลองมานึก.....เรียน2แสนวันนี้ กับลงทุนผลตอบแทน20%ต่อปี เป็นเวลา10ปี

200000*1.2^10=1.2ล้าน

ก็เลยสรุปว่า เดี่ยวอีก10ปีค่อยเรียนละกัน 1.2-.2=1ล้าน กำไรเหอะๆ

vivitawin เขียน: ไม่ต้อง งง ครับ คนเรียนสูงหรือจบPh.D.ไม่ได้การันตีว่าจะมั่งคั่ง นี่ครับ
เหมือนกับ การบวชพระหรือการจบเปรียญฯก็ไม่ได้การันตีว่าจะนิพพาน

แต่ถ้าตีความคำว่า "การศึกษา" ไม่ใช่การจบปริญญาแล้ว แต่ตีความว่า เป็นการใฝ่หาความรู้ ผมว่า การศึกษาเป็นบาทฐานที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ ครับ

ขอเสริมอีกนิด ถ้าต้องการประสบความสำเร็จ ผมแนะนำ อิทธิบาท 4 เลยครับ
ผมว่า List of billionaires ที่คุณ ko_hisashi บอกไว้ มีอิทธิบาท 4 ครบทุกคนครับ อันนี้ชัวร์สุด

ฉันทะ (ความพอใจ) คือ ความต้องการที่จะทำ ใฝ่ใจรักจะทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ และปรารถนาจะทำให้ ได้ผลดียิ่งๆขึ้นไป
วิริยะ (ความเพียร) คือ ขยันหมั่นประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระไม่ท้อถอย
จิตตะ (ความคิด) คือ ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำ และทำสิ่งนั้นด้วยความคิด เอาจิตฝักใฝ่ ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป
วิมังสา (ความไตร่ตรอง หรือ ทดลอง) คือ หมั่นใช้ปัญญา พิจารณาใคร่ครวญ ตรวจหาเหตุผล และตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในสิ่งที่ทำนั้น มีการวางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น

picklife เขียน:อยากเรียนโทใจจะขาดดด
แต่ลองมานึก.....เรียน2แสนวันนี้ กับลงทุนผลตอบแทน20%ต่อปี เป็นเวลา10ปี

200000*1.2^10=1.2ล้าน

ก็เลยสรุปว่า เดี่ยวอีก10ปีค่อยเรียนละกัน 1.2-.2=1ล้าน กำไรเหอะๆ

สอบชิงทุนเรียนต่อสิพี่  มีทั้งนอกและใน เยอะแยะ ครับ

ว่าแต่  10 ปี ข้างหน้า  พี่จะคิดคำนวณได้ไวเท่าวันนี้หรือเปล่า

คุณน้าฮับ.....อีก 10 ปีมาแข่งคำนวณกับป๋มมั๊ยฮับ   :lol:

ผมว่าคนที่จบไม่สูงก็ใช่ว่าเขาจะไม่ศึกษานี่ครับเพราะวิชาความรู้ไม่ว่าในห้อง
เรียนนอกห้องเรียนก็ใช้ได้เหมือนกันไม่แตกต่างกันเลย เพียงแต่คนที่จบสูงมี
วุฒิบัตรให้แต่คนที่ไม่ได้เรียนในห้องเรียนไม่มี มีแต่ประสบการณ์ เพราะฉะนั้น
ผมว่ามันคงขึ้นอยู่กับความพยายาม ความตั้งใจใฝ่หาความรู้ของคนๆนั้น
มากกว่าเพื่อนำมาใช้ในการสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่
กับการได้รับโอกาสหรือแสวงหาโอกาสให้ตัวเองด้วย

ผมว่า การประสบความสำเร็จกับการร่ำรวย มันไม่ใช่เรื่องเดียวกันซะทีเดียวนะครับ   ความร่ำรวยไม่ใช่จุดหมายปลายทางของทุกคน  ถ้าทุกคนนึกถึงแต่ความร่ำรวยเป็นที่ตั้ง สังคมคงจะมีลักษณะแปลกๆ

picklife เขียน:อยากเรียนโทใจจะขาดดด
แต่ลองมานึก.....เรียน2แสนวันนี้ กับลงทุนผลตอบแทน20%ต่อปี เป็นเวลา10ปี

200000*1.2^10=1.2ล้าน

ก็เลยสรุปว่า เดี่ยวอีก10ปีค่อยเรียนละกัน 1.2-.2=1ล้าน กำไรเหอะๆ

ผมคิดไม่เหมือนกับพี่Picklifeนิดหน่อยครับ ณ ตอนนี้ รู้สึกว่ามีหลายอย่างที่ผมยังต้องเรียนรู้อีกมาก เลยคิดว่าทุกๆปีจะจัดเงินลงทุน % สัดส่วนนึงของport ไว้เป็นค่าการศึกษา  

สมมติว่า Port พี่ล้านบาท  ถ้าจัดมา 10% เสียค่าเรียนแสนบาท เหลือเงินลงทุน9แสนบาท แต่ความรู้ที่เรียนมาทำให้สามารถหาผลตอบแทนได้ 11-12% ( 11% *9แสน = 100,000บาท )
นั่นคือลงทุนแสนนึงได้เงินคืนแสนนึงคิดเป็นผลตอบแทน 100%  :D  

เพราะผลตอบแทนที่คืนมามันจะเป็นผลตอบแทนทั้งก้อนของเงินที่เราลงทุนมาครับ

แล้วอีกอย่างความรู้มันก็ติดกับเราไปตลอดปีหน้าก็เอามาใช้ใหม่ได้ครับ

บางที คนที่เลือกเรียนปริญญาเอกกับคนที่เลือกไม่เรียน
อาจมีเป้าหมายต่างกัน มีความสุขกันคนละเรื่อง
ตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นได้ครับ

ผมคิดว่าการศึกษาเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มโอกาสที่จะทำให้เราประสบความ
สำเร็จได้เร็วกว่าที่ควรจะเป็นนะครับ ไม่เชื่อท่านลองนึกถึงคนที่ท่านรู้จัก หรือ ญาติ พี่น้อง  คนข้างบ้าน แล้วลองคิดดูว่าเค้าประสบความสำเร็จหรือเปล่า
มีความสุข มีเงิน หน้าที่การงานมั่นคง แล้วเทียบดูว่าคนจบการศึกษาสูงเป็น
อย่างไร คนไม่มีการศึกษาเป็นอย่างไร หาค่าเฉลี่ยในแต่ละกลุ่มนะครับ
แล้วท่านจะรู้เลยว่ามันมีความสำคัญขนาดไหน  

     แต่คนที่รวยระดับติด top 100 นี่ไม่ได้ถือว่าเค้าประสบความสำเร็จนะครับ
แต่เค้าประสบความสำเร็จที่ทำให้คนอื่นคิดว่่าเค้าประสบความสำเร็จนั่นเอง

ความจริงกระทู้นี้น่าจะเปลี่ยนเป็นชื่อว่า
   การศึกษาที่สูงมาก(Dr.)จะทำให้คนเรารวยได้ไหม  มากกว่านะครับ

ฉันทะ (ความพอใจ) คือ ความต้องการที่จะทำ ใฝ่ใจรักจะทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ และปรารถนาจะทำให้ ได้ผลดียิ่งๆขึ้นไป
วิริยะ (ความเพียร) คือ ขยันหมั่นประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระไม่ท้อถอย
จิตตะ (ความคิด) คือ ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำ และทำสิ่งนั้นด้วยความคิด เอาจิตฝักใฝ่ ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป
วิมังสา (ความไตร่ตรอง หรือ ทดลอง) คือ หมั่นใช้ปัญญา พิจารณาใคร่ครวญ ตรวจหาเหตุผล และตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในสิ่งที่ทำนั้น มีการวางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น

เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเลยครับ

และผมก็เชื่อว่าท่าน billionaire ทั้งหลาย ไม่ได้มีเป้าหมายชีวิตในวัยเด็กเพื่อจะเป็น billionaire ^_^

ปล. แอบตามลิ้ง wiki ไปดูมา เอเชียบ้านใกล้เราที่ติดอันดับจะมี

สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย(ทางด้านเกษตร)

2. แหล่งที่มาของความมั่งคั่งทั้งหลาย เป็นบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์ที่เราคุ้นเคยในหลายๆตัวเลยครับ

ตามไปอ่านประวัติคุณลุง Ingvar Kamprad : แหล่งที่มาของความมั่งคั่งก็คือเจ้า IKEA ซึ่งในช่วยเริ่มแรกของคุณลุงนั้น

Kamprad began to develop a business as a young boy, selling matches to neighbors from his bicycle. He found that he could buy matches in bulk very cheaply from Stockholm, sell them individually at a low price, and still make a good profit. From matches, he expanded to selling fish, Christmas tree decorations, seeds, and later ballpoint pens and pencils. When Kamprad was 17, his father gave him a cash reward for succeeding in his studies.[2] He used this money to establish what has grown into IKEA.

จุดเริ่มต้นก็เหล่า billionaire หลายๆคนค่อนข้างเป็นไปในแนวทางใกล้เคียงกันเลยอ่ะครับ