ROE กับ PE อะไรสำคัญกว่ากัน
- Lu Xun
- Verified User
- โพสต์: 242
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PE อะไรสำคัญกว่ากัน
โพสต์ที่ 2
ของพี่ yoyo คงพอช่วยได้นะครับyoyo เขียน:ตอบคุณ young_5432 เรื่องหุ้น elec นะครับ
จะให้ comment กลุ่มนี้นี่ยากเกินความสามารถผมจริงๆครับ เพราะเคยพยายามศึกษาหลายรอบแล้วก็ไม่เข้าใจธุรกิจมันได้ สรุปว่าตอบง่ายๆว่าขอข้ามครับ
เอาว่าขอ comment วิธีการวิเคราะห์แทนละกัน
1. ผมไม่ได้ใช้ p/bv ในการประเมินความถูกความแพงของหุ้นครับ ผมว่ามันมีจุดอ่อนอยู่พอสมควร เพราะอะไรครับ ลองมาดูกัน
- ผมชอบใช้ p/e กับ roe ในการประเมินราคาหุ้น
- แล้ว p/bv มันไม่ดียังไง ... ต้องมาดูที่ความสัมพันธ์ของอัตราส่วนทั้ง 3 ตัว ว่ามันเชื่อมโยงกันยังไง
roe = กำไร / ส่วนผู้ถือหุ้น = (กำไร/จำนวนหุ้น) / (ส่วนผู้ถือหุ้น/จำนวนหุ้น) = eps / bv
p/e * eps/bv = p/bv
p/e * roe = p/bv
- p/e น้อยๆก็คือถูก เพราะฉะนั้นเราชอบให้ p/e ต่ำๆ
- roe เยอะๆเค้าว่าดี เพราะเป็น ratio ที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการสร้างกำไรให้กับผู้ถือหุ้น
- p/bv เค้าบอกว่าน้อยๆดีเพราะ ถูกเมื่อเทียบกับ มูลค่าสินทรัพย์หลังคืนหนี้ให้หมด
p/e กับ p/bv นั้นอยู่คนละฝั่งของสมการ ยิ่งน้อยยิ่งดีทั้งคู่ เพราะฉะนั้น 2 ratio นี้ไม่มีปัญหาอะไร
แต่ roe กับ p/bv นี่สิ ถ้าเราอยากได้ roe สูง p/bv ก็ต้องสูงด้วย แต่ถ้าเราอยากซื้อหุ้นที่ p/bv ต่ำๆ เราก็จะได้ roe ต่ำๆมาด้วย จะเห็นว่า 2 ratio นี้มันขัดแย้งกันเสมอ เพราะฉะนั้นเราต้องเลือกเพียง 1 ratio เท่านั้น คือ จะเอา roe สูงๆ หรือจะเอา p/bv ต่ำ จะเลือกให้ 2 ค่ามันดีทั้งคู่ไม่ได้ สุดท้ายผมเลือกเอา roe สูงไว้ก่อนครับ p/bv จะเป็นยังไงผมเฉยๆ
ตรงนี้ต้องท้าวความไปที่ท่านเทพทาง VI ก่อน ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ ลุงบัฟเฟตของเรานี่เอง .. ในช่วงแรกๆของการลงทุน บัฟเฟตนั้น เป็นลูกศิษย์ที่ดีของ อ.เกรแฮมครับ คือ อ.สอนว่าให้เลือกหุ้นที่ราคาถูกเมื่อเทียบกับสินทรัพย์สุทธิของบริษัท ซึ่ง ratio ตัวหนึ่งที่ช่วยบอกได้คร่าวๆคือ p/bv
บัฟเฟตใช้แนวทางนี้อยู่พักนึงก็พอจะสามารถทำกำไรได้ แต่หลังจากเวลาผ่านไป บัฟเฟตก็เกิดการพัฒนาทางความคิด บวกกับการได้มาพบกับ คู่หู ชาลี มังเกอร์ ที่สอนให้ลุงบัฟรู้จักและเข้าใจการซื้อที่มองถึงคุณภาพของธุรกิจที่จะสามารถสร้างกระแสเงินสดในอนาคต มากกว่าการมองที่มูลค่าสินทรัพย์ที่เห็นในบัญชี ... ซึ่ง ratio ที่แสดงถึงคุณภาพของธุรกิจได้ดีก็คือ roe นั้นเอง... หลังจากนั้นมาแนวทางการซื้อหุ้น ซื้อธุรกิจของบัฟเฟตก็ค่อนๆเปลี่ยนไป see's candy เองก็เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของการ Shift จาการใช้ p/bv มาเป็น roe ของบัฟเฟตได้ดีตัวหนึ่ง
2. roe ถ้าจะเอามาใช้ก็ต้องใช้ให้ถูกด้วยครับ อย่าดูเพิ่งแค่ค่า roe เพียงปี 2 ปี เราควรจะใช้ roe หลายๆปีมาประเมิน และให้ตัดปีที่ abnormal ออกด้วย ถ้าบริษัทมี roe สม่ำเสมออยู่ที่ค่าหนึ่งๆเป็นเวลานานๆ และณ ปัจจุบันบริษัทนั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญ เราก็พอจะประเมินได้ว่า roe เฉลี่ยของบริษัทนั้นๆอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ แต่ถ้าบริษัทนั้นมี roe ไม่สม่ำเสมอ การประเมินด้วย roe ก็อาจจะดูยากสักหน่อย แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเราตัดปีที่ abnormal ออกแล้ว แต่ roe ของบริษัทนั้นๆยังผันผวนอยู่มาก ผมว่าธุรกิจนั้นอาจจะยากเกินความสามารถที่เราจะคาดเดาอนาคตได้แล้วล่ะครับ
3. บริษัทใหญ่มีโอกาสโตน้อยกว่าบริษัทเล็ก... ก็ถูกส่วนหนึ่งครับ แต่หลายส่วนก็อาจจะไม่ใช่ เพราะฉะนั้นการตัดสินใจซื้อหุ้นโดยมองที่ขนาดนั้นผมว่าไม่ควรครับ และการที่ svi เคยขึ้นไปถึง 2.8 แล้วลงมา 2.08 ก็ไม่ได้หมายความว่าบริษัทมี upside เยอะ การจะดู upside มันต้องดูที่ผลกำไรที่จะเกิดขึ้นเทียบกับราคาที่ซื้อวันนี้ ราคาที่เคยเกิดขึ้นในอดีตไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร
3. อันนี้ผมเห็นด้วยครับ p/e เป็นตัวบอกความถูกความแพง roe บอกประสิทธิภาพในการสร้างกำไร ส่วน d/e เป็นตัวบอกความเสี่ยงทางด้านการเงิน ที่ผมชอบดูตัวหนึ่ง แต่บางโอกาสผมก็ซื้อหุ้นที่ d/e สูงๆเหมือนกันคับ .. 3 เท่ายังซื้อเลย ถ้าผมเชื่ออย่างมั่นใจได้ว่าค่า d/e นั้นกำลังจะลดลงในอนาคตอันใกล้
4. ดูหนี้ก็เยอะจริงๆครับ ถ้าผลงานสะดุดเมื่อไหร่ ดอกเบี้ยกินจะกำไรหด หรืออาจจะถึงขาดทุนได้ง่ายๆเหมือนกัน ก็ดูเสี่ยงๆนิดหน่อย ผมดู p/e ก็ดูไม่ได้ถูก หนี้ก็เยอะ ทำไมถึงซื้อตัวนี้ละครับ
สุดท้าย comment เรื่องการอ่านบทวิเคราะห์...
เวลาใช้บทวิเคราะห์ให้ใช้ข้อมูลที่เป็น Fact เสมอครับ พวกราคาเป้าหมาย กับ upside นั้นเป็นข้อมูลเชิงความคิดเห็น ควรหลักเลี่ยงอย่างยิ่ง อย่าให้ร่ายเลยนะครับว่าทำไมถึงไม่ควรใช้ความคิดเห็นเรื่องราคาจากนักวิเคราะห์.. เดี๋ยวจะยาวเกินไป... สรุปสั้นๆว่าบทวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่ผมเห็นนั้นประกอบไปด้วย Bias ค่อนข้างสูง มันจะผันผวนไปตามราคาตลาดของหุ้นนั้นๆ รวมถึงสภาวะของตลาดช่วงนั้นๆด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าคิดมาแล้วว่าดี ถึงดู upside จากบทวิเคราะห์จะไม่เยอะก็ไม่ควรไปสนใจครับ เชื่อตัวเองดีที่สุด
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1588
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PE อะไรสำคัญกว่ากัน
โพสต์ที่ 3
ถ้าเอาแค่โจทเพียวๆ
ROEสูง PEสูงจะดีกว่านะครับ-->ตาม peter lynch
ROEสูง PEสูงจะดีกว่านะครับ-->ตาม peter lynch
คนรู้ไม่พูด คนพูดไม่รู้
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1588
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ROE กับ PE อะไรสำคัญกว่ากัน
โพสต์ที่ 5
[quote="picklife"][quote="myway"]
1. ROE
1. ROE
คนรู้ไม่พูด คนพูดไม่รู้
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
ROE กับ PE อะไรสำคัญกว่ากัน
โพสต์ที่ 6
PE มันบอกถึงราคาหุ้นถูกหรือแำำพง ในช่วงเวลานั้นๆ
โดยค่า E มันคือ กำไรที่ทำได้ในอดีต
ส่วนค่า P คือราคาปัจจุบัน
ROE อันนี้เป็นการวัดประสิทธิภาพของบริษัท
ว่าสามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ขนาดไหน
ใครๆก็ชอบของที่ราคาถูกประสิทธิภาพสูง
แต่โลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้แล้วไม่เสียอะไรเลย
ก็พิจารณากันเอาเองว่า ท่านจะเอาอะไร
โดยส่วนใหญ่ บริษัทไหนที่ประสบความสำเร็จ มันสร้างความสำเร็จครั้งถัดไปได้เสมอ เป็นไปตามกฏธรรมชาติของมัน
ส่วน บริษัทไหนราคาถูก ก็ยังคงราคาถูกวันยังค่ำ
โดยค่า E มันคือ กำไรที่ทำได้ในอดีต
ส่วนค่า P คือราคาปัจจุบัน
ROE อันนี้เป็นการวัดประสิทธิภาพของบริษัท
ว่าสามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ขนาดไหน
ใครๆก็ชอบของที่ราคาถูกประสิทธิภาพสูง
แต่โลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้แล้วไม่เสียอะไรเลย
ก็พิจารณากันเอาเองว่า ท่านจะเอาอะไร
โดยส่วนใหญ่ บริษัทไหนที่ประสบความสำเร็จ มันสร้างความสำเร็จครั้งถัดไปได้เสมอ เป็นไปตามกฏธรรมชาติของมัน
ส่วน บริษัทไหนราคาถูก ก็ยังคงราคาถูกวันยังค่ำ
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PE อะไรสำคัญกว่ากัน
โพสต์ที่ 8
อันนี้เห็นด้วยครับ อิอิLu Xun เขียน: อันนี้ต้องจด อิอิ...
ผมเคยดูหุ้น
PEต่ำๆแต่ลองเอาราคาปัจจุบันหารอดีต5ปี พบว่าไม่ไปไหนเลย
แต่ตัวที่ROEสูง แม้นPEจะสูง แต่ราคาก็วิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
ลองดูซักอย่างละ10ตัวมาเทียบกัน
ส่วนใหญ่จะพบว่าหุ้นที่ROEสูงราคาจะไปมากกว่า
เน้นว่าส่วนใหญ่นะครับ
ส่วนตัวที่PEต่ำที่จู่ๆก็กระโดดขึ้นมาอย่าถล่มทลายเป้นเพราะROEเปลี่ยนไป
-
- Verified User
- โพสต์: 257
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PE อะไรสำคัญกว่ากัน
โพสต์ที่ 11
ถ้ามีให้เลือกแค่ roe สูง pe สูง หรือ roe สูง pe สูง
ผมเลือกไม่เน้นหวือหวาเอา roe ต่ำ pe ต่ำ ละกัน :) ... เพราะผมให้ความสำคัญกับ pe ต่ำ มากกว่า roe สูง ...
pe ต่ำ : ถ้าผลประกอบการเรื่อยๆ มันก็ยังให้ผลตอบแทนเราสูง แม้ roe จะต่ำเพราะเราไม่ได้ซื้อบริษัทที่ราคาเต็มซักหน่อย
roe ต่ำ pe ต่ำ : ราคาหุ้นต่ำกว่า book value แน่ๆ มี MOS สูงในแง่สินทรัพย์ของบริษัท
roe ต่ำ : เป็นธุรกิจที่ไม่น่าดึงดูด ไม่น่าสนใจสำหรับคนทั่วไป รวมถึงคู่แข่งใหม่ๆ
pe สูง : ถ้าผลประกอบการโต ดีไป แต่มันจะโตได้ตลอดหรือไม่ (PEG)
roe สูง pe สูง : ราคาหลายเท่าของ book แน่ๆ
roe สูง : ธุรกิจดึงดูด และน่าสนใจ ที่จะมีคู่แข่งใหม่ๆเข้ามาในตลาด
ผมเลือกไม่เน้นหวือหวาเอา roe ต่ำ pe ต่ำ ละกัน :) ... เพราะผมให้ความสำคัญกับ pe ต่ำ มากกว่า roe สูง ...
pe ต่ำ : ถ้าผลประกอบการเรื่อยๆ มันก็ยังให้ผลตอบแทนเราสูง แม้ roe จะต่ำเพราะเราไม่ได้ซื้อบริษัทที่ราคาเต็มซักหน่อย
roe ต่ำ pe ต่ำ : ราคาหุ้นต่ำกว่า book value แน่ๆ มี MOS สูงในแง่สินทรัพย์ของบริษัท
roe ต่ำ : เป็นธุรกิจที่ไม่น่าดึงดูด ไม่น่าสนใจสำหรับคนทั่วไป รวมถึงคู่แข่งใหม่ๆ
pe สูง : ถ้าผลประกอบการโต ดีไป แต่มันจะโตได้ตลอดหรือไม่ (PEG)
roe สูง pe สูง : ราคาหลายเท่าของ book แน่ๆ
roe สูง : ธุรกิจดึงดูด และน่าสนใจ ที่จะมีคู่แข่งใหม่ๆเข้ามาในตลาด
-
- Verified User
- โพสต์: 1746
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PE อะไรสำคัญกว่ากัน
โพสต์ที่ 12
หุ้นดี ROE สูง ... PE ย่อมสูงตามครับ เพราะมีแต่คนอยากได้
หุ้นดีหรือเปล่าไม่รู้ ROE ต่ำ ... PE ก็ต่ำเป็นเรื่องปกติ เพราะว่า growth น้อย ตลาดไม่ให้มูลค่า
แต่หุ้นดี ROE สูง ... PE ต่ำ ... เจอแล้วรีบเก็บ อย่าเพิ่งบอกใครครับ
ตอบไม่ยากเลยครับ
หุ้นดีหรือเปล่าไม่รู้ ROE ต่ำ ... PE ก็ต่ำเป็นเรื่องปกติ เพราะว่า growth น้อย ตลาดไม่ให้มูลค่า
แต่หุ้นดี ROE สูง ... PE ต่ำ ... เจอแล้วรีบเก็บ อย่าเพิ่งบอกใครครับ
ตอบไม่ยากเลยครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 460
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PE อะไรสำคัญกว่ากัน
โพสต์ที่ 13
PE กับ ROE มันไม่เกี่ยวกัน คนละอย่างนิ
อย่างแรกเลยควรพิจารณา ROE ก่อน เืพื่อดูว่าธุรกิจเค้าทำเงินคุ้มกับที่ลงทุนไปรึเปล่า
การดูว่าคุ้มมั้ยก็ต้องเปรียบเทียบกับการลงทุนที่ไม่เสี่ยง คือ ผลตอบแทนระยะยาวของพันธบัตร คือ ต้องมากกว่า ถ้าน้อยกว่าก็ถือว่าแย่มากๆ ไม่น่าทำธุรกิจต่อไป
ต่อไปก็ควรดูเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม... นอกจากนี้ถ้าเอาตามหนังสือบัฟเฟตต์ เอา 12% หรือคิดง่ายๆก็ตรงกับที่แบงค์มักจะปล่อยกู้ คือ ควรต้องคืนทุนภายใน 7-8 ปี ก็ประมาณ 12% แหละครับ
ดังนั้น สำหรับผมแล้ว ROE สำคัญกว่า พอได้หุ้นที่คิดว่ามีคุณภาพพอจะซื้อได้ ค่อยมาประมาณ PE ที่น่าสนใจต่อ
อย่างแรกเลยควรพิจารณา ROE ก่อน เืพื่อดูว่าธุรกิจเค้าทำเงินคุ้มกับที่ลงทุนไปรึเปล่า
การดูว่าคุ้มมั้ยก็ต้องเปรียบเทียบกับการลงทุนที่ไม่เสี่ยง คือ ผลตอบแทนระยะยาวของพันธบัตร คือ ต้องมากกว่า ถ้าน้อยกว่าก็ถือว่าแย่มากๆ ไม่น่าทำธุรกิจต่อไป
ต่อไปก็ควรดูเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม... นอกจากนี้ถ้าเอาตามหนังสือบัฟเฟตต์ เอา 12% หรือคิดง่ายๆก็ตรงกับที่แบงค์มักจะปล่อยกู้ คือ ควรต้องคืนทุนภายใน 7-8 ปี ก็ประมาณ 12% แหละครับ
ดังนั้น สำหรับผมแล้ว ROE สำคัญกว่า พอได้หุ้นที่คิดว่ามีคุณภาพพอจะซื้อได้ ค่อยมาประมาณ PE ที่น่าสนใจต่อ
-
- Verified User
- โพสต์: 2
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PE อะไรสำคัญกว่ากัน
โพสต์ที่ 15
สำหรับผมมันก็สำคัญเหมือน ๆกัน แล้วแต่ case ผมก็ต้องดู ROE สูงไว้ก่อน เพราะเป็นการยืนยันพื้นฐานกิจการที่ดี (สำหรับเรา) มี biz model ที่ดี
p/e มันอาจจะบอกแค่ราคาตอนนั้น แต่ไม่ได้บอกมูลค่าแท้จริง มันสะท้อนอารมณ์ของนายตลาด สำหรับผมถ้าราคามันมี mos พอเพียง ผมก็อาจจะซื้อครับ
แต่สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พื้นฐานกิจการครับ ROE, p/e มันบอกแค่อดีต ไม่ใช่อนาคตครับ
p/e มันอาจจะบอกแค่ราคาตอนนั้น แต่ไม่ได้บอกมูลค่าแท้จริง มันสะท้อนอารมณ์ของนายตลาด สำหรับผมถ้าราคามันมี mos พอเพียง ผมก็อาจจะซื้อครับ
แต่สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พื้นฐานกิจการครับ ROE, p/e มันบอกแค่อดีต ไม่ใช่อนาคตครับ
- Joga Bonito
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 278
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PE อะไรสำคัญกว่ากัน
โพสต์ที่ 16
PE บอก MOS ได้ระดับนึง
ส่วน ROE บอก DCA ได้ระดับนึง
ส่วน ROE บอก DCA ได้ระดับนึง