Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ผมเคยดูหนังเรื่องหนึ่งจำชื่อไม่ได้แล้วซิ
พระเอกเป็นเจ้าของร้านหนังสือ เชคใหญ่ในประเทศใช้วิธี
การดำเนินธุระกิจหนังสือที่มีทุกอย่าง ไม่ว่าที่นั่งพัก มุมสำหรับเด็ก
มุมกาแฟ มีพนักงานคอยให้ความเห็นและแนะนำลูกค้า มีสาขา
และมีการลดราคาหนังสือในจุดที่มีการแข่งขันสูงเป็นเวลานานจน
ร้านค้าย่อยที่มีอยู่เดิม ต้องปิดหรือขายกิจการให้กับเขาไป
จนกระทั่ง การเปิดสาขาแห่งหนึ่ง ที่เขาเข้าไปดูเอง และแกล้ง
เดินเข้าไปในร้านคู่แข่ง (ร้านของนางเอกแหละคับ) ไปลูกค้าเขาดูว่า
เขาทำธุระกิจกันอย่างไร นางเอกเลยนินทา ร้านพระเอกให้พระเอกฟัง
จำเรื่องต่อจากนั้นไม่ค่อยได้ เท่าไร แต่ท้ายที่สุด เขาสองคนก็ได้แต่งงานกัน

ผมมานึกดู มีหลายแห่งที่ผมเจอร้านหนังสือที่มีในหนังด้วยเหมือนกัน
แต่และเริ่มรู้สึกว่ามีคนเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ ผมไปร้านหนังสือในหลายครั้ง
กลุ่มเห็นได้ชัดน่าจะเป็นกลุ่มฐานะปานกลาง กลุ่มครอบครัว กลุ่มเด็ก
แต่ราคาสินค้ายังไม่ไช้การลดราคามาปะทะกับคู่แข่งทั่วไปเท่าไร
และเมื่อมานั่งย้อนกลับไปในร้านหนังสือที่ผมคุ้นเคย ชอบแอบไปยืนอ่าน
แถว ที่ตั้งหนังสือ มันไดอารมณ์เป็นอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน แต่ที่สังเกต
คนกลุ่มนี้ไม่ไช่กลุ่มครอบครัว โดยมากจะเป็นกลุ่มโสด หรือยืนอ่านคอยแฟน
หรือกลุ่มเด็กวัยรุ่น และอื่นอื่นที่มาเดียวมากกว่า แต่ผมชอบร้านพวกนี้นะ
คือมีส่วนลดในรายการหนังสือบางอย่าง แต่อีกทางหนึ่งก็ชอบซื้อหนังสือ
ผ่านทางออนไลน์ก็ดี ผมว่าแต่บางครั้งมันขาดอะไรบางอย่างที่เราหาได้ใน
ร้านหนังสือ แต่ร้านหนังสือออนไลน์มันไม่มี

จำได้ครับ เคยดูเหมือนกัน

แต่(ขอใช้คำหยาบ) สันดานคนไทย มันงกครับ ถ้าให้นั่งอ่านฟรีก่อนจะไม่ค่อยซื้อกันหรอกครับ ดังนั้นแล้วก็จะให้ยืนอ่านไป ไม่จัดที่นั่งให้ ถ้าจะนั่งกินกาแฟ ก็ไม่ให้เอาหนังสือมาอ่านหรอกครับ ผมก็คนหนึ่งครับ ทนยืนอ่านได้พักนึง แต่ถ้าผมเจอเล่มที่ถูกใจจริงจะซื้อเก็บไว้เลยครับ ขี้เกียจเทียวไปมาร้านหนังสือเพื่ออ่านฟรี ค่ารถหลายรอบกว่าจะอ่านจบก็ได้เกือบครึ่งค่าหนังสือแล้ว

เรื่อง You've Got Mail! ครับ เล่นโดย Tom Hank กับ Meg Ryan

อ๋อเคยดูเหมือนกัน

แต่จำชื่อเรื่องไม่ได้

คือพยายามพัฒนาตัวสินค้า คือ "ร้านหนังสือ" ไม่ใช่ "หนังสือ" ไปเรื่อยๆ

รูปแบบที่เห็น ก็เป็นรูปแบบหนึ่งในหลายๆรูปแบบที่พัฒนาขึ้นมา อันมีร้านหนังสือออนไลน์ ร้านหนังสือ+กาแฟ เป็นอาทิ ต่อไปอาจจะมี ร้านหนังสือ+ส้มตำ ร้านหนังสือ+ไก่ย่าง ร้านหนังสือ+อินเตอร์เนต หรือถ้าจะให้บ้ากว่านั้น ก็ร้านหนังสือ+อินเตอร์เนต+ร้านหนังสือออนไลน์ เข้าร้านหนังสือ เช่าเครื่องใช้อินเตอร์เนต แล้วก็ใช้อินเตอร์เนตสั่งหนังสือจากร้านนั้นแหละ เหอ เหอ เหอ

โดยส่วนตัว ผมไม่ชอบครับ เพราะกาแฟในร้านพวกนี้มันแพง ขนมก็ชิ้นละหลายบาท ทานตามสบายก็ไม่ได้ ร้านมันหรู ต้องทานแบบมี "life style" (กรุณาลากเสียงแบบประชดประชันนิดนึง) เสียงดังก็เกรงใจคนอื่น ซื้อในโรงอาหารถูกกว่า ทานสบายกว่า

แต่คนชอบก็มีครับ เป็นธรรมดา คิดว่าคนชอบน่าจะมีมากกว่าคนไม่ชอบ เพราะว่าวัยรุ่นเรานิยมซื้อ life style อยู่แล้ว

ผมว่าคุณช่างสังเกตดีครับ พิจารณาดูก็เห็นจริงตามที่สังเกตมาเสียด้วยสิ

harry เขียน:จำได้ครับ เคยดูเหมือนกัน

แต่(ขอใช้คำหยาบ) สันดานคนไทย มันงกครับ ถ้าให้นั่งอ่านฟรีก่อนจะไม่ค่อยซื้อกันหรอกครับ ดังนั้นแล้วก็จะให้ยืนอ่านไป ไม่จัดที่นั่งให้ ถ้าจะนั่งกินกาแฟ ก็ไม่ให้เอาหนังสือมาอ่านหรอกครับ ผมก็คนหนึ่งครับ ทนยืนอ่านได้พักนึง แต่ถ้าผมเจอเล่มที่ถูกใจจริงจะซื้อเก็บไว้เลยครับ ขี้เกียจเทียวไปมาร้านหนังสือเพื่ออ่านฟรี ค่ารถหลายรอบกว่าจะอ่านจบก็ได้เกือบครึ่งค่าหนังสือแล้ว

เห็นคุณ harry โพส ตกใจเลยครับ เพราะผมเองก็ชอบไปอ่านหนังสือฟรีเหมือนกัน ยิ่งถ้ามีร้านกาแฟด้วยแล้ว ยิ่งชอบเลยครับ กาแฟปั่นหนึ่งถ้วย นั่งอ่านหนังสือเกือบ 3 ชั่วโมงโดยไม่ต้องลุกไปไหน จนบางครั้งก็นึกอยู่เหมือนกันว่า ค่ากาแฟมารวมกัน มันซื้อหนังสือได้หลายเล่มเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ชอบนั่งอ่านตามร้านหนังสือพวกนี้มากกว่า เพราะถ้าซื้อกลับบ้านแล้ว ไม่ค่อยได้อ่าน ได้แต่ประดับไว้ที่ตู้นะครับ

ผมนึกภาพ ลูกค้าคนหนึ่งหยิบหนังสือนิยายเล่มหนึ่งที่ยังไม่ซื้อ หนาประมาณ 300 หน้า ราคา 200 บาท แล้วเดินไปซื้อกาแฟแก้วละ 40 บาท แล้วนั่งอ่านจนจบ ตอนอ่านใกล้จบเล่มเผลอทำกาแฟหกใส่ หันซ้ายหันขวาไม่มีใครเห็น ก็หยิบหนังสือกลับไปวางที่เดิม

เคยถามทาง se-ed เกี่ยวกับร้านหนังสือแบบ fox ในเรื่อง You 've got mail ครับ แต่นานมาแล้วเลยจำคำตอบไม่ค่อยได้ แต่แนวคำตอบคือ เคยศึกษาแต่เห็นว่ายังไม่เหมาะกับ lifestyle คนไทย และคิดว่าอาจจะไม่ได้ดึงคนมาเพิ่มนักและ แม้ว่าจะดูดีแต่ใช้เงินลงทุนสูงและใช้ space เพิ่ม แต่รายได้ที่เพิ่มขึ้นอาจจะไม่คุ้ม ( คำตอบของผู้บริหารกับความเห็นผมรวมกันครับ จำไม่ค่อยได้ว่าอะไรเป็นอะไร )

แต่มันก็มีประเด็นเรื่องภาพลักษณ์องค์กรกับผลกำไร ที่สวนทางกัน บางทีก็เลือก strategy ยากเหมือนกันครับ

แต่ที่ผมชอบอันนึงใน se-ed สาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้าคือจัดมุมหนังสือเด็กค่อนข้างใหญ่และมีที่นั่งให้อ่านครับ แม้ว่าลูกค้าเด็กจะเข้ามาอ่านแล้วไม่ซื้อแต่ผมคิดว่ามันก็มีส่วนช่วยให้เค้ามีพัฒนาการทางการศึกษาและเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในวันข้างหน้า และหากเป็นผมคงจะประทับใจในร้านที่เคยไปอ่านตอนเด็กและหากเป็นผู้ใหญ่มีเงินก็คงกลับมาซื้อหนังสือร้านนี้ครับ

แต่เคยเดินเซ็นทรัลพระราม 3 se-ed ไม่มีมุมสำหรับเด็ก และมีเด็กกลุ่มหนึ่ง อายุประมาณ 4-5 ขวบ เข้ามานั่งอ่านตรงชั้นหนังสือเด็ก แล้วอ่านออกเสียง ผมเดินผ่านก็เห็นว่าน่ารักดีเหมือนกัน เสียงไม่ได้ดังหนวกหูเกินไป แต่พนักงานในร้านเดินมาบอกให้หยุดอ่าน ( ไม่ได้ถึงกับดุว่าอะไรแต่ก็ไม่ได้เสนอทางแก้ปัญหาให้เด็กๆ กลุ่มนี้ ) แล้วเด็กกลุ่มนั้นก็เดินออกจากร้านไป ผมคิดว่าพนักงานก็คงทำตามหน้าที่ก็อาจจะถูกของเค้า แต่ในมุมมองของผมคิดว่าน่าจะมีทางออกที่ดีกว่านี้มั้งครับ ผมคิดว่าปัญหาหนึ่งที่เห็นใน se-ed คือ culture องค์กรยังไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบและพนักงานควรมี sense of ownership มากกว่านี้ ทางแก้คือบริษัทคงต้องกระจาย esop ไปยังพนักงานระดับล่างมากกว่านี้ และเน้นการ train พนักงานและคุณภาพของพนักงานมากกว่านี้มั้งครับ

ผมเคยไปกินสุกี้เอ็มเค เห็นพนักงานเขาประหลาดใจมาก
ทำไมพนักงานเขาดูตั้งใจทำงานมาก บางครั้ง จะผมจะสังเกต
เห็นรูปพนักงานดีเด่น คนเดียวกันติดกันถึงสองเดือน
ผมมานั่งคิดว่าถ้าองค์กรใดที่ทำให้พนักงานมีความตั้งใจแบบนี้
น่าจะมีโอกาสก้าวมากกว่านี้ได้ ปัญหาที่ผมคิดไม่ตกว่า
เขาฝึกหรือมีวิธีอย่างไร

Invisible hand เขียน:ผมนึกภาพ ลูกค้าคนหนึ่งหยิบหนังสือนิยายเล่มหนึ่งที่ยังไม่ซื้อ หนาประมาณ 300 หน้า ราคา 200 บาท แล้วเดินไปซื้อกาแฟแก้วละ 40 บาท แล้วนั่งอ่านจนจบ ตอนอ่านใกล้จบเล่มเผลอทำกาแฟหกใส่ หันซ้ายหันขวาไม่มีใครเห็น ก็หยิบหนังสือกลับไปวางที่เดิม

ถ้าผมทำกาแฟหก ก็ต้องซื้อหนังสือเล่มนั้นไว้อยู่แล้วครับ

อย่าใช้มาตรฐานของตัวเองในการประเมินการกระทำของคนส่วนรวมเลยครับ ขอร้อง

อาจารย์เค้าแนะนำในกรณทีแย่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นครับ ถ้าคุณใจกว้างก้อน่าจะรับฟังนะจะได้ก้าวหน้าขึ้น อย่าเอามาตรฐานตัวเองมามองคนอื่นครับขอร้อง

ผมอ่านที่คุณ Kenny P post ก็เลยกลับไปอ่านแต่ละความเห็นไล่ลงมาอย่างละเอียดก็พบว่าสิ่งที่ผมเขียนไปอาจจะดูเหมือนต่อว่าคุณ Kenny P อยู่ ผมต้องขอโทษด้วยอย่างยิ่งนะครับ ผมไม่ได้มีความตั้งใจนะครับ เมือวานที่ผม post ตอบไปผมอ่านแต่ละความเห็นคร่าวๆ เลยไม่ทันเห็นความเห็นคุณ Kenny P ไป ต้องขอโทษจริงๆ ครับ

หลายๆ ครั้งที่ตัวอักษรที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ อาจจะสร้างความเข้าใจผิดให้ผู้อ่านได้

ต้องขออภัยคุณ Invisible hand ด้วยครับ ประจวบเหมาะที่ข้อความของคุณ Invisible hand มาต่อจากข้อความของผมพอดี พอผมอ่านเลยเกิดความเข้าใจผิดขึ้น ขอโทษด้วยครับ

เห็นคุณผ่านมาเรียกคุณ Invisible hand ว่าอาจารย์ เห็นทีว่า ครั้งนี้ผมต้องขอโทษอาจารย์ด้วยนะครับที่แสดงกริยาก้าวร้าวครับ

Kenny P

คุณInvisible handที่se-edเซ็นทรัลปิ่นฯมีที่นั่งด้วยหรือครับ หรือว่าเป็นร้านB2Sครับ ว่าแต่คุณinvisible handบ้านอยู่แถวนั้นหรือครับอย่างงี้ก็อยู่ละแวกเดียวกันนะสิ