ส.นักวิเคราะห์ ปรับเป้าดัชนีฯ ปลายปี 53 อยู่ที่ 827 จุด
โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 24, 2010 2:34 pm
ส.นักวิเคราะห์ ปรับเป้าดัชนีฯ ปลายปี 53 อยู่ที่ 827 จุด จากเดิมคาดที่ 812 จุด
ส่วนปี 54 แตะ 946 จุด
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า
จากผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ครั้งล่าสุด จากบริษัทหลักทรัพย์แสดงความคิด
เห็นโดยรวม 22 แห่ง พบว่า ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปลายปี
2553 เฉลี่ยอยู่ที่ 827 จุด จากคาดการณ์เดือนธ.ค. 2552 ที่ 812 จุด และคาดดัชนีฯ
ปลายปี 2554 อยู่ที่ 946 จุด
โดยประเมินดัชนีฯ สูงสุดในปีนี้อยู่ที่ 861 จุด และต่ำสุดที่ 643 จุด ทั้งนี้
ปัจจัยบวกมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย รวมถึงมาตรการ
กระตุ้นเศรษฐกิจ และแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็งของภาครัฐ รวมถึงแนวโน้มผล
ประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และอัตคราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้นัก
วิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจปีนี้อยู่ที่ 4% จากเดิมที่
3.5% และในปี 2554 เติบโต 4.5%
นอกจากนี้ แนะนำภาครัฐจับตาปัญหาสำคัญ 3 เรื่อง อาทิ ปัญหา
การเมือง มาบตาพุด และเงินเฟ้อ พร้อมเร่งการเบิกจ่ายการดำเนินโครงการไทยเข้ม
แข็ง สร้างความสมานฉันท์ในสังคม
รายงาน โดย นันท์นภัส เปี่ยมสมบูรณ์
เรียบเรียง โดย ศุภวรรณ วราภรณ์
อนุมัติ โดย ประสิทธิ์ กรโชคอนันต์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น [email protected]
ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 24/03/10 เวลา 14:13:34
หุ้นไทยเสน่ห์แรง! 16 ก.พ.-23 มี.ค.53 ต่างชาติซื้อสุทธิ 4.24 หมื่นลบ.
โบรกฯ ประสานเสียงผลตอบแทนสูง-P/E ต่ำ เหมาะลงทุน
หุ้นไทยเสน่ห์แรง! 16 ก.พ.-23 มี.ค.53 ต่างชาติซื้อสุทธิ
ทะลัก 4.24 หมื่นลบ. ส่วน SOLAR คว้าอันดับ 1 ให้ผลตอบแทนสูงสุด
กว่า 114.69% ขณะที่โบรกฯ ประสานเสียง นลท. คลายกังวลหลังคดี
ยึดทรัพย์อดีตนายกฯ ทักษิณ ชัดเจน ส่วนหุ้นให้ผลตอบแทนสูง-P/E ต่ำ
-โชว์ผลประกอบการสวย เหมาะลงทุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากการรวบรวมข้อมูลการซื้อขายรายกลุ่มของ
นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ตั้งแต่วันที่ 16
กุมภาพันธ์ถึงวันที่ 23 มีนาคม 2553 พบว่านักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิ
42,463.83 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 662.35 ล้านบาท บัญชี
บริษัทหลักทรัพย์ 3,445.71 ล้านบาท และนักลงทุนในประเทศขายสุทธิ
46,571.89 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในช่วงเวลาดังกล่าว (16
ก.พ.-23 มี.ค.53) 5 อันดับแรก ประกอบด้วยอันดับ 1 คือ บริษัท โซลาร์ต
รอน จำกัด (มหาชน) หรือ SOLAR โดยให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 114.69%
อันดับ 2 คือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เจนเนอรัล
เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1 หรือ GEN-W1 ให้ผลตอบแทนอยู่ที่
100% อันดับ 3 คือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท
บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1 หรือ BLISS-W1 ให้ผลตอบแทนอยู่ที่
100% อันดับ 4 คือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท นวนคร
จำกัด (มหาชน) หรือ NNCL-W1 ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 96.15% และอันดับ
5 คือบริษัท ยูเนี่ยนไพโอเนียร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UPF ให้ผลตอบแทนอยู่
ที่ 93.33%
บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเคราะห์สรุปภาวะการลง
ทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2553
โดยระบุว่าตลาดหุ้นไทยในเดือนดังกล่าวสามารถปรับตัวขึ้นจากการคลาย
ความกังวลในปัญหาภาระหนี้สินของประเทศกรีซที่กดดันจากปลายเดือนก่อน
นอกจากนี้ยังมีแรงซื้อเข้ามาจากการคาดการณ์ผลการดำเนินงานของปี
2552 และการจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ซึ่งหุ้น Market cap
หลายตัวประกาศผลประกอบการเติบโตขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
ประกอบกับมีการจ่ายเงินปันผลค่อนข้างสูง โดยตลาดหุ้นไทยมี
อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงถึง 3.37% และ P/E ที่ 14
เท่า (Bloomberg) ซึ่งจัดว่า P/E ถูกและให้ผลตอบแทนที่สูงในภูมิภาค
เอเชีย จึงมีแรงซื้อจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างชาติเข้ามาช่วยสนับ
สนุน ทำให้ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีประเด็นบวกเรื่องศาลปกครองกลาง
อนุญาตให้ 9 โครงการในมาบตาพุดดำเนินการต่อได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของ
กลุ่ม SCC และ PTT ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจการลงทุนมากขึ้นและมี
มุมมองเป็นบวกสำหรับโครงการอื่นๆที่เตรียมยื่นเสนอด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกันปัจจัยที่ทุกฝ่ายให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดคือการ
ตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีต
นายกรัฐมนตรี กรณีใช้อำนาจในตำแหน่งเอื้อประโยชน์ธุรกิจครอบครัวในวัน
ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งผลการตัดสินศาลฯ มีคำสั่งยึดทรัพย์ 4.6 หมื่น
ล้านบาท และคืน 3 หมื่นล้านบาท และทำให้ปัญหาการเมืองที่คั่งค้างมีความ
ชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นนักลงทุนจึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะพลิกกลับมา
เติบโตได้ในอีกครั้ง ซึ่งผลจากความมั่นใจในการลงทุนนั้นส่งผลให้มี Fund
flow ไหลเข้าสู่ประเทศไทยอย่างรวดเร็วและค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจากระดับ
33.15 เป็น 32. 70
Baht/USD ยังส่งผลบวกต่อดัชนีหุ้นไทยให้ดีดตัวขึ้นมา
อย่างไรก็ตามยังคงมีประเด็นกดดันภาวะการณ์ลงทุนคือกลุ่ม
แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง
ประกาศชุมนุมใหญ่อย่างยืดเยื้อ ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ว่าจะตรึงเครียด
รุนแรงเพียงใดและรัฐบาลจะหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยวิธีใด นอกจากนี้
โดยสรุป ดัชนีตลาดหุ้นไทยเดือนก.พ. ปิดที่ 721.37 จุด (+ 3.56% จาก
เดือนก่อน) ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 281,130 ล้านบาท มูลค่าซื้อขาย
หมุนเวียนเฉลี่ยต่อวัน 14,056 ล้านบาท โดยนักลง
ทุนต่างชาติพลิกมาเป็น net buy มูลค่ารวม 5,421 ล้านบาท
ด้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่าหลัง
จากศาลฯ ตัดสินคดียึดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้นักลงทุนต่างชาติ
ประเมินว่าความเสี่ยงด้านการเมืองในประเทศลดลงจึงเข้าซื้อสุทธิตั้งแต่วันที่
16 ก.พ.จนถึงปัจจุบัน ส่วนช่วง 4 เดือนก่อนหน้าการตัดสินคดียึดทรัพย์ดัง
กล่าวนั้น (ต.ค.52-15 ก.พ.53) มียอดขายสุทธิ 38,000 ล้านบาท นอกจากนี้
ยังคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยช่วงเดือน
มีนาคม ประมาณ 10,000 ล้านบาท
' นักลงทุนต่างชาติมองว่าหลังการตัดสินคดียึดทรัพย์ เป็นโอกาส
ในการลงทุน เพราะความกังวลเรื่องการเมืองลดลง ขณะที่นักลงทุนไทยและ
กองทุนต่าง ๆ ยังรับข่าวสารด้านการเมืองมากเกินไป จึงยังไม่เข้าซื้อมากนัก
ซึ่งประเมินว่าในต้นเดือนจนถึงปลายเดือน มี.ค.นี้ ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้น
ได้จากแรงซื้อของต่างชาติและราคาหุ้นที่อยู่ในระดับต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน
โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน เช่น บ้านปู ปตท. รวมทั้ง ปตท. สผ. ' แหล่งข่าว
รายเดิม กล่าว
ส่วนนางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
บล. ทรีนีตี้ เปิดเผยว่าในช่วงไตรมาส 2/2553 ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว
ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 836 จุด โดยมี
กรอบแนวรับอยู่ที่ 727 จุด หลังมีเม็ดเงินลงทุนจากนักลงุทนต่างชาติที่ยัง
ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะมีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับผลกำไรของบริษัทจด
ทะเบียนที่เติบโตประกอบกับเงินปันผลและกระแสเงินสดของ บจ. ยังอยู่ใน
ระดับที่สูง นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยยังดีขึ้น โดยในไตรมาส 4/2552 ตัวเลข
ทางเศรษฐกิจเติบโต 5.8% นอกจากนี้ P/E ถือว่าค่อนข้างต่ำอยู่ที่ 11-12
เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคที่ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 14 เท่า ส่วนหุ้นที่แนะ
นำซื้อลงทุนในไตรมาสดังกล่าว ประกอบด้วยหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี
อสังหาริมทรัพย์ และธนาคารพาณิชย์ ขณะที่หุ้นซึ่งไม่น่าสนใจลงทุนประกอบ
ด้วย หุ้นในกลุ่มไอซีที และท่องเที่ยว เนื่องจากผลประกอบการในหุ้นกลุ่มดัง
กล่าวยังไม่ฟื้นตัว
หมายเหตุ : ที่มาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
รายงาน โดย อาภรณ์ สุภาพ
เรียบเรียง โดย ณัฐสินี ระเบียบนาวีนุรักษ์
อนุมัติ โดย ประสิทธิ์ กรโชคอนันต์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น [email protected]
ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 24/03/10 เวลา 14:24:41
ส่วนปี 54 แตะ 946 จุด
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า
จากผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ครั้งล่าสุด จากบริษัทหลักทรัพย์แสดงความคิด
เห็นโดยรวม 22 แห่ง พบว่า ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปลายปี
2553 เฉลี่ยอยู่ที่ 827 จุด จากคาดการณ์เดือนธ.ค. 2552 ที่ 812 จุด และคาดดัชนีฯ
ปลายปี 2554 อยู่ที่ 946 จุด
โดยประเมินดัชนีฯ สูงสุดในปีนี้อยู่ที่ 861 จุด และต่ำสุดที่ 643 จุด ทั้งนี้
ปัจจัยบวกมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย รวมถึงมาตรการ
กระตุ้นเศรษฐกิจ และแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็งของภาครัฐ รวมถึงแนวโน้มผล
ประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และอัตคราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้นัก
วิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจปีนี้อยู่ที่ 4% จากเดิมที่
3.5% และในปี 2554 เติบโต 4.5%
นอกจากนี้ แนะนำภาครัฐจับตาปัญหาสำคัญ 3 เรื่อง อาทิ ปัญหา
การเมือง มาบตาพุด และเงินเฟ้อ พร้อมเร่งการเบิกจ่ายการดำเนินโครงการไทยเข้ม
แข็ง สร้างความสมานฉันท์ในสังคม
รายงาน โดย นันท์นภัส เปี่ยมสมบูรณ์
เรียบเรียง โดย ศุภวรรณ วราภรณ์
อนุมัติ โดย ประสิทธิ์ กรโชคอนันต์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น [email protected]
ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 24/03/10 เวลา 14:13:34
หุ้นไทยเสน่ห์แรง! 16 ก.พ.-23 มี.ค.53 ต่างชาติซื้อสุทธิ 4.24 หมื่นลบ.
โบรกฯ ประสานเสียงผลตอบแทนสูง-P/E ต่ำ เหมาะลงทุน
หุ้นไทยเสน่ห์แรง! 16 ก.พ.-23 มี.ค.53 ต่างชาติซื้อสุทธิ
ทะลัก 4.24 หมื่นลบ. ส่วน SOLAR คว้าอันดับ 1 ให้ผลตอบแทนสูงสุด
กว่า 114.69% ขณะที่โบรกฯ ประสานเสียง นลท. คลายกังวลหลังคดี
ยึดทรัพย์อดีตนายกฯ ทักษิณ ชัดเจน ส่วนหุ้นให้ผลตอบแทนสูง-P/E ต่ำ
-โชว์ผลประกอบการสวย เหมาะลงทุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากการรวบรวมข้อมูลการซื้อขายรายกลุ่มของ
นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ตั้งแต่วันที่ 16
กุมภาพันธ์ถึงวันที่ 23 มีนาคม 2553 พบว่านักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิ
42,463.83 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 662.35 ล้านบาท บัญชี
บริษัทหลักทรัพย์ 3,445.71 ล้านบาท และนักลงทุนในประเทศขายสุทธิ
46,571.89 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในช่วงเวลาดังกล่าว (16
ก.พ.-23 มี.ค.53) 5 อันดับแรก ประกอบด้วยอันดับ 1 คือ บริษัท โซลาร์ต
รอน จำกัด (มหาชน) หรือ SOLAR โดยให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 114.69%
อันดับ 2 คือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เจนเนอรัล
เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1 หรือ GEN-W1 ให้ผลตอบแทนอยู่ที่
100% อันดับ 3 คือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท
บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1 หรือ BLISS-W1 ให้ผลตอบแทนอยู่ที่
100% อันดับ 4 คือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท นวนคร
จำกัด (มหาชน) หรือ NNCL-W1 ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 96.15% และอันดับ
5 คือบริษัท ยูเนี่ยนไพโอเนียร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UPF ให้ผลตอบแทนอยู่
ที่ 93.33%
บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเคราะห์สรุปภาวะการลง
ทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2553
โดยระบุว่าตลาดหุ้นไทยในเดือนดังกล่าวสามารถปรับตัวขึ้นจากการคลาย
ความกังวลในปัญหาภาระหนี้สินของประเทศกรีซที่กดดันจากปลายเดือนก่อน
นอกจากนี้ยังมีแรงซื้อเข้ามาจากการคาดการณ์ผลการดำเนินงานของปี
2552 และการจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ซึ่งหุ้น Market cap
หลายตัวประกาศผลประกอบการเติบโตขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
ประกอบกับมีการจ่ายเงินปันผลค่อนข้างสูง โดยตลาดหุ้นไทยมี
อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงถึง 3.37% และ P/E ที่ 14
เท่า (Bloomberg) ซึ่งจัดว่า P/E ถูกและให้ผลตอบแทนที่สูงในภูมิภาค
เอเชีย จึงมีแรงซื้อจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างชาติเข้ามาช่วยสนับ
สนุน ทำให้ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีประเด็นบวกเรื่องศาลปกครองกลาง
อนุญาตให้ 9 โครงการในมาบตาพุดดำเนินการต่อได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของ
กลุ่ม SCC และ PTT ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจการลงทุนมากขึ้นและมี
มุมมองเป็นบวกสำหรับโครงการอื่นๆที่เตรียมยื่นเสนอด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกันปัจจัยที่ทุกฝ่ายให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดคือการ
ตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีต
นายกรัฐมนตรี กรณีใช้อำนาจในตำแหน่งเอื้อประโยชน์ธุรกิจครอบครัวในวัน
ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งผลการตัดสินศาลฯ มีคำสั่งยึดทรัพย์ 4.6 หมื่น
ล้านบาท และคืน 3 หมื่นล้านบาท และทำให้ปัญหาการเมืองที่คั่งค้างมีความ
ชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นนักลงทุนจึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะพลิกกลับมา
เติบโตได้ในอีกครั้ง ซึ่งผลจากความมั่นใจในการลงทุนนั้นส่งผลให้มี Fund
flow ไหลเข้าสู่ประเทศไทยอย่างรวดเร็วและค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจากระดับ
33.15 เป็น 32. 70
Baht/USD ยังส่งผลบวกต่อดัชนีหุ้นไทยให้ดีดตัวขึ้นมา
อย่างไรก็ตามยังคงมีประเด็นกดดันภาวะการณ์ลงทุนคือกลุ่ม
แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง
ประกาศชุมนุมใหญ่อย่างยืดเยื้อ ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ว่าจะตรึงเครียด
รุนแรงเพียงใดและรัฐบาลจะหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยวิธีใด นอกจากนี้
โดยสรุป ดัชนีตลาดหุ้นไทยเดือนก.พ. ปิดที่ 721.37 จุด (+ 3.56% จาก
เดือนก่อน) ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 281,130 ล้านบาท มูลค่าซื้อขาย
หมุนเวียนเฉลี่ยต่อวัน 14,056 ล้านบาท โดยนักลง
ทุนต่างชาติพลิกมาเป็น net buy มูลค่ารวม 5,421 ล้านบาท
ด้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่าหลัง
จากศาลฯ ตัดสินคดียึดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้นักลงทุนต่างชาติ
ประเมินว่าความเสี่ยงด้านการเมืองในประเทศลดลงจึงเข้าซื้อสุทธิตั้งแต่วันที่
16 ก.พ.จนถึงปัจจุบัน ส่วนช่วง 4 เดือนก่อนหน้าการตัดสินคดียึดทรัพย์ดัง
กล่าวนั้น (ต.ค.52-15 ก.พ.53) มียอดขายสุทธิ 38,000 ล้านบาท นอกจากนี้
ยังคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยช่วงเดือน
มีนาคม ประมาณ 10,000 ล้านบาท
' นักลงทุนต่างชาติมองว่าหลังการตัดสินคดียึดทรัพย์ เป็นโอกาส
ในการลงทุน เพราะความกังวลเรื่องการเมืองลดลง ขณะที่นักลงทุนไทยและ
กองทุนต่าง ๆ ยังรับข่าวสารด้านการเมืองมากเกินไป จึงยังไม่เข้าซื้อมากนัก
ซึ่งประเมินว่าในต้นเดือนจนถึงปลายเดือน มี.ค.นี้ ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้น
ได้จากแรงซื้อของต่างชาติและราคาหุ้นที่อยู่ในระดับต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน
โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน เช่น บ้านปู ปตท. รวมทั้ง ปตท. สผ. ' แหล่งข่าว
รายเดิม กล่าว
ส่วนนางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
บล. ทรีนีตี้ เปิดเผยว่าในช่วงไตรมาส 2/2553 ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว
ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 836 จุด โดยมี
กรอบแนวรับอยู่ที่ 727 จุด หลังมีเม็ดเงินลงทุนจากนักลงุทนต่างชาติที่ยัง
ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะมีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับผลกำไรของบริษัทจด
ทะเบียนที่เติบโตประกอบกับเงินปันผลและกระแสเงินสดของ บจ. ยังอยู่ใน
ระดับที่สูง นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยยังดีขึ้น โดยในไตรมาส 4/2552 ตัวเลข
ทางเศรษฐกิจเติบโต 5.8% นอกจากนี้ P/E ถือว่าค่อนข้างต่ำอยู่ที่ 11-12
เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคที่ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 14 เท่า ส่วนหุ้นที่แนะ
นำซื้อลงทุนในไตรมาสดังกล่าว ประกอบด้วยหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี
อสังหาริมทรัพย์ และธนาคารพาณิชย์ ขณะที่หุ้นซึ่งไม่น่าสนใจลงทุนประกอบ
ด้วย หุ้นในกลุ่มไอซีที และท่องเที่ยว เนื่องจากผลประกอบการในหุ้นกลุ่มดัง
กล่าวยังไม่ฟื้นตัว
หมายเหตุ : ที่มาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
รายงาน โดย อาภรณ์ สุภาพ
เรียบเรียง โดย ณัฐสินี ระเบียบนาวีนุรักษ์
อนุมัติ โดย ประสิทธิ์ กรโชคอนันต์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น [email protected]
ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 24/03/10 เวลา 14:24:41