เส้นทางสาย VI
-
- Verified User
- โพสต์: 210
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 1
วันนี้วันหยุด อยู่บ้านว่างๆครับ
ก็เลยลองเรียบเรียงชีวิตตัวเองตั้งแต่อ้อนแต่ออก มาจนถึงได้รู้จักกับ VI เสียหน่อย
ใครมีเส้นทางยังไงแจมกันได้นะครับ
: )
เส้นทางสาย VI
ทั้งหมดทั้งมวลควรจะเริ่มจากความฝัน
ความฝันมีพลังครับ
เพราะ... ความฝันในวันวาน คือความหวังในวันนี้ และจะกลายเป็นความจริงในวันพรุ่งนี้เสมอ
( ต้องวงเล็บต่อท้ายด้วยว่า หากไม่ล้มเลิกไปเสียก่อน )
ตอนเด็กๆ คงไม่แปลกหากจะมีครู ญาติห่างๆ เพื่อนแม่ หรือ คนข้างบ้านสักคน ทะลึ่งถามเราว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร
เป็นหมอบ้างล่ะ เป็นครู เป็นทหาร เป็นตำรวจ เป็นนักวิทยาศาสตร์
นั่นเป็นคำตอบที่ออกจากปากเพื่อนร่วมชั้นเรียนของผมในวัยเด็ก
แต่เชื่อไหมครับว่า เจอคำถามประเภทนี้ทีไร
ทำให้ผมลำบากใจที่จะตอบทุกที
เป็นหมอ ก็กลัวเลือด
เป็นครู ก็เกลียดเด็ก
เป็นทหาร ก็ไม่อยากแบกปืนไปยิงใคร แถมดีไม่ดีต้องไปอยู่ชายแดนไกลบ้านด้วย
เป็นตำรวจ ก็ไม่อยากไปยืนโบกรถตอนเช้าๆ
เป็นนักวิทยาศาสตร์ ไม่เอาดีกว่า หากฉลาดเกินไป อาจทำให้พวกก่อการร้ายจับตัวเราไปพัฒนาอาวุธร้ายแรงก็เป็นได้ ( ตอนเด็กๆดูไอ้มดแดงจนอินครับ )
สรุป ในวัยเด็กนั้นผมไม่มีอาชีพที่อยากเป็น
แต่การที่ผมไม่มีอาชีพที่อยากเป็นนั้น ใช่ว่าผมจะไม่มีความฝัน
ผมมีความฝันอย่างนึง
ฝันของผมคืออยากมีเงิน 100 ล้าน
ผมฝันเอาไว้เมื่อ 20 ปีก่อนครับ
เหตุผลที่ผมฝันอย่างนั้นก็คือ
เมื่อครั้งที่ผมยังเป็นเด็ก ผมจะมีกระป๋องสังกะสีอยู่ใบนึงครับ
ซึ่งถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นกระปุกออมสินที่เป็นของขวัญวันเด็กที่ได้จากธนาคารออมสิน
ซึ่งตอนเด็กๆผมจะนำเงินค่าขนมที่เหลือจากโรงเรียนมาหยอดไอ้เจ้ากระปุกนี้อยู่ทุกวี่วัน
หยอดไปหยอดมาพอมันใกล้จะเต็มกระปุก เงินกลับหายไปเกลี้ยงกระปุก เป็นอย่างนี้หลายครั้ง
ก็เริ่มจะสงสัยว่าเงินเราหายไปไหน ก็เลยไปถามแม่
พอถามแม่ แม่ก็บอกว่าเอาไปฝากธนาคาร
ผมก็เลยถามต่อไปว่า ทำไมต้องไปฝากธนาคารด้วย ผมอยากเก็บเงินไว้เองมากกว่า
แม่ก็ตอบว่าฝากไว้กับธนาคารปลอดภัยกว่า เค้าเก็บไว้ในตู้เซฟ แล้วแบงค์ก็ให้ดอกเบี้ยด้วย
แล้วแม่ก็อธิบายเรื่องดอกเบี้ยให้ผมฟัง
ประมาณว่าฝากไว้ 100 บาท เค้าจะให้ดอกเบี้ยเราปีละ 1 บาท ( ถ้าจำตัวเลขไม่ผิดนะครับ เพราะเรื่องมันนานเหลือเกิน )
ซึ่งก็ต้องยกประโยชน์ให้แม่ผม ที่อธิบายเรื่องดอกเบี้ยให้ผมซึ่งอายุไม่น่าจะเกิน 6 ขวบ เข้าใจได้อย่างง่ายๆ
ผมก็คิดคำนวนในใจ 100 บาท ได้ 1 บาท
ด้วยความที่ผมเป็นเด็กที่ชอบคิดอะไรซนๆอยู่แล้ว ผมจึงคิดเติมหลักล้านเข้าไปในจำนวนเงินหนึ่งร้อยเมื่อครู่
ถ้าเราฝากเงินไว้ 100ล้าน เราก็จะได้ดอกเบี้ยจากธนาคารปีละถึง 1ล้าน เลยนี่หว่า
ล้านนึงเนี่ยพ่อกับแม่ก็ไม่ต้องคอยทำงานหนักแล้ว เพราะกินดอกเบี้ยก็เหลือเฟือ
นับตั้งแต่วันนั้นตัวเลข 100ล้าน มันฝังอยู่ในใจผมมาตลอด
ถ้าจะเรียกว่ารวยต้องมีอย่างน้อยๆ 100ล้าน
ความฝันของผมจึงกลายเป็น อยากมีเงิน 100ล้าน ให้ได้
ผมฝันของผมอย่างนั้น...
จากนั้น ด.ช.เอ๋ ก็ตั้งหน้าตั้งตาเก็บเล็กผสมน้อย
หยอดกระปุกใบเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า เงินฝากธนาคารก็เพิ่มพูนโดยไม่รู้ตัว
จากหลักร้อยเป็นหลักพัน หลักพันกลายเป็นหลักหมื่น
ซึ่งในระหว่างนั้นแม่ผมก็ได้เอาเงินไปลงทุนในการลงทุนรูปแบบต่างๆครับ ( ที่ความเสี่ยงต่ำๆ )
ไม่ว่าจะเป็นเงินฝากปลอดภาษี 72 เดือนบ้าง ประกันชีวิตบ้าง
แต่มันก็ยังห่างไกลจาก 100ล้าน อยู่ดี
มันก็เหมือนกับการเดินทางกรุงเทพ-เชียงใหม่ นั้นแหละครับ
ถ้าถามว่าเดินไป หรือนั่งเกวียน เทียมช้าง หรือขี่ม้าไป อย่างคนสมัยเก่า มันจะไปถึงไหม ?
มันก็ไปถึงเหมือนกัน เพียงแต่ว่ามันเหนื่อยและใช้เวลานานกว่ามาก
นั่งรถ นั่งเครื่องไป ก็ไวกว่า เพราะมันรถยนต์และเครื่องบินมันทุ่นแรงเราไปได้เยอะ
เทียบแล้วความรู้ด้านการลงทุนของครอบครัวผมก็เหมือนกับการเดินเท้าหรือนั่งเกวียนนั่นแหละครับ
ก้าวเนิบๆ อาจจะใกล้เป้าหมายขึ้นเรื่อยๆ แต่มันก็ต้องใช้เวลาอีกนานมากๆๆๆ ( ซึ่งไอ้คำว่ามากๆ อาจจะหมายถึงอินฟินิตี้ก็เป็นได้ )
ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะก้าวไวนะครับ
แต่เป็นเพราะไม่รู้ว่ามันมีวิธีอื่นๆ ก็เลยได้แต่เดินทางด้วยวิธีเดิมๆ
ชีวิตช่วงนั้นของผมก็เป็นเด็กธรรมดาทั่วไป
เรียน , เรียนพิเศษ ปิดเทอมก็ช่วยที่บ้านทำมาค้าขายบ้าง
เงินออมบางส่วนก็ให้พ่อกับปู่เอาไปลงทุนในสินค้าของร้าน
โดยถ้ามีกำไรก็จะได้ส่วนแบ่งมาให้เป็นค่าเทอม หรือค่าใช้จ่ายในการเรียนของผม โดยแม่เป็นผู้จัดการให้
แหม คล้ายๆกับการซื้อหุ้นปันผลเลยเนอะ
ก็เลยลองเรียบเรียงชีวิตตัวเองตั้งแต่อ้อนแต่ออก มาจนถึงได้รู้จักกับ VI เสียหน่อย
ใครมีเส้นทางยังไงแจมกันได้นะครับ
: )
เส้นทางสาย VI
ทั้งหมดทั้งมวลควรจะเริ่มจากความฝัน
ความฝันมีพลังครับ
เพราะ... ความฝันในวันวาน คือความหวังในวันนี้ และจะกลายเป็นความจริงในวันพรุ่งนี้เสมอ
( ต้องวงเล็บต่อท้ายด้วยว่า หากไม่ล้มเลิกไปเสียก่อน )
ตอนเด็กๆ คงไม่แปลกหากจะมีครู ญาติห่างๆ เพื่อนแม่ หรือ คนข้างบ้านสักคน ทะลึ่งถามเราว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร
เป็นหมอบ้างล่ะ เป็นครู เป็นทหาร เป็นตำรวจ เป็นนักวิทยาศาสตร์
นั่นเป็นคำตอบที่ออกจากปากเพื่อนร่วมชั้นเรียนของผมในวัยเด็ก
แต่เชื่อไหมครับว่า เจอคำถามประเภทนี้ทีไร
ทำให้ผมลำบากใจที่จะตอบทุกที
เป็นหมอ ก็กลัวเลือด
เป็นครู ก็เกลียดเด็ก
เป็นทหาร ก็ไม่อยากแบกปืนไปยิงใคร แถมดีไม่ดีต้องไปอยู่ชายแดนไกลบ้านด้วย
เป็นตำรวจ ก็ไม่อยากไปยืนโบกรถตอนเช้าๆ
เป็นนักวิทยาศาสตร์ ไม่เอาดีกว่า หากฉลาดเกินไป อาจทำให้พวกก่อการร้ายจับตัวเราไปพัฒนาอาวุธร้ายแรงก็เป็นได้ ( ตอนเด็กๆดูไอ้มดแดงจนอินครับ )
สรุป ในวัยเด็กนั้นผมไม่มีอาชีพที่อยากเป็น
แต่การที่ผมไม่มีอาชีพที่อยากเป็นนั้น ใช่ว่าผมจะไม่มีความฝัน
ผมมีความฝันอย่างนึง
ฝันของผมคืออยากมีเงิน 100 ล้าน
ผมฝันเอาไว้เมื่อ 20 ปีก่อนครับ
เหตุผลที่ผมฝันอย่างนั้นก็คือ
เมื่อครั้งที่ผมยังเป็นเด็ก ผมจะมีกระป๋องสังกะสีอยู่ใบนึงครับ
ซึ่งถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นกระปุกออมสินที่เป็นของขวัญวันเด็กที่ได้จากธนาคารออมสิน
ซึ่งตอนเด็กๆผมจะนำเงินค่าขนมที่เหลือจากโรงเรียนมาหยอดไอ้เจ้ากระปุกนี้อยู่ทุกวี่วัน
หยอดไปหยอดมาพอมันใกล้จะเต็มกระปุก เงินกลับหายไปเกลี้ยงกระปุก เป็นอย่างนี้หลายครั้ง
ก็เริ่มจะสงสัยว่าเงินเราหายไปไหน ก็เลยไปถามแม่
พอถามแม่ แม่ก็บอกว่าเอาไปฝากธนาคาร
ผมก็เลยถามต่อไปว่า ทำไมต้องไปฝากธนาคารด้วย ผมอยากเก็บเงินไว้เองมากกว่า
แม่ก็ตอบว่าฝากไว้กับธนาคารปลอดภัยกว่า เค้าเก็บไว้ในตู้เซฟ แล้วแบงค์ก็ให้ดอกเบี้ยด้วย
แล้วแม่ก็อธิบายเรื่องดอกเบี้ยให้ผมฟัง
ประมาณว่าฝากไว้ 100 บาท เค้าจะให้ดอกเบี้ยเราปีละ 1 บาท ( ถ้าจำตัวเลขไม่ผิดนะครับ เพราะเรื่องมันนานเหลือเกิน )
ซึ่งก็ต้องยกประโยชน์ให้แม่ผม ที่อธิบายเรื่องดอกเบี้ยให้ผมซึ่งอายุไม่น่าจะเกิน 6 ขวบ เข้าใจได้อย่างง่ายๆ
ผมก็คิดคำนวนในใจ 100 บาท ได้ 1 บาท
ด้วยความที่ผมเป็นเด็กที่ชอบคิดอะไรซนๆอยู่แล้ว ผมจึงคิดเติมหลักล้านเข้าไปในจำนวนเงินหนึ่งร้อยเมื่อครู่
ถ้าเราฝากเงินไว้ 100ล้าน เราก็จะได้ดอกเบี้ยจากธนาคารปีละถึง 1ล้าน เลยนี่หว่า
ล้านนึงเนี่ยพ่อกับแม่ก็ไม่ต้องคอยทำงานหนักแล้ว เพราะกินดอกเบี้ยก็เหลือเฟือ
นับตั้งแต่วันนั้นตัวเลข 100ล้าน มันฝังอยู่ในใจผมมาตลอด
ถ้าจะเรียกว่ารวยต้องมีอย่างน้อยๆ 100ล้าน
ความฝันของผมจึงกลายเป็น อยากมีเงิน 100ล้าน ให้ได้
ผมฝันของผมอย่างนั้น...
จากนั้น ด.ช.เอ๋ ก็ตั้งหน้าตั้งตาเก็บเล็กผสมน้อย
หยอดกระปุกใบเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า เงินฝากธนาคารก็เพิ่มพูนโดยไม่รู้ตัว
จากหลักร้อยเป็นหลักพัน หลักพันกลายเป็นหลักหมื่น
ซึ่งในระหว่างนั้นแม่ผมก็ได้เอาเงินไปลงทุนในการลงทุนรูปแบบต่างๆครับ ( ที่ความเสี่ยงต่ำๆ )
ไม่ว่าจะเป็นเงินฝากปลอดภาษี 72 เดือนบ้าง ประกันชีวิตบ้าง
แต่มันก็ยังห่างไกลจาก 100ล้าน อยู่ดี
มันก็เหมือนกับการเดินทางกรุงเทพ-เชียงใหม่ นั้นแหละครับ
ถ้าถามว่าเดินไป หรือนั่งเกวียน เทียมช้าง หรือขี่ม้าไป อย่างคนสมัยเก่า มันจะไปถึงไหม ?
มันก็ไปถึงเหมือนกัน เพียงแต่ว่ามันเหนื่อยและใช้เวลานานกว่ามาก
นั่งรถ นั่งเครื่องไป ก็ไวกว่า เพราะมันรถยนต์และเครื่องบินมันทุ่นแรงเราไปได้เยอะ
เทียบแล้วความรู้ด้านการลงทุนของครอบครัวผมก็เหมือนกับการเดินเท้าหรือนั่งเกวียนนั่นแหละครับ
ก้าวเนิบๆ อาจจะใกล้เป้าหมายขึ้นเรื่อยๆ แต่มันก็ต้องใช้เวลาอีกนานมากๆๆๆ ( ซึ่งไอ้คำว่ามากๆ อาจจะหมายถึงอินฟินิตี้ก็เป็นได้ )
ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะก้าวไวนะครับ
แต่เป็นเพราะไม่รู้ว่ามันมีวิธีอื่นๆ ก็เลยได้แต่เดินทางด้วยวิธีเดิมๆ
ชีวิตช่วงนั้นของผมก็เป็นเด็กธรรมดาทั่วไป
เรียน , เรียนพิเศษ ปิดเทอมก็ช่วยที่บ้านทำมาค้าขายบ้าง
เงินออมบางส่วนก็ให้พ่อกับปู่เอาไปลงทุนในสินค้าของร้าน
โดยถ้ามีกำไรก็จะได้ส่วนแบ่งมาให้เป็นค่าเทอม หรือค่าใช้จ่ายในการเรียนของผม โดยแม่เป็นผู้จัดการให้
แหม คล้ายๆกับการซื้อหุ้นปันผลเลยเนอะ
-
- Verified User
- โพสต์: 210
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 2
( ต่อครับ )
ช่วง ม.ปลาย ไอ้ความคิดที่อยากจะหาเงินให้ได้เยอะๆก็ยังฝังอยู่ในหัวอยู่
แต่เรื่อง 100ล้าน นี่แทบลืมไปแล้วครับ
พอคิดที่จะหาเงิน ความคิดนี้ก็พาให้ผมไปสู่กับพนันฟุตบอล
ตอนนั้นประเมินว่า โอกาสแพ้:ชนะ มันก็แค่ 50:50 เราจะทายไม่ถูกเชียวเหรอ ?
( นี่เป็น Over Confidence รึเปล่าหว่า ? )
ช่วงนั้นก็เลยนั่งคิดหาวิธีที่จะหาเงินจากการพนันฟุตบอล
( ซึ่งส่วนตัวก็มีความรู้ในข่าวสารจากการติดตามฟุตบอลมาตั้งแต่สมัย ม.2 บ้าง )
โดยผมได้ตั้งกฏในการแทงบอลของตัวเองเอาไว้ครับ
ไม่รู้ว่าตอนนั้นใช้ตรรกะอะไรคิดถึงได้ตั้งกฏการแทงบอลของตัวเองขึ้นมาแบบนี้
1. ห้ามเล่นทีมที่ชอบ ( ซึ่งก็คือแมนฯยูฯ แต่จริงๆแล้วทีมที่ชอบอาจจะทำให้เราลำเอียงในการประเมินความสามารถได้ครับ )
2. ห้ามเล่นทีมที่เกลียด ( ซึ่งในตอนนั้นก็คืออาร์เซนอล )
3. ห้ามเล่นทีมบิ๊กโฟร์ ( ที่เหลือก็คือ ลิเวอร์พูล กับ เชลซี เนื่องจากหากแทงลิเวอร์พูลแล้วเสียอาจจะโดนเด็กหงษ์ซ้ำเติมอีกต่อนึงก็เลยเว้นไว้)
4. ห้ามเล่นราคาต่อเกิน 1 ลูก ( เอาแค่ชนะ 1-0 แล้วเจ๊า ก็ยังดีกว่าชนะ 1-0 แล้วเสีย เพราะในเกมจริงๆหากนำ 1-0 แล้วผู้จัดการทีมอาจจะสั่งอุดก็เป็นได้ เราคาดการณ์ตรงนี้ไม่ได้ )
5. เล่นแต่บอลต่อ ไม่เล่นบอลรอง ( อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัว เพราะว่าชอบคนชนะ ไม่ชอบแช่งใครให้แพ้ครับ )
6. ไม่เล่นทีมท้ายตาราง ( อย่าดูถูกพลังของทีมที่หนีตกชั้น หมาจนตรอกแล้วมีทางเดียวก็คือสู้ตาย )
7. ไม่เล่นนัด ดาร์บี้ แมทต์ ( ทีมบ้านเดียวกัน มักจะวิ่งสู่ฟัดเป็นพิเศษ )
8. เล่นแต่การแข่งขันพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ( FA CUP ของแรง โดยเฉพาะทีมล้มยักษ์นั้นมีบ่อยเกินไป )
9. เอาหนังสือพิมพ์เจาะเกมส์และสปอร์พูล มานั่งดูสถิติย้อนหลัง ถ้าชนะบ้างเสมอบ้างก็ ok แล้วก็มาดูทรรศนะ ของคู่ที่เข้าเงื่อนไข 8 ข้อข้างบน ว่า ทรรศนะในหนังสือสองเล่มนี้ตรงกันหรือไม่ ถ้าเค้าให้ทีมที่เราจะแทงชนะหมดทุกคน หรือ 80% ขึ้นไป ก็เลือกลงทีมนั้นได้เลย แต่ถ้าไม่ตรงกันสัปดาห์นั้นก็ไม่ต้องแทง เก็บเงินไว้ลุ้นสัปดาห์ต่อไปแทน
สรุปแล้วจริงๆผมมีทีมให้แทงไม่กี่ทีม ส่วนใหญ่ก็จะเป็น เอฟเวอร์ตัน สเปอร์ แอชตันวิลล่า นิวคาสเซิล ลีดส์
ซึ่งกฏการแทงบอลที่ผมแอบตั้งขึ้นเองนี้ ( ไม่เคยบอกให้ใครรู้เลย )
ก็สามารถทำกำไรให้ผมได้ค่อนข้างมาก
จากเงินก้อนแรกแค่ 500 บาท กลายเป็น 8,000 กว่าบาทในระยะเวลาน่าจะประมาณ 3 เดือน
( แทงทีละคู่ ไม่แทงStepเลย )
ผมแทงแบบ มีกำไร 2,000 นัดต่อไปก็แทงไป 1,000 อีก 1,000 เก็บไว้เป็นทุนเผื่อเจ๊ง
คือแทงไม่ค่อยเกิน 50% ของเงินทุน การใช้กำไรมาแทงทำให้ผมไม่มีความเสี่ยงในเรื่องของการขาดทุนเงินต้น 500 บาทแรกนั้นก็เก็บหายเข้าออมสินไปเรียบร้อยแล้ว
หัวค่ำก็โทรไปเขียนโพยแทงที่ร้าน ( มานั่งคิดดูตอนนี้ ทำไมตอนนั้นเราไม่กลัวตำรวจจับวะ )
ตอนเช้ามาก็เปิดดู msg ในมือถือ ว่าผลเป็นยังไง
ผมไม่ค่อยดูบอลเท่าไหร่นัก จะดูก็แต่แมนฯยูฯแข่ง
ส่วนคู่ที่แทงไว้นี่จะไม่ดูเลย
จนกระทั่งเจ้าของโต๊ะส่งสัญญาณบางอย่าง
เริ่มบอกของจ่ายช้านิดนึง
ผมก็ยังไม่เอะใจ
พอมาทวงอีกทีเค้าก็ยังขอจ่ายเลท
แต่ช่วงนั้นก็ได้ข่าวว่าเค้าเสียหนัก แถมยังต้องเคลียร์เงินให้ตำรวจเพิ่มขึ้น
รู้อีกรอบเค้าก็โดนตำรวจจับไป
มาคิทีหลัง จริงๆแล้วผมไม่น่าทิ้งเงินไว้ที่เจ้ามือ เพื่อเป็นเครดิตในการแทงเล๊ย
ถ้าเคลียร์เงินกันทุกนัดก็จบแล้ว เพราะเงินที่ผมแทงได้แต่ละนัดก็ไม่ได้เป็นเงินมากมายเท่าไหร่ ไม่กี่ร้อย ไม่กี่พัน
พอเคลียร์กับตำรวจก็ปิดโต๊ะไป
ไอ่เราก็ไม่กล้าไปทวง
เนื่องจากเจ้าของโต๊ะเค้าตัวใหญ่มาก
แถมยังเป็นนักเลงอีก
หากไปทวง เกิดอะไรขึ้นมาจะไม่คุ้มเอา
เงิน 8,000 ที่ผมเล่นได้ก็เลยหายไปกับตา
จากวันนั้นมาก็มาเล่นอีกทีตอนเรียน ปี1 ที่ ม.ช.
ตอนนั้นเพื่อนของเพื่อนที่อยู่คณะวิศวะตั้งตัวเป็นเจ้ามือ
เพื่อนสนิทผมก็มาชวนผมบอกให้ช่วยดูให้ด้วยมันจะลงตาม
ส่วนผมก็อยู่ว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยเอาสักหน่อย ( กะแทงสนุกๆ ไม่ได้กะจะเอาเงินอะไรจริงจัง )
หาหนังสือพิมพ์กีฬามาอ่านเพื่อนหาข้อมูล เพราะตอนนั้นเลิกติดตามบอลไปหลายเดือน ข้อมูลที่อยู่ในหัวก็เก่าสนิมเขรอะหมดแล้ว
ใครย้ายทีมไปไหนบ้าง โค้ชคนไหนคุมทีมก็ไม่รู้ ตามข่าวไม่ทัน ต้อง UPDATEข้อมูลในสมองเสียใหม่
ส่วนการเลือกคู่แทงนั้น ผมก็ใช้หลักเดิม คราวนี้ก็ได้มาหลายพัน แต่นานๆเคลียร์เงินกันที
เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนกัน และบ้านของไอ้เพื่อนเจ้ามือก็มีฐานะพอสมควร
แต่ล็อตหลังๆ เจ้ามือก็หมดตูด ไม่มีจ่ายก็เลยปล่อยไปเป็นหนี้ NPL
แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะยังไงก็เพื่อนรุ่นเดียวกัน แต่ก็แอบเซ็งๆกับการโดนชักดาบเหมือนกันครับ
แต่คิดในแง่ดี เงินส่วนที่โดนชักดาบนั้น มันก็เป็นแค่กำไร ไม่ใช่เงินต้นทุนของเรา
มองย้อนกลับไป ผมว่ามันดีเสียอีกที่ทำให้เราขยาดกับการพนัน
ถ้าไม่โดนชักดาบในวันนั้น ปัจจุบันก็อาจจะข้องเกี่ยวกับการพนันอยู่ก็ได้ ใครจะไปรู้
นับแต่นั้นมาก็เลิกยุ่งกับการพนันโดยเด็ดขาด...
มาในวันนี้ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่านะ
แต่ผมคิดว่าไอ้การที่ผมชอบสร้างเงื่อนไขในการเดิมพัน
การมีความอดทนในการรอคอย
และการที่ไม่ค่อยเกาะติดคอยดูบอลคู่ที่ลงเงินพนันไว้ ในตอนนั้น
น่าจะติดตัวมาเป็นผลดีต่อการลงทุนในวันนี้รึเปล่านะ ?
การที่ผมจะลงทุนในบริษัทสักบริษัทนึง ผมก็ดูให้ถ้วนถี่ว่าเข้าเกณฑ์ว่าเป็นบริษัที่ดีไหม ( นัดที่ผ่านๆมาฟอร์มการเล่นดีหรือไม่ )
หุ้นดี ราคายังแพงอยู่ ก็เก็บเงินไว้ก่อน ยังไม่รีบร้อน ( ต่อสองลูก สามลูก ก็ปล่อยผ่านไปไม่ต้องไปแทงให้ไม่สะบายใจ )
แล้วผมก็ไม่เดือดร้อนการไม่ได้ดูราคาหุ้นแบบ real time ( ไม่ต้องนอนดึกดูถ่ายทอดสด ตื่นเช้ามาลุ้นกับ sms อย่างเดียวพอ )
มันติดตัวผมมาโดยที่ผมเพิ่งมารู้ตัวก็ตอนเขียนบทความนี้นั่นแหละครับ
ช่วง ม.ปลาย ไอ้ความคิดที่อยากจะหาเงินให้ได้เยอะๆก็ยังฝังอยู่ในหัวอยู่
แต่เรื่อง 100ล้าน นี่แทบลืมไปแล้วครับ
พอคิดที่จะหาเงิน ความคิดนี้ก็พาให้ผมไปสู่กับพนันฟุตบอล
ตอนนั้นประเมินว่า โอกาสแพ้:ชนะ มันก็แค่ 50:50 เราจะทายไม่ถูกเชียวเหรอ ?
( นี่เป็น Over Confidence รึเปล่าหว่า ? )
ช่วงนั้นก็เลยนั่งคิดหาวิธีที่จะหาเงินจากการพนันฟุตบอล
( ซึ่งส่วนตัวก็มีความรู้ในข่าวสารจากการติดตามฟุตบอลมาตั้งแต่สมัย ม.2 บ้าง )
โดยผมได้ตั้งกฏในการแทงบอลของตัวเองเอาไว้ครับ
ไม่รู้ว่าตอนนั้นใช้ตรรกะอะไรคิดถึงได้ตั้งกฏการแทงบอลของตัวเองขึ้นมาแบบนี้
1. ห้ามเล่นทีมที่ชอบ ( ซึ่งก็คือแมนฯยูฯ แต่จริงๆแล้วทีมที่ชอบอาจจะทำให้เราลำเอียงในการประเมินความสามารถได้ครับ )
2. ห้ามเล่นทีมที่เกลียด ( ซึ่งในตอนนั้นก็คืออาร์เซนอล )
3. ห้ามเล่นทีมบิ๊กโฟร์ ( ที่เหลือก็คือ ลิเวอร์พูล กับ เชลซี เนื่องจากหากแทงลิเวอร์พูลแล้วเสียอาจจะโดนเด็กหงษ์ซ้ำเติมอีกต่อนึงก็เลยเว้นไว้)
4. ห้ามเล่นราคาต่อเกิน 1 ลูก ( เอาแค่ชนะ 1-0 แล้วเจ๊า ก็ยังดีกว่าชนะ 1-0 แล้วเสีย เพราะในเกมจริงๆหากนำ 1-0 แล้วผู้จัดการทีมอาจจะสั่งอุดก็เป็นได้ เราคาดการณ์ตรงนี้ไม่ได้ )
5. เล่นแต่บอลต่อ ไม่เล่นบอลรอง ( อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัว เพราะว่าชอบคนชนะ ไม่ชอบแช่งใครให้แพ้ครับ )
6. ไม่เล่นทีมท้ายตาราง ( อย่าดูถูกพลังของทีมที่หนีตกชั้น หมาจนตรอกแล้วมีทางเดียวก็คือสู้ตาย )
7. ไม่เล่นนัด ดาร์บี้ แมทต์ ( ทีมบ้านเดียวกัน มักจะวิ่งสู่ฟัดเป็นพิเศษ )
8. เล่นแต่การแข่งขันพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ( FA CUP ของแรง โดยเฉพาะทีมล้มยักษ์นั้นมีบ่อยเกินไป )
9. เอาหนังสือพิมพ์เจาะเกมส์และสปอร์พูล มานั่งดูสถิติย้อนหลัง ถ้าชนะบ้างเสมอบ้างก็ ok แล้วก็มาดูทรรศนะ ของคู่ที่เข้าเงื่อนไข 8 ข้อข้างบน ว่า ทรรศนะในหนังสือสองเล่มนี้ตรงกันหรือไม่ ถ้าเค้าให้ทีมที่เราจะแทงชนะหมดทุกคน หรือ 80% ขึ้นไป ก็เลือกลงทีมนั้นได้เลย แต่ถ้าไม่ตรงกันสัปดาห์นั้นก็ไม่ต้องแทง เก็บเงินไว้ลุ้นสัปดาห์ต่อไปแทน
สรุปแล้วจริงๆผมมีทีมให้แทงไม่กี่ทีม ส่วนใหญ่ก็จะเป็น เอฟเวอร์ตัน สเปอร์ แอชตันวิลล่า นิวคาสเซิล ลีดส์
ซึ่งกฏการแทงบอลที่ผมแอบตั้งขึ้นเองนี้ ( ไม่เคยบอกให้ใครรู้เลย )
ก็สามารถทำกำไรให้ผมได้ค่อนข้างมาก
จากเงินก้อนแรกแค่ 500 บาท กลายเป็น 8,000 กว่าบาทในระยะเวลาน่าจะประมาณ 3 เดือน
( แทงทีละคู่ ไม่แทงStepเลย )
ผมแทงแบบ มีกำไร 2,000 นัดต่อไปก็แทงไป 1,000 อีก 1,000 เก็บไว้เป็นทุนเผื่อเจ๊ง
คือแทงไม่ค่อยเกิน 50% ของเงินทุน การใช้กำไรมาแทงทำให้ผมไม่มีความเสี่ยงในเรื่องของการขาดทุนเงินต้น 500 บาทแรกนั้นก็เก็บหายเข้าออมสินไปเรียบร้อยแล้ว
หัวค่ำก็โทรไปเขียนโพยแทงที่ร้าน ( มานั่งคิดดูตอนนี้ ทำไมตอนนั้นเราไม่กลัวตำรวจจับวะ )
ตอนเช้ามาก็เปิดดู msg ในมือถือ ว่าผลเป็นยังไง
ผมไม่ค่อยดูบอลเท่าไหร่นัก จะดูก็แต่แมนฯยูฯแข่ง
ส่วนคู่ที่แทงไว้นี่จะไม่ดูเลย
จนกระทั่งเจ้าของโต๊ะส่งสัญญาณบางอย่าง
เริ่มบอกของจ่ายช้านิดนึง
ผมก็ยังไม่เอะใจ
พอมาทวงอีกทีเค้าก็ยังขอจ่ายเลท
แต่ช่วงนั้นก็ได้ข่าวว่าเค้าเสียหนัก แถมยังต้องเคลียร์เงินให้ตำรวจเพิ่มขึ้น
รู้อีกรอบเค้าก็โดนตำรวจจับไป
มาคิทีหลัง จริงๆแล้วผมไม่น่าทิ้งเงินไว้ที่เจ้ามือ เพื่อเป็นเครดิตในการแทงเล๊ย
ถ้าเคลียร์เงินกันทุกนัดก็จบแล้ว เพราะเงินที่ผมแทงได้แต่ละนัดก็ไม่ได้เป็นเงินมากมายเท่าไหร่ ไม่กี่ร้อย ไม่กี่พัน
พอเคลียร์กับตำรวจก็ปิดโต๊ะไป
ไอ่เราก็ไม่กล้าไปทวง
เนื่องจากเจ้าของโต๊ะเค้าตัวใหญ่มาก
แถมยังเป็นนักเลงอีก
หากไปทวง เกิดอะไรขึ้นมาจะไม่คุ้มเอา
เงิน 8,000 ที่ผมเล่นได้ก็เลยหายไปกับตา
จากวันนั้นมาก็มาเล่นอีกทีตอนเรียน ปี1 ที่ ม.ช.
ตอนนั้นเพื่อนของเพื่อนที่อยู่คณะวิศวะตั้งตัวเป็นเจ้ามือ
เพื่อนสนิทผมก็มาชวนผมบอกให้ช่วยดูให้ด้วยมันจะลงตาม
ส่วนผมก็อยู่ว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยเอาสักหน่อย ( กะแทงสนุกๆ ไม่ได้กะจะเอาเงินอะไรจริงจัง )
หาหนังสือพิมพ์กีฬามาอ่านเพื่อนหาข้อมูล เพราะตอนนั้นเลิกติดตามบอลไปหลายเดือน ข้อมูลที่อยู่ในหัวก็เก่าสนิมเขรอะหมดแล้ว
ใครย้ายทีมไปไหนบ้าง โค้ชคนไหนคุมทีมก็ไม่รู้ ตามข่าวไม่ทัน ต้อง UPDATEข้อมูลในสมองเสียใหม่
ส่วนการเลือกคู่แทงนั้น ผมก็ใช้หลักเดิม คราวนี้ก็ได้มาหลายพัน แต่นานๆเคลียร์เงินกันที
เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนกัน และบ้านของไอ้เพื่อนเจ้ามือก็มีฐานะพอสมควร
แต่ล็อตหลังๆ เจ้ามือก็หมดตูด ไม่มีจ่ายก็เลยปล่อยไปเป็นหนี้ NPL
แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะยังไงก็เพื่อนรุ่นเดียวกัน แต่ก็แอบเซ็งๆกับการโดนชักดาบเหมือนกันครับ
แต่คิดในแง่ดี เงินส่วนที่โดนชักดาบนั้น มันก็เป็นแค่กำไร ไม่ใช่เงินต้นทุนของเรา
มองย้อนกลับไป ผมว่ามันดีเสียอีกที่ทำให้เราขยาดกับการพนัน
ถ้าไม่โดนชักดาบในวันนั้น ปัจจุบันก็อาจจะข้องเกี่ยวกับการพนันอยู่ก็ได้ ใครจะไปรู้
นับแต่นั้นมาก็เลิกยุ่งกับการพนันโดยเด็ดขาด...
มาในวันนี้ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่านะ
แต่ผมคิดว่าไอ้การที่ผมชอบสร้างเงื่อนไขในการเดิมพัน
การมีความอดทนในการรอคอย
และการที่ไม่ค่อยเกาะติดคอยดูบอลคู่ที่ลงเงินพนันไว้ ในตอนนั้น
น่าจะติดตัวมาเป็นผลดีต่อการลงทุนในวันนี้รึเปล่านะ ?
การที่ผมจะลงทุนในบริษัทสักบริษัทนึง ผมก็ดูให้ถ้วนถี่ว่าเข้าเกณฑ์ว่าเป็นบริษัที่ดีไหม ( นัดที่ผ่านๆมาฟอร์มการเล่นดีหรือไม่ )
หุ้นดี ราคายังแพงอยู่ ก็เก็บเงินไว้ก่อน ยังไม่รีบร้อน ( ต่อสองลูก สามลูก ก็ปล่อยผ่านไปไม่ต้องไปแทงให้ไม่สะบายใจ )
แล้วผมก็ไม่เดือดร้อนการไม่ได้ดูราคาหุ้นแบบ real time ( ไม่ต้องนอนดึกดูถ่ายทอดสด ตื่นเช้ามาลุ้นกับ sms อย่างเดียวพอ )
มันติดตัวผมมาโดยที่ผมเพิ่งมารู้ตัวก็ตอนเขียนบทความนี้นั่นแหละครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 210
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 3
โพสข้างบน เกี่ยวกับการพนัน ไม่เหมาะสมลบได้นะครับ
ยังมีต่อนะครับ ( ต่ออีกยาวๆ เพราะยังไม่ได้เข้ามหา'ลัยเลย )
ขอขัดเกลาก่อนแล้วจะมาโพสครับ
ยังมีต่อนะครับ ( ต่ออีกยาวๆ เพราะยังไม่ได้เข้ามหา'ลัยเลย )
ขอขัดเกลาก่อนแล้วจะมาโพสครับ
- SunShine@Night
- Verified User
- โพสต์: 2196
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 4
เขียนได้สนุกมาก
รออ่านต่อครับ
รออ่านต่อครับ
VI ฝึกหัด สำนักปีเตอร์ ลินช์
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
-
- Verified User
- โพสต์: 993
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 6
มารออ่านตอนต่อไปครับ เป็นกำลังใจให้ :D
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 1
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 7
ผมแทงแบบ มีกำไร 2,000 นัดต่อไปก็แทงไป 1,000 อีก 1,000 เก็บไว้เป็นทุนเผื่อเจ๊ง
คือแทงไม่ค่อยเกิน 50% ของเงินทุน การใช้กำไรมาแทงทำให้ผมไม่มีความเสี่ยงในเรื่องของการขาดทุนเงินต้น 500 บาทแรกนั้นก็เก็บหายเข้าออมสินไปเรียบร้อยแล้ว
หัวค่ำก็โทรไปเขียนโพยแทงที่ร้าน ( มานั่งคิดดูตอนนี้ ทำไมตอนนั้นเราไม่กลัวตำรวจจับวะ )
ตอนเช้ามาก็เปิดดู msg ในมือถือ ว่าผลเป็นยังไง
ผมไม่ค่อยดูบอลเท่าไหร่นัก จะดูก็แต่แมนฯยูฯแข่ง
ส่วนคู่ที่แทงไว้นี่จะไม่ดูเลย
จนกระทั่งเจ้าของโต๊ะส่งสัญญาณบางอย่าง
เริ่มบอกของจ่ายช้านิดนึง
ผมก็ยังไม่เอะใจ
พอมาทวงอีกทีเค้าก็ยังขอจ่ายเลท
แต่ช่วงนั้นก็ได้ข่าวว่าเค้าเสียหนัก แถมยังต้องเคลียร์เงินให้ตำรวจเพิ่มขึ้น
รู้อีกรอบเค้าก็โดนตำรวจจับไป
มาคิทีหลัง จริงๆแล้วผมไม่น่าทิ้งเงินไว้ที่เจ้ามือ เพื่อเป็นเครดิตในการแทงเล๊ย
ถ้าเคลียร์เงินกันทุกนัดก็จบแล้ว เพราะเงินที่ผมแทงได้แต่ละนัดก็ไม่ได้เป็นเงินมากมายเท่าไหร่ ไม่กี่ร้อย ไม่กี่พัน
พอเคลียร์กับตำรวจก็ปิดโต๊ะไป
ไอ่เราก็ไม่กล้าไปทวง
เนื่องจากเจ้าของโต๊ะเค้าตัวใหญ่มาก
แถมยังเป็นนักเลงอีก
หากไปทวง เกิดอะไรขึ้นมาจะไม่คุ้มเอา
เงิน 8,000 ที่ผมเล่นได้ก็เลยหายไปกับตา
ถ้าเก็บอย่างที่ว่า
คือแทงไม่ค่อยเกิน 50% ของเงินทุน การใช้กำไรมาแทงทำให้ผมไม่มีความเสี่ยงในเรื่องของการขาดทุนเงินต้น 500 บาทแรกนั้นก็เก็บหายเข้าออมสินไปเรียบร้อยแล้ว
หัวค่ำก็โทรไปเขียนโพยแทงที่ร้าน ( มานั่งคิดดูตอนนี้ ทำไมตอนนั้นเราไม่กลัวตำรวจจับวะ )
ตอนเช้ามาก็เปิดดู msg ในมือถือ ว่าผลเป็นยังไง
ผมไม่ค่อยดูบอลเท่าไหร่นัก จะดูก็แต่แมนฯยูฯแข่ง
ส่วนคู่ที่แทงไว้นี่จะไม่ดูเลย
จนกระทั่งเจ้าของโต๊ะส่งสัญญาณบางอย่าง
เริ่มบอกของจ่ายช้านิดนึง
ผมก็ยังไม่เอะใจ
พอมาทวงอีกทีเค้าก็ยังขอจ่ายเลท
แต่ช่วงนั้นก็ได้ข่าวว่าเค้าเสียหนัก แถมยังต้องเคลียร์เงินให้ตำรวจเพิ่มขึ้น
รู้อีกรอบเค้าก็โดนตำรวจจับไป
มาคิทีหลัง จริงๆแล้วผมไม่น่าทิ้งเงินไว้ที่เจ้ามือ เพื่อเป็นเครดิตในการแทงเล๊ย
ถ้าเคลียร์เงินกันทุกนัดก็จบแล้ว เพราะเงินที่ผมแทงได้แต่ละนัดก็ไม่ได้เป็นเงินมากมายเท่าไหร่ ไม่กี่ร้อย ไม่กี่พัน
พอเคลียร์กับตำรวจก็ปิดโต๊ะไป
ไอ่เราก็ไม่กล้าไปทวง
เนื่องจากเจ้าของโต๊ะเค้าตัวใหญ่มาก
แถมยังเป็นนักเลงอีก
หากไปทวง เกิดอะไรขึ้นมาจะไม่คุ้มเอา
เงิน 8,000 ที่ผมเล่นได้ก็เลยหายไปกับตา
ถ้าเก็บอย่างที่ว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 280
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 9
อ่านแล้วสนุกครับ
ตอนเรื่องการพนันฟุตบอลผมว่าไม่ต้องลบหรอกครับ
เพราะคนอ่านน่ามีวิจารณญาณอยู่แล้วครับ
ส่วนตัวกระผมก็เคยผ่านช่วงนั้นมาเหมือนกัน
กฏของผมคล้ายๆ กฏของพี่มาก แต่ผมเล่นคู่ 500
สะสมได้มากสุด 10,000 สุดท้ายมันก็ค่อยๆ ลดลงๆๆ
รู้ตัวทันก็หยุด ตอนนี้ลด ละ เลิก ถาวร ครับ :D
ตอนเรื่องการพนันฟุตบอลผมว่าไม่ต้องลบหรอกครับ
เพราะคนอ่านน่ามีวิจารณญาณอยู่แล้วครับ
ส่วนตัวกระผมก็เคยผ่านช่วงนั้นมาเหมือนกัน
กฏของผมคล้ายๆ กฏของพี่มาก แต่ผมเล่นคู่ 500
สะสมได้มากสุด 10,000 สุดท้ายมันก็ค่อยๆ ลดลงๆๆ
รู้ตัวทันก็หยุด ตอนนี้ลด ละ เลิก ถาวร ครับ :D
-
- Verified User
- โพสต์: 210
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 11
( ต่อนะครับ )
ตอนผมอยู่ ม.6
หลังจากที่สอบติดโควต้า คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แล้วนั้น
ก็ทำให้มีเวลาว่างมากขึ้น เนื่องจากไม่ต้องไปหน้าดำคร่ำเคร่งอ่านหนังสือสอบเอ็นท์รอบเดือนมีนาฯ อีกค
วันหนึ่งผมก็เลยไปเดินเล่นที่ร้านซีเอ็ด เห็นหนังสือพ่อรวยสอนลูก ขึ้นหิ้งหนังสือขายดีอยู่
ก็เลยหยิบมาอ่าน เปิดผ่านๆก็อ่านไม่เข้าใจหรอกครับ
แต่ก็คิดว่าหากอ่านจบน่าจะเป็นประโยชน์ในการเรียนมหาวิทยาลัย
( จริงๆแล้วมันแทบไม่เกี่ยวกับการเรียนในมหาลัยเลย แต่ให้ประโยช์และทางสว่างกับชีวิตต่างหาก )
ก็เลยหยิบเล่ม 1-2 มาจ่ายเงิน ซื้อกลับบ้าน
พออ่านไปอ่านมาก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง สรุปเอาเองบ้าง
และแล้วคำว่าอิสระภาพทางด้านการเงิน ซึ่งก็หมายถึงรายได้ที่มาจากสินทรัพย์ หรือรายได้ที่ได้มาโดยไม่ต้องทำงานเอง มากกว่าค่าใช้จ่ายของเรา
ก็ทำให้ผมนึกย้อนไปถึง ดอกเบี้ยปีละ 1ล้าน กับเงินร้อยล้าน ที่ผมเคยฝันถึงในวัยเด็กขึ้นมาอีกครั้ง
นั่นมันก็เรียกว่าอิสระภาพทางการเงินแบบนึงนี่หว่า
แต่ในหนังสือนี้เค้ามีวิธีที่ดีกว่านี่
ตอนนั้นผมก็เริ่มฝันไปถึงการที่ผมจะกลายเป็นเจ้าของหอพัก หรืออพาร์ทเม้นต์ เอาสักขนาด 60 ห้องก็แล้วกัน
( เห็นเพื่อนมันอยู่หอที่มีประมาณ 60 ห้อง ค่าเช่าห้องละ 1,500 บาทต่อเดือน )
ไอ้ผมก็คิดต่อไปเลยว่า หอเพื่อนมันโทรมจะตาย ถ้าเราจะทำ เราทำแบบหรูและดูดี ดีกว่า
แต่คิดค่าเช่าเดือนละ 2,000 นะ โหยคนน่ะยอมจ่ายเพิ่มอยู่แล้วแค่เดือนละ 500 บาท
แล้วผมก็คำนวนรายได้ต่อเดือนที่ผมจะได้ออกมา 60 x 2,000 = 120,000
หักค่าบำรุง +ค่าแรงแม่บ้านนิดหน่อยน่าจะอยู่ที่เดือนละ 100,000 บาท
มีรายได้ขนาดนี้ก็ไม่ต้องทำงานแล้ว โอ้ว มันมากเกินพอที่จะเรียกว่าอิสระภาพทางการเงินเสียอีก
ไม่ต้องใช้ตังค์ให้ถึง 100ล้านด้วย อย่างมากก็ไม่เกิน 20 ล้านหรอกน่า ( สำหรับที่ดิน + ค่าปลูกสร้างของแถบ จ.เชียงราย )
ความฝันของผมเปลี่ยนไป...
คล้ายฝันเดิม แต่ราคามันลดลงจาก 100ล้าน เหลือ 20ล้าน
แต่เอาเข้าจริงตัวเลข 20ล้าน มันก็ยังสูงเกินไปสำหรับครอบครัวชนชั้นกลางค่อนไปทางด้านล่างของผมอยู่ดี
20ล้าน นั้นหากไม่กู้เงินธนาคารก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ เงินส่วนต่างก็ไม่มี
ฝันนี้ก็ยังคงกลายเป็นฝันลมๆแล้งๆต่อไป
แต่ก็ยังเก็บมันไว้เป็นเป้าหมายภายในใจอยู่ลึกๆ
และวันหนึ่งก็มีเพื่อนสนิทสมัย ม.ปลายคนหนึ่ง
มาแนะนำให้รู้จักกับธุรกิจเครือข่ายค่ายดัง
บอกวานี่ก็เป็นแนวทางการทำธุรกิจแบบในหนังสือ พ่อรวยสอนลูก อีกแบบหนึ่ง
หากคนธรรมดาอย่างกูกับมึง ฝันอยากจะรวยละก็ต้องทางนี้เท่านั้น
( ด้าน B แบบธรุกิจเครือข่ายเท่านั้น )
มันยังย้ำอีกด้วยว่า ด้าน I ไม่ใช่เกมของกูกับมึงหรอก
มียกตัวอย่างให้ด้วยนะครับว่า
ตอนที่ตึกสูงในกรุงเทพลดราคาเหลือ 200ล้าน LH ไปกว้านซื้อน่ะ
มึงรู้เรื่องไหม ? เพราะมันไม่ใช่เกมของเราไง ?
แหม ถ้าเป็นตอนนี้จะตอบมันว่า คุณอนันต์ฯ ก็หุ้นส่วนกูนั่นแหละ
( มี LH 100 หุ้น ก็ถือเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่ง ใช่ไหมครับ )
ผมก็คิดว่า ถ้ามันนำเราไปสู่อิสระภาพทางการเงินได้ ก็น่าจะลองศึกษาดู
จริงๆแล้ว ธุรกิจเครือข่าย มันก็ให้เราได้แหละครับ สำหรับอิสระภาพทางการเงิน
แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวผม ผมขายของได้บ้าง แต่ไม่ชอบง้อคน ก็เลยหยุดไป
เพราะผมเชื่อว่าอิสระภาพทางการเงินมีได้หลายทาง
เราไม่จำเป็นต้องเดินทางเดียวกันก็ได้
ณ เป้าหมาย มีความสุขรอเราอยู่แน่ๆ
แต่ระหว่างทางที่เราเดินไป มันควรจะมีความสุขให้เราด้วย
เราน่าจะเลือกเดินในเส้นทางที่ให้ความสุขเรามากกว่า
แล้วผมกลับมาใช้ชีวิตแบบฝันถึงการเป็นเจ้าของหอพักต่อครับ
ตอนผมอยู่ ม.6
หลังจากที่สอบติดโควต้า คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แล้วนั้น
ก็ทำให้มีเวลาว่างมากขึ้น เนื่องจากไม่ต้องไปหน้าดำคร่ำเคร่งอ่านหนังสือสอบเอ็นท์รอบเดือนมีนาฯ อีกค
วันหนึ่งผมก็เลยไปเดินเล่นที่ร้านซีเอ็ด เห็นหนังสือพ่อรวยสอนลูก ขึ้นหิ้งหนังสือขายดีอยู่
ก็เลยหยิบมาอ่าน เปิดผ่านๆก็อ่านไม่เข้าใจหรอกครับ
แต่ก็คิดว่าหากอ่านจบน่าจะเป็นประโยชน์ในการเรียนมหาวิทยาลัย
( จริงๆแล้วมันแทบไม่เกี่ยวกับการเรียนในมหาลัยเลย แต่ให้ประโยช์และทางสว่างกับชีวิตต่างหาก )
ก็เลยหยิบเล่ม 1-2 มาจ่ายเงิน ซื้อกลับบ้าน
พออ่านไปอ่านมาก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง สรุปเอาเองบ้าง
และแล้วคำว่าอิสระภาพทางด้านการเงิน ซึ่งก็หมายถึงรายได้ที่มาจากสินทรัพย์ หรือรายได้ที่ได้มาโดยไม่ต้องทำงานเอง มากกว่าค่าใช้จ่ายของเรา
ก็ทำให้ผมนึกย้อนไปถึง ดอกเบี้ยปีละ 1ล้าน กับเงินร้อยล้าน ที่ผมเคยฝันถึงในวัยเด็กขึ้นมาอีกครั้ง
นั่นมันก็เรียกว่าอิสระภาพทางการเงินแบบนึงนี่หว่า
แต่ในหนังสือนี้เค้ามีวิธีที่ดีกว่านี่
ตอนนั้นผมก็เริ่มฝันไปถึงการที่ผมจะกลายเป็นเจ้าของหอพัก หรืออพาร์ทเม้นต์ เอาสักขนาด 60 ห้องก็แล้วกัน
( เห็นเพื่อนมันอยู่หอที่มีประมาณ 60 ห้อง ค่าเช่าห้องละ 1,500 บาทต่อเดือน )
ไอ้ผมก็คิดต่อไปเลยว่า หอเพื่อนมันโทรมจะตาย ถ้าเราจะทำ เราทำแบบหรูและดูดี ดีกว่า
แต่คิดค่าเช่าเดือนละ 2,000 นะ โหยคนน่ะยอมจ่ายเพิ่มอยู่แล้วแค่เดือนละ 500 บาท
แล้วผมก็คำนวนรายได้ต่อเดือนที่ผมจะได้ออกมา 60 x 2,000 = 120,000
หักค่าบำรุง +ค่าแรงแม่บ้านนิดหน่อยน่าจะอยู่ที่เดือนละ 100,000 บาท
มีรายได้ขนาดนี้ก็ไม่ต้องทำงานแล้ว โอ้ว มันมากเกินพอที่จะเรียกว่าอิสระภาพทางการเงินเสียอีก
ไม่ต้องใช้ตังค์ให้ถึง 100ล้านด้วย อย่างมากก็ไม่เกิน 20 ล้านหรอกน่า ( สำหรับที่ดิน + ค่าปลูกสร้างของแถบ จ.เชียงราย )
ความฝันของผมเปลี่ยนไป...
คล้ายฝันเดิม แต่ราคามันลดลงจาก 100ล้าน เหลือ 20ล้าน
แต่เอาเข้าจริงตัวเลข 20ล้าน มันก็ยังสูงเกินไปสำหรับครอบครัวชนชั้นกลางค่อนไปทางด้านล่างของผมอยู่ดี
20ล้าน นั้นหากไม่กู้เงินธนาคารก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ เงินส่วนต่างก็ไม่มี
ฝันนี้ก็ยังคงกลายเป็นฝันลมๆแล้งๆต่อไป
แต่ก็ยังเก็บมันไว้เป็นเป้าหมายภายในใจอยู่ลึกๆ
และวันหนึ่งก็มีเพื่อนสนิทสมัย ม.ปลายคนหนึ่ง
มาแนะนำให้รู้จักกับธุรกิจเครือข่ายค่ายดัง
บอกวานี่ก็เป็นแนวทางการทำธุรกิจแบบในหนังสือ พ่อรวยสอนลูก อีกแบบหนึ่ง
หากคนธรรมดาอย่างกูกับมึง ฝันอยากจะรวยละก็ต้องทางนี้เท่านั้น
( ด้าน B แบบธรุกิจเครือข่ายเท่านั้น )
มันยังย้ำอีกด้วยว่า ด้าน I ไม่ใช่เกมของกูกับมึงหรอก
มียกตัวอย่างให้ด้วยนะครับว่า
ตอนที่ตึกสูงในกรุงเทพลดราคาเหลือ 200ล้าน LH ไปกว้านซื้อน่ะ
มึงรู้เรื่องไหม ? เพราะมันไม่ใช่เกมของเราไง ?
แหม ถ้าเป็นตอนนี้จะตอบมันว่า คุณอนันต์ฯ ก็หุ้นส่วนกูนั่นแหละ
( มี LH 100 หุ้น ก็ถือเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่ง ใช่ไหมครับ )
ผมก็คิดว่า ถ้ามันนำเราไปสู่อิสระภาพทางการเงินได้ ก็น่าจะลองศึกษาดู
จริงๆแล้ว ธุรกิจเครือข่าย มันก็ให้เราได้แหละครับ สำหรับอิสระภาพทางการเงิน
แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวผม ผมขายของได้บ้าง แต่ไม่ชอบง้อคน ก็เลยหยุดไป
เพราะผมเชื่อว่าอิสระภาพทางการเงินมีได้หลายทาง
เราไม่จำเป็นต้องเดินทางเดียวกันก็ได้
ณ เป้าหมาย มีความสุขรอเราอยู่แน่ๆ
แต่ระหว่างทางที่เราเดินไป มันควรจะมีความสุขให้เราด้วย
เราน่าจะเลือกเดินในเส้นทางที่ให้ความสุขเรามากกว่า
แล้วผมกลับมาใช้ชีวิตแบบฝันถึงการเป็นเจ้าของหอพักต่อครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 210
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 12
( โพสสุดท้ายแล้วนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามาอ่านครับ )
พอเรียนจบทางด้านบัญชีออกมาอย่างทุลักทุเล
ก็ได้มีโอกาสเข้าทำงานกับธนาคารเอกชนแห่งหนึ่ง ( ซึ่งราคาหุ้นมักจะวิ่งอยู่แถวๆ 120-130 บาท )
ตอนแรกที่ทำงานก็พบว่า จากการที่ชีวิตของเด็กนักศึกษาจะต้องเปลี่ยนไปเป็นพนักงานออฟฟิศ นั้นมันช่างยากเย็น
พอทำงานก็เริ่มออมเงิน เริ่มใช้เงิน เริ่มใช้บัตรเครดิต
ตอนแรกต้องต่อสู้กับตัวเองมากครับ
จากเด็กที่เคยขอเงินค่าขนมจากพ่อแม่เดือนละไม่กี่พันบาท
มาได้เงินเดือนหมื่นกว่าบาท ก็ใช้จ่ายนั่นนี่
กว่าจะเก็บเงินได้ก็ต้องปรับตัวหลายเดือน
จนกระทั่งมีเงินออม ก็ได้นำเงินมาออมไว้ใน MMF บ้าง ฝากประจำปลอดภาษี 24 เดือนบ้าง
ก็ได้แต่หวังว่าจะเก็บเงินเพื่อให้มีทุนในการทำหอพักอย่างที่ฝันไว้ครับ
แต่พอมาคำนวนดู ก็คงต้องนั่งทำงานเก็บเงินหลังขดหลังแข็งอีกนาน
กว่าจะมีเงินค่าส่วนต่าง 20-30% ที่เหลือของเงินกู้
ช่วงนั้นก็เลยท้อๆใจบ้างครับ
ฝากประจำก็ดอกเบี้ยน้อย
MMF ก็ไม่สะใจ
เมื่อไหร่เงินกูจะโตสักทีนะเนี่ย
จนวันหนึ่งเห็นหนังสือชี้ชวนซื้อหุ้นกู้ครับ
ดอกเบี้ยน่าจะประมาณ 5% ก็เลยลองมานั่งคำนวนว่าจะซื้อหุ้นดีหรือไม่ ?
ใจหนึ่งอยากซื้อครับ เนื่องจากต้องการผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากกับ MMF ที่ลงทุนอยู่ในตอนนั้น
แต่อีกใจหนึ่งก็บอกกับตัวเองว่า สภาพคล่องมันน้อย และผลตอบแทนก็ไม่ได้อย่างที่เราอยากได้
ตอนนั้นอยากหาหุ้นกู้ที่ให้ดอกเบี้ย 8-10% ( เว่อร์ไปไหมครับ )
แทบจะหมดแรงเก็บเงินเลยครับ
หมดสิ้นหนทาง ท้อแท้มาก
แต่ก็พยายามหาความรู้ในอินเตอร์เนตว่ามีการลงทุนแบบไหนที่ให้ผลตอบแทนที่เราต้องการบ้าง
ที่เข้าบ่อยๆก็ห้องสินธร พันทิป ครับ
แต่เป็นการเข้าไปดูว่ามีโปรโมชั่นเงินฝาก กับหุ้นกู้อะไรบ้างที่เค้ามาโพสกันมากกว่า
ตอนนั้นกระทู้ที่เกี่ยวกับหุ้นนั้นผมจะมองผ่านๆ คลิ๊กข้ามๆไปทันที
จนวันหนึ่ง เราก็นั่งคิดนอนคิดว่าจะเอายังไงกับเงินเราดี
จะซื้อหุ้นกู้ดีหรือไม่ ?
แต่อยู่ๆก็คิดขึ้นมาได้ว่า
ถ้าหุ้นกู้มันออกโดยบริษัท
บริษัทที่ออกหุ้นกู้นั้นมันก็ต้องมีหุ้นสามัญที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิ (วะ )
หุ้นกู้ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย
ส่วนหุ้นสามัญนั้นมันให้ผลตอบแทนเป้นเงินปันผลรึเปล่า (วะ) น่าจะใช่นะ ?
แล้วถ้าเราซื้อหุ้นสามัญของบริษัทที่ให้ปันผลปีละ 10% ขึ้นไป
โดยที่เราต้องเลือกซื้อแข็งแกร่ง ไม่มีวันเจ๊ง
แบบนี้มันน่าจะดีกว่าไหม ?
( นี่เป็นสริปค์ที่พูดกับตัวเองในวันนั้นจริงๆนะครับเนี่ย )
จากนั้นก็ยกหูต่อโทรศัพท์หาเพื่อนคนนึง
ซึ่งผมทราบว่ามันซื้อหุ้นตั้งแต่เรียนมหา'ลัย ปี 3
เพียงแต่มันเล่นแบบเก็งกำไร
แต่ไม่เป็นไร ผมแค่อยากจะถามเรื่องหุ้นกับเงินปันผลเท่านั้น
" เห้ย กูอยากจะซื้อหุ้นสักตัวหว่ะ เอาแบบที่ให้เงินปันผลสัก 10% แล้วไม่มีวันเจ๊งนะเว้ย " ผมถามมันไปส่งๆ
" โอ้ย ปันผล 10% กูมีให้มึงเลือกเต็มตลาดเลย " มันตอบผมกลับมา ช่วงนั้นเป้นช่วงต้นปี 52 ซึ่ง SET ตกไปอยู่ที่ 400 จึงมีหุ้นถูกเต็มตลาด
จากนั้นผมก็คุยกับมันอีกยาวนานเป็นชั่วโมง
ได้รู้จักทั้ง วอเรน บัฟเฟตต์ , ดร.นิเวศน์ฯ
มันอธิบายให้ผมรู้จักกับหารหาผลตอบแทนจากเงินปันผล
บอกว่ามึงลองเอาเงินปันผลหารด้วยราคานะ แล้วดูว่ามึงพอใจรึเปล่า
สอนผมหา P/E , P/B
ให้หุ้นผมมาอีกหลายตัว เช่น PSL , CSL , LPN บอกว่าพวกนี้ปันผลดี
ลองเอาไปศึกษาดูก่อน อย่าเพิ่งซื้อ
แล้วก็แนะนำผมให้อ่านหนังสือ 2 เล่ม ซึ่งก็คือ ตีแตก กับ คัมภีร์หุ้น ของคุณโสภณ ด่านศิริกุล
มันยังย้ำผมด้วยว่า ถ้าอ่านยังไม่จบ อย่าซื้อหุ้น
วันรุ่งขึ้นผมก็รีบไปซื้อมาอ่านเลย กลัวไม่ได้เปิดพอร์ต
และมันก็แนะนำให้ผมรู้จักกับเวบ thaivi.com นี้ด้วยครับ
พอมารู้จักกับ VI
ผมก็ลืมหอพักในฝันของผมไปเสียสิ้น
ผมว่าผมมีฝันใหม่ที่คล้ายฝันเดิมอีกครั้งแล้วสิครับ...
พอเรียนจบทางด้านบัญชีออกมาอย่างทุลักทุเล
ก็ได้มีโอกาสเข้าทำงานกับธนาคารเอกชนแห่งหนึ่ง ( ซึ่งราคาหุ้นมักจะวิ่งอยู่แถวๆ 120-130 บาท )
ตอนแรกที่ทำงานก็พบว่า จากการที่ชีวิตของเด็กนักศึกษาจะต้องเปลี่ยนไปเป็นพนักงานออฟฟิศ นั้นมันช่างยากเย็น
พอทำงานก็เริ่มออมเงิน เริ่มใช้เงิน เริ่มใช้บัตรเครดิต
ตอนแรกต้องต่อสู้กับตัวเองมากครับ
จากเด็กที่เคยขอเงินค่าขนมจากพ่อแม่เดือนละไม่กี่พันบาท
มาได้เงินเดือนหมื่นกว่าบาท ก็ใช้จ่ายนั่นนี่
กว่าจะเก็บเงินได้ก็ต้องปรับตัวหลายเดือน
จนกระทั่งมีเงินออม ก็ได้นำเงินมาออมไว้ใน MMF บ้าง ฝากประจำปลอดภาษี 24 เดือนบ้าง
ก็ได้แต่หวังว่าจะเก็บเงินเพื่อให้มีทุนในการทำหอพักอย่างที่ฝันไว้ครับ
แต่พอมาคำนวนดู ก็คงต้องนั่งทำงานเก็บเงินหลังขดหลังแข็งอีกนาน
กว่าจะมีเงินค่าส่วนต่าง 20-30% ที่เหลือของเงินกู้
ช่วงนั้นก็เลยท้อๆใจบ้างครับ
ฝากประจำก็ดอกเบี้ยน้อย
MMF ก็ไม่สะใจ
เมื่อไหร่เงินกูจะโตสักทีนะเนี่ย
จนวันหนึ่งเห็นหนังสือชี้ชวนซื้อหุ้นกู้ครับ
ดอกเบี้ยน่าจะประมาณ 5% ก็เลยลองมานั่งคำนวนว่าจะซื้อหุ้นดีหรือไม่ ?
ใจหนึ่งอยากซื้อครับ เนื่องจากต้องการผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากกับ MMF ที่ลงทุนอยู่ในตอนนั้น
แต่อีกใจหนึ่งก็บอกกับตัวเองว่า สภาพคล่องมันน้อย และผลตอบแทนก็ไม่ได้อย่างที่เราอยากได้
ตอนนั้นอยากหาหุ้นกู้ที่ให้ดอกเบี้ย 8-10% ( เว่อร์ไปไหมครับ )
แทบจะหมดแรงเก็บเงินเลยครับ
หมดสิ้นหนทาง ท้อแท้มาก
แต่ก็พยายามหาความรู้ในอินเตอร์เนตว่ามีการลงทุนแบบไหนที่ให้ผลตอบแทนที่เราต้องการบ้าง
ที่เข้าบ่อยๆก็ห้องสินธร พันทิป ครับ
แต่เป็นการเข้าไปดูว่ามีโปรโมชั่นเงินฝาก กับหุ้นกู้อะไรบ้างที่เค้ามาโพสกันมากกว่า
ตอนนั้นกระทู้ที่เกี่ยวกับหุ้นนั้นผมจะมองผ่านๆ คลิ๊กข้ามๆไปทันที
จนวันหนึ่ง เราก็นั่งคิดนอนคิดว่าจะเอายังไงกับเงินเราดี
จะซื้อหุ้นกู้ดีหรือไม่ ?
แต่อยู่ๆก็คิดขึ้นมาได้ว่า
ถ้าหุ้นกู้มันออกโดยบริษัท
บริษัทที่ออกหุ้นกู้นั้นมันก็ต้องมีหุ้นสามัญที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิ (วะ )
หุ้นกู้ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย
ส่วนหุ้นสามัญนั้นมันให้ผลตอบแทนเป้นเงินปันผลรึเปล่า (วะ) น่าจะใช่นะ ?
แล้วถ้าเราซื้อหุ้นสามัญของบริษัทที่ให้ปันผลปีละ 10% ขึ้นไป
โดยที่เราต้องเลือกซื้อแข็งแกร่ง ไม่มีวันเจ๊ง
แบบนี้มันน่าจะดีกว่าไหม ?
( นี่เป็นสริปค์ที่พูดกับตัวเองในวันนั้นจริงๆนะครับเนี่ย )
จากนั้นก็ยกหูต่อโทรศัพท์หาเพื่อนคนนึง
ซึ่งผมทราบว่ามันซื้อหุ้นตั้งแต่เรียนมหา'ลัย ปี 3
เพียงแต่มันเล่นแบบเก็งกำไร
แต่ไม่เป็นไร ผมแค่อยากจะถามเรื่องหุ้นกับเงินปันผลเท่านั้น
" เห้ย กูอยากจะซื้อหุ้นสักตัวหว่ะ เอาแบบที่ให้เงินปันผลสัก 10% แล้วไม่มีวันเจ๊งนะเว้ย " ผมถามมันไปส่งๆ
" โอ้ย ปันผล 10% กูมีให้มึงเลือกเต็มตลาดเลย " มันตอบผมกลับมา ช่วงนั้นเป้นช่วงต้นปี 52 ซึ่ง SET ตกไปอยู่ที่ 400 จึงมีหุ้นถูกเต็มตลาด
จากนั้นผมก็คุยกับมันอีกยาวนานเป็นชั่วโมง
ได้รู้จักทั้ง วอเรน บัฟเฟตต์ , ดร.นิเวศน์ฯ
มันอธิบายให้ผมรู้จักกับหารหาผลตอบแทนจากเงินปันผล
บอกว่ามึงลองเอาเงินปันผลหารด้วยราคานะ แล้วดูว่ามึงพอใจรึเปล่า
สอนผมหา P/E , P/B
ให้หุ้นผมมาอีกหลายตัว เช่น PSL , CSL , LPN บอกว่าพวกนี้ปันผลดี
ลองเอาไปศึกษาดูก่อน อย่าเพิ่งซื้อ
แล้วก็แนะนำผมให้อ่านหนังสือ 2 เล่ม ซึ่งก็คือ ตีแตก กับ คัมภีร์หุ้น ของคุณโสภณ ด่านศิริกุล
มันยังย้ำผมด้วยว่า ถ้าอ่านยังไม่จบ อย่าซื้อหุ้น
วันรุ่งขึ้นผมก็รีบไปซื้อมาอ่านเลย กลัวไม่ได้เปิดพอร์ต
และมันก็แนะนำให้ผมรู้จักกับเวบ thaivi.com นี้ด้วยครับ
พอมารู้จักกับ VI
ผมก็ลืมหอพักในฝันของผมไปเสียสิ้น
ผมว่าผมมีฝันใหม่ที่คล้ายฝันเดิมอีกครั้งแล้วสิครับ...
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 14
ใช้ภาษาเขียนได้มันมาก พะยะค่ะ
ฝันต่อไปครับ ทุกคนมีสิทธิ์ ที่จะฝันครับ
100 ล้านคงไม่ไกลเกินเอื้อมหรอกครับ
ขอให้มีหลักที่แน่วแน่ แล้วลงมือปฏิบัติอย่างเคร่งครับ
มี่คนอื่นที่เขาทำได้เป็นตัวอย่าง มากมาย
อย่ามัวไปตั้งคำถาม " ทำได้จริงหรือ" อยู่เลย
ขอให้ความฝันเป็นจริงครับ
ฝันต่อไปครับ ทุกคนมีสิทธิ์ ที่จะฝันครับ
100 ล้านคงไม่ไกลเกินเอื้อมหรอกครับ
ขอให้มีหลักที่แน่วแน่ แล้วลงมือปฏิบัติอย่างเคร่งครับ
มี่คนอื่นที่เขาทำได้เป็นตัวอย่าง มากมาย
อย่ามัวไปตั้งคำถาม " ทำได้จริงหรือ" อยู่เลย
ขอให้ความฝันเป็นจริงครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
- Little Boy
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1318
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 15
อ่านแล้วเหมือนส่องกระจกมองตัวเองเลยครับ
จขกท. มีหลายอย่างคล้ายๆ ผม ทั้งความผูกพันธ์กับกระปุกออมสิน
เรียนบัญชี ธุรกิจ MLM ที่ทำให้รู้จักกับคำว่าอิสรภาพทางการเงิน
จนมาถึงหนังสือตีแตก เพื่อนฝูงที่เล่นหุ้น และ ดร.นิเวศน์
เป็นกำลังใจให้ครับ ขอต้อนรับสู่เส้นทางสายอิสรภาพทางการเงินครับ
จขกท. มีหลายอย่างคล้ายๆ ผม ทั้งความผูกพันธ์กับกระปุกออมสิน
เรียนบัญชี ธุรกิจ MLM ที่ทำให้รู้จักกับคำว่าอิสรภาพทางการเงิน
จนมาถึงหนังสือตีแตก เพื่อนฝูงที่เล่นหุ้น และ ดร.นิเวศน์
เป็นกำลังใจให้ครับ ขอต้อนรับสู่เส้นทางสายอิสรภาพทางการเงินครับ
ความรู้..อาจมีขอบเขตจำกัด แต่จินตนาการ..ไร้ขีดจำกัด
- VI Wannabe
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1014
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 16
ขอบคุณที่มาแชร์ครับ สนุกมากๆครับ
"Attempt to be fearful when others are greedy and to be greedy only when others are fearful"
"It's far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price"
"It's far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price"
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 17
อ่านสนุกมากเลยครับ
เจ้าของกระทู้ได้เพื่อนดีนะครับเนี่ย
จบ มช เหมือนกันครับ คุณ leonleon รหัสอะไรหรือครับ ผมรหัส 42
เจ้าของกระทู้ได้เพื่อนดีนะครับเนี่ย
จบ มช เหมือนกันครับ คุณ leonleon รหัสอะไรหรือครับ ผมรหัส 42
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
-
- Verified User
- โพสต์: 210
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 19
[quote="ปรัชญา"]ผมแทงแบบ มีกำไร 2,000 นัดต่อไปก็แทงไป 1,000 อีก 1,000 เก็บไว้เป็นทุนเผื่อเจ๊ง
คือแทงไม่ค่อยเกิน 50% ของเงินทุน การใช้กำไรมาแทงทำให้ผมไม่มีความเสี่ยงในเรื่องของการขาดทุนเงินต้น 500 บาทแรกนั้นก็เก็บหายเข้าออมสินไปเรียบร้อยแล้ว
หัวค่ำก็โทรไปเขียนโพยแทงที่ร้าน ( มานั่งคิดดูตอนนี้ ทำไมตอนนั้นเราไม่กลัวตำรวจจับวะ )
ตอนเช้ามาก็เปิดดู msg ในมือถือ ว่าผลเป็นยังไง
ผมไม่ค่อยดูบอลเท่าไหร่นัก จะดูก็แต่แมนฯยูฯแข่ง
ส่วนคู่ที่แทงไว้นี่จะไม่ดูเลย
จนกระทั่งเจ้าของโต๊ะส่งสัญญาณบางอย่าง
เริ่มบอกของจ่ายช้านิดนึง
ผมก็ยังไม่เอะใจ
พอมาทวงอีกทีเค้าก็ยังขอจ่ายเลท
แต่ช่วงนั้นก็ได้ข่าวว่าเค้าเสียหนัก แถมยังต้องเคลียร์เงินให้ตำรวจเพิ่มขึ้น
รู้อีกรอบเค้าก็โดนตำรวจจับไป
มาคิทีหลัง จริงๆแล้วผมไม่น่าทิ้งเงินไว้ที่เจ้ามือ เพื่อเป็นเครดิตในการแทงเล๊ย
ถ้าเคลียร์เงินกันทุกนัดก็จบแล้ว เพราะเงินที่ผมแทงได้แต่ละนัดก็ไม่ได้เป็นเงินมากมายเท่าไหร่ ไม่กี่ร้อย ไม่กี่พัน
พอเคลียร์กับตำรวจก็ปิดโต๊ะไป
ไอ่เราก็ไม่กล้าไปทวง
เนื่องจากเจ้าของโต๊ะเค้าตัวใหญ่มาก
แถมยังเป็นนักเลงอีก
หากไปทวง เกิดอะไรขึ้นมาจะไม่คุ้มเอา
เงิน 8,000 ที่ผมเล่นได้ก็เลยหายไปกับตา
ถ้าเก็บอย่างที่ว่า
คือแทงไม่ค่อยเกิน 50% ของเงินทุน การใช้กำไรมาแทงทำให้ผมไม่มีความเสี่ยงในเรื่องของการขาดทุนเงินต้น 500 บาทแรกนั้นก็เก็บหายเข้าออมสินไปเรียบร้อยแล้ว
หัวค่ำก็โทรไปเขียนโพยแทงที่ร้าน ( มานั่งคิดดูตอนนี้ ทำไมตอนนั้นเราไม่กลัวตำรวจจับวะ )
ตอนเช้ามาก็เปิดดู msg ในมือถือ ว่าผลเป็นยังไง
ผมไม่ค่อยดูบอลเท่าไหร่นัก จะดูก็แต่แมนฯยูฯแข่ง
ส่วนคู่ที่แทงไว้นี่จะไม่ดูเลย
จนกระทั่งเจ้าของโต๊ะส่งสัญญาณบางอย่าง
เริ่มบอกของจ่ายช้านิดนึง
ผมก็ยังไม่เอะใจ
พอมาทวงอีกทีเค้าก็ยังขอจ่ายเลท
แต่ช่วงนั้นก็ได้ข่าวว่าเค้าเสียหนัก แถมยังต้องเคลียร์เงินให้ตำรวจเพิ่มขึ้น
รู้อีกรอบเค้าก็โดนตำรวจจับไป
มาคิทีหลัง จริงๆแล้วผมไม่น่าทิ้งเงินไว้ที่เจ้ามือ เพื่อเป็นเครดิตในการแทงเล๊ย
ถ้าเคลียร์เงินกันทุกนัดก็จบแล้ว เพราะเงินที่ผมแทงได้แต่ละนัดก็ไม่ได้เป็นเงินมากมายเท่าไหร่ ไม่กี่ร้อย ไม่กี่พัน
พอเคลียร์กับตำรวจก็ปิดโต๊ะไป
ไอ่เราก็ไม่กล้าไปทวง
เนื่องจากเจ้าของโต๊ะเค้าตัวใหญ่มาก
แถมยังเป็นนักเลงอีก
หากไปทวง เกิดอะไรขึ้นมาจะไม่คุ้มเอา
เงิน 8,000 ที่ผมเล่นได้ก็เลยหายไปกับตา
ถ้าเก็บอย่างที่ว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 210
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 20
ผมรหัส 46 ครับpeacedev เขียน:อ่านสนุกมากเลยครับ
เจ้าของกระทู้ได้เพื่อนดีนะครับเนี่ย
จบ มช เหมือนกันครับ คุณ leonleon รหัสอะไรหรือครับ ผมรหัส 42
ต้องเรียกพี่สิครับเนี่ย
: D
- tn143
- Verified User
- โพสต์: 229
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 24
อีกหน่อยน่าจะมี ห้องประวัติเซียน
ผมชอบอ่านความเป็นมาหลายๆท่านในนี้
แล้วเรื่องของคุณ leonleon อย่าพึ่งจบสิครับ
ตกลงซื้อยัง เปิดพอร์ทแล้ว เป็นยังไง กำลังลุ้นเลย
ส่วนเรื่องพนันบอล ขอเสริมนิดนึงว่า
โอกาสไม่ใช่ 50%
เพราะค่าน้ำจิ้ม หายไปประมาณ 10-20%
คนแทงได้ 80-90% หายไป10%เป็นค่าดำเนินการ
เจ้ามือ รับเนื้อๆ 10% ทุกคู่ที่จับชนได้ ที่เหลือส่งไปโต๊ะใหญ่ ได้ 1%
ส่วนเจ้ามือที่เจ๊งคือโลภ รับไว้เอง
และบทสรุปของทีมวิจัย พบว่า
เพื่อนผมเสียเงินไป 250,000 จากการเล่นอัดทบต้นเพื่อกลบหนี้บอล
แล้วมันก็แทงผิด 6 วันติดต่อกัน
ส่วนผมตามไปดู 3หมื่น และเพื่อนอีก 4-5 คน ก็โดนเรียบ 2-8 หมื่น/คน
เพราะไม่เชื่อว่าเพื่อนจะซวย
ผมเอาเงินฝากประจำทั้งหมดไปจ่าย แล้วเลิกขาด
ส่วนเพื่อนผม สารภาพบาปกับพ่อ
แล้วอีก2ปีให้หลัง มันโดนไปอีก 2แสน แบบเดิมเลย
ผมชอบอ่านความเป็นมาหลายๆท่านในนี้
แล้วเรื่องของคุณ leonleon อย่าพึ่งจบสิครับ
ตกลงซื้อยัง เปิดพอร์ทแล้ว เป็นยังไง กำลังลุ้นเลย
ส่วนเรื่องพนันบอล ขอเสริมนิดนึงว่า
โอกาสไม่ใช่ 50%
เพราะค่าน้ำจิ้ม หายไปประมาณ 10-20%
คนแทงได้ 80-90% หายไป10%เป็นค่าดำเนินการ
เจ้ามือ รับเนื้อๆ 10% ทุกคู่ที่จับชนได้ ที่เหลือส่งไปโต๊ะใหญ่ ได้ 1%
ส่วนเจ้ามือที่เจ๊งคือโลภ รับไว้เอง
และบทสรุปของทีมวิจัย พบว่า
เพื่อนผมเสียเงินไป 250,000 จากการเล่นอัดทบต้นเพื่อกลบหนี้บอล
แล้วมันก็แทงผิด 6 วันติดต่อกัน
ส่วนผมตามไปดู 3หมื่น และเพื่อนอีก 4-5 คน ก็โดนเรียบ 2-8 หมื่น/คน
เพราะไม่เชื่อว่าเพื่อนจะซวย
ผมเอาเงินฝากประจำทั้งหมดไปจ่าย แล้วเลิกขาด
ส่วนเพื่อนผม สารภาพบาปกับพ่อ
แล้วอีก2ปีให้หลัง มันโดนไปอีก 2แสน แบบเดิมเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 83
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 25
เหมือนกันเลยครับ แทงบอล ขายตรง สุดท้ายจบลงด้วยการลงทุน แบบ VI
เหมือนกันๆๆ :o
เหมือนกันๆๆ :o
- kenne
- Verified User
- โพสต์: 40
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 27
คล้ายๆกันหลายอย่างเลยนะ
แต่ผมเป็นแฟนบอล แต่ไม่เคยแทงบอล
แต่ ผมก็อยากมีเงินเยอะๆ เพื่อที่จะทำให้พ่อแม่สบายย
เริ่มต้น เหมือนกัน ด้วย หนังสือ พ่อรวยสอนลูก ทำให้ได้มุมมอง
ที่กว้างขึ้น ทำให้เราเชื่อว่า การเป็นคนรวย มีเงินมากกว่าค่าใช้จ่าย
มันไม่ได้ยากเย็นถึงกับขนาดที่ว่า จะทำไม่ได้
เพียงแต่ ผมอ่านพ่อรวย มุ่งมั่นได้อยู่พักนึง ผมก็ กลับไปทำงานประจำ
แล้วก็สนุกสนานกะชีวิตในการทำงาน ได้เงิน มีเงิน กินเที่ยว เก็บนิดหน่อย
แล้วก็พอเริ่มสนใจอนาคต ก็เข้าพันทิป สินธร หาเรื่องกองทงกองทุน เหอๆๆ
แทบจะก้อปกันเลยนะเนี่ยย จนพอมาคิดได้ว่า เราลงทุนเองได้นี่หว่า ทำไม
ต้องให้คนอื่นทำให้ แล้วก็เริ่มศึกษาเรื่องหุ้น จนเข้าใจว่า มันก็คือส่วนหนึ่งของ
เจ้าของกิจการนี่หว่า ไม่ใช่การพนัน หรืออย่างที่ใครหลายคนปรามาศไว้ อิอิ
ก็เลยไล่ระดมเก็บหนังสือแทบจะทุกเล่ม ที่พี่ในเวปนี้แนะนำ อ่านมันเข้าไป
อ่านให้เข้าใจ แล้วที่สำคัญ อ่านแล้วต้องลงมือทำ เพราะถ้าไม่ทำ
ความฝันก็เป็นแค่ความฝันอยู่ดี
แต่ผมเป็นแฟนบอล แต่ไม่เคยแทงบอล
แต่ ผมก็อยากมีเงินเยอะๆ เพื่อที่จะทำให้พ่อแม่สบายย
เริ่มต้น เหมือนกัน ด้วย หนังสือ พ่อรวยสอนลูก ทำให้ได้มุมมอง
ที่กว้างขึ้น ทำให้เราเชื่อว่า การเป็นคนรวย มีเงินมากกว่าค่าใช้จ่าย
มันไม่ได้ยากเย็นถึงกับขนาดที่ว่า จะทำไม่ได้
เพียงแต่ ผมอ่านพ่อรวย มุ่งมั่นได้อยู่พักนึง ผมก็ กลับไปทำงานประจำ
แล้วก็สนุกสนานกะชีวิตในการทำงาน ได้เงิน มีเงิน กินเที่ยว เก็บนิดหน่อย
แล้วก็พอเริ่มสนใจอนาคต ก็เข้าพันทิป สินธร หาเรื่องกองทงกองทุน เหอๆๆ
แทบจะก้อปกันเลยนะเนี่ยย จนพอมาคิดได้ว่า เราลงทุนเองได้นี่หว่า ทำไม
ต้องให้คนอื่นทำให้ แล้วก็เริ่มศึกษาเรื่องหุ้น จนเข้าใจว่า มันก็คือส่วนหนึ่งของ
เจ้าของกิจการนี่หว่า ไม่ใช่การพนัน หรืออย่างที่ใครหลายคนปรามาศไว้ อิอิ
ก็เลยไล่ระดมเก็บหนังสือแทบจะทุกเล่ม ที่พี่ในเวปนี้แนะนำ อ่านมันเข้าไป
อ่านให้เข้าใจ แล้วที่สำคัญ อ่านแล้วต้องลงมือทำ เพราะถ้าไม่ทำ
ความฝันก็เป็นแค่ความฝันอยู่ดี
"หุ้นถูกเป็นสิ่งพิเศษสำหรับนักลงทุนพันธ์แท้ เราไม่ได้มองการตกลงของตลาดเป็นหายนะ แต่มองเป็นโอกาสที่จะนำไปสู่ความร่ำรวย"
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 30
ขอบคุณมาแชร์ประสบการณ์นะครับ
สำนวนการเขียนอ่านเพลินมากครับ
สำนวนการเขียนอ่านเพลินมากครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.