หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ขอคำแนะนำด้วยนะคะ

โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 21, 2010 3:24 pm
โดย m_mummie
มือใหม่ได้อ่านบทความนี้ ก็เลยสงสัยระคนกลัวว่า ตลาดหุ้นไทยจะเป็นยังไงต่อไป อยากรู้ว่ามีผลอะไรต่อการตัดสินใจลงทุน
หรือเลิกลงทุนของพี่ๆ เพื่อนๆชาว วีไอไหมคะ
ช่วยไขข้อข้องใจด้วยนะคะ :?  :?:

http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... ีเซีย.html

ขอคำแนะนำด้วยนะคะ

โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 21, 2010 3:28 pm
โดย m_mummie
เนื้อหาอยู่ที่
www.bangkokbiznews.com ตรง CEO Blogs เรื่องอิจฉาอินโดนีเซีย
โดยคุณไพบูลย์ นลินทรางกูร คะ

ขอคำแนะนำด้วยนะคะ

โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 21, 2010 4:30 pm
โดย Packky
โลกในมุมมองของ Value Investor               30  ธันวาคม 2551

เหตุการณ์ความรุนแรงที่มีผลกระทบในทางลบต่อตลาดหุ้นหรือที่คนคิดว่ามีผลกระทบทางลบต่อตลาดหุ้นอย่างรุนแรงนั้น   เกิดขึ้นเป็นประจำ  พูดได้ว่าทุก 3-4  ปีหรือน้อยกว่านั้นประเทศไทยหรือไม่ก็โลกจะต้องประสบกับ  วิกฤติ บางอย่างที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย อย่างแรง    ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น   นักลงทุนก็มักจะรู้สึกว่าเหตุการณ์  ครั้งนี้  รุนแรงมากกว่าที่เคยผ่านมา   ถ้าแก้ไขไม่ได้  บ้านเมืองและเศรษฐกิจอาจจะล่มสลาย   แต่เมื่อเวลาผ่านไป   เรื่องที่  วิกฤติร้ายแรง   นั้นก็ผ่านพ้นไปโดยที่บ้านเมืองไม่ได้ล่มสลาย   เศรษฐกิจก็เติบโตต่อไป  เช่นเดียวกับตลาดหุ้นที่ยังอยู่และดัชนีหุ้นก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น  บางครั้งรุนแรง   เพื่อที่จะตกกลับลงมาอย่างรุนแรงอีกครั้งเมื่อวิกฤติคราวหน้ามาถึง   ตลาดหุ้นก็เป็นเช่นนี้   ลองมาดูเหตุการณ์ต่าง ๆ  ที่ตลาดหุ้นไทยเผชิญมาและก็ผ่านมาได้และเราอาจจะลืมไปแล้วว่าตอนนั้นเรา  กลัวแทบตาย

ผมคงมองย้อนหลังไปถึงแค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตลาดหุ้นไทยเริ่มเข้าสู่ยุคสมัยใหม่หน่อยและผมเริ่มเข้ามาทำงานในตลาดการเงินแล้ว   นั่นก็คือ  เหตุการณ์  Black Monday หรือวันจันทร์ทมิฬ    นี่คือเหตุการณ์ที่น่าจะเรียกว่าเกิดจากปัญหา   ทางเทคนิค   เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ตลาดหุ้นนิวยอร์คและกระทบมาถึงตลาดหุ้นไทย      เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังบูมสุด ๆ  และไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรที่จะทำให้ตลาดหุ้นตกอย่างหนักยกเว้นแต่ว่าอาจจะมีนักลงทุนหรือผู้ดูแลภาวะเศรษฐกิจภาพรวมที่กลัวว่าตลาดจะอยู่ในภาวะ  ฟองสบู่   จึงพยายามที่จะลดความร้อนแรงนั้น   ในขณะเดียวกัน  นักลงทุนที่ระมัดระวังกันอยู่แล้วก็มีการติดตั้งระบบการซื้อขายหุ้นแบบ  อัตโนมัติ   หรือที่เรียกว่า  Program Trading  ที่จะสั่งขายหุ้นได้ทันทีถ้าหุ้นตกถึงระดับหนึ่ง   และเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลงถึงจุดนั้น  ระบบก็เริ่มทำงานและการขายหุ้นก็เกิดขึ้นต่อเนื่องทำให้หุ้นตกลงมาเป็นประวัติการณ์   แต่ที่น่าแปลกก็คือ  ตลาดหุ้นไทยซึ่งยังไม่ได้เปิดเสรีให้กับนักลงทุนต่างประเทศและไม่ได้มี Program อะไรทั้งนั้น  ก็ตกลงไปมหาศาลพอ ๆ  กันด้วย  นั่นคือเหตุการณ์ในปี  2530

หลังจาก  Black Monday ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นไปเร็วและแรงมากเป็นเวลา 3 ปีจนถึงปี 2533  ก็เกิดเหตุการณ์   สงครามอ่าวเปอร์เซียที่อิรักบุกเข้ายึดคูเวตซึ่งเป็นเหตุการณ์  ช็อกโลก  เพราะนี่คือแหล่งน้ำมันซึ่งเป็นพลังงานที่สำคัญที่สุดของโลก  ตลาดหุ้น  แน่นอน  ตกลงมาอย่างหนัก   แต่แล้วไม่กี่เดือนต่อมา  สหรัฐอเมริกากับพันธมิตรก็สามารถยึดคูเวตคืนมาได้หุ้นจึงปรับตัวขึ้นไปและเราก็ผ่าน  วิกฤติ  สงครามอ่าวมาได้ในเวลาอันสั้นเพื่อที่จะเผชิญกับ   สงคราม  ที่เกิดในประเทศไทยในอีก 2  ปีต่อมา

ในปี  2535  ผู้นำของกลุ่มทหารที่ทำการปฏิวัติที่เรียกว่า  รสช. หรือถ้าผมจำไม่ผิดมาจากคำว่าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ   ได้ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหลังจากมีการเลือกตั้ง    เหตุการณ์นั้นทำให้เกิดการประท้วงของประชาชนและทหารได้เข้าปราบปรามจนเกิดการเสียเลือดเนื้อและชีวิตจำนวนมากที่ต่อมาเรียกว่า   เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ   แต่วิกฤติครั้งนี้   เนื่องจากเกี่ยวข้องกับคนไม่มากนักและเกิดในเวลาอันสั้นจึงกระทบกับตลาดหุ้นไม่มากนัก    และหลังจากที่เหตุการณ์ผ่านพ้นไป   ตลาดหุ้นก็วิ่งขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อันเป็นผลจากการที่เศรษฐกิจไทยเติบโตสุดขีดโตปีละกว่า  10 % ติดต่อกันหลายปี  ทำให้ดัชนีสูงถึง 1753 จุด  ก่อนที่จะประสบกับวิกฤติรอบใหม่  คิดแล้วช่วงเวลาระหว่างวิกฤติรอบนี้กินเวลา 3 ปี ก่อน ที่จะเกิดวิกฤติรอบใหม่

นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดจากการเงินของต่างประเทศที่เกิดขึ้นในปี  2538   ซึ่งมีสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใกล้เคียงกัน   เหตุการณ์แรกคือเรื่องของการลดค่าเงินเปโซลงมาเป็นประวัติการณ์ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจเม็กซิโก   แต่เหตุการณ์ที่ประทับใจรุนแรงกว่าก็คือการล้มของแบริงซีเคียวริตี้ที่เป็นสถาบันการเงินเก่าแก่ที่เคยรับใช้ราชวงศ์ของอังกฤษมาก่อน   ทั้งสองเรื่องประกอบกับการที่ดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปสูงมากเป็นฟองสบู่ทำให้หุ้นตกลงมาอย่างหนักและทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนต้องตั้งกองทุนเพื่อพยุงราคาหุ้นไม่ให้ตกต่ำลงไปมากกว่านั้น    แต่หุ้นก็ไม่สามารถยืนราคาอยู่ได้   หลังจากที่หุ้นปรับตัวขึ้นไปได้ไม่กี่เดือนมันก็เริ่มปรับตัวลงมาเรื่อย  ๆ   เป็นเวลา 2 ปี  ก่อนที่ประเทศไทยจะประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในปี 2540

วิกฤติปี 2540 นั้น  ผมได้เคยพูดไปแล้วเมื่อเร็ว ๆ  นี้     หลังจากปี  40  เป็นเวลา  4  ปีเราไม่ได้เห็นวิกฤติเป็นเรื่องเป็นราว   แต่ถ้าจะพูดไป   ช่วงเวลานั้นอาจจะพูดว่าเรายังอยู่ในภาวะวิกฤติตลอดเวลา   เพราะว่าเศรษฐกิจ  สถาบันการเงินหลัก ๆ  ของประเทศ  และบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศจำนวนมาก  ต่างก็ไม่รู้ว่าจะสามารถเอาตัวรอดจากภาวะเลวร้ายทางการเงินได้หรือไม่   จวบจนถึงปี  2544  เรา   หรือถ้าจะพูดให้ตรงก็คือ  โลกก็ต้อง  ช็อก  จากการถล่มตึกเวิร์ลเทรดในนิวยอร์คของกลุ่มก่อการร้าย   เหตุการณ์นี้ทำให้เราต้องปิดตลาดหลักทรัพย์หนึ่งวัน   แต่ข้อเท็จจริงที่ว่านี่เป็นเรื่องของการเมืองอเมริกันล้วน ๆ  และผลกระทบต่อเศรษฐกิจจริง ๆ  โดยเฉพาะของประเทศไทยมีน้อย   ดังนั้น   ผลกระทบที่มีต่อตลาดหุ้นไทยจึงน้อยมาก  และผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่อง   ทำให้ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นเรื่อย   ๆ   และมาบูมสุดขีดในปี 2546  ที่ดัชนีปรับตัวขึ้นไปถึง 117%  ภายในปีเดียว   ก่อนที่จะประสบกับวิกฤติอีกครั้งหนึ่งในปี  2547

หลังจากเวิร์ลเทรด  ต่อมาอีก 3  ปีคือในปี  2547  วิกฤติของประเทศไทยน่าจะเรียกว่าเกิดหลายเรื่อง   ไล่ตั้งแต่โรคซาร์  ไข้หวัดนก  สึนามิ  เหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้  และราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง    ทั้งหมดนั้นว่าที่จริงก็ยังไม่อาจพูดได้ว่ามันผ่านไปแล้ว   แต่เราก็ชินกับมันและดูเหมือนว่าจะไม่เป็นปัญหาเหมือนกับที่เกิดในช่วงแรก

อีก 2 ปีต่อมาในปี 2549   ประเทศไทยก็เกิดการปฏิวัติอีกแต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นวิกฤติเพราะไม่มีคนคัดค้านมากนัก   และต่อมาอีก 2  ปีก็คือในปีปัจจุบันที่เรากลับมาเจอวิกฤติอีกครั้งหนึ่งที่น่าจะเป็นครั้งที่เลวร้ายที่สุดอีกครั้งหนึ่งนับจากปี 2540   นั่นก็คือ   เราเจอวิกฤติที่เป็นผลจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก  และเรายังเจอวิกฤติจากการที่มีการประท้วงปิดสนามบินหลักของประเทศ  นอกจากนั้นเรายังมีปัญหาความแตกแยกของคนในชาติที่รุนแรงที่ยังไม่จบลง    แต่ในความคิดผมเองนั้น    เหตุวิกฤติรุนแรงครั้งนี้ก็จะเป็นอย่างที่ เบน เกรแฮม  เคยพูดไว้เป็นคำอมตะว่า   this too, shall past   นี่ก็จะต้องผ่านไปเหมือนกัน
ผมคิดว่าสักวันเราจะผ่านอุปสรรคทุกอย่างไปได้ด้วยดีครับ
ขอให้มีความสุขในการลงทุนครับ
:8)  :8)  :8)

Re: ขอคำแนะนำด้วยนะคะ

โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 21, 2010 9:16 pm
โดย ส.สลึง
m_mummie เขียน:...กลัวว่า ตลาดหุ้นไทยจะเป็นยังไงต่อไป อยากรู้ว่ามีผลอะไรต่อการตัดสินใจลงทุน
หรือเลิกลงทุนของพี่ๆ เพื่อนๆชาว วีไอไหมคะ
ตราบใดที่ผมยังมีลมหายใจ ผมก็รักที่จะลงทุนครับ :)

ขอคำแนะนำด้วยนะคะ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 22, 2010 12:09 am
โดย Diablo
ไม่สนใจเลยครับ  :lol:
ตลาดจะโดนลดชั้นแล้วไง บริษัทไม่ได้ถูกลดชั้นไปด้วยซักหน่อย
ทำไมต้องพึ่งนักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขับดันตลาดเสมอไป
ควรจะยืนด้วยขาของเราเองดีกว่านะครับ

ขอคำแนะนำด้วยนะคะ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 22, 2010 12:35 am
โดย m_mummie
กลายเป็นน้องต่าย ตื่นตูม ไปซะได้  :oops:
แสดงว่ายังเป็นวีไอไม่ได้ ใช่ไหมคะ จิตใจไม่มั่นคงพอ :shock:  :oops:

ขอคำแนะนำด้วยนะคะ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 22, 2010 7:24 am
โดย Diablo
เป็นได้สิครับ ค่อยๆปรับปรุงไป ทำใจให้สงบๆ
ไปหางานอดิเรกอะไรที่ชอบทำก็ดีนะครับ ตลาดนั่น คอยดูอยู่ห่างๆ ก็พอแล้วครับ

ขอคำแนะนำด้วยนะคะ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 22, 2010 8:02 am
โดย คนคอน
[quote="m_mummie"]กลายเป็นน้องต่าย ตื่นตูม ไปซะได้

ขอคำแนะนำด้วยนะคะ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 22, 2010 9:57 am
โดย m_mummie
งานอดิเรกคือ กินกะนอน คะ ก็เลยต้องหาเงินมาเลี้ยงปากท้องซะหน่อย
ไม่งั้นอดตายแหงมๆ เรื่องกินเรื่องหญ่าย :lol:  :lol:

ขอคำแนะนำด้วยนะคะ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 22, 2010 5:24 pm
โดย choosak
ผมมีความสุขกับการติดตามข่าวสารข้อมูลของบริษัทที่ผมลงทุนครับ เรื่องอื่นเป็นเรื่องรองครับ