หน้า 1 จากทั้งหมด 1

สอบถามแนวคิดเรื่องการประมาณ PE ครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 30, 2010 9:03 am
โดย Birdigol
สวัสดีครับ   น้องใหม่รบกวนสอบถามแนวคิดเรื่องการประมาณการ forward PE หน่อยครับ

ผมเคยอ่านบทความหลายๆบทความในเว็บบอร์ดนี้เกี่ยวกับการประมาณค่า PE  ซึ่งโดยส่วนมากก็จะให้ PE โดยประสบการณ์...  ซึ่งอันนี้มันก็เกี่ยวกับความเชี่ยวชาญของแต่ละคน  
แต่ผมก็ค่อนข้างสงสัยว่า แล้วพี่ๆนำประสบการณ์มาใช้ในการแบ่งระดับค่า PE อย่างไรครับ

โดยถ้าให้ผมของสรุปคร่าวๆ ผมสรุปได้อย่างนี้ครับ ไม่รู้ว่าถูกต้องหรือเปล่า

การประมาณ PE ก็คล้ายๆกับการให้คะแนนหรือเปล่าครับ ?

โดยเราจะให้คะแนนจาก ตัวธุรกิจที่เราจะไปลงทุน ว่ามีแนวโน้มธุรกิจเป็นอย่างไร ? คู่แข่งมีเยอะมั๊ย ? โอกาสเสี่ยงที่จะขาดทุนมาจากอะไรและมีแน้มโน้มเป็นไปได้แค่ไหน ? อนาคตกำไรปีนี้เป็นอย่างไร ฯลฯ  จากนั้นก็นำมาเป็นคะแนน

ผมเข้าในว่าให้แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ไม่ดี ดี และ ดีมาก

ไม่ดี  PE 1-2
ดี      PE 3-6
ดี      PE 7-9
ประมาณนี้หรือเปล่าครับ ?  
หรือว่าควรมี ดีมาก PE 10- 12 ด้วย

เลยอยากทราบแนวคิดว่าพี่มีการให้ค่า forward PE กับธุรกิจที่พี่จะลงทุนยังไงครับ  


ขออีกคำถามนึงนะครับ

สมมติว่าผมประมาณการ PE บริษัทนี้ว่าอนาคตจะดีมากๆๆ เลยให้ PE 12 แล้วเกิดว่าค่า PE ณ ปัจจุบันมันวิ่งไปถึงค่า PE ที่ 12 แล้ว โอกาสที่ค่า PE มันจะวิ่งเกินค่า 12 ไปเป็น 13, 14 .... ได้มั๊ยครับ (โดยไม่ใช่การเก็งกำไร)  แล้วอย่างนี้เราจะคาดการณ์ค่า PE ใหม่ยังไงครับ

เพราะว่าเคยได้ยินว่า ค่า PE สูงๆ แปลว่า ราคาหุ้นตัวนั้นแพง  ไม่น่าลงทุน



ขอบคุณครับ :)  :)

สอบถามแนวคิดเรื่องการประมาณ PE ครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 30, 2010 9:28 am
โดย saichon
ผมว่าหัวใจสำคัญของการลงทุนแนวVIคือการประเมินมูลค่านี่แหละครับ
ผมก็ยังประเมินมูลค่าหุ้นไม่เก่ง
แต่ดีใจมากที่มีพี่ในเวป2-3ท่านสอนหลักการให้
ผมขออนุญาตพี่ที่สอนผม นำสิ่งดีๆที่ได้รับแบ่งปันให้นักลงทุนรุ่นใหม่ๆน๊ะครับ
...

คำสอนของพี่ท่านแรก

วิธีประเมินหุ้นมี 2 ขั้นตอน

1. ให้พีอีที่เหมาะสม  ถ้าเกินสิบก็ถือว่าค่อนข้างแพง  ต้องหุ้นที่เก่งจริงๆถึงจะได้ขนาดนี้หรือเกินนี้

2. หากำไรในอนาคตของบริษัท  ตัวนี้สำคัญมาก ถ้าเรากะผิดเราก็มีสิทธิขาดทุน
ที่เราเห็นพีอีสูงๆตอนนี้   อาจจะเป็นเพราะในอดีตทำกำไรได้น้อย  พีอีเลยสูง

ข้อนี้อาจจะเป็นสาเหตุทำให้เราย่ามใจและกล้าซื้อหุ้นตัวอื่นๆที่ไม่ใช่สองตัวนี้ในราคาที่พีอีสูงๆ  โดยที่ตัวนั้นๆไม่มีวี่แววว่าจะได้กำไรสูงๆในอนาคตตามที่หวังก็ได้

กำไรในอดีตเป็นภาพลวงตา อาจจะเกิดอีกหรือไม่เกิดก็ได้  กำไรในอนาคตสำคัญกว่า

หรืออาจจะทำข้อ 2 แล้วค่อยทำข้อ 1 ก็ได้


คำสอนของพี่อีกท่าน

1.ถ้ามี story พีอีก็สูงได้
2.งบดี พีอีก็สูง
3.ปันผลดี พีอีก็สูง
4.มีการเติบโตสูง พีอีสูง
5.มี barrier พีอีสูง
6.ผู้บริหารให้ข่าวบ่อยๆ พีอีสูง
ถ้าตรงกันข้ามก็พีอีต่ำนะ


หลังจากได้แนวคิด เราก็ต้องฝึกประเมินด้วยตนเองครับ
สู้ๆน๊ะครับ :wink:

สอบถามแนวคิดเรื่องการประมาณ PE ครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 30, 2010 11:45 am
โดย picklife
เอาแบบมือใหม่ๆแบบผมก็....
1.ดูPEกลุ่ม
2.ดูPEตัวมันเองย้อนหลัง
3.ดูPEคู่แข่งที่มีลักษณะธุรกิจคล้ายๆกัน
4.ดูPEเทียบกับGrowthของกำไร
5.ดูปันผล บางครั้งบ.ที่มั่นคงมากๆ ไม่ค่อยโต แต่ปันผลคงที่
ตัวนี้DviYจะคงที่กว่าPEครับ
นึกมะออกละ :P

สอบถามแนวคิดเรื่องการประมาณ PE ครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 30, 2010 1:02 pm
โดย เด็กเลี้ยงไม้
เรื่องนี้ยากจริงๆ เฮ้อ

ตอบคำถามข้างล่างแล้วกันครับ
ในความคิดผม เป็นไปได้ที่จะวิ่งเกินค่าของมัน แต่ความเสี่ยงเรื่อง down side จะตามมาเช่นกัน และที่สำคัญถ้าคิดว่าถึงราคาที่เหมาะสมแล้ว เปลี่ยนตัวจะดีกว่าครับ หุ้นดีๆมีเยอะครับ ขึ้นกับว่าเราจะเห็นหรือไม่

ปล. ผมก็มั่วๆไป แบบมือใหม่หนะครับ

ส่วนอันนี้ copy มาจาก p'yoyo ครับ
หุ้นที่มีคุณภาพแย่ (หุ้นเกรด F) กิจการที่ขาดทุน หนี้สินเยอะๆ หรือกำไรเอาแน่เอานอไม่ได้ปีนึงกำไรปีนึงขาดทุน หรือพวกที่ผู้บริหารไว้ใจไม่ได้ พวกนี้ไม่ต้องประเมิน pe หรอกครับอย่าไปซื้อมันเลยดีกว่า
หุ้นที่มีคุณภาพกลางๆ (หุ้นเกรด C) หนี้สินกลางๆ รายได้และกำไรไม่ค่อยเติบโต หรือเติบโตช้าไม่เกิน 5% ต่อปี pe ควรจะอยู่แถวๆ 5-6
หุ้นคุณภาพดีพอใช้ (หุ้นเกรด B) หนี้ไม่มาก รายได้ไม่ผันผวนโตอย่างสม่ำเสมอ กำไรในอนาคตเติบโตระดับ 5-15% ต่อปี pe น่าจะประมาณ 6-9
หุ้นคุณภาพดี (เกรด A) หนี้น้อย หรือไม่มีเลย รายได้โตอย่างต่อเนื่อง กำไรในอนาคตคาดว่าจะโตในระดับ 15% ขึ้นไป pe เหมาะสมประมาณ 9-12
หุ้นสุดยอด (Super stock) หนี้น้อยหรือไม่มี รายได้มั่นคงมากและโตขึ้นอย่างสม่ำเสมอ กำไรโตขึ้นในระดับ 20-30% ผู้บริหารเก่ง ขยัน ซื่อสัตย์ แนวโน้มธุรกิจดี มีอำนาจในการต่อรองต่อ supplier สูง อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่แข่งขันกันเรื่องราคาเป็นหลัก สามารถผลักภาระให้ลูกค้าได้ ฯลฯ พวกหุ้นชั้นยอดพวกนี้ pe ตั้งแต่ 12 ขึ้นไปจนถึง 20

สอบถามแนวคิดเรื่องการประมาณ PE ครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 01, 2010 1:37 am
โดย KB
PE คือ ราคาต่อกำไรต่อหุ้น

อย่างเช่น หุ้น PE 2 เท่า

หุ้นราคา 2 บาท

กำไรต่อหุ้น 1 บาท

* ราคาหุ้นซื้อขายกันที่ 2 บาท ปีนึงทำกำไรได้ 1 บาทต่อหุ้น ทำไมหุ้น PE 1-2 เท่าถึงจัดอยู่ในกลุ่มไม่ดีละครับ

* กลับกัน กับคิดว่าหุ้นที่ PE สูงๆ คือหุ้นดี เป็นการสรุปที่ผิดครับ หุ้น PE 12 เท่าคือ ราคาซื้อขายที่ 12 บาท ปีนึงทำกำไรได้ 1 บาทต่อหุ้น ถ้าไม่ดูการเติบโตก็ต้องใช้เวลาถึง 12 ปี ถึงจะมีกำไร 12 บาทเท่าราคาปัจจุบัน


PE เป็นตัวหนึ่งที่ใช้วัดความถูกความแพงของหุ้น และใช้ประเมิณเปรียบเทียบหาราคาเหมาะสมของหุ้น

เช่นเจอหุ้นที่ซื้อขาย PE ต่ำมาก แค่ 4 เท่า หุ้นราคา 4บาท กำไรต่อหุ้น 1 บาท แต่เราคิดว่า PE ที่ควรจะเป็นคือ 8 เท่า เราก็ซื้อหุ้นนี้ไว้ก่อนแล้วไปรอขายตอน PE เหมาะสมที่เราคิดไว้คือ 8 เท่า คือ 8 บาท

หรือหุ้นที่ PE ดูสูงมาก บางทีก็อาจจะไม่ใช้หุ้นที่แพง ถ้ากำไรเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ตัวอย่างหุ้น PE 8 เท่า ราคาหุ้นอยู่ที่ 4 บาท กำไรต่อหุ้น 0.5 บาท
แต่พอกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 1 บาท PE จาก 8 เท่า ก็ลงมาเหลือ 4 เท่า และราคาหุ้นขายขึ้นจาก 4 บาทไป 8 บาทตาม PE ที่มันความจะเป็นก็ได้

สอบถามแนวคิดเรื่องการประมาณ PE ครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 02, 2010 11:12 am
โดย Birdigol
ขอบคุณพี่ๆ ที่ให้คำแนะนำครับ
ตอนนี้ผมพอมองเห้นภาพของ PE ของแล้วครับ  :)

สอบถามแนวคิดเรื่องการประมาณ PE ครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 04, 2010 1:49 pm
โดย Anti-Aircraft
ความหมายของ PE ก็คือ ระยะเวลาคืนทุน (กรณีบริษัททำกำไร เท่าเดิม ได้อย่างต่อเนื่อง)
ในแง่ธุรกิจ คืนทุนเร็วยิ่งเร็วยิ่งดี เพราะหลังจากนั้นขอแค่ธุรกิจไม่เจ๊งก็เป็นกำไรตลอด

การประมาณ PE ที่เหมาะสม

1) ประเภทของธุรกิจ และคุณภาพของกำไร
ตามคอมมอนเซนซ์เลย
ธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนค่อนข้างเอาแน่ไม่ได้ จะขาดทุนเมื่อไรก็ไม่รู้ ควรจะคืนทุนเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ (PE ต่ำ)
ธุรกิจความเสี่ยงต่ำ ผลกำไรสม่ำเสมอ โอกาสขาดทุนต่ำ คืนทุนช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร ถ้ารอไหวก็กำไรแน่นอน (PE สูง)

นี่คือตัวอย่างการวิเคราะห์ PE เชิงคุณภาพที่น่าสนใจครับ โดยกูรูคนดังของเราเอง ผมใช้ค่าเหล่านี้เป็นมาตรฐานก่อนปรับปรุงด้วยปัจจัยอื่นๆ ครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... 81&start=0

2) การเจริญเติบโต
สมมติ หุ้น A ราคา 15 บาท
ปีล่าสุดมี กำไรต่อหุ้น 1 บาท จะได้ PE 15 เท่า
ถ้าบริษัทไม่มีการเจริญเติบโตเลย จะใช้เวลา คืนทุน 15 ปี ถือว่าผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ
แต่ถ้าบริษัทมีการ เติบโต 15% ต่อปี อย่างต่อเนื่อง ลองคิดเลขดู
กำไร        กำไรสะสม
1.15^1     1.15
1.15^2     2.4725
1.15^3     3.993375
1.15^4     5.74238125
1.15^5     7.753738438
1.15^6     10.0667992
1.15^7     12.72681908
1.15^8     15.78584195
จะเห็นได้ว่า ใช้เวลาแค่ 8 ปี เท่านั้นเอง ถือว่าผลตอบแทนพอใช้ได้
แต่ถ้าบริษัทมีการ เติบโต 30% ต่อปี อย่างต่อเนื่อง ลองคิดเลขดู จะใช้เวลาคืนทุนแค่ 5 ปี ซึ่งถือว่า สุโค่ยมาก
ปีเตอร์ ลินช์ เลยตั้งกฎง่ายๆ ว่าหุ้นที่น่าซื้อควรมี ค่า growth เป็น 2 เท่าของ PE หรือ มีค่า PE เป็นครึ่งหนึ่งของ growth นั่นเอง

3) การให้ Premium และภาวะตลาด
ข้อนี้เป็นข้อที่ลำบากที่สุดในการวิเคราะห์เลยครับ เป็นที่รู้กันว่าในอุตสาหกรรมที่ร้อนแรง แนวโน้มทุกอย่างสดใส PE ของกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆ จะสูงมากๆ ซึ่งบางครั้งเกิดจากกระแสนิยมลมๆแล้งๆ ไม่มีปัจจัยพื้นฐานมารองรับ อาทิเช่น ธุรกิจดอทคอม และกลุ่ม Nifty fifty ที่วอเรน บัฟเฟต เคยหลีกเลี่ยงในอดีต เป็นต้น
อีกกรณีหนึ่งคือกรณีที่ตลาดปรับตัวขึ้นสูงมากจนทำให้ PE ทั้งตลาดทะยานขึ้นไปพร้อมกัน จนแม้แต่ตัวที่ถูกที่สุดก็ยังดูแพงหากมองในสายตาของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า
เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าตลาดจะสูงไปได้ถึงเมื่อไรหรือจะตกต่ำเมื่อไร การใช้ PE กลุ่มอุตสาหกรรมหรือ PE ตลาด เป็นเกณฑ์สำหรับมือใหม่ ถือเป็นเรื่องที่อันตรายพอสมควร พยายามคิดแบบนักธุรกิจเข้าไว้ น่าจะปลอดภัยที่สุดครับ

สอบถามแนวคิดเรื่องการประมาณ PE ครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 09, 2010 5:11 pm
โดย chavanakorn
เอาหลักคิดง่ายๆไหมครับ
PE ประมาณการณ์ = PE ที่คุณยอมจ่ายเพื่อจะซื้อและรับผลตอบแทนเพียงเงินปันผลในแต่ละปี
ลองคิดดูง่ายๆนะครับเราอาจใช้ PE ที่ 20 เท่าก็ได้ แต่ถามว่าราคานั้นจะมีคนจ่ายไหมถ้าเค้าซื้อแล้วรับแต่เงินปันผล ที่ให้ผลตอบแทนแค่เพียงปีละ 2% อาจจะมีคนซื้อ แต่ถามว่าคุณซื้อไหม ถ้าคุณคิดว่าต่อไปเค้าก็จะเติบโตแค่เพียงสูงกว่า GDP 2-3%  ดังนั้นผมจึงอยากให้มองว่า PE ที่เหมาะสมก็คือ PE ที่สูงสุดที่คุณจะซื้อเพื่อรับผลตอบแทนเพียงเงินปันผลในแต่ละปี ซึ่งส่วนตัวสำหรับผมผมว่าต่ำสุดไม่น่าเกิน 4% ครับในภาวะที่ดอกเบี้ยพันธบัตรระยะเวลา 1 ปี เท่ากับ 1% กว่าๆนะครับ