Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

อย่างเช่นเบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ที่ไม่เคยจ่ายปันผล ทำไมราคาถึงได้ยังสูงขึ้น
เข้าใจครับว่ากำไรที่ได้ บริษัทเอาไปลงทุนเพิ่มจะได้ผลตอบแทนมากกว่าจ่ายปันผล แต่นั่นก็เป็นผลตอบแทนของบริษัท
แต่ในแง่ของนักลงทุน ที่กอดหุ้นไปจนตาย (แนวเดียวกับ Buffet) ไม่ขายออกไป ก็จะไม่ได้ผลตอบแทนอะไรเลย ใช่หรือเปล่าครับ
แล้วอะไรคือปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาหุ้นสูงขึ้นไปอีก อะไรคือสิ่งที่ทำให้คนอยากซื้อหุ้นประเภทนี้ครับ

ถ้างั้นผมถามว่าถ้าบริษัทมีปันผลทุกปี แต่ขาดทุนทุกปี คุณจะซื้อไหมครับ?

zhayut เขียน:อย่างเช่นเบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ที่ไม่เคยจ่ายปันผล ทำไมราคาถึงได้ยังสูงขึ้น
เข้าใจครับว่ากำไรที่ได้ บริษัทเอาไปลงทุนเพิ่มจะได้ผลตอบแทนมากกว่าจ่ายปันผล แต่นั่นก็เป็นผลตอบแทนของบริษัท
แต่ในแง่ของนักลงทุน ที่กอดหุ้นไปจนตาย (แนวเดียวกับ Buffet) ไม่ขายออกไป ก็จะไม่ได้ผลตอบแทนอะไรเลย ใช่หรือเปล่าครับ
แล้วอะไรคือปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาหุ้นสูงขึ้นไปอีก อะไรคือสิ่งที่ทำให้คนอยากซื้อหุ้นประเภทนี้ครับ

มีกำไร แต่ไม่จ่ายปันผล .. มีเงินเหลือไปลงทุนเพิ่ม โดยไม่ต้องกู้ ไม่มีภาระดอกเบี้ย
ลงทุนเพิ่ม ได้กำไรมากขึ้น .. ถ้าถือว่า PE ยังเท่าเดิม .. ราคาหุ้นต้องเพิ่มขึ้น
(แต่ถ้ากำไรแบบมี Growth เยอะๆ PE ก็สามารถสูงขึ้นได้เรื่อยๆ ... ราคาหุ้นก็ยิ่งสูงตาม)
ถือไว้จนคิดว่าคงไม่เติบโตอีกต่อไปแล้ว ... ค่อยขายไปหาซื้อหุ้นตัวใหม่

บริษัทที่ไม่มีการจ่ายปันผล แต่ราคายังสูงขึ้นได้อีก มันเป็นผลมาจากการที่ผู้บริหารนำกำไรสะสมที่ได้ในแต่ละปีไปลงทุนขยายกิจการต่อ แทนที่จะนำมาจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นค่ะ เมื่อมีการขยายกิจการ บริษัทก็มีการเติบโต ซึงอาจจะทำให้บริษัทมี earning per share มากขึ้น และการเติบโตนี้จะเป็นตัวผลักดันให้ราคาหุ้นสูงขึ้นเองค่ะ

ลางเนื้อชอบลางยา

สำหรับผม หุ้นปันผลนั้นมีเสน่ห์ ถ้าปันผลแล้วมี Growth ด้วยก็งามล่ะ บางปีปันน้อยหน่อยเอาไปลงทุนขยายงานก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าทั้งปีทั้งชาติไม่เคยปันนี่...อันนี้ผมไม่สนใจ

มันเหมือนเงินเราในมือเขา กับเงินเราในมือเรา และมันเป็นเรื่องของความไว้ใจ โชคลาภ ฯลฯ เงินเราไม่มาอยู่กับเรา อยู่แต่กับเขามันก็อดห่วงไม่ได้

ถ้าเค้าปันผลมา ผมก็เอาไปขยายต่อได้เหมือนกัน อาจจะซื้อหุ้นตัวอื่น ทำโน่นทำนี่

นานาจิตตัง  

แต่เราก็รับแต่เงินปันผลอย่างเดียวไม่ได้ เงินปันผลมากน้อยมันก็ไม่ได้สอดคล้องกับผลประกอบการณ์และแนวโน้มอนาคตเสมอไป เราก็ยังต้องคอยติดตามดูผลการดำเนินงานและทิศทางของธุรกิจอยู่ดี

สำหรับผมเอง ถ้าแรกๆ ธุรกิจยังไม่ปันผลก็พอจะเข้าใจได้ และถ้าผมเข้าไปซื้อหุ้นในช่วงนี้นั่นก็เป็นเพราะผมหวังในใจว่าเมื่อขยายงานถึงระดับหนึ่งแล้วเค้าจะเริ่มปันผลออกมาบ้าง และจะปันมากขึ้นเป็นสัดส่วนที่เหมาะสม

ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็เหมือนเพื่อนมาชวนเรา มาเอาเงินเราไปลงทุนเปิดร้าน เพื่อนก็บริหารสนุกไป แล้วเราก็ยืนดูอยู่ห่างๆ เพื่อนก็คอยมาบอกเราเสมอว่า นี่ไงดูสิ ร้านเราใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นะ มีสาขาเปิดใหม่ด้วย แต่ปีแล้วปีเล่า หลายปีผ่านไปก็ไม่เห็นเคยปันผลให้เรา เราจะรู้สึกยังไง

ตรงกันข้ามธุรกิจที่ว่า ถ้าทำไปสักพัก เช่น 3 ปี 5 ปี เพื่อนเริ่มเอาปันผลมาให้เราบ้าง แต่ก็ขอกันบางส่วนไว้ขยายงานต่อ ปีหลังจากนั้นมาเมื่อขยายงานได้ก็เริ่มมีปันผลออกมาให้เรามากขึ้น แบบนี้ผมก็จะรู้สึกดี ผมคิดแบบนี้นะ  :x

และที่คิดแบบนี้ก็อาจเป็นเพราะผมอยากถือหุ้นยาวๆ ถ้าผมไม่อยากถือยาว ก็เป็นไปได้ที่ผมจะไปร่วมวงซื้อหุ้นที่ไม่เคยปันผล ด้วยความคิดที่ว่า นั่นไง เขาขยายงานอยู่ ผู้บริหารเค้ารักษาความหวังได้ดีออก เห็นไหมมีคนสนใจหุ้นตัวนี้มาก มันจึงซื้อง่ายขายคล่องซะขนาดนั้น เดี๋ยวมูลค่าหุ้นมันก็จะมากขึ้น ราคามันก็ขยับขึ้น เราก็ขายทำกำไร ให้คนอื่นมารับช่วงต่อ คนที่มาซื้อต่อจากเราก็อาจจะคิดแบบนี้เหมือนกัน

อย่าลืมว่าคนที่อยู่ในตลาดมีคนที่ต่างจากเราด้วย เช่น อาจจะมีฝรั่งเอาเงินมาพัก ได้กำไรจากทั้งค่าเงิน แถมอาจจะขายหุ้นได้กำไรด้วย ก็บริหารเก่งซะขนาดนั้น เป็นต้น  :?

จริงๆแล้วนักลงทุนมี 3 ประเภทนะคะ
1. Dividend Irrelevant คือนักลงทุนประเภทที่ไม่สนใจว่าบริษัทจะมีการจ่ายเงินปันผลหรือไม่ เพราะคนเหล่านี้ถือว่าตัวเขาเองมี Dividend policy ของตนเองได้
2. Bird in the hand คือนักลงทุนที่ชอบบริษัทที่จ่ายเงินปันผลดี เพราะคิดว่าเงินที่ได้ในวันนี้ (Dividend) มั่นคงและแน่นอนว่า capital gains ในอนาคต
3. Tax Prefernce คือนักลงทุนที่ไม่ชอบให้บริษัทจ่ายเงินปันผล (มักจะเป็นนักลงทุนที่มีรายได้เยอะ) เพราะการที่เขาได้รับเงินปันผลจะทำให้ต้องเสียภาษีเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าบริษัทไม่จ่ายป็นเงินปันผลออกมา แต่นำกำไรสะสมนั้นไปขยายกิจการต่อแล้วทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้น จะทำให้เขาลดภาระด้านภาษีได้ เพราะภาษีจาก capital gains นั้นจะเสียก็ต่อเมื่อได้ขายหุ้นนั้นออกไป เมื่อนักลงทุนยังไม่ขายหุ้น ก็ยังไม่ต้องเสียภาษี

จะเป็นนักลงทุนประเภทไหนก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคลนะคะ

zhayut เขียน:อย่างเช่นเบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ที่ไม่เคยจ่ายปันผล ทำไมราคาถึงได้ยังสูงขึ้น
เข้าใจครับว่ากำไรที่ได้ บริษัทเอาไปลงทุนเพิ่มจะได้ผลตอบแทนมากกว่าจ่ายปันผล แต่นั่นก็เป็นผลตอบแทนของบริษัท
แต่ในแง่ของนักลงทุน ที่กอดหุ้นไปจนตาย (แนวเดียวกับ Buffet) ไม่ขายออกไป ก็จะไม่ได้ผลตอบแทนอะไรเลย ใช่หรือเปล่าครับ
แล้วอะไรคือปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาหุ้นสูงขึ้นไปอีก อะไรคือสิ่งที่ทำให้คนอยากซื้อหุ้นประเภทนี้ครับ

ก่อนอื่นต้องบอกว่าคิดเหมือนผมเลย...ช่วงที่เริ่มลงทุนใหม่ๆ...อิอิ :lol:
จริงๆ แล้วนักลงทุนมีหลายประเภทครับ ไม่ได้มีเฉพาะนักลงทุนเพื่อปันผลอย่างเดียว เหมือนคุณ bkbus_ku บอกครับ
อย่างเบิร์กไชร์ฯ ที่มาซื้อขายกันก็คงไม่ใช่นักลงทุนประเภทปันผลน่ะครับ

 :8)  :8)

Magneto เขียน:ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็เหมือนเพื่อนมาชวนเรา มาเอาเงินเราไปลงทุนเปิดร้าน เพื่อนก็บริหารสนุกไป แล้วเราก็ยืนดูอยู่ห่างๆ เพื่อนก็คอยมาบอกเราเสมอว่า นี่ไงดูสิ ร้านเราใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นะ มีสาขาเปิดใหม่ด้วย แต่ปีแล้วปีเล่า หลายปีผ่านไปก็ไม่เห็นเคยปันผลให้เรา เราจะรู้สึกยังไง

อย่างที่คุณ Magneto ว่าเลยครับ
ถ้าในอุดมคติแล้วคิดว่านักลงทุนทุกคนซื้อหุ้นเพราะต้องการเป็นเจ้าของกิจการจริง ๆ ไม่ได้ซื้อเพื่อเก็งกำไรนะครับ
แต่กิจการที่ซื้อกลับไม่เคยสร้างกระแสเงินสดให้ผู้ลงทุนเลย
อะไรคือปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาสูงขึ้นได้อีก
หรือทำไมกิจการนั้นถึงยังสามารถดึงดูดนักลงทุนได้อีกครับ

หรือว่าราคาที่สูงขึ้นนั้นเป็นผลมาจากการคาดหวังของนักลงทุน
ว่าราคาในอนาคตจะสูงกว่าราคาปัจจุบันเท่านั้นเอง (มี demand)

จริงอยู่ว่ามูลค่ากิจการสูงขึ้น แต่ถ้าคนซื้อไม่ได้ตั้งใจจะขายต่อก็ไม่มีประโยชน์นี่ครับ

ที่ถามมาเพราะอยากได้คำอธิบายจริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจจะกวนประสาทใครนะครับ
 :D

เหมือนผมเช่นกันเลยครับไม่ค่อยเข้าใจ
รายได้ที่เราลงทุนในหุ้นนั้นมี 2 ทางใช่มั้ยครับ คือ
1.จากการขายหุ้นที่ราคาสูงขึ้น
2.จากเงินปันผล

หากเราต้องการเป็นอิสรภาพทางการเงินเราก็ควรเลือกหุ้นที่มีปันผลใช่มั้ยครับเหมือนหุ้นห่านทองคำ ถ้าหากเป็นบริษัทที่ไม่มีการจ่ายเงินปันผลเลยเราก็จาได้กำไรจากการขายหุ้นที่ราคาสูงขึ้น แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือลงทุนในหุ้นที่ไม่มีการจ่ายปันผล แล้วหากเรามีแนวคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทเราถือไปนานๆ แล้วเราจาได้อะไรอะครับ ราคามันก็ขึ้นลงตามตลาด วันนึงเราอาจมีหุ้นที่มีมูลค่านับล้าน แต่ถ้าหุ้นตกอาจไม่เหลืออารายเลย(พื้นฐานเปลี่ยนด้วย) ถ้างั้นที่ผ่านมา เวลาที่เสียไปก็ไม่ได้ประโยชน์เลยใช่มั้ยครับ  


งง...งง...งง  :?