Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ROEควรสักเท่าไรดี
%เติบโตกำไร กับ ROE อะไรสำคัญกว่ากันครับ ???
 :oops:  :oops:

ลองตอบดูครับ

ผมคิดว่า  ROE ควรจะ 10% ขึ้นไป เป้นเวลาต่อเนื่องหลาย ๆ ปี

โดยเป็น ROE ที่เกิดจากกำไรจากการดำเนินงานเป็นหลัก ไม่ใช่ ROE ที่เกิดจากการกู้ยืมครับ

ส่วน %การเติบโตกำไร กะ ROE คงสำคัญทั้งคู่ครับ และผมคิดว่า มันน่าจะมาพร้อม ๆ กันนะ
ถ้าให้เลือกก็เอา  %การเติบโตกำไร (โดยเป็นกำไรจากการดำเนินงานปกติด้วยนะ) ล่ะกันครับ ผู้คนสังเกตุเห็นเลขนี้ง่ายดีครับ หุ้นจะได้ขึ้นไว ๆ  

ROE  คือผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น ควรจะมากกว่าต้นทุนการเงินของผู้ถือหุ้น(แล้วแต่บุคคล) และมากกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหุ้น 12%
แต่ต้องระวังROEที่สูงจากการกู้เงินมาลงทุนเยอะๆ ให้ดูDEประกอบด้วยว่ามากไปไหม ไม่อย่างนั้นจะมีความเสี่ยงของเงินกู้เช่นเรื่องดอกเบี้ย

ROEกับอัตราการเติบโตของกำไร มีความสัมพันธ์กันอยู่บ้าง
เพราะส่วนผู้ถือหุ้นจะเพิ่มจากกำไรสะสม  (กำไรหักปันผล)  ถ้าปีต่อไปกำไรไม่เพิ่มเลยแต่Equityเพิ่ม จะทำให้ROEลดลง
ในทางกลับกันถ้าเจอบริษัทที่กำไรเติบโต  ROEจะค่อยๆสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลบวกต่อมูลค่าธุรกิจ

แต่อย่างไรก็ดีก็ต้องระวังบริษัทที่เติบโตมากเกิน Sustainable Growth Rate ( ROE x [1-dividen] )
เพราะถ้าโตมากกว่านานๆ อาจจะหมายถึงการเปลี่ยนโครงสร้างการทำธุรกิจ  หรืออาจจะทำให้เกิดการเพิ่มทุน หรือต้องกู้เงินเพิ่ม

ปล.ยังไงถ้าจะดูตัวเลขทางบัญชี  ควรจะดูbusiness model กับความสามารถการแข่งขันก่อนนะ

ลองค้นกระทู้เก่า ๆ ดูครับผมว่าเรื่อง ROE ใน Thaivi น่าจะพิมพ์หนังสือเล่มเล็ก ๆ ได้เลย

มันเป็นความสัมพันธ์กันระหว่าง เงินทุนกับกำไรน่ะครับ

บริษัท ที่มี ROE สูง หมายถึงว่า ในปีนั้น ผลตอบแทนต่อส่วนของทุน
ในอัตราที่สูง ซึ่ง ก็คือ มีกำไรเยอะนั่นเอง

ด้วย ลักษณะ ของบริษัทที่ดี เมื่อมีกำไร ย่อมนำเงินทุนนั้นมาลงทุนต่อ
ซึ่งบริษัท ที่เก่ง จะต้องมี ROE ที่สม่ำเสมอ เพราะหมายความว่า เงินลง
ทุนต่อ สร้างผลตอบแทนที่ดีเหมือนเดิม

ทำให้ ROE เป็นตัววัดได้ระดับหนึ่งว่า บริษัท มีโกรท มั้ย

ขอบคุณครับพี่ๆ
แล้ว%การเติบโตเราจะวัดได้จากค่าอะไรบ้างครับ
 :oops:

ผมดูการเติบโตของยอดขายกับกำไรอะครับ

โดยทั่วไปแล้วยอดขายกับกำไรจะไปในทิศทางเดียวกันน่ะครับ ถ้าเป็นแบบนี้ก็ OK เลย ดูง่าย ไม่ต้องคิดไรมาก

บางทียอดขายไม่โตหรือโตน้อย แต่กำไรโตเร็วกว่า อาจเกิดจากปัจจัยชั่วคราวเช่นราคาวัตถุดิบถูกลง ค่าขนส่งลดลง หรือการบริหารจัดการที่ดีขึ้นทำให้ลดค่าใช้จ่ายลงเยอะก็เป็นได้

หากยอดขายโตเร็วกว่ากำไรมาก ก็อาจเกิดจากปัจจัยชั่วคราวเช่นราคาวัตถุดิบแพงขึ้น ค่าขนส่งเพิ่มขึ้น หรืออาจเป็นส้ญญาณชี้ให้เห็นว่าการเติบโตนั้นไม่มีคุณภาพ เพราะควบคุมค่าใช้จ่ายไม่ได้ ก็เป็นได้

แต่สุดท้ายแล้วผมให้น้ำหนักกับการเติบโตของยอดขายมากกว่า เพราะการลดต้นทุนนั้นทำได้ง่ายกว่า แต่มีขีดจำกัด ส่วนการเพิ่มยอดขายแม้ทำได้ยากกว่า แต่สามารถเพิ่มผลกำไรได้อย่างไม่จำกัดครับ

ผมลองทำworksheetปรับค่า
ROEหลายๆค่า
pbvหลายๆค่า
peหลายๆค่า
eps growth หลายๆค่า

ผมพบว่าroeมีผลกับผลตอบแทนมากที่สุดครับ
บ.ที่roeสูงต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จะมีeps growthสูงตามไปด้วยครับ

ดังนั้นผมว่าการเริ่มต้นหาหุ้นดีๆซักตัวแบบที่พื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลง
ก็เริ่มต้นจากหุ้นที่มีroeสูงๆจะประหยัดเวลาและได้หุ้นที่ดีเยอะครับ

ปล.แต่หุ้นที่ดีก็อาจจะไม่จำกัดเฉพาะตัวที่พื้นฐานเดิมนะครับ
ตัวที่roeน้อยๆถ้ามีข่าวดีหรือเปลี่ยนแปลงพื้นฐานหรือยอดขาย
ก็เป็นหุ้นดีที่น่าเล่นได้ครับ ประมาณว่าเล่นตามstory

แต่ถ้ามือใหม่ๆก็หาหุ้นที่พื้นฐานเดิมๆไม่เปลี่ยนแปลงมาก และroeสูงๆ
ไว้ก่อนแล้วค่อยๆดูรายละเอียดอื่นๆก็ดีครับ

ROE ใช้ในการ หา GROWTH ได้ด้วย  ในกรณีที่ บริษัท ไม่พึ่งเงินกู้ในการขายงาน

สูตรคือ

Growth = ROE X RR  

RR= กําไรสะสม (Retention Rate)

ยก ตย หุ้น A มี กําไร 100ล้าน จ่ายปันผล 40% หรือ 40ล้านจะได้ RR จะเท่ากับ 100%-40 %= 60 %นั่นเอง  

หมายความ ว่า เงินกําไรที่เหลืออยู่ 60 % ไปลงทุน โดย บริษัท A มี ROE = 30%  จะได้ Growth ออกมา  60*30% = 18%  

ทีนี้เวลา ประกาศ กําไรสุทธิ ถ้า บริษัท A กําไรโตน้อยกว่า 18% แสดงว่าไม่มีศักยภาพ เพราะ ROE 30% growth ไม่ควรจะตํ่ากว่า 18%

สามารถนํามาใช้ประกอบ คําพูดจาก CEO ได้ด้วย ถ้าCEO บอกจะโต 30%
โดย ไม่เพิ่งเงินกู้  หรือ D/E สูงอยู่แล้ว (มากกว่า 2-3เท่า) ซึ่งไม่น่าจะกู้ได้เพิ่ม หรือ เพิ่มทุน ให้เราสงสัย ได้ว่าไม่น่าจะเป็นไปได้  

I hope this will help  :D

อีกข้อสังเกตุ สําหรับ ROE

โดยทั่วไป ROE เกิน 15 ขึ้นไป %ก็ถือว่าสูงแล้ว ยิ่งสูงยิ่งดี แต่ก็ควรดู barrier to entry ประกอบด้วยบางทีสูงมากๆ เช่น 30 %ขึ้นไป ก็สูงได้ไม่นาน เพราะถ้ามันกําไรมาก barrier to entry ตํ่า เดี๋ยวก็มีคู่แข่งเข้ามาแย่ง

บริษท ที่มี ROE สูงๆมักจะเป็นบริษัทที่มี DCA ความสามารถในการแข่งขัน

เช่น CPALL CPF SAT STANLY PS LPN  อื่นๆ เป็นต้น


ROE ที่เพิ่มขึ้นบ่งบอก Business Cycleได้ด้วย ช่วงที่เพิ่มอย่างมีนัยสําคัญเช่นจาก 10% ไป 15-20% และ 25% บ่งบอก ว่าอยู่ในช่วงGrowth Stage

อย่าง CPF ที่ROE กระโดดจาก หลักเดียวเป็น 2 หลักในปี 2008 2009

ลองดูใน www.set.or.th ได้นะ ตรงงบการเงินจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของROE ครับเพื่อนๆ

I hope this will help again  :D

[quote="Rocker"]ROE ใช้ในการ หา GROWTH ได้ด้วย

ขอบคุณมากครับ
ROE เป็นตัวที่ผมชอบใช้มากที่สุดในการวิเคราะห์ครับ และผมจะดู%หนี้เทียบ
แต่ผมจะไม่ยุ่งกับหุ้นวัฏจักรเลยครับ...

ขอเสริมจากที่ทุกท่านอธิบายนิดนึงค่ะ
ง่ายๆ คือ ROE มาจากคำว่า Return On Equity ซึ่งเท่ากับ รายได้/ส่วนของเจ้าของนั่นเอง

ROE จึงแสดงว่าเงินลงทุนของเจ้าของ 100 บาท ก่อให้เกิดรายได้เท่าไหร่ แน่นอนว่าต้องขึ้นอยู่กับโครงสร้างหนี้/ทุนของกิจการด้วย เพราะกิจการสองกิจการที่ sales เท่ากัน สินทรัพย์รวมเท่ากัน แต่กิจการที่ใช้หนี้เยอะ (ทุนเจ้าของน้อย) จะมี ROE สูงกว่าอีกกิจการหนึ่งค่ะ

ส่วน ROE ควรจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับหลายอย่าง ตัวเปรียบเทียบชัดๆ อย่างเช่น ROE ของ industry หรือ คู่แข่ง เป็นต้นค่ะ

นอกจากนี้ยังมีจากแตกรายละเอียด ROE เพื่อเจาะลึกว่า ROE ที่สูงต่ำนั้นเกิดจากอะไรด้วยนะคะ ลองเสิชคำว่า ROE dupont method ดูค่ะ

[quote="Rocker"]
เช่น CPALL CPF SAT STANLY PS LPN