หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ถ้าจะต้องเลือก .....

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 3:01 pm
โดย TPH
เนื่องจากผมเองก็ยังเป็นมนุษย์เงินเดือน ทำงานหนักทุกวันตั้งแต่เช้ายันค่ำจันทร์ถึงเสาร์เพื่อที่จะแลกกับเงินค่าจ้างทุก ๆ สิ้นเดือน ทำงานมาก็เกือบจะ 10 ปีแล้วครับยังไม่เห็นมีเงินเก็บเป็นล้านอย่างกระทู้ที่ตั้งกัน  :oops:

ด้วยการที่ทำงานรับเงินเดือนและเป็นพลเมืองทีดีก็ต้องมีการเสียภาษีเงินได้ให้รัฐนำไปใช้พัฒนาประเทศ แต่ไม่รู้ว่านำไปใช้คุ้มค่าหรือเปล่า  :shock:  :lol:

ส่วนตัวก็มีการลงทุนในประกันเต็มวงเงิน 100,000 บาท และก็ซื้อ LTF อีกนิดหน่อยพอที่จะลดเงินภาษีที่ต้องจ่ายได้ไมมากก็น้อยแต่เนื่องจากการซื้อ LTF สามารถหักภาษีได้ครั้งเดียวในปีที่ซื้อและอัตราการลดหย่อนก็ตามอัตราภาษีขั้นสูงสุดที่ผมจะต้องเสีย เลยเกิดคำถามขึ้นในใจและก็เก็บไปนอนคิดมาหลายวันแล้ว ตามสุภาษิตที่ว่าหลายหัวดีกว่าหัวเดียวทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา  :)

อยากจะทราบว่าจะดีกว่าไหมถ้าผมจะนำเงินที่กันไว้เพื่อซื้อ LTF มาลงทุนในหุ้นเพิ่มเติมจากพอร์ทที่มีอยู่แล้วนำภาษีที่หักจากปนผลคืนมาลดหย่อนภาษีซึ่งหักได้ทุก ๆ ปีตราบใดที่บริษัทที่ลงทุนยังคงจ่ายปันผล :)

ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกความเห็น และมีความสุขกับการลงทุนรวมทั้งการดำเนินชีวิตครับ

ถ้าจะต้องเลือก .....

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 3:07 pm
โดย SunShine@Night
ทุกวันนี้ ผมก็ยังลงทุนทั้งในหุ้นด้วยตัวเอง และกองทุน LTF นะครับ

เหมือนกับเป็นการกระจายความเสี่ยงไปในตัว :)

ถ้าจะต้องเลือก .....

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 3:13 pm
โดย akekarat
ถ้าฐานภาษีอยู่ที่ 10% ผมว่าไม่จำเป็นต้องซื้อ LTF ครับ นำมาลงทุนเองน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
เพราะฐานภาษี 10% LTF จะช่วยได้แค่ 11.11% ในปีแรกเท่านั้น และอีก 2-3 ปีที่เหลือ (สมมติว่าลงทุน 3 ปี 2 วัน) ไม่ได้ช่วยอะไร
นอกจากนั้นก็วัดดวงเอาว่าผู้จัดการกองทุนจะทำกำไร (ขาดทุน) ให้คุณได้อย่างไร

แต่ถ้าฐานซัก 20% ขึ้นไป ผมว่าซื้อไว้ก็ดีครับ ปีแรกกำไร 25% (20*100/80)
ถือซะว่าเฉลี่ย 3 ปีก็อยู่ที่ประมาณ 8% พอยอมรับได้

ถ้าจะต้องเลือก .....

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 3:22 pm
โดย TPH
akekarat เขียน:ถ้าฐานภาษีอยู่ที่ 10% ผมว่าไม่จำเป็นต้องซื้อ LTF ครับ นำมาลงทุนเองน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
เพราะฐานภาษี 10% LTF จะช่วยได้แค่ 11.11% ในปีแรกเท่านั้น และอีก 2-3 ปีที่เหลือ (สมมติว่าลงทุน 3 ปี 2 วัน) ไม่ได้ช่วยอะไร
นอกจากนั้นก็วัดดวงเอาว่าผู้จัดการกองทุนจะทำกำไร (ขาดทุน) ให้คุณได้อย่างไร

แต่ถ้าฐานซัก 20% ขึ้นไป ผมว่าซื้อไว้ก็ดีครับ ปีแรกกำไร 25% (20*100/80)
ถือซะว่าเฉลี่ย 3 ปีก็อยู่ที่ประมาณ 8% พอยอมรับได้
ฐานภาษีของผมอยู่ที่ 20% ขึ้นไปครับ ก็อย่างที่คิด hilight ครับว่าลดหย่อนที่ได้ 8% กลับกันถ้าลงทุนในหุ้นแล้วนำปันผลมา credit ภาษีได้ทุกปีตราบใดที่ยังจ่ายปันผล และบริษัทส่วนใหญ่ก็น่าจะเสียภาษีใอตราที่ credit คืนแล้วมากกว่า 8%[/b]

ถ้าจะต้องเลือก .....

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 4:09 pm
โดย TPH
แต่เอผมกลับมานั่งคิดใหม่แล้วก็เจอความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงชนิดที่ว่าตายน้ำตื้น  :lol:

หากสมมติว่าผมซื้อ LTF 100,000 บาทผมก็ได้คืนทันทีที่ 20,000 บาทในอัตราภาษี 20% แต่ถ้าผมนำเงินที่ว่าไปซื้อหุ้นแล้วรอรับปันผล อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่ว่าผมซื้อตัวไหนที่ราคาเท่าไหร่ สมมติว่าผมซื้อหุ้นค้าปลีกวัสดุก่อสร้างแล้วกัน ผมอาจจะได้เงินคืนน้อยกว่า 20,000 บาทเพราะว่าปันผลจะได้ตามจำนวนหุ้นที่มีอยู่

เอสงสัยต้องคิดใหม่ทำใหม่ซะแล้วใช่ไหมครับ

ถ้าจะต้องเลือก .....

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 4:36 pm
โดย akekarat
ใช่ครับ ได้คืนทันที 20% เท่ากับว่าถ้านำเงินที่เสียฐานภาษี 20% ไปซื้อ LTF
จะได้กำไรทันที = 25% เพราะถือว่าเงินต้นคือ 80 บาท กำไรคือ 20 บาท
คิดเป็น % ก็ 20*100/80 = 25% ครับ

ฐาน 20% เหมือนกันครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 5:59 pm
โดย toh_noy
ปีนี้ทยอยซื้อ LTF ไปบ้างแล้วครับ

กำลังตัดสินใจว่า จะเพิ่ม LTF หรือว่า เลือกหุ้นปันผลราคานิ่งๆ แต่ % ปันผล 8-10%

สมมติ
1. LTF  100,000 บาท >>> ลดหย่อนได้ทีเดียว 20,000 บาท (3ปี)
แล้วเอา 20,000 มาซื้อหุ้นปันผลอีกก็ดีเหมือนกันครับ

2.หุ้นปันผลราคานิ่งๆ ได้ 8% ต่อไป = 8,000 บาท * 3ปี = 24,000 บาท (ยังไม่รวม Credit เงินปันผล-ถ้ามี)

จริงๆก็เสี่ยงทั้งสองทางเลือก (กลัวราคาลง) แต่คงเลือกทางเลือกหนึ่งน่ะครับ

ถ้าจะต้องเลือก .....

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 6:18 pm
โดย chode
ฐานรายได้หักค่าลดหย่อนประกันแล้ว ถึงนับเป็นฐานภาษีในการลงทุน LTF นะครับ

ถ้าจะต้องเลือก .....

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 7:48 pm
โดย GeneraX
ผลตอบแทนจากภาษีจาก LTF ดูเหมือนจะให้ผลตอบแทนแค่ปีแรกก็จริงครับ

แต่ถ้าคุณนำผลตอบแทนจากภาษีที่ได้ไปลงทุนต่อ เช่นนำไปซื้อหุ้นหรือกองทุนรวมไว้ กำไรปีแรกที่ได้ 25% จะก็จะถูกทบต้นต่อไปอีกปีละ 10% (assume ว่าหุ้นให้ผลตอบแทนปีละ 10% โดยเฉลี่ย) ถ้าแบบนี้ผมมองว่าการลงทุนใน LTF น่าดึงดูดมากครับแม้กระทั่งคนที่มีฐานภาษีแค่ 10% ก็ตาม ถ้าคุณไม่สามารถเอาชนะตลาดได้โดยเฉลี่ยปีละ 10% ขึ้นไป

ถ้าจะต้องเลือก .....

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 14, 2010 12:08 pm
โดย MindTrick
อาจบอกได้แบบมองง่ายๆ คือ เราจะได้ MoS ตอนซื้อ ตาม%ฐานภาษีเลย
แต่ ด้านเสีย คือ ต้องถือ3-5ปี ปัจจัยเปลี่ยน ขายหนีไม่ได้

เคยมีคนแนะว่า ให้เลือกซื้อ ltf สัก2-4กองฮะ กระจายความเสี่ยงดีกว่า
เพราะ ต้องถือไว้3-5ปี ยิ่งแนวโน้ม เกิด วิกฤตอะไรลงหนักๆยาวๆ ช่วงนี้ก็เป็นไปได้ไม่น้อย

ถ้ากำไรมากๆ อาจจะ จงใจขายก่อนยอมโดนปรับก็ได้ และเอากำไรกลับเข้าไปเป็นรายได้บวกไป เสียภาษีด้วย...ต้องมากพอจริงๆนะ

ประเด็นคือ ต้องชั่งใจ อย่างไม่ลำเีอียง ระหว่าง...
1.ผลลัพท์ การทำกำไร เฉลี่ย ต่อ ปี ....ย้อนหลังสัก4-5ปี
2.เฉลี่ยผลกำไรของกอง LTF ที่เราจะซื้อ ในช่วงเวลาเดียวกันกับข้อ1

ถ้าจะต้องเลือก .....

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 14, 2010 12:13 pm
โดย Boring Stock Lover
MindTrick เขียน:อาจบอกได้แบบมองง่ายๆ คือ เราจะได้ MoS ตอนซื้อ ตาม%ฐานภาษีเลย
แต่ ด้านเสีย คือ ต้องถือ3-5ปี ปัจจัยเปลี่ยน ขายหนีไม่ได้
ltf rmf นี่สับเปลี่ยนกองได้ครับ ถ้าคิดว่าตลาดรวมขึ้น ก็ถือ ltf หุ้น ถ้าคิดว่าน่าจะลง ก็สลับมากองที่ hedge แต่คงไม่ใช่เป็นวิธีที่คนในเวบนี้ชอบ เพราะมันเหมือนเทรดเดอร์มากกว่า

ถ้าจะต้องเลือก .....

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 14, 2010 12:32 pm
โดย picklife
1.ถ้าLTFจขกท.ลดหย่อนได้20%5ปี ก็ตก 4% กองทุนLTFบริหารได้เท่าไหร่ผมไม่ชัวร์นะครับ สมมุติ16% รวมแล้วก็20%ต่อปี พอได้แล้วก็ต้องเอามาเปรียบเทียบกับผลการลงทุนที่ผ่านมาของเรา ว่าเราน่าจะได้ซักเท่าไหร่ โดยส่วนตัวถ้าบริหารเองไม่ได้มากกว่าLTFเยอะๆก็ไม่น่าสนนะครับ แต่ก็มีจัวเลขหนึ่งอยากให้ได้เห็นครับจะได้เห็นหลายๆมุม
กำไร5%  เป็นระยะเวลา50ปี  เงินต้นโต 10%
กำไร10% เป็นระยะเวลา50ปี  เงินต้นโต 100%
กำไร15% เป็นระยะเวลา50ปี  เงินต้นโต 1,000%
กำไร20% เป็นระยะเวลา50ปี  เงินต้นโต 10,000%
กำไร25% เป็นระยะเวลา50ปี  เงินต้นโต 100,000%
กำไร30% เป็นระยะเวลา50ปี  เงินต้นโต ล้าน%
ซึ่งสิ่งที่ผมอยากจะสื่อคือ อย่าดูถูกดอกเบี้ยทบต้นนะครับ บางครั้งต่างกันแค่5% แต่ในระยะยาวไม่ได้ต่างกัน5%ตามนะครับ แต่เป็นพัน% ดังนั้นคิดให้รอบคอบหลายๆมุมนะครับ

2.ประกัน...อันนี้ต้องดูดีๆนะครับอย่าโดนหลอก ประกันมี2แบบ แบบที่อุบัติเหตุกับโรคร้ายกลุ่มนี้มักไม่ได้เงินคืนถ้าผมจะทำผมเลือกแบบนี้ครับ ส่วนแบบออมทรัพย์นั้นถ้าคิดผลตอบแทนดีๆจะเห็นว่าน้อยมากๆๆๆๆครับ
ผมเคยทำworksheet พบว่าถ้าจะทำแบบออมเงินผมทำแบบประกันชีวิตคุ้มกว่าครับ เอาส่วนต่างผลตอบแทนมาซื้อก็ยังคุ้มกว่ามากครับ
ปล.อันนี้แล้วแต่มุมมองนะครับ อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัวแบบสุดๆ

3.อันนี้พูดให้ฟังเฉยๆนะครับไม่ได้แนะนำนะครับ เราสามารถกู้เงินจากเบื้ยประกันของเราที่ส่งไปแล้วได้นะครับ ซึ่งได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูก ดังนั้นเราสามารถนำมาเปรียบเทียบกับผลตอบแทนการลงทุนเราได้ครับ ว่าคุ้มหรือไม่ ซึ่งตัวนี้ผมถือว่าปลอดภัยนะครับ เพราะเป็นการกู้เงินตัวเอง แต่พอบวกลบผลตอบแทนกับดอกคุ้มไม่คุ้มนี่แล้วแต่คนครับ

ถ้าจะต้องเลือก .....

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 14, 2010 8:45 pm
โดย damiano
MindTrick เขียน:อาจบอกได้แบบมองง่ายๆ คือ เราจะได้ MoS ตอนซื้อ ตาม%ฐานภาษีเลย
แต่ ด้านเสีย คือ ต้องถือ3-5ปี ปัจจัยเปลี่ยน ขายหนีไม่ได้

เคยมีคนแนะว่า ให้เลือกซื้อ ltf สัก2-4กองฮะ กระจายความเสี่ยงดีกว่า
เพราะ ต้องถือไว้3-5ปี ยิ่งแนวโน้ม เกิด วิกฤตอะไรลงหนักๆยาวๆ ช่วงนี้ก็เป็นไปได้ไม่น้อย

ถ้ากำไรมากๆ อาจจะ จงใจขายก่อนยอมโดนปรับก็ได้ และเอากำไรกลับเข้าไปเป็นรายได้บวกไป เสียภาษีด้วย...ต้องมากพอจริงๆนะ

ประเด็นคือ ต้องชั่งใจ อย่างไม่ลำเีอียง ระหว่าง...
1.ผลลัพท์ การทำกำไร เฉลี่ย ต่อ ปี ....ย้อนหลังสัก4-5ปี
2.เฉลี่ยผลกำไรของกอง LTF ที่เราจะซื้อ ในช่วงเวลาเดียวกันกับข้อ1

ถือไว้ 2-4 กอง กระจายความเสี่ยง ผมไม่ให้เห็นด้วยเลยครับ

แนะนำว่า ให้เข้าไปดูให้ดีก่อน ว่ากองทุนนั้น ถืออะไรอยู่

เท่าที่ผมดู กองทุน ltf 5 อันดับแรกของพอร์ท ต้องมี ptt pttep scb kbank bbl scc advance

เค้าก็ถือวนกันอยู่แค่นี้แหละครับ หุ้นที่พอจะมีสภาพคล่องที่เหมาะกับกองทุนพวกนี้

ผมว่า คนที่พูดว่า ซื้อหลายกอง กระจายความเสี่ยง คนนั้นแหละไม่รู้เรื่องอะไรเลยมากกว่า

ผมไม่ได้ต่อต้านกองทุนนะครับ ผมเอง ฐานภาษี 20-30% พอสิ้นปี ผมก็จะซื้อ เต็มอัตราที่ผมจะสามารถเอาไปลดหย่อนภาษีได้เหมือนกัน

ผมมีเทคนิคมาแชร์ครับ ถ้าจะลงทุน ltf เพื่อลดหย่อนภาษี เทคนิคในการเลือกกองทุนของผม อย่าง 2 ปีที่แล้ว ตลาดหุ้นลงหนัก ถ้าเราforecase ว่า อีก 3-5 ปีนั้น ตลาดน่าจะดีกว่านี้ ก็ซื้อกองที่มีการลงทุนในหุ้นทั้งหมด แต่อย่างปีนี้ สมมุติว่า ผมforecaseว่า ตลาดในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ไม่น่าจะดีกว่า นี้ หรือ แย่กว่านี้ ผมจะเลือกกองที่มีการลงทุนในตราสารหนี้ หรือ กองที่มีการลงทุนในฟิวเจอร์ เพราะ กองพวกนี้ จะมีขนาดใหญ่ ขายหุ้นออกมายาก ถ้าเค้าคิดว่า ตลาดจะลง เค้าจะถือ short เอาไว้ ประกันความเสี่ยงของตลาดได้ส่วนนึงครับ

ถ้าจะต้องเลือก .....

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 14, 2010 8:57 pm
โดย damiano
picklife เขียน:3.อันนี้พูดให้ฟังเฉยๆนะครับไม่ได้แนะนำนะครับ เราสามารถกู้เงินจากเบื้ยประกันของเราที่ส่งไปแล้วได้นะครับ ซึ่งได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูก ดังนั้นเราสามารถนำมาเปรียบเทียบกับผลตอบแทนการลงทุนเราได้ครับ ว่าคุ้มหรือไม่ ซึ่งตัวนี้ผมถือว่าปลอดภัยนะครับ เพราะเป็นการกู้เงินตัวเอง แต่พอบวกลบผลตอบแทนกับดอกคุ้มไม่คุ้มนี่แล้วแต่คนครับ
ผมสนใจประเด็นนี้ครับ ขยายความให้หน่อยได้มั้ยครับ

สมมุติว่า ถ้าผมเสียฐานภาษีอยู่ 30% ปีนี้ ผมซื้อประกันเต็มวงเงิน 100000 ที่จะนำมาลดหย่อนภาษีได้ ผมก็จะได้เงินคืนภาษีมา 30000 อันนี้เป้นข้อดีแย่างนึง

แต่ที่ผมไม่ชอบซื้อประกันชีวิตแบบนี้ เพราะ กว่าจะได้เงินคืน มันช้ามาก เป็น10 ปี แถมถ้าเอาผลตอบแทนทบต้นของ 10 ปีมาคิด หักอัตราเงินเฟ้อ ผลตอบแทนเหมือนจะต่ำมากๆๆ ผมเลยเลือกที่จะไม่ซื้อแล้วนำมาลงทุนเองดีกว่า

ผมเคยเห็นแม่ผมทำเหมือนกัน ท่านมีประกันชีวิตของ AIA แล้วท่านก็ไปกู้เงินมาจาก AIA น่าจะเหมือนกรณีที่คุณบอก

อยากทราบว่า มีเงื่อนไขอะไรบ้างมั้ยครับ อย่างเช่น เมื่อไหร่จะกู้ได้ จะกู้ได้เท่าไหร่ของวงเงินประกัน แล้วดอกเบี้ย เค้าคิดในอัตราเท่าไหร่

ผมมองว่า ถ้า ดอกเบี้ยไม่แพงมาก ผมมีความคิดจะเอาออกมา ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือ หุ้นที่มีปันผลสม่ำเสมอ 8-10% ก็น่าจะได้ส่วนต่าง แถมได้ค่าลดหย่อนมาอีก 30000 ฟรีด้วย