Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ผมชอบอ่าน National Geographic “ไม่ใช่เพราะผม รักเด็ก หรือ ชอบดูชีวิตสัตว์โลก” เพียงแต่มันมีข้อมูล ที่เปิด กะลาน้อยๆของผม ได้หลายต่อหลายครั้งทีเดียว

…ครั้งนี้ ผมอ่านสารคดีเรื่องทอง ที่กล่าวว่า “ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มีทองคำเพียง 161,000 ตันเท่านั้น ที่ถูกสกัดออกมา(จากผืนโลก) หากคิดเป็นปริมาณก็แทบไม่พอ ที่จะถมสระว่ายน้ำโอลิมปิกให้เต็มทั้งสองสระ” …ธนาคารของประเทศต่างๆมีการถือทองคำ ประมาณ 1 ใน 5 (ของประมาณทองคำที่เคยผลิตขึ้นมาบนโลกนี้) คือ ประมาณ 32,000 ตัน

(อเมริกาถือมากสุดในโลกคือ 8,000 กว่าตัน ..เยอรมัน กับ IMF ถือ(คนละ) 3,000 กว่าตัน ..ฝรั่งเศสกับอิตาลีถือ(ประเทศละ) 2,000 กว่าตัน ..สวิส และจีน (ต่างถือประเทศละแค่)หนึ่งพันตัน นอกนั้นธนาคารกลางประเทศอื่นถือ แค่หลักร้อยเท่านั้น(เมืองไทยถือ 84 ตัน) “คือสรุปอเมริกาถือ 60% ของเงินสำรอง ..ยุโรปถือ ประมาณ 45% ..ประเทศส่วนใหญ่ ประมาณ 10% เท่านั้น”

มาดูที่ “จีน” ผมสนใจเป็นพิเศษ เพราะมี “นักวิชาการหลายคน กล่าวว่า ถ้าจีนเลือกที่ จะถือทองเป็น สัดส่วนที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ราคาทอง “พุ่งสูงมากๆ” --ผมตั้งคำถามก่อนเลย “จริงหรือ !!!” --เวลานี้ จีน มี “ทอง” เป็นสัดส่วนแค่ 2% ของทุนสำรอง ..ถ้าผู้นำจีน (มีสมอง) ซึ่งที่ผ่านมา “เขาฉลาดจริง !!” …เขาก็คงจะคิดได้ว่า ทองคำทั่วโลกมี “แค่ไม่ถึง สองสระโอลิมปิก” ถ้าเขามาถือทองเพิ่มขึ้น ย่อมทำให้ราคาทอง “พุ่งติดเพดานแน่นอน” และคนที่ได้ ประโยชน์มากสุดคือ อเมริกา และ ยุโรป --“ผมถามหน่อยถ้าคุณ เป็น ผู้นำจีน คุณจะทำเช่นนั้นไหม” … “ไม่”

ดังนั้น “ฟันธง” กันไปเลยว่า “ราคาทอง จะพุ่งสูงตราบเท่าที่นักลงทุน ยังกลัวต่อความตกต่ำของเศรษฐกิจ เท่านั้น” การตัด ปัจจัย “จีน” ออกไป (ซึ่งจริงๆเป็นปัจจัยที่ใหญ่มาก) จึงทำให้ผมค่อนข้างที่จะมั่นใจว่า “ทองจะขึ้นไปถึง ระดับนึงเท่านั้น ก่อนที่จะตกลงมาอย่างแรง…หลังจากนั้น”

ในส่วน Supply การผลิตทองทั่วโลก ผลิตได้แค่ปีละ 2 พันกว่าตันเท่านั้น… ผมจึงไม่เห็นอนาคตที่แท้จริงของทองแต่อย่างใด แต่แน่นอน “ทอง” ย่อมมีมูลค่าในตัวของมันเองเสมอ เพียงแต่ว่า “เมื่อคนเลิกตื่นทอง ราคามัน ก็จะตกต่ำแบบ ชนิดไม่มีคนเหลียวแหลเป็นเวลาที่นานมากๆๆๆๆ

…อย่างรุ่นปู่เรา ทองพุ่งสูงแล้วกลับมาอยู่ที่ 400 บาท(ต่อทองหนึ่งบาท)
..ช่วงคุณพ่อเรา ทองวิ่งไปแตะ สองหมื่นก่อนที่จะมา อยู่ที่ 4,000 บาท(ต่อทองหนึ่งบาท) เป็นเวลาเกือบยี่สิบปี
… ตอนนี้ รุ่นเรา(เข้ายุคตื่นทองอีกแล้ว) ราคากำลังจะแตะ 20,000 บาท(ต่อทองหนึ่งบาท) –“แน่นอนราคาต้องพุ่งขึ้นไปอีกก่อนถึง Peak ของมัน และตกลงมาที่จุดใด!!!

..ใครทายถูกก็รวย!! …ส่วนใครทายผิด ก็ไม่เป็นไร ให้คุณเก็บทองนั้น ไว้ แล้วส่งต่อให้ลูกคุณ ในยุคตื่นทองครั้งต่อไป !!! (อย่างน้อยลูกคุณ จะได้พูดว่า “ขอบคุณฮะพ่อ”…. จริงมั๊ย)
เขียนโดย pawawit ที่ http://pawawit.blogspot.com

มันก็ไม่แน่เสมอไปนะครับคุณภาววิทย์
อย่างที่คุณบอกใครอ่านทางถูกก็รวยไป ไว้รอดูผลลัพธ์ที่ปรากฎแล้วกันอีก 5ปี 10ปี ข้างหน้าแล้วกันว่าราคาตลาดมันจะไปถึงไหน
ผมว่าทองคำไม่มีทางที่ราคาจะตกกลับลงมามากๆแน่นอนครับมีแต่ทรงตัวกับเพิ่มไปเรื่อยๆครับแต่อาจจะช้ากว่าหุ้นอยู่แน่ๆ
ผมมีเพื่อนแพทย์บางคนเก็บทรัพย์สินในรูปทองคำแท่งอย่างเดียวเลยก็มีเนื่องจากไม่กล้าสี่ยงลงทุนในหุ้น
ตัวผมเองกระจายความเสี่ยงโดยถือทรัพยสินหลายรูปแบบครับ เงินสด หุ้น และอีกหนึ่งในนั้นก็มีทองคำแท่งด้วยนิดหน่อย ไม่คาดหวังกำไรสูงหรอกครับ
แต่เชื่อในความมั่นคงของทองคำว่าความเสี่ยงตําครับ มาเจอทฤษฏีแปลกประหลาดของคุณเข้าก็เลยงงครับ

ช่วงคุณพ่อเรา ทองวิ่งไปแตะ สองหมื่นก่อนที่จะมา อยู่ที่ 4,000 บาท(ต่อทองหนึ่งบาท) เป็นเวลาเกือบยี่สิบปี

จริงหรอคับ..ไม่เคยได้ยินเรยว่ามีเรื่องแบบนี้

ลองดูกราฟนี้ดูครับ Real Gold Price (ราคาทองแบบปรับผลของอัตราเงินเฟ้อ)

กราฟนี้ราคา Nominal Gold Price(ไม่ปรับเงินเ้ฟ้อ) เปรียบเทียบกับ Real Gold Price(ปรับเงินเฟ้อ) ลองพิจารณากันดู

ราคาน่าจะตกลงมาไม่มากเนื่องจากปัจจุบันมีการใช้ทองคำในอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก ไม่เหมือนในอดีตที่ใช้เป็นเครื่องประดับเท่านั้น ปัจจุบันเป็นการใช้ในอตุสาหกรรมก็เยอะ เช่นอุสาหกรรมคอมพิวเตอร์ Chip ทุกตัวมีสว่นประกอบด้วยทองทุกตัวดังนั้นทองคำจะเป็นสินค้าประเภทที่ใช้แล้วหมดไป หมายถึงปริมาณน้อยลงไปเรื่อยๆ

ขอบคุณค่ะสำหรับคำแนะนำที่ดี และเป็นประโยชน์มาก  :P

ผมเองไม่นิยมซื้อทอง(ที่จริงไม่มีตัง55)
แต่ขอแชความคิดเล็กน้อย
ผมคิดว่าถึงจีนจะไม่เก็บทองเพิ่ม
แต่วันนี้ทองคำไม่ได้มีไว้ใส่โชว์อย่างเดียวอีกต่อไป
มนุษย์เราเริ่มเอาทองมาใช้อุปโภค บริโภคกันแล้ว
เช่น ชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิค เครื่องสำอาง และผสมอาหารกินกันแล้ว

ขอบคุณครับ ขอบคุณสำหรับกราฟด้วยครับ
ทุกอย่างมีขึ้นก็ต้องมีลงเสมอ

เป็นความคิดที่ถูกต้องแล้วหรือครับที่ปรับลดเงินเฟ้อแล้วนำมาเปรีบยเทียบ ปกติทองต้องหนีเงินเฟ้อเป็นหลักอยู่แล้วนี่ครับ
หากปรับเงินเฟ้อแล้วเอามาเปรียบเทียบ สินค้าทุอย่าง ทั้ง ซอฟ์ลคอมมอดดิตี้ ฮาร์ดคอมมอนดิต้ ที่ดิน บ. เงินปันผลทุกอย่างต้องมาปรับเงินเฟ้อก่อนเปรียบเทียบไหม ทั้งที่ทุกอย่างก้อยู่บนเงินเฟ้อเดียวกันแล้วจะมานั่งปรับก่อนแล้วค่อยเปรียบเทียบทำไม
เหมือนกับ เรานั่งอยู่บนรถที่มีความ 100 กิโลเมตรต่อ ชม แต่รถอยู่บนโลก แล้วโลกหมุนรอบตัวเองด้วความเร็ว 1,674.4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วบอกว่า รถวิ่งด้วยความเร็ว 1,674.4+100=1,774.4 กม/ชม มันฟังแล้วตลกพิลึกอะครับ

เคยอ่านในหนังสือ มีนักเขียนอิสระท่านหนึ่งบอกว่า
จริงๆแล้ว ยังมีทองอีกประมาณ 300,000 ตัน อยู่ในสามประเทศที่ไม่ได้เปิดเผย

น่าสนใจครับ ตัวผมก็ไม่เก็บทอง เพราะถือว่าเป็นของนิ่ง ไร้ชีวิต ไม่เคลื่อนไหว
ไม่เหมือนหุ้น เป็นธุรกิจ มีการเคลื่อนไหว มีชีวิต
ที่ดินก็เช่นกัน หายาก
อสังหาก็ใช้อยู่ได้ แต่ทองในมุมมองส่วนตัวผมว่า เฉยๆ

มันเป็นหินสีเหลืองที่แสดงถึงหน่วยของความมั่งคั่ง แต่ไม่ใช่ความมั่งคั่งที่แท้จริง

ความมั่งคั่งที่แท้จริงนั้น คือ อาหาร สุขภาพ ที่อยู่อาศัย ความปลอดภัย และความสุขสนุกสนาน

หากท่านขับเครื่องบินแล้วเครื่องตก มีเกาะสองเกาะ
เกาะหนึ่งมีทองเต็มเกาะ แล้วก็ไม่มีอะไร
อีกเกาะมีชุมชน มีสังคม ธุรกิจ อาหาร ที่พัก จะให้เครื่องตกที่เกาะไหน?

น่าคิด อิอิ

คุณ pawawit เข้าใจจีนได้ดี เคยมีผู้รู้ในจีนกล่าวถึงเรื่องนี้เช่นกัน ว่าถ้าหากจีนซื้อทองคำที่ผลิตได้ในโลกทั้งหมดแต่ละปีก็ใช้เงินไม่กี่หมื่นล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้นซึ่งเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับส่วนที่เกินดุลแต่ละปี แต่จะทำให้กลไกหลายๆ อย่างพัง เท่าที่ผมได้อ่านและฟังจากคนจีน สิ่งที่จีน สนใจ คือการสะสมสินแร่ที่สำคัญ และแหล่งพลังงานมากกว่า ทองคำ เพราะเป้าหมายคือการทำให้หยวนเป็นสกุลเงินสากล โดยมีทรัพยากรธรรมชาติที่สะสมไว้ทั่วโลกสนับสนุน ผ่านการลงทุนที่สลับซับซ้อนผ่าน CIC และ SOE ขนาดใหญ่หลายแห่ง ทั้งแบบโดยตรงและอ้อมในบริษัทเหมืองแร่ทั่วโลก และเหมืองที่ยังไม่มีเคยมีการสำรวจมาก่อน ฉะนั้น ภายนอกจะเห็นว่าธนาคารกลางจีนถือทองคำเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วประเทศจีนถือทองคำมากกว่าที่เห็นเยอะมาก

จีนเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติซุกซ่อนอยู่มากครับ ซึ่งหลายๆอย่างเกี่ยวข้องกับอุตสหกรรมทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นโลหะ ทอง เงิน ทองแดง เหล็ก ตะกั่ว แม้กระทั่งสินแร่อุตสหกรรมที่เป็นอโลหะ ที่มีมากเช่นเดียวกัน พร้อมทีเดียวครับ ประเทศนี้ ซึ่งคงพัฒนาไปอีกไกลจริงๆ

กลับมาเรื่องทอง ทองเป็นโลหะที่แปรเปลี่ยนรูปได้ง่าย(ตามใจคนทำ) และสามารถคงรูปอยู่ได้ โดยไม่หมอง (ไม่ทำปฏิกริยากับอากาศ-ไม่เป็นสนิม) หายากแต่ก็ไม่ยากจนเกินไปนัก พกง่าย วัดขนาด น้ำหนัก และปริมาตรได้ง่าย พิสูจน์ได้ง่ายด้วยตาเปล่าและสัมผัสทางกาย ซึ่งหาพิจารณาแล้ว คงหาอะไรมาเป็นสิ่งที่เป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมได้เท่าทองคำอีกแล้วครับ

ปล. ของมันมีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้วครับ

กระทู้นี้ ได้ความรู้ใหม่ๆเยอะเลย
ขอบคุณครับ

ผมว่าทองคำก็นเป็นสินค้าโภคภัณท์ชนิดหนึ่ง (hard commodity) มันต้องมีวัฎจักรราคาขึ้นและลงแน่นอน แถมตอนนี้ยังมีการเก็งกำไรกันอีก แต่ไอ้จะลงมากๆผมไม่ค่อยเชื่อนะ

ผมว่าชาตินี้คงไม่ได้เห็นราคาทองคำแท่งตํ่ากว่า 15,000 บาท ต่อ ทองนํ้าหนัก 1 บาทอีกแล้ว(ความเชื่อส่วนตัวนะครับ) เพราะว่าอย่างไรก็น่าจะมีความต้องการ+ความเชื่อ ที่จะสะสมในฐานะเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงตํ่าอยู๋อีกมากๆ คงไม่ใช่แค่ประโยชน์ใช้สอยอย่างเดียวไม่งั้นราคามันคงพุ่งไม่ได้ขนาดนี้ (ไม่รู้ตอนนี้ใกล้ดอยหรือเปล่า แต่ผมว่ายังไปได้อีกไกล เพราะเงินดอลล่าห์ยังน่าจะอ่อนค่าลงไปเรื่อยๆ)

ที่อ่านเจอความเห็นของบางท่าน เขาว่าทองคำจะปรับราคาพื้นฐานขึ้นไปเรื่อยๆตามเงินเฟ้อ ผมก็เชื่องั้นนะ

ทำไมคนทั่วโลกชอบซื้อทองแพง ..ตอนถูกไม่เห็นมีใครอยากซื้อ!!

มีใครสงสัยเหมือนผมบ้างว่า "ทำไมเวลานี้ ทองแพง คนยิ่งซื้อ ..แต่ถ้าย้อนไปก่อนหน้านี้ที่ราคาทองประมาณบาท 4 พัน ตอนนั้นไม่เห็นมีใครอยากซื้อทอง --คุณว่ามันแปลกไหม!!"

"ไม่แปลกหรอก เพราะเราชอบซื้อของแพงไง ... ก็เพราะของแพง มันใกล้ดอยแล้วไง คือ สัญชาตญาณของมนุษย์ ได้สร้างให้เราชอบอยู่สูงไงล่ะ ... การอาศัยอยู่ยอดดอยเป็น สถานที่ใฝ่ฝันของคนส่วนใหญ่.. อิ อิ" ...ถ้าผมรวย ผมจะไปสร้างบ้านพักที่ยอดดอย"เย็นสบาย" แต่ก็อย่างที่เราเข้าใจกันว่า ทุกคนใจร้อนจึงอยากไปอยู่เร็วๆ เลยกระโจนไปครองยอดดอยก่อนใครๆ .. อิ อิ (ฮากลิ้ง)

ประเด็นคือ มันไม่ใช่แค่ทอง แต่มันเป็นทุก Asset คือ ถ้า Asset ไหนมันแพง คนก็ยิ่งเข้าไปซื้อ ...ยิ่งเข้าไปซื้อ มันก็ยิ่งแพง ยิ่งแพง ...ผมไม่รู้ว่าความหวังของแต่ละคนคืออะไร ตรงนี้สามารถย้อนมามองพฤติกรรมการเล่นหุ้นของคนส่วนใหญ่ได้เลย อย่างหุ้น CPF ตอนที่มันอยู่ 3 บาท ราคามันก็นิ่งอย่างนั้นเป็นสิบปี ไม่เห็นมีใครอยากซื้อ แต่พอมันพุ่งขึ้นมา 30 บาท ทุกคนก็แห่เข้ามาสนใจ "คุณว่าทำไมล่ะ" ... เออ ทำไมล่ะ หรือ คนส่วนใหญ่คิดว่า เวลานี้หุ้นมันถูกมาก แล้วมันจะขึ้นไปต่อ เป็นสัก 100 บาท รึเปล่า .. หรือ 200 หรือ 300 บาท "จริงหรือ"

"ผมถามจริงๆ คุณลองมองภาพตรงนี้ แล้วลองคิดว่า --- ถ้าคุณจะหาประโยชน์อะไรจาก พฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ ...คุณจะทำยังไง"

ใช่!!ง่ายมาก ..คุณก็อย่าไปทำเหมือนคนส่วนใหญ่ซิครับ .... ถ้าพูดเรื่องทอง ถามว่าผมมองยังไง .. ส่วนตัวผมก็ชอบทองอ่ะนะ แต่ราคาอย่างนี้ ผมไม่ชอบ เพราะตอนนี้ทองมันขึ้นมาแพงจน อุตสาหกรรมอะไรต่างๆ เริ่มเลี่ยงการใช้ทอง โดยหาอย่างอื่นมาแทน ..ดังนั้น จะเหลือก็แต่เครื่องประดับ ซึ่งหากราคาทองขึ้นไปเรื่อยๆ ..เครื่องประดับทองก็ลดการใช้ลงเรื่อยๆ จนเหลือแต่ การใช้อย่างเดียว นั่นคือ "การลงทุน และ การเก็งกำไร"

หากวัตถุชิ้นหนึ่งๆ สร้างขึ้นมา เพื่อการเก็งกำไร ..คุณค่าของมันก็จบที่การ หยุดเก็งกำไร ...นี่แหละความสยองของ ศาสตร์แห่งฟองสบู่ หรือ Bubble !!

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้าให้ผมฟันธง ผมบอกได้เลยว่า โลกเราจะต้องมี Bubble & Crash สลับไปมาเรื่อยๆ ...คุณค่าที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ ไม่ใช่อยู่ที่การเก็งกำไร แต่อยู่ที่อัตถประโยชน์ที่แท้จริงจากมัน

วันนี้หลายคนบอกว่า ภาววิทย์คุณโลภซื้อหุ้น "ผมถามหน่อยว่า คุณเอาอะไรมาวัดว่าสิ่งที่ผมทำ มันคือสิ่งที่เสี่ยง" ..เสี่ยงไม่เสี่ยง อย่างที่บอกว่า ผมมองที่อัตถประโยชน์ของสิ่งนั้นๆ ที่มีต่อมนุษย์

"หุ้นปันผล" พื้นฐานดีที่ผมเลือกถือ ..ผมมองว่า สิ่งที่มันให้ประโยชน์ผมก็คือ "เงินปันผล" เพราะในเมื่อผมไม่ได้ซื้อๆขายๆ ดังนั้น ในระยะสั้น การขึ้นลงของราคาหุ้น มันไม่ได้เกี่ยวกับผม ..สิ่งที่เกี่ยวกับผมในฐานะนักลงทุนระยะยาว ณ เวลานี้ ก็คือ ความสามารถในการทำกำไร และ การปันผลแต่ละปี ที่ผมจะได้รับจากบริษัทที่ผมลงทุนต่างหาก

"แล้วในวันที่นักลงทุนระยะยาว หรือ VI อย่างผม จะขายหุ้น.... ก็เมื่อผมมองว่า กิจการเริ่มให้ประโยชน์ ในเรื่องผลตอบแทน ได้แย่กว่า Asset อื่นๆ" ..และเมื่อผลตอบแทนจริงๆ ผมลดลง ผมก็ควรที่จะขายหุ้นที่ผมถือ แล้วโยกเงินไปสู่สิ่งที่ให้ประโยชน์มากกว่า ..ซึ่งในอนาคตอาจจะเป็นเงินฝากหรือ พันธบัตร ก็เป็นได้ ..เพราะก่อน Bubble จะแตก เศรษฐกิจต้อง Peak ก่อน นั่นหมายถึงเศรษฐกิจจะต้อง Boom ก่อน และ ระหว่างที่บูม ดอกเบี้ย ย่อมสูง ...(ขนาบรับกับมุมมอง ดอกเบี้ยขาขึ้น ในเวลานี้จริงๆ)

..."ทำไมต้องแห่ซื้อเหมือนคนอื่นล่ะ!!" --- ใครสามารถ Overcome ความรู้สึกตรงนี้ได้ ยังไงคุณก็รวย !! ...

เขียนโดย pawawit ที่ วันพุธ, กุมภาพันธ์ 23, 2011

จนถึงวันนี้ที่คุณ ภาววิทย์พูดก็ผ่านไปประมาณ1ปีแล้ว เห็นได้ชัด่าที่เขาพูดผิดเริ่มค่อยๆปรากฎครับ ใครที่บอกว่าทองจะถูกลงมากๆมักจะพบกับความผิดหวังเสมอเมื่อเทียบกับความจริง(ไม่ใช่เทียบกับ Anchor บนความคิดของตัวเองที่เอาไปปักไว้ ณ ราคาที่โดนหลอก เหมือนหุ้นที่ดี มีโกรทในตัวเองเสมอ หากใครเอาไปเทียบกับยอดดอย บนภาวะกระทิงก็บอกว่ามันลง แต่ความจริงแล้วมันก็โกรทของมันไปเรื่อยๆ )
ทองมีโกรทตรงไหน
ทองหนีเงินเฟ้อเสมอในระยะยาวครับ
คุณๆคิดหรือครับว่า ข้าวแกงจะกลับมาขายที่จานละ 7 บ.
หากข้าวแกงขายที่จานละ 100 เมื่อไร อาจจะได้เห็นทองบาทละ 40,000 ครับ คำนวณคร่าวๆแล้วครับ อีก 20ปีจากนี้ ทองบาทละ 170,000 เป็นอย่างน้อย พูดตอนนี้ก็ไม่มีใครเชื่อ
เหมือนสมัยรุ่งอากงทองบาทละ 400 แล้วบอกว่าอีก 35-40ปี ทองจะบาทละ 20,000 ก็มีแต่คนหัวเราะเยาะ

หวังว่า อีก20ปีกระทู้นี้จะยังอยู่ ถึงเวลานั้นผมจะขุดกระทู้นี้มาดูว่าที่ผมคำนวนไว้มันตรงไหม
(อีก 20ปี จากวันี้ 26/5/2011 ราคาทองจะไม่ต่ำกว่า 170,000)

jo7393 เขียน:หวังว่า อีก20ปีกระทู้นี้จะยังอยู่ ถึงเวลานั้นผมจะขุดกระทู้นี้มาดูว่าที่ผมคำนวนไว้มันตรงไหม
(อีก 20ปี จากวันี้ 26/5/2011 ราคาทองจะไม่ต่ำกว่า 170,000)

คุณ jo7393 ถ้าไป 170k นี้ CAGR ประมาณ 11.3% ต่อปีเลยนะครับนั้น ผมว่าสัก 9% ก่อนก็พอ ครับ น่าจะสัก 100,000 อาจพอเป็นไปได้นะครับ

Sumotin เขียน:

jo7393 เขียน:หวังว่า อีก20ปีกระทู้นี้จะยังอยู่ ถึงเวลานั้นผมจะขุดกระทู้นี้มาดูว่าที่ผมคำนวนไว้มันตรงไหม
(อีก 20ปี จากวันี้ 26/5/2011 ราคาทองจะไม่ต่ำกว่า 170,000)

คุณ jo7393 ถ้าไป 170k นี้ CAGR ประมาณ 11.3% ต่อปีเลยนะครับนั้น ผมว่าสัก 9% ก่อนก็พอ ครับ น่าจะสัก 100,000 อาจพอเป็นไปได้นะครับ

ครับ ตอนพิมพ์ บนมือถือไม่ได้เปิดดู excelที่คำนวนไว้ เพียงจำได้คร่าวๆ เพราะคำนวนไว้หลายแบบ
170,000 ที่คำนวณต้องใช้เวลา 25 ปีครับ สับสนไปหน่อยครับ

อืมมม 20ปี บาทล่ะแสน น่าสนใจครับ

เคยแต่ได้ยิน อาเหล่าอี๊ บอกว่า ทองซื้อมา บาทละ 400 500
ไม่เคยได้ยิน รุ่น อาม่า พูดว่า เคยมีทอง บาท ละ 2 หมื่นนะ..

อ่านไว้ได้ประโยชน์ค่ะ...
แต่ก็มีสะสมบ้าง กลัวลูกหลานด่าเอา ว่าทำไมไม่ซื้อเก็บไว้ให้เค้าบ้าง...

Pawawit Stock Comment
‎"ไอ้กัน!!" ... คิดดูนะครับ ประเทศที่มีทอง มากสุดในโลกคือ "ไอ้กัน" แต่ทำไมมันไม่ขายทองมาใช้หนี้ล่​ะ ... แต่ไอ้กันกลับเลือกที่จะ สร้างเงินเฟ้อ ... ทำให้ดอลลาร์ด้อยค่า ซึ่งอีกนัยก็คือ ทำให้เงินทั่วโลกลดมูลค่า ..."เงินยิ่งเฟ้อ ทองยิ่งขึ้น -- สุดท้าย ใครรวย คุณคิดดูดิ!!" ... วันไหน ไอ้กัน ขายทอง มาใช้หนี้ วันนั้น แปลว่า Peak ของราคาทอง !! (เหมือนแชร์ลูกโซ่เลย Made in USA.. ฮาล่ะ!!)

ก็อีกมุมมองนะครับ น่าเชื่อหรือไม่ตัดสินกันเอาเอง

navapon เขียน:Pawawit Stock Comment
‎"ไอ้กัน!!" ... คิดดูนะครับ ประเทศที่มีทอง มากสุดในโลกคือ "ไอ้กัน" แต่ทำไมมันไม่ขายทองมาใช้หนี้ล่​ะ ... แต่ไอ้กันกลับเลือกที่จะ สร้างเงินเฟ้อ ... ทำให้ดอลลาร์ด้อยค่า ซึ่งอีกนัยก็คือ ทำให้เงินทั่วโลกลดมูลค่า ..."เงินยิ่งเฟ้อ ทองยิ่งขึ้น -- สุดท้าย ใครรวย คุณคิดดูดิ!!" ... วันไหน ไอ้กัน ขายทอง มาใช้หนี้ วันนั้น แปลว่า Peak ของราคาทอง !! (เหมือนแชร์ลูกโซ่เลย Made in USA.. ฮาล่ะ!!)

ก็อีกมุมมองนะครับ น่าเชื่อหรือไม่ตัดสินกันเอาเอง

1. ไอ้กันมีทองมากที่สุดในโลก จริงหรือครับ ขอแหล่งข้อมูลด้วยครับ อย่าดูถูกจีนกับอินเดีย นะครับ
2. หากดอลล่าหืไม่มีค่าไปเรื่อย คิดหรือครับว่าไอ้กันจะกล้าขายทองแล้วกลับไปถือดอลล่าร์ ไอ้กันมันโง่หรือครับ
สุดท้ายแล้ว หากดอลล่า อ่อนค่า น่าจะมีแต่คนแย่งกันถือทองครับ

ตอนแรกผมมองภาพไม่ออก
แต่ตอนนี้ เห็นไอเดียแล้วครับ เห็นด้วยกับคุณ jo7393 จริงด้วยครับ
อเมริกามันคงไม่เอาทองมาขายล้างหนี้ แต่น่าจะเลือกชักดาบมากกว่า โดยก่อเงินเฟ้อไปเรื่อยๆจนหนี้หมดมูลค่า
ผมมองว่าสุดท้ายอเมริกาน่าจะด้อยลงไปเรื่อยๆ และแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ตกครับ

12.00 น. ไทยถือครองทองคำติดอันดับ 31 ของโลก
money channel
Posted on Friday, July 29, 2011

สภาทองคำโลกเปิดเผยในรายงานเดือนกรกฎาคมว่า นับถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม องค์กรและประเทศต่างๆ ถือครองทองคำ 30,683.6 ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 149.1 ตัน โดยประเทศไทยถือครองทองคำเพิ่มขึ้น 9.4 ตัน เป็น 108.9 ตัน หรือคิดเป็น 2.9% ของทุนสำรองทั้งหมด และติดอันดับ 31 ของประเทศที่ถือทองมากที่สุดในโลก

ส่วนประเทศและองค์กรที่ถือครองทองคำมากที่สุดในโลก 5 อันแรกคือ สหรัฐฯ 8,133.5 ตัน เยอรมนี 3,401.0 ตัน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) 2,814 ตัน อิตาลี 2,451.8 ตันและฝรั่งเศส 2,435.4 ตัน

#####

14.00 น. ต่างชาติลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ
money channel
Posted on Friday, July 29, 2011

ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด รายงานว่า ธนาคารกลางต่างชาติถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลดลง 2,695 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เหลือ 2.719 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 27 กรกฎาคม

โดยปัจจุบัน เกือบ 50% ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอยู่ในมือของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งธนาคารกลางต่างชาติในเอเชียเป็นผู้ซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รายใหญ่ ซึ่งจีน และญี่ปุ่น เป็นนักลงทุนรายใหญ่สองอันดับแรก

ทั้งนี้ หากสหรัฐฯไม่สามารถขยายเพดานหนี้ได้ภายในวันอังคารหน้าก็มีแนวโน้มจะสูญเสียอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ AAA ซึ่งจะทำให้มีการปรับลดความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้เอกชน และหลักทรัพย์ที่ค้ำประกันด้วยสินเชื่อจดจำนองอื่นๆ ตามมา

ผมลุ้นให้ทองขึ้นไปเรื่อยๆครับ ผมเองก็ซื้อเก็บไว้เหมือนกัน นอนตีพุงอยู่

วันนี้ Gold spot 1639 แล้วนะครับ หากคืนนี้ไม่ร่วงซะก่อนพรุ่งนี้ได้เห็นทองแท่งบ้านเรา 23,000 แน่เลย เป็น นิวไฮ เลยนะครับ

Gold spot เช้านี้ 1,657 ราคาทองแท่งวันนี้ 23,350 ขึ้นจากเมื่อวานบาทละ 450.-