สุทรพจน์ของ ลี ลู (2)
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 08, 2010 3:42 pm
Value Way ฉบับวันที่ 12 กรกฏาคม 2553
โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ
สุนทรพจน์ของลี ลู (2)
ลี ลูบรรยายเกี่ยวกับการลงทุนแบบเน้นคุณค่าที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในเดือนเมษายนปี 2010 ผู้บันทึกการบรรยายในครั้งนี้คือ Tariq Ali เจ้าของ blog ชื่อ Street Capitalist: Even Driven Value Investments ส่วนคุณ Grandslam จากเวป Thaivi ถ่ายทอดเป็นภาษาไทยอีกที ต่อไปนี้เป็นสุนทรพจน์ของเขาที่กล่าวในงานนี้ (ต่อจากฉบับที่แล้ว)
การค้นหาความเฉียบคมมาจากกรอบของความคิดที่ถูกต้องและการศึกษาอย่างต่อเนื่องติดต่อกันหลายปี แต่เมื่อไหร่ที่คุณพบอย่างถ่องแท้ตลอดเส้นทางในการเรียนรู้ คุณต้องมีความกล้าที่จะไม่สนใจต่อความเห็นของคนอื่น การเป็นนักลงทุนที่ดีคุณต้องยืนหยัดได้ด้วยตัวคุณเอง คุณไม่เพียงแต่แค่ลอกการบ้านคนอื่น ไม่ช้าก็เร็วมันจะย้อนกลับมาทำร้ายคุณ ถ้าคุณไม่เข้าใจในตัวธุรกิจนั้น ถ้าราคาหุ้นตกลงมาจาก $100 เป็น $50 คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะกลับเป็น $100 หรือ $200 หรือเปล่า
มันจึงเป็นอะไรที่ยากมาก แต่มองอีกแง่มันก็ให้ผลตอบแทนที่มากเช่นกัน บัฟเฟตกล่าวว่า ถ้าคุณลงทุนได้ดีเพียงแค่ 10 ครั้งตลอด 40 ปีในชีวิตการทำงาน คุณจะร่ำรวยมหาศาล มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ นี่คือสิ่งที่ทำให้การลงทุนแบบเน้นคุณค่าแตกต่างจากทุกสิ่ง
แล้วคุณจะเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ได้อย่างไรล่ะ? เลือกธุรกิจที่คุณเข้าใจมันอย่างแท้จริงมาหนึ่งธุรกิจ ธุรกิจอะไรก็ได้ ขอให้เข้าใจมัน ผมบอกกับนักศึกษาฝึกงานว่า ลองจินตนาการตามผมว่า ถ้าญาติห่างๆ ของคุณได้เสียชีวิตลงและคุณได้รับมรดกตกทอดมาเป็นธุรกิจที่เค้าเป็นเจ้าของ 100% คุณจะจัดการกับมันอย่างไร? นี่คือสิ่งที่ต้องนึกเมื่อคุณมองดูธุรกิจใดๆ ผมแนะนำให้คุณเริ่มและทำความเข้าใจใน 1 ธุรกิจ จากภายในสู่ภายนอก วิธีนี้ดีกว่าการอบรมใดๆ ทั้งสิ้น มันไม่จำเป็นต้องเป็นธุรกิจที่สุดยอด เป็นธุรกิจอะไรก็ได้ คุณต้องมีความรู้สึกให้ได้ว่าถ้าคุณเป็นเจ้าของมัน 100% คุณจะทำอย่างไร ถ้าคุณสามารถทำได้ คุณจะสามารถยืนหยัดในการแข่งขันได้อย่างมาก คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้แนวคิดที่ถูกต้องตั้งแต่แรก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก คนส่วนใหญ่มองมันแค่แผ่นกระดาษและซื้อๆขายๆ เพียงเพราะว่ามันซื้อขายง่าย แต่ถ้ามันเป็นธุรกิจที่คุณสืบทอดมรดกมาคุณจะไม่ซื้อๆขายๆ คุณต้องเริ่มหาความรู้อย่างจริงจังว่าธุรกิจนี้ควรดำเนินการอย่างไร มันทำงานอย่างไร ถ้าคุณเริ่มต้นด้วยวิธีนี้ ในที่สุดคุณก็จะรู้ว่าธุรกิจนั้นมีมูลค่ามากเท่าไหร่
เมื่อผมเริ่มต้นธุรกิจในปี 1997 มันเป็นช่วงเวลาท่ามกลางวิกฤตการเงินที่เอเชีย ไม่กี่ปีต่อมาเกิดฟองสบู่อินเตอร์เน็ต เมื่อ 2 ปีก่อนเกิดการล่มสลายรุนแรงในช่วงปี 2007-2008 เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นร้ายแรงในรอบศตวรรษ แต่เกิดห่างกันไม่กี่ปี ทุกครั้งที่เกิด มันส่งผลกระทบกับคุณ ทรัพย์สินสุทธิหรือมูลค่าการลงทุนของคุณอาจจะลดลง 50% นี่คือช่วงเวลาที่ความเข้าใจและอารมณ์เริ่มเข้ามามีส่วนร่วม ตามสัญชาติญาณคุณต้องมั่นใจในการตัดสินใจของคุณระดับหนึ่ง และไม่โอนเอียงไปกับความคิดของคนอื่น มันไม่ง่ายหรอก แต่นี่แหละคือชีวิต มันคือสิ่งที่ให้เรามา มันเกิดขึ้นกับทุกคน อย่างน้อย 3 ครั้งที่ราคาหุ้นของบริษัทเบริ์คไชน์ได้ตกลงกว่า 50% มันเคยเกิดขึ้นกับแอนดรู คาร์เนกี้ (Andrew Carnegie) และร๊อคกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller) ด้วยเช่นกัน มันเกิดขึ้นกับทุกคน ถ้าคุณทำพลาดมันจะไม่หยุดที่ 50% แต่มันจะไปที่ 0 เลยทีเดียว
สิ่งนี้เกิดขึ้นไม่เว้นแต่บริษัทที่เข้มแข็ง ดูบริษัทในอเมริกา 50 อันดับแรกสิ ทุกๆ 10 ปี ตลอดเวลา 20-40 ปีย้อนหลัง 2/3 ของบริษัทเหล่านี้ได้หายไป ผ่านไปอีก 100 ปี มันอาจจะเหลือเพียงแค่ 2 บริษัท มันเป็นอย่างนี้แหละ ดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับบริษัทที่เคยยิ่งใหญ่อย่างเจอเนอรัล มอเตอร์ (General Motor) สิ นี่คือสิ่งที่ทำไมผมถึงพูดว่าการลงทุนเป็นขั้นตอนการเรียนรู้อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นเพราะการลงทุนของคุณกำลังเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ดังนั้นสำหรับคุณๆ ที่มีอารมณ์หุนหันพลันแล่น เกมนี้อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับคุณ ระบบทุนนิยมให้รางวัลกับคนที่มีความสามารถในการจัดสรรเงิน ฉะนั้นถ้าคุณมีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ นี่เป็นเกมที่สุดยอดที่สุด ถ้าคุณไม่มีแล้วละก็ ผมแนะนำว่าอย่าเล่นให้หงุดหงิด นี่คือสิ่งที่พวกวอลล์สตรีททำ เขาไม่ได้สร้างอะไรขึ้นมาเลย เขาแค่เคลื่อนย้ายเงินทุน การปล่อยให้
อุตสาหกรรมการเงินใหญ่โตเกินไปเป็นสิ่งที่เลวร้ายสำหรับระบบเศรษฐกิจ มันเลวร้ายพอๆ กับการเข้าบ่อนติดการพนัน ติดยา และสุรา มันเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ มันเป็นแค่การโยกย้ายความมั่งคั่งเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่ผมคิดว่าได้เกิดขึ้นที่วอลล์สตรีทตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ดังนั้นจงหลีกเลี่ยงมันก่อนที่คุณจะเจ็บตัว