ตลาดหุ้นจะพังแรงที่สุดในรอบ 300 ปี
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 09, 2010 9:19 am
ตลาดหุ้นจะพังแรงที่สุดในรอบ 300 ปี
วันศุกร์ที่ 09 กรกฏาคม 2010
เนื่องจากตลาดหุ้นกำลังเซอีกครั้ง นักลงทุนจำนวนมากจึงวิตกกังวล แม้นักวิเคราะห์บางคนมองว่าหุ้นแค่ซบเซา แต่สำหรับโรเบิร์ต เพรชเชอร์ ซึ่งเป็นนักทฤษฏีสังคมและนักพยากรณ์ตลาด กลับมีความเชื่อว่าตลาดเข้าสู่ช่วงขาลง ซึ่งอาจจะมากที่สุดในรอบ 300 ปีเลยทีเดียว
เพรชเชอร์กล่าวว่า นักพยากรณ์คนอื่นๆ ไม่น่าจะยอมรับเหตุผลของเขาซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีคลื่นเอลเลียต และแนะนำว่า นักลงทุนรายย่อยควรจะออกจากตลาดโดยสิ้นเชิง แล้วถือเงินสด หรือสิ่งที่มีค่าเท่ากับเงินสด อย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ สำหรับปีที่จะมาถึง
เพรชเชอร์ยังทำนายว่า นักลงทุนที่ซื้อและถือหุ้นไว้ จะได้รับความเสียหายมากเมื่อตลาดหุ้นพัง เพราะ จะมีความรุนแรงมากกว่าการปรับตัวลงของตลาดในปี 2551 และต้นปี 2552 หรือมากกว่าช่วงปีที่เกิดภาวะถดถอยทั่วโลกรุนแรงสุด หรือ มากกว่าเมื่อเกิดความตื่นตระหนกในตลาดในปี 2416
เขาได้เปรียบเทียบว่า ตลาดหุ้นจะพังเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในอังกฤษและการล่มสลายของฟองสบู่ทะเลใต้เมื่อปี 2263 ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ประชาชนไม่ซื้อหุ้นนานหลายร้อยปี
เพรชเชอร์บอกว่า หากเขาทำนายถูก วิกฤติที่จะเกิดขึ้นจะเป็นวิกฤติที่ประชาชนจะต้องสอนลูกสอนหลานไม่ให้ซื้อหุ้นในช่วงหลายปีจากนี้ไป
ตามการทำนายของเพรชเชอร์ ดัชนีดาวโจนส์อยู่ที่ 9,686.48 จุด และน่าจะยืนต่ำกว่าระดับ 1,000 จุด ไปอีกห้าหรือหกปี เนื่องจากวงจรตลาดใหญ่สิ้นสุดลงแล้ว และเมื่อประกอบเข้ากับภาวะตกต่ำของเศรษฐกิจและภาวะเงินฝืด จะทำให้ทุกคนถือเงินสดเพื่อความรอบคอบ
เพรชเชอร์ไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวในตลาดที่สนับสนุนให้นักลงทุนมีความรอบคอบในขณะนี้ แต่เกือบทุกคนที่มองเห็นว่า อนาคตจะสดใสขึ้นเมื่อความยุ่งยากในขณะนี้ผ่านไป
ตัวอย่างเช่น ราล์ฟ เจ. อะแคมโปรา นักวิเคราะห์ตลาดที่มีประสบการณ์มากกว่า 40 ปี ได้โยกเงินออกจากหุ้นไปถือเงินสดเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่า การถดถอยของหุ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ชี้ว่า ตลาดจะปรับตัวลงอีก 10% หรือ 15% โดยน่าจะลงไปจนถึงเดือนกันยายน หรือตุลาคม ก่อนที่จะเริ่มดีดตัวอย่างมากอีกครั้ง
อะแคมโปราคาดว่า ในช่วงหลายปีข้างหน้า ตลาดจะมีลักษณะเหมือนกับตลาดปกติในยุคเก่า ซึ่งจะมีการแกว่งตัวค่อนข้างสั้น และจะสร้างโอกาสมากให้กับนักลงทุนที่ฉลาด และมีลักษณะเหมือนกับตลาดหุ้นในช่วงปี ค.ศ. 1960 และ 1970
แลร์รี่ เบอร์แมน ผู้ร่วมก่อตั้งอีทีเอฟ แคปิตอล แมเนจเมนต์ ในโตรอนโต ซึ่งเคยเป็นประธานสมาคมนักวิเคราะห์เทคนิค กล่าวว่า เขาเห็นแนวโน้มตลาดในด้านลบในระยะสั้น กำลังพัฒนาอยู่ในขณะนี้ แต่ไม่ได้ใช้ทฤษฎีคลื่นเอลเลียต เหมือนเพรชเชอร์ โดยกล่าวว่า เพรชเชอร์กำลังพยายามวัดตลาดในหลายทศวรรษ ซึ่งเป็นกรอบเวลาที่นานเกินไปสำหรับการบริหารความเสี่ยงหรือเป้าหมายในการซื้อขายในเชิงปฏิบัติ
สำหรับเพรชเชอร์ ขณะนี้อายุ 61 ปี เป็นผู้บริหารบริษัทสิ่งพิมพ์และจัดทำประมาณการที่ชื่อว่า เอลเลียต เวฟ อินเตอร์เนชันแนล เขาจบการศึกษาจากเยล เอกจิตวิทยา เมื่อปี 2514 เคยเป็นนักร้อง นักเล่นกลอง และคนแต่งเพลงในวงดนตรีร็อควงหนึ่ง จนไปเป็นนักวิเคราะห์เทคนิคให้กับเมอร์ริล ลินช์
เพรชเชอร์เริ่มหลงใหลกับงานเขียนของเอลเลียต ซึ่งมีความเห็นว่า การเคลื่อนไหวของตลาดสามารถคาดการณ์ได้หากมีแพทเทิร์นซับซ้อน ต่อมาได้เขียนหนังสือชื่อ หลักการของคลื่นเอลเลียต ร่วมกับ เอ.เจ.อะแคมโปรา ในปี 2521 ซึ่งได้ทำนายว่า ตลาดหุ้นจะมีความคึกคักมาก ซึ่งการทำนายส่วนใหญ่ถูกต้อง
ภายในปี 2530 ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยบทความในเดอะ นิวยอร์ก ไทม์ ยกให้เขาเป็น กูรูด้านเทคนิคชั้นนำของตลาด และมีบทความชิ้นหนึ่งในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้นพูดถึงเขาว่าเป็นทั้งนักพยากรณ์และเทวดา หรือเป็นที่ปรึกษาที่คำแนะนำของเขาเข้าถึงนักลงทุนจำนวนมากและเขามีแนวโน้มที่จะดึงตลาดไปในทิศทางที่เขาได้ทำนายไว้
อย่างไรก็ดี ในขณะนี้ เพรชเชอร์มีอิทธิพลน้อยลงมาก หลังจากที่ได้ใช้เวลาหลายปีพัฒนาทฤษฎีที่เรียกว่า Socianomics ซึ่งทฤษฎีนี้ระบุว่า อารมณ์ของสังคมไม่เพียงแต่เป็นสาเหตุให้เกิดวงจรตลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นสาเหตุให้เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจด้วย
ในปี 2545 ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ Conquer the Crash ซึ่งได้ทำนายว่าจะเกิดความลำบากในวันข้างหน้า แต่พอปี 2551 ได้ทำนายว่า ตลาดจะดีดตัวขึ้นอย่างรุนแรงในไม่ช้า และเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ได้กล่าวว่าหุ้นกำลังจะตกและจะเริ่มเกิดความตกต่ำครั้งใหญ่
...ต้องรอพิสูจน์กันว่า จะจริงดังคำทำนายหรือไม่ คงจะได้รู้กันในไม่ช้านี้
http://www.kaohoon.com/daily/index.php? ... Itemid=126
วันศุกร์ที่ 09 กรกฏาคม 2010
เนื่องจากตลาดหุ้นกำลังเซอีกครั้ง นักลงทุนจำนวนมากจึงวิตกกังวล แม้นักวิเคราะห์บางคนมองว่าหุ้นแค่ซบเซา แต่สำหรับโรเบิร์ต เพรชเชอร์ ซึ่งเป็นนักทฤษฏีสังคมและนักพยากรณ์ตลาด กลับมีความเชื่อว่าตลาดเข้าสู่ช่วงขาลง ซึ่งอาจจะมากที่สุดในรอบ 300 ปีเลยทีเดียว
เพรชเชอร์กล่าวว่า นักพยากรณ์คนอื่นๆ ไม่น่าจะยอมรับเหตุผลของเขาซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีคลื่นเอลเลียต และแนะนำว่า นักลงทุนรายย่อยควรจะออกจากตลาดโดยสิ้นเชิง แล้วถือเงินสด หรือสิ่งที่มีค่าเท่ากับเงินสด อย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ สำหรับปีที่จะมาถึง
เพรชเชอร์ยังทำนายว่า นักลงทุนที่ซื้อและถือหุ้นไว้ จะได้รับความเสียหายมากเมื่อตลาดหุ้นพัง เพราะ จะมีความรุนแรงมากกว่าการปรับตัวลงของตลาดในปี 2551 และต้นปี 2552 หรือมากกว่าช่วงปีที่เกิดภาวะถดถอยทั่วโลกรุนแรงสุด หรือ มากกว่าเมื่อเกิดความตื่นตระหนกในตลาดในปี 2416
เขาได้เปรียบเทียบว่า ตลาดหุ้นจะพังเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในอังกฤษและการล่มสลายของฟองสบู่ทะเลใต้เมื่อปี 2263 ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ประชาชนไม่ซื้อหุ้นนานหลายร้อยปี
เพรชเชอร์บอกว่า หากเขาทำนายถูก วิกฤติที่จะเกิดขึ้นจะเป็นวิกฤติที่ประชาชนจะต้องสอนลูกสอนหลานไม่ให้ซื้อหุ้นในช่วงหลายปีจากนี้ไป
ตามการทำนายของเพรชเชอร์ ดัชนีดาวโจนส์อยู่ที่ 9,686.48 จุด และน่าจะยืนต่ำกว่าระดับ 1,000 จุด ไปอีกห้าหรือหกปี เนื่องจากวงจรตลาดใหญ่สิ้นสุดลงแล้ว และเมื่อประกอบเข้ากับภาวะตกต่ำของเศรษฐกิจและภาวะเงินฝืด จะทำให้ทุกคนถือเงินสดเพื่อความรอบคอบ
เพรชเชอร์ไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวในตลาดที่สนับสนุนให้นักลงทุนมีความรอบคอบในขณะนี้ แต่เกือบทุกคนที่มองเห็นว่า อนาคตจะสดใสขึ้นเมื่อความยุ่งยากในขณะนี้ผ่านไป
ตัวอย่างเช่น ราล์ฟ เจ. อะแคมโปรา นักวิเคราะห์ตลาดที่มีประสบการณ์มากกว่า 40 ปี ได้โยกเงินออกจากหุ้นไปถือเงินสดเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่า การถดถอยของหุ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ชี้ว่า ตลาดจะปรับตัวลงอีก 10% หรือ 15% โดยน่าจะลงไปจนถึงเดือนกันยายน หรือตุลาคม ก่อนที่จะเริ่มดีดตัวอย่างมากอีกครั้ง
อะแคมโปราคาดว่า ในช่วงหลายปีข้างหน้า ตลาดจะมีลักษณะเหมือนกับตลาดปกติในยุคเก่า ซึ่งจะมีการแกว่งตัวค่อนข้างสั้น และจะสร้างโอกาสมากให้กับนักลงทุนที่ฉลาด และมีลักษณะเหมือนกับตลาดหุ้นในช่วงปี ค.ศ. 1960 และ 1970
แลร์รี่ เบอร์แมน ผู้ร่วมก่อตั้งอีทีเอฟ แคปิตอล แมเนจเมนต์ ในโตรอนโต ซึ่งเคยเป็นประธานสมาคมนักวิเคราะห์เทคนิค กล่าวว่า เขาเห็นแนวโน้มตลาดในด้านลบในระยะสั้น กำลังพัฒนาอยู่ในขณะนี้ แต่ไม่ได้ใช้ทฤษฎีคลื่นเอลเลียต เหมือนเพรชเชอร์ โดยกล่าวว่า เพรชเชอร์กำลังพยายามวัดตลาดในหลายทศวรรษ ซึ่งเป็นกรอบเวลาที่นานเกินไปสำหรับการบริหารความเสี่ยงหรือเป้าหมายในการซื้อขายในเชิงปฏิบัติ
สำหรับเพรชเชอร์ ขณะนี้อายุ 61 ปี เป็นผู้บริหารบริษัทสิ่งพิมพ์และจัดทำประมาณการที่ชื่อว่า เอลเลียต เวฟ อินเตอร์เนชันแนล เขาจบการศึกษาจากเยล เอกจิตวิทยา เมื่อปี 2514 เคยเป็นนักร้อง นักเล่นกลอง และคนแต่งเพลงในวงดนตรีร็อควงหนึ่ง จนไปเป็นนักวิเคราะห์เทคนิคให้กับเมอร์ริล ลินช์
เพรชเชอร์เริ่มหลงใหลกับงานเขียนของเอลเลียต ซึ่งมีความเห็นว่า การเคลื่อนไหวของตลาดสามารถคาดการณ์ได้หากมีแพทเทิร์นซับซ้อน ต่อมาได้เขียนหนังสือชื่อ หลักการของคลื่นเอลเลียต ร่วมกับ เอ.เจ.อะแคมโปรา ในปี 2521 ซึ่งได้ทำนายว่า ตลาดหุ้นจะมีความคึกคักมาก ซึ่งการทำนายส่วนใหญ่ถูกต้อง
ภายในปี 2530 ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยบทความในเดอะ นิวยอร์ก ไทม์ ยกให้เขาเป็น กูรูด้านเทคนิคชั้นนำของตลาด และมีบทความชิ้นหนึ่งในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้นพูดถึงเขาว่าเป็นทั้งนักพยากรณ์และเทวดา หรือเป็นที่ปรึกษาที่คำแนะนำของเขาเข้าถึงนักลงทุนจำนวนมากและเขามีแนวโน้มที่จะดึงตลาดไปในทิศทางที่เขาได้ทำนายไว้
อย่างไรก็ดี ในขณะนี้ เพรชเชอร์มีอิทธิพลน้อยลงมาก หลังจากที่ได้ใช้เวลาหลายปีพัฒนาทฤษฎีที่เรียกว่า Socianomics ซึ่งทฤษฎีนี้ระบุว่า อารมณ์ของสังคมไม่เพียงแต่เป็นสาเหตุให้เกิดวงจรตลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นสาเหตุให้เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจด้วย
ในปี 2545 ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ Conquer the Crash ซึ่งได้ทำนายว่าจะเกิดความลำบากในวันข้างหน้า แต่พอปี 2551 ได้ทำนายว่า ตลาดจะดีดตัวขึ้นอย่างรุนแรงในไม่ช้า และเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ได้กล่าวว่าหุ้นกำลังจะตกและจะเริ่มเกิดความตกต่ำครั้งใหญ่
...ต้องรอพิสูจน์กันว่า จะจริงดังคำทำนายหรือไม่ คงจะได้รู้กันในไม่ช้านี้
http://www.kaohoon.com/daily/index.php? ... Itemid=126