N-Park
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 29, 2004 10:52 pm
ติดหุ้นสวนสนุกนรกนี้ 4.60 บาท ... วันนี้มีข่าวนี้อีกแล้ว...ราคาสมควรจะอยู่ที่เท่าไหร่ครับ
แนเชอรัล ปาร์คขึ้นแท่นหุ้นไฮโกรท สยายปีกธุรกิจไร้ขีดจำกัด
รายงาน
เร็วๆ นี้ ทาง โนมูระ ซีเคียวริตี้ ของญี่ปุ่นได้ประเมินสถานการณ์ว่า มอร์แกน สแตนเลย์ แคปปิตอล จะทบทวนการปรับปรุงดัชนีน้ำหนักลงทุนหุ้น (MSCI) ประจำปีในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งหุ้น บมจ.แนเชอรัล ปาร์ค ติดหนึ่งใน 5 หุ้นทั้งหมดจะได้เข้ามาคำนวณดัชนี MSCI รอบนี้ เพราะเป็นหุ้นอสังหาริมทรัพย์รายเดียวที่มีธุรกิจหลากหลาย และมีมูลค่าราคาตลาดรวม 796 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนมูลค่าการซื้อขายหุ้นในตลาดอยู่ที่ 3.71 ล้านเหรียญสหรัฐ ราคาหุ้นอยู่ที่บริเวณ 3.90 บาท ทำให้มีน้ำหนักในการคำนวณดัชนี MSCI ประมาณ 1.3% ของทั้งหมด
จุดเปลี่ยนของแนเชอรัล ปาร์คในวันนี้ หลังจากฝ่าวิกฤตปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จได้แล้ว ทีมผู้ บริหารได้กำหนดทิศทางรุกธุรกิจให้เข้มข้นขึ้น จึงมีการลงทุนต่างๆ มากมายทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงด้านผลดำเนินงานของบริษัทที่เกิดขึ้นในปีนี้ ซึ่งกว่าจะออกดอกออกผลกำไรจากการลงทุนได้ชัดเจนต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1-2 ปี
"เสริมสิน สมะลาภา" กรรมการผู้จัดการบริษัท ได้ตั้งเป้าหมายให้แนเชอรัล ปาร์คเป็นกึ่ง โฮลดิ้ง คอมปะนี คือทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และลงทุนในธุรกิจบริษัทย่อยต่างๆ จึงมีทั้งโครงการ ของบริษัทเองและของบริษัทย่อยต่างๆ ทำให้มีธุรกิจหลากหลายที่จะสร้างผลกำไรกลับมาจากที่ดำเนินการแล้วและที่กำลังขยายในอนาคต ซึ่งธุรกิจต่างๆ ล้วนเกี่ยวเนื่องกันและครอบคลุมวิถีการดำเนินชีวิตของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแบบครบวงจร โดยเน้นทำธุรกิจที่อิงตามเศรษฐกิจโตและสอดรับกับนโยบายรัฐบาลที่ให้ไทยเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยวในเอเชีย จึงวางจุดยุทธศาสตร์ธุรกิจเรื่อง "ทำเลทอง" เป็นตัวขาย และการดึงพันธมิตรต่างชาติชื่อดังติดอันดับโลก เป็นตัวเจาะตลาดเฉพาะ (niche market) ที่อยู่ระดับกลางถึงบน ตั้งแต่พวกกลุ่มคนมีเงินถึงคนทำงาน เรียกว่า บันไดขั้นแรกต้องสร้างมูลค่าเพิ่มทางภาพลักษณ์ให้โดดเด่นก่อนในปีนี้
ธุรกิจกลุ่มแนเชอรัล ปาร์ค จึงสยายปีกทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่กว้างขวางออกไป มีตั้งแต่โครง การคอนโดมิเนียม, เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์, อาคารสำนักงาน, โรงแรม, รถไฟฟ้าใต้ดิน และยังเจาะลึกลงไปในธุรกิจบริการและบันเทิง ได้แก่ ร้านอาหาร, โรงละคร, ร้านค้าปลีก ซึ่งพ่วงติดกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่จะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้
การเดินหน้าจับมือพันธมิตรทางธุรกิจของ แนเชอรัล ปาร์ค ส่วนใหญ่เป็นของประเทศฝรั่งเศส เพราะเป็นต้นตำรับชื่อดังทั้งเรื่องโรงแรมและร้านอาหารเก่าแก่และมีชื่อเสียงติดอันดับโลก ซึ่งแนเชอรัล ปาร์คได้พาสื่อมวลชน บินลัดฟ้าสู่เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส พบปะทีมผู้บริหารกลุ่มพันธมิตรและชมความงามของสถาปัตยกรรมและระบบผังเมือง เช่น รถไฟฟ้าใต้ดิน เพื่อสัมผัสวิถีชีวิตประจำวันของคนฝรั่งเศส และโรงละครโอเปร่าที่คนฝรั่งเศสพร้อมจ่ายเงินเพื่อเสพความรื่นรมย์บันเทิงของละครเพลงเพื่อให้รางวัลแก่ชีวิต
"กลุ่มแอคคอร์" เป็นพันธมิตรธุรกิจรายหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านการโรงแรมและท่องเที่ยว มีเครือข่ายบริหารโรงแรม 4,000 แห่งใน 140 ประเทศทั่วโลก มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ของแถบยุโรปนี้ โรงแรมที่อยู่ในกลุ่มแอคคอร์นี้จะเป็นโซฟิเทล, โนโวเทล, ออล ซีซันส์ เป็นต้น ซึ่งมีความสามารถบริหารงานจนมีผลกำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่ 523 ล้านยูโร คิดเป็นเงินไทย 2.5 หมื่นล้านบาท
ซึ่งแนเชอรัล ปาร์ค ได้เลือกกลุ่มแอคคอร์ให้เข้ามาบริหารโรงแรมใหม่ที่จะผุดขึ้นเร็วๆ นี้ ภายใต้ชื่อ "โซฟิเทล สุขุมวิท" ซึ่งอยู่สุขุมวิทซอย 13-15 มูลค่าโครงการ 2,640 ล้านบาท เปิดตัวกลางปี 2549 เพราะได้เงื่อนไขบริหารพิเศษแบบค้ำประกันกำไร 156 ล้านบาท ในช่วง 2-11 ปีแรก และปีที่ 12-14 รับประกันกำไรไม่ต่ำกว่า 250 ล้านบาท ซึ่งทำให้ แนเชอรัล ปาร์คมั่นใจความสามารถทำกำไรที่จะกลับเข้ามาให้ผู้ถือหุ้นสบายใจได้ระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ยังเฟ้นหาพันธมิตรทางธุรกิจด้านอาหารชื่อดังและมีอายุเก่าแก่ของฝรั่งเศส "เลอโนท" เป็นผู้นำอาหารหลากหลายแขนง ทั้งร้านอาหาร เบเกอรี่ ช็อกโกแลต การบริการจัดเลี้ยงและสโมสรกว่า 10 แห่งในกรุงปารีส และยังขายไปถึงเครื่องครัวทำอาหารต่างๆ อีก ซึ่งแนเชอรัล ปาร์ค ยกบรรยากาศร้านอาหารเลอโนทในฝรั่งเศสมาจำลองไว้ใน "เลอโนท" ไทยที่สาขาแรก บนทำเล โครงการแนเชอรัล วิลล์ เอ็กเซ็กคิวทีฟ เรสซิเด้นท์ ซึ่งเป็นอพาร์ตเมนต์หรูย่านหลังสวน จะเปิดบริการได้เดือนพฤษภาคมนี้ คาดหวังจะทำรายได้กลับมาประมาณ 40 ล้านบาทได้ในปีนี้ และมีแผนจะขยายสาขาเลอโนทในไทยอีก 6 สาขา ตามทำเลทองในโครงการต่างๆ ของแนเชอรัล ปาร์ค
ล่าสุดอีกร้านอาหารที่แนเชอรัล ปาร์คเข้าไปลง ทุนซื้อเป็นเงิน 30 ล้านบาท คือร้านอาหารฝรั่งเศส "ออร์แบจ ด๊าบ" และร้าน "พาร์ค อเวนิว สเต๊กเฮ้าส์" ตั้งอยู่อาคารเมอร์คิวรี่ ย่านถนนสุขุมวิท ติดสถานีรถไฟฟ้าชิดลม ซึ่งคาดหวังว่าปีนี้ ร้านอาหาร 2 แห่งนี้จะทำกำไรกลับมาได้ 20 ล้านบาท และในอนาคตเตรียมแผนขยายสาขาในเครือข่ายโครงการ อสังหาริมทรัพย์ของบริษัทอีก 2 แห่งเป็นอย่างต่ำ
ส่วนธุรกิจร้านค้าปลีกที่ทำพ่วงกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งบริษัทในกลุ่มแนเชอรัล ปาร์คถือหุ้นในกิจการรถไฟฟ้านี้อยู่ด้วย จึงมองว่าน่าจะเป็นจุดสำคัญที่จะสร้างรายได้ในอนาคตอีก และยังมีโรงละครโอเปร่าชื่อ "สยามโอเปร่า" บนศูนย์การค้าสยามพารากอน ซึ่งจะเปิดบริการอีก 2 ปีข้างหน้านี้
โครงสร้างรายได้ของแนเชอรัล ปาร์ค ปัจจุบันนี้มีรายได้หลักจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นรายได้จากการขาย 40% และรายได้จากการให้เช่า 60% โดยมีรายได้ประจำจากโรงแรมโซฟิเทล สีลมอยู่แล้ว และอนาคตจะมีเพิ่มอีกหลายแห่งที่จะเปิดในปีหน้า คือโรงแรมเชดี เชียงใหม่ มูลค่า 1,000 ล้านบาท และเชไต ภูเก็ต มูลค่า 1,000 ล้านบาท และปี 2549 จะมีโรงแรมโซฟิเทล สุขุมวิท ที่เปิดบริการอีก ซึ่ง "เสริมสิน" ตั้งเป้าว่ารายได้จากโรงแรมเป็นรายได้ประจำที่จะเข้ามาทุกปีอย่างสม่ำเสมอ โดยปีแรกมีรายได้จากห้องพักและบริการ 385 ล้านบาท อัตราเข้าพัก 56% กำไรจากการดำเนินงาน 99 ล้านบาท, ปีที่ 2 ประมาณ 544 ล้านบาท อัตราเข้าพัก 61% กำไรจากการดำเนินงาน 146 ล้านบาท และปีที่ 3 รายได้ 615 ล้านบาท อัตราเข้าพัก 65% มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 170 ล้านบาท
การเคลื่อนไหวของแนเชอรัล ปาร์ค ไม่ได้จำกัดแคในประเทศเท่านั้น แต่ทีมผู้บริหารยังคงเดินสายตามประเทศต่างๆ เพื่อหาพันธมิตรสร้างเสริมธุรกิจให้มีมูลค่าเพิ่มและเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันมากขึ้น ซึ่งกลางสัปดาห์นี้จะประกาศลงทุนธุรกิจโรงแรมมูลค่าหลายร้อยล้านบาทในประเทศญี่ปุ่น
กลุ่มแนเชอรัล ปาร์คจึงขึ้นแท่นหุ้นเด่น "high growth" ที่น่าจับตาในกลุ่มอสังหาริม ทรัพย์
แนเชอรัล ปาร์คขึ้นแท่นหุ้นไฮโกรท สยายปีกธุรกิจไร้ขีดจำกัด
รายงาน
เร็วๆ นี้ ทาง โนมูระ ซีเคียวริตี้ ของญี่ปุ่นได้ประเมินสถานการณ์ว่า มอร์แกน สแตนเลย์ แคปปิตอล จะทบทวนการปรับปรุงดัชนีน้ำหนักลงทุนหุ้น (MSCI) ประจำปีในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งหุ้น บมจ.แนเชอรัล ปาร์ค ติดหนึ่งใน 5 หุ้นทั้งหมดจะได้เข้ามาคำนวณดัชนี MSCI รอบนี้ เพราะเป็นหุ้นอสังหาริมทรัพย์รายเดียวที่มีธุรกิจหลากหลาย และมีมูลค่าราคาตลาดรวม 796 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนมูลค่าการซื้อขายหุ้นในตลาดอยู่ที่ 3.71 ล้านเหรียญสหรัฐ ราคาหุ้นอยู่ที่บริเวณ 3.90 บาท ทำให้มีน้ำหนักในการคำนวณดัชนี MSCI ประมาณ 1.3% ของทั้งหมด
จุดเปลี่ยนของแนเชอรัล ปาร์คในวันนี้ หลังจากฝ่าวิกฤตปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จได้แล้ว ทีมผู้ บริหารได้กำหนดทิศทางรุกธุรกิจให้เข้มข้นขึ้น จึงมีการลงทุนต่างๆ มากมายทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงด้านผลดำเนินงานของบริษัทที่เกิดขึ้นในปีนี้ ซึ่งกว่าจะออกดอกออกผลกำไรจากการลงทุนได้ชัดเจนต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1-2 ปี
"เสริมสิน สมะลาภา" กรรมการผู้จัดการบริษัท ได้ตั้งเป้าหมายให้แนเชอรัล ปาร์คเป็นกึ่ง โฮลดิ้ง คอมปะนี คือทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และลงทุนในธุรกิจบริษัทย่อยต่างๆ จึงมีทั้งโครงการ ของบริษัทเองและของบริษัทย่อยต่างๆ ทำให้มีธุรกิจหลากหลายที่จะสร้างผลกำไรกลับมาจากที่ดำเนินการแล้วและที่กำลังขยายในอนาคต ซึ่งธุรกิจต่างๆ ล้วนเกี่ยวเนื่องกันและครอบคลุมวิถีการดำเนินชีวิตของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแบบครบวงจร โดยเน้นทำธุรกิจที่อิงตามเศรษฐกิจโตและสอดรับกับนโยบายรัฐบาลที่ให้ไทยเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยวในเอเชีย จึงวางจุดยุทธศาสตร์ธุรกิจเรื่อง "ทำเลทอง" เป็นตัวขาย และการดึงพันธมิตรต่างชาติชื่อดังติดอันดับโลก เป็นตัวเจาะตลาดเฉพาะ (niche market) ที่อยู่ระดับกลางถึงบน ตั้งแต่พวกกลุ่มคนมีเงินถึงคนทำงาน เรียกว่า บันไดขั้นแรกต้องสร้างมูลค่าเพิ่มทางภาพลักษณ์ให้โดดเด่นก่อนในปีนี้
ธุรกิจกลุ่มแนเชอรัล ปาร์ค จึงสยายปีกทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่กว้างขวางออกไป มีตั้งแต่โครง การคอนโดมิเนียม, เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์, อาคารสำนักงาน, โรงแรม, รถไฟฟ้าใต้ดิน และยังเจาะลึกลงไปในธุรกิจบริการและบันเทิง ได้แก่ ร้านอาหาร, โรงละคร, ร้านค้าปลีก ซึ่งพ่วงติดกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่จะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้
การเดินหน้าจับมือพันธมิตรทางธุรกิจของ แนเชอรัล ปาร์ค ส่วนใหญ่เป็นของประเทศฝรั่งเศส เพราะเป็นต้นตำรับชื่อดังทั้งเรื่องโรงแรมและร้านอาหารเก่าแก่และมีชื่อเสียงติดอันดับโลก ซึ่งแนเชอรัล ปาร์คได้พาสื่อมวลชน บินลัดฟ้าสู่เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส พบปะทีมผู้บริหารกลุ่มพันธมิตรและชมความงามของสถาปัตยกรรมและระบบผังเมือง เช่น รถไฟฟ้าใต้ดิน เพื่อสัมผัสวิถีชีวิตประจำวันของคนฝรั่งเศส และโรงละครโอเปร่าที่คนฝรั่งเศสพร้อมจ่ายเงินเพื่อเสพความรื่นรมย์บันเทิงของละครเพลงเพื่อให้รางวัลแก่ชีวิต
"กลุ่มแอคคอร์" เป็นพันธมิตรธุรกิจรายหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านการโรงแรมและท่องเที่ยว มีเครือข่ายบริหารโรงแรม 4,000 แห่งใน 140 ประเทศทั่วโลก มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ของแถบยุโรปนี้ โรงแรมที่อยู่ในกลุ่มแอคคอร์นี้จะเป็นโซฟิเทล, โนโวเทล, ออล ซีซันส์ เป็นต้น ซึ่งมีความสามารถบริหารงานจนมีผลกำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่ 523 ล้านยูโร คิดเป็นเงินไทย 2.5 หมื่นล้านบาท
ซึ่งแนเชอรัล ปาร์ค ได้เลือกกลุ่มแอคคอร์ให้เข้ามาบริหารโรงแรมใหม่ที่จะผุดขึ้นเร็วๆ นี้ ภายใต้ชื่อ "โซฟิเทล สุขุมวิท" ซึ่งอยู่สุขุมวิทซอย 13-15 มูลค่าโครงการ 2,640 ล้านบาท เปิดตัวกลางปี 2549 เพราะได้เงื่อนไขบริหารพิเศษแบบค้ำประกันกำไร 156 ล้านบาท ในช่วง 2-11 ปีแรก และปีที่ 12-14 รับประกันกำไรไม่ต่ำกว่า 250 ล้านบาท ซึ่งทำให้ แนเชอรัล ปาร์คมั่นใจความสามารถทำกำไรที่จะกลับเข้ามาให้ผู้ถือหุ้นสบายใจได้ระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ยังเฟ้นหาพันธมิตรทางธุรกิจด้านอาหารชื่อดังและมีอายุเก่าแก่ของฝรั่งเศส "เลอโนท" เป็นผู้นำอาหารหลากหลายแขนง ทั้งร้านอาหาร เบเกอรี่ ช็อกโกแลต การบริการจัดเลี้ยงและสโมสรกว่า 10 แห่งในกรุงปารีส และยังขายไปถึงเครื่องครัวทำอาหารต่างๆ อีก ซึ่งแนเชอรัล ปาร์ค ยกบรรยากาศร้านอาหารเลอโนทในฝรั่งเศสมาจำลองไว้ใน "เลอโนท" ไทยที่สาขาแรก บนทำเล โครงการแนเชอรัล วิลล์ เอ็กเซ็กคิวทีฟ เรสซิเด้นท์ ซึ่งเป็นอพาร์ตเมนต์หรูย่านหลังสวน จะเปิดบริการได้เดือนพฤษภาคมนี้ คาดหวังจะทำรายได้กลับมาประมาณ 40 ล้านบาทได้ในปีนี้ และมีแผนจะขยายสาขาเลอโนทในไทยอีก 6 สาขา ตามทำเลทองในโครงการต่างๆ ของแนเชอรัล ปาร์ค
ล่าสุดอีกร้านอาหารที่แนเชอรัล ปาร์คเข้าไปลง ทุนซื้อเป็นเงิน 30 ล้านบาท คือร้านอาหารฝรั่งเศส "ออร์แบจ ด๊าบ" และร้าน "พาร์ค อเวนิว สเต๊กเฮ้าส์" ตั้งอยู่อาคารเมอร์คิวรี่ ย่านถนนสุขุมวิท ติดสถานีรถไฟฟ้าชิดลม ซึ่งคาดหวังว่าปีนี้ ร้านอาหาร 2 แห่งนี้จะทำกำไรกลับมาได้ 20 ล้านบาท และในอนาคตเตรียมแผนขยายสาขาในเครือข่ายโครงการ อสังหาริมทรัพย์ของบริษัทอีก 2 แห่งเป็นอย่างต่ำ
ส่วนธุรกิจร้านค้าปลีกที่ทำพ่วงกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งบริษัทในกลุ่มแนเชอรัล ปาร์คถือหุ้นในกิจการรถไฟฟ้านี้อยู่ด้วย จึงมองว่าน่าจะเป็นจุดสำคัญที่จะสร้างรายได้ในอนาคตอีก และยังมีโรงละครโอเปร่าชื่อ "สยามโอเปร่า" บนศูนย์การค้าสยามพารากอน ซึ่งจะเปิดบริการอีก 2 ปีข้างหน้านี้
โครงสร้างรายได้ของแนเชอรัล ปาร์ค ปัจจุบันนี้มีรายได้หลักจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นรายได้จากการขาย 40% และรายได้จากการให้เช่า 60% โดยมีรายได้ประจำจากโรงแรมโซฟิเทล สีลมอยู่แล้ว และอนาคตจะมีเพิ่มอีกหลายแห่งที่จะเปิดในปีหน้า คือโรงแรมเชดี เชียงใหม่ มูลค่า 1,000 ล้านบาท และเชไต ภูเก็ต มูลค่า 1,000 ล้านบาท และปี 2549 จะมีโรงแรมโซฟิเทล สุขุมวิท ที่เปิดบริการอีก ซึ่ง "เสริมสิน" ตั้งเป้าว่ารายได้จากโรงแรมเป็นรายได้ประจำที่จะเข้ามาทุกปีอย่างสม่ำเสมอ โดยปีแรกมีรายได้จากห้องพักและบริการ 385 ล้านบาท อัตราเข้าพัก 56% กำไรจากการดำเนินงาน 99 ล้านบาท, ปีที่ 2 ประมาณ 544 ล้านบาท อัตราเข้าพัก 61% กำไรจากการดำเนินงาน 146 ล้านบาท และปีที่ 3 รายได้ 615 ล้านบาท อัตราเข้าพัก 65% มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 170 ล้านบาท
การเคลื่อนไหวของแนเชอรัล ปาร์ค ไม่ได้จำกัดแคในประเทศเท่านั้น แต่ทีมผู้บริหารยังคงเดินสายตามประเทศต่างๆ เพื่อหาพันธมิตรสร้างเสริมธุรกิจให้มีมูลค่าเพิ่มและเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันมากขึ้น ซึ่งกลางสัปดาห์นี้จะประกาศลงทุนธุรกิจโรงแรมมูลค่าหลายร้อยล้านบาทในประเทศญี่ปุ่น
กลุ่มแนเชอรัล ปาร์คจึงขึ้นแท่นหุ้นเด่น "high growth" ที่น่าจับตาในกลุ่มอสังหาริม ทรัพย์