บทความ ของท่านอาจรย์ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 21สค 2010
-
- Verified User
- โพสต์: 503
- ผู้ติดตาม: 0
บทความ ของท่านอาจรย์ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 21สค 2010
โพสต์ที่ 1
ทฤษฎีเล่นหุ้นของนักลงทุน
โลกในมุมมองของ Value Investor 21 สิงหาคม 53
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมเรียนจบปริญญาเอกทางด้านการเงินในสาขาการลงทุน และได้เรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฎีการเงินต่าง ๆ มากมาย ทฤษฎีเหล่านั้น แน่นอน ก่อนที่จะเป็นที่ยอมรับต้องได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นจริงโดยใช้ตัวเลขทางสถิติ แต่พอมาเป็นนักปฏิบัติ เป็นนักลงทุนจริง ๆ ผมก็พบว่า ยังมีทฤษฎีอีกมากมายที่มีการพูดกันโดยที่ไม่มีการพิสูจน์ ไม่มีการใช้สถิติ แต่เป็นเรื่องที่มาจากประสบการณ์ของคนในวงการที่พูดแล้วมีคนเห็นด้วยและเชื่อว่าน่าจะเป็นความจริง ผมเองเห็นว่าเป็นเรื่องน่าสนใจและอาจจะเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันจึงนำเสนอทฤษฎีการลงทุนซักสองเรื่องดังต่อไปนี้
ทฤษฎีแรกคือ ทฤษฎี งานค็อกเทล ซึ่งเสนอโดย ปีเตอร์ ลินช์ ทฤษฎีนี้บอกว่าภาวะหรือดัชนีตลาดหุ้นนั้น สามารถทำนายได้จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงแบบค็อกเทลที่ตัวเขาซึ่งเป็นผู้บริหารกองทุนรวมจะประสบ นั่นคือ
ในช่วงที่ 1) ซึ่งมักจะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นได้ตกลงมาระยะหนึ่งแล้วและไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะขึ้นมาได้อีก คนในงานจะไม่มีใครพูดถึงตลาดหุ้น ที่จริงถ้าพวกเขารู้ว่าลินช์เป็น ผู้บริหารกองทุนรวม พวกเขาก็จะพยักหน้าอย่างสุภาพแล้วก็จะรีบเดินจากไป หรือไม่อย่างนั้นก็จะเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วไปเป็นเรื่องการแข่งฟุตบอลหรือเรื่องการเลือกตั้งที่กำลังมาถึง ในไม่ช้าก็จะหันไปคุยกับหมอฟันเรื่องฟันผุมากกว่า ถ้าลินช์เจอสถานการณ์แบบนี้ ที่คนยินดีที่จะพูดกับหมอฟันมากกว่าผู้จัดการกองทุน เขาบอกว่าเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นกำลังจะขึ้นแล้ว เตรียมเก็บหุ้นได้
ช่วงที่ 2) เมื่อลินช์แนะนำตัวว่าทำมาหากินอะไรแล้ว คนหน้าใหม่จะอ้อยอิ่งอยู่กับเขานานขึ้นเล็กน้อย บางทีอาจจะนานพอที่จะพูดกับเขาว่าหุ้นนั้นมีความเสี่ยงแค่ไหนก่อนที่จะย้ายไปพูดคุยกับหมอฟัน อย่างไรก็ตาม คนก็ยังอยากพูดคุยกับหมอฟันมากกว่า เซียนหุ้น ขณะนั้นหุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้นมาแล้วจากช่วงที่หนึ่งประมาณ 15% แต่คนก็ยังไม่ค่อยใส่ใจ ช่วงนี้หุ้นก็น่าจะยังดีอยู่
ช่วงที่ 3) ขณะนี้ดัชนีหุ้นอาจจะปรับตัวขึ้นไป 30% แล้วจากช่วงที่หนึ่ง กลุ่มคนที่สนใจจะเลิกสนใจหมอฟันและหันมาล้อม ปีเตอร์ ลินช์ คนแล้วคนเล่าจะพยายามดึงเขาออกมาอยู่ข้าง ๆ ห้องเพื่อที่จะคุยกับเขาเกี่ยวกับหุ้น แม้แต่หมอฟันก็ยังถามเขาว่าควรจะซื้อหุ้นตัวไหน ทุกคนในงานดูเหมือนจะได้ใช้เงินซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งไปแล้วและต่างก็สนทนากันว่าเกิดอะไรขึ้น
ช่วงที่ 4) นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ ปีเตอร์ ลินช์ จะถูกแขกในงานห้อมล้อม แต่ครั้งนี้จะเป็นคนอื่นที่จะบอกกับลินช์ว่าหุ้นตัวไหนที่เขาควรซื้อ แม้แต่หมอฟันก็ยังมี หุ้นเด็ด ให้เขา 3-4 ตัว และในเวลา 2-3 วันต่อมาเมื่อเขาเปิดหนังสือพิมพ์ดูก็พบว่าหุ้นที่แนะนำทุกตัวนั้นขึ้นกันหมด ลินช์บอกว่าเมื่อเพื่อนบ้านหรือคนในงานเลี้ยงบอกว่าควรจะซื้อหุ้นตัวไหนและเขาหวังว่าตนเองจะได้เชื่อคำแนะนำนั้น มันก็เป็นสัญญาณที่แน่ชัดว่า ตลาดหุ้นได้ขึ้นไปถึงยอดดอยและพร้อมที่จะตกแล้ว รีบขายหุ้นเสียถ้าคุณเป็นนักเล่นหุ้น
ถ้าถามว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยเราในช่วงนี้เป็นอย่างไร? ผมวิเคราะห์โดยใช้ประสบการณ์ส่วนตัวในฐานะที่เป็นคนที่อยู่ในแวดวงการลงทุนมานานและมักได้สัมผัสกับนักลงทุนเป็นจำนวนมาก ผมคิดว่าตลาดหุ้นไทยกำลังอยู่ในช่วงที่สามช่วงท้าย ๆ นั่นก็คือ มีคนสนใจและถามเรื่องตลาดหุ้นและตัวหุ้นกับผมเป็นจำนวนมาก บางคนก็เริ่มแนะนำหุ้นให้ผมและผมพบว่าหุ้นเหล่านั้นปรับตัวขึ้นเร็วมากและผมเสียดายที่ไม่ได้ซื้อไว้ ซึ่งนี่เป็นสัญญาณของช่วงที่สี่ อย่างไรก็ตาม คนที่แนะนำผมนั้น ยังไม่ใช่ หมอฟัน หรือคนที่เป็นมือใหม่อย่างในทฤษฎีของ ปีเตอร์ ลินช์
ทฤษฎีที่สองผมขอเรียกว่า ทฤษฎี ปลาใหญ่-ปลาเล็ก นี่เป็นทฤษฎีของใครผมไม่ค่อยแน่ใจ แต่ถ้าจำไม่ผิด คุณไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีตผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเคยพูดไว้ เขาพูดว่าการเล่นหุ้นในตลาดนั้น บางทีก็เหมือนกับการหากินของฝูงปลา ที่มักไปกันเป็นฝูง นั่นคือ ปลาตัวใหญ่จะว่ายนำ ส่วนปลาตัวเล็กจะว่ายตาม ในยามที่อาหารอุดมสมบูรณ์ ปลาทุกตัวต่างก็อิ่มหมีพีมันกันหมด แต่เมื่ออาหารร่อยหรอไปจนหมด สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ปลาใหญ่ก็จะหันกลับมากินปลาเล็กเป็นอาหารแทน
เปรียบไปก็เหมือนกับการเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ขาใหญ่ หรือนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดนั้น ในยามที่ภาวะตลาดดี พวกเขาก็มักจะเป็นผู้ ซื้อนำ ในหุ้นบางตัวที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเก็งกำไร เช่น กำลังมีผลประกอบการที่ดีเยี่ยม มีข่าวน่าตื่นเต้น และเป็นหุ้นที่มีขนาดเล็กหรือไม่ใหญ่เกินไป เป็นต้น การซื้อนำพร้อม ๆ กับการกระจายข่าวออกไปในตลาดนั้น ทำให้นักเล่นหุ้นรายย่อยจำนวนมากแห่ซื้อตาม ผลก็คือ ราคาหุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้นไปอย่างโดดเด่น คนที่เข้ามาลงทุนเกือบทุกคนต่างก็ อิ่ม หรือได้กำไรกันหมด ทุกคนมีความสุข อย่างไรก็ตาม พอถึงจุดที่ตลาดตกต่ำหรือหุ้นที่ถูกนำมาเล่นตกลงมาอย่างแรงเนื่องจากเหตุผลอะไรก็ตาม รายย่อยต่างก็ขาดทุนกันจำนวนมาก แต่รายใหญ่ซึ่งเป็นคนซื้อนำนั้น มักจะขายหุ้นทำกำไรไปก่อนแล้ว นี่เท่ากับว่า ในท้ายที่สุด นักลงทุนรายใหญ่ก็ กิน นักลงทุนรายย่อยหลาย ๆ คนที่ หนี หรือขายหุ้นไม่ทันก่อนที่มันจะตกลงมา
ถ้าถามว่าผมเชื่อในทฤษฎีทั้งสองหรือไม่? คำตอบก็คือ ผมคิดว่ามันมีส่วนที่เป็นจริงอยู่พอสมควรทีเดียว แต่ถ้าถามว่าผมจะมีปฏิกริยาอย่างไร? คำตอบสำหรับทฤษฎีของ ปีเตอร์ ลินช์ ก็เช่นเดียวกับความคิดของตัว ปีเตอร์ ลินช์ เอง นั่นก็คือ ผมไม่สนใจเรื่องภาวะตลาดหุ้น ผมคิดว่าหากหุ้นที่ผมถือนั้นเป็นกิจการที่ดีเยี่ยม มันก็มักดูแลตัวมันเองได้ไม่ว่าในภาวะตลาดไหน ส่วนในทฤษฎีที่สองนั้น ผมก็ต้องสร้าง วินัย ให้กับตัวเองว่า เราจะไม่เป็น ปลาเล็ก จริงอยู่ เราอาจจะ อิ่มท้อง หรือทำกำไรได้ง่าย ๆ จากการ หากิน หรือซื้อหุ้นตาม ปลาใหญ่ หรือรายใหญ่ที่กำลัง โปรโมต หุ้น เพราะผมคิดว่าการทำแบบนี้มีความเสี่ยงพอสมควร และถ้ามันเกิดขึ้น คุณก็จะกลายเป็น อาหาร นั่นก็คือ เสียหายหนักจากการลงทุนได้
โลกในมุมมองของ Value Investor 21 สิงหาคม 53
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมเรียนจบปริญญาเอกทางด้านการเงินในสาขาการลงทุน และได้เรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฎีการเงินต่าง ๆ มากมาย ทฤษฎีเหล่านั้น แน่นอน ก่อนที่จะเป็นที่ยอมรับต้องได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นจริงโดยใช้ตัวเลขทางสถิติ แต่พอมาเป็นนักปฏิบัติ เป็นนักลงทุนจริง ๆ ผมก็พบว่า ยังมีทฤษฎีอีกมากมายที่มีการพูดกันโดยที่ไม่มีการพิสูจน์ ไม่มีการใช้สถิติ แต่เป็นเรื่องที่มาจากประสบการณ์ของคนในวงการที่พูดแล้วมีคนเห็นด้วยและเชื่อว่าน่าจะเป็นความจริง ผมเองเห็นว่าเป็นเรื่องน่าสนใจและอาจจะเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันจึงนำเสนอทฤษฎีการลงทุนซักสองเรื่องดังต่อไปนี้
ทฤษฎีแรกคือ ทฤษฎี งานค็อกเทล ซึ่งเสนอโดย ปีเตอร์ ลินช์ ทฤษฎีนี้บอกว่าภาวะหรือดัชนีตลาดหุ้นนั้น สามารถทำนายได้จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงแบบค็อกเทลที่ตัวเขาซึ่งเป็นผู้บริหารกองทุนรวมจะประสบ นั่นคือ
ในช่วงที่ 1) ซึ่งมักจะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นได้ตกลงมาระยะหนึ่งแล้วและไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะขึ้นมาได้อีก คนในงานจะไม่มีใครพูดถึงตลาดหุ้น ที่จริงถ้าพวกเขารู้ว่าลินช์เป็น ผู้บริหารกองทุนรวม พวกเขาก็จะพยักหน้าอย่างสุภาพแล้วก็จะรีบเดินจากไป หรือไม่อย่างนั้นก็จะเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วไปเป็นเรื่องการแข่งฟุตบอลหรือเรื่องการเลือกตั้งที่กำลังมาถึง ในไม่ช้าก็จะหันไปคุยกับหมอฟันเรื่องฟันผุมากกว่า ถ้าลินช์เจอสถานการณ์แบบนี้ ที่คนยินดีที่จะพูดกับหมอฟันมากกว่าผู้จัดการกองทุน เขาบอกว่าเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นกำลังจะขึ้นแล้ว เตรียมเก็บหุ้นได้
ช่วงที่ 2) เมื่อลินช์แนะนำตัวว่าทำมาหากินอะไรแล้ว คนหน้าใหม่จะอ้อยอิ่งอยู่กับเขานานขึ้นเล็กน้อย บางทีอาจจะนานพอที่จะพูดกับเขาว่าหุ้นนั้นมีความเสี่ยงแค่ไหนก่อนที่จะย้ายไปพูดคุยกับหมอฟัน อย่างไรก็ตาม คนก็ยังอยากพูดคุยกับหมอฟันมากกว่า เซียนหุ้น ขณะนั้นหุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้นมาแล้วจากช่วงที่หนึ่งประมาณ 15% แต่คนก็ยังไม่ค่อยใส่ใจ ช่วงนี้หุ้นก็น่าจะยังดีอยู่
ช่วงที่ 3) ขณะนี้ดัชนีหุ้นอาจจะปรับตัวขึ้นไป 30% แล้วจากช่วงที่หนึ่ง กลุ่มคนที่สนใจจะเลิกสนใจหมอฟันและหันมาล้อม ปีเตอร์ ลินช์ คนแล้วคนเล่าจะพยายามดึงเขาออกมาอยู่ข้าง ๆ ห้องเพื่อที่จะคุยกับเขาเกี่ยวกับหุ้น แม้แต่หมอฟันก็ยังถามเขาว่าควรจะซื้อหุ้นตัวไหน ทุกคนในงานดูเหมือนจะได้ใช้เงินซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งไปแล้วและต่างก็สนทนากันว่าเกิดอะไรขึ้น
ช่วงที่ 4) นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ ปีเตอร์ ลินช์ จะถูกแขกในงานห้อมล้อม แต่ครั้งนี้จะเป็นคนอื่นที่จะบอกกับลินช์ว่าหุ้นตัวไหนที่เขาควรซื้อ แม้แต่หมอฟันก็ยังมี หุ้นเด็ด ให้เขา 3-4 ตัว และในเวลา 2-3 วันต่อมาเมื่อเขาเปิดหนังสือพิมพ์ดูก็พบว่าหุ้นที่แนะนำทุกตัวนั้นขึ้นกันหมด ลินช์บอกว่าเมื่อเพื่อนบ้านหรือคนในงานเลี้ยงบอกว่าควรจะซื้อหุ้นตัวไหนและเขาหวังว่าตนเองจะได้เชื่อคำแนะนำนั้น มันก็เป็นสัญญาณที่แน่ชัดว่า ตลาดหุ้นได้ขึ้นไปถึงยอดดอยและพร้อมที่จะตกแล้ว รีบขายหุ้นเสียถ้าคุณเป็นนักเล่นหุ้น
ถ้าถามว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยเราในช่วงนี้เป็นอย่างไร? ผมวิเคราะห์โดยใช้ประสบการณ์ส่วนตัวในฐานะที่เป็นคนที่อยู่ในแวดวงการลงทุนมานานและมักได้สัมผัสกับนักลงทุนเป็นจำนวนมาก ผมคิดว่าตลาดหุ้นไทยกำลังอยู่ในช่วงที่สามช่วงท้าย ๆ นั่นก็คือ มีคนสนใจและถามเรื่องตลาดหุ้นและตัวหุ้นกับผมเป็นจำนวนมาก บางคนก็เริ่มแนะนำหุ้นให้ผมและผมพบว่าหุ้นเหล่านั้นปรับตัวขึ้นเร็วมากและผมเสียดายที่ไม่ได้ซื้อไว้ ซึ่งนี่เป็นสัญญาณของช่วงที่สี่ อย่างไรก็ตาม คนที่แนะนำผมนั้น ยังไม่ใช่ หมอฟัน หรือคนที่เป็นมือใหม่อย่างในทฤษฎีของ ปีเตอร์ ลินช์
ทฤษฎีที่สองผมขอเรียกว่า ทฤษฎี ปลาใหญ่-ปลาเล็ก นี่เป็นทฤษฎีของใครผมไม่ค่อยแน่ใจ แต่ถ้าจำไม่ผิด คุณไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีตผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเคยพูดไว้ เขาพูดว่าการเล่นหุ้นในตลาดนั้น บางทีก็เหมือนกับการหากินของฝูงปลา ที่มักไปกันเป็นฝูง นั่นคือ ปลาตัวใหญ่จะว่ายนำ ส่วนปลาตัวเล็กจะว่ายตาม ในยามที่อาหารอุดมสมบูรณ์ ปลาทุกตัวต่างก็อิ่มหมีพีมันกันหมด แต่เมื่ออาหารร่อยหรอไปจนหมด สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ปลาใหญ่ก็จะหันกลับมากินปลาเล็กเป็นอาหารแทน
เปรียบไปก็เหมือนกับการเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ขาใหญ่ หรือนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดนั้น ในยามที่ภาวะตลาดดี พวกเขาก็มักจะเป็นผู้ ซื้อนำ ในหุ้นบางตัวที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเก็งกำไร เช่น กำลังมีผลประกอบการที่ดีเยี่ยม มีข่าวน่าตื่นเต้น และเป็นหุ้นที่มีขนาดเล็กหรือไม่ใหญ่เกินไป เป็นต้น การซื้อนำพร้อม ๆ กับการกระจายข่าวออกไปในตลาดนั้น ทำให้นักเล่นหุ้นรายย่อยจำนวนมากแห่ซื้อตาม ผลก็คือ ราคาหุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้นไปอย่างโดดเด่น คนที่เข้ามาลงทุนเกือบทุกคนต่างก็ อิ่ม หรือได้กำไรกันหมด ทุกคนมีความสุข อย่างไรก็ตาม พอถึงจุดที่ตลาดตกต่ำหรือหุ้นที่ถูกนำมาเล่นตกลงมาอย่างแรงเนื่องจากเหตุผลอะไรก็ตาม รายย่อยต่างก็ขาดทุนกันจำนวนมาก แต่รายใหญ่ซึ่งเป็นคนซื้อนำนั้น มักจะขายหุ้นทำกำไรไปก่อนแล้ว นี่เท่ากับว่า ในท้ายที่สุด นักลงทุนรายใหญ่ก็ กิน นักลงทุนรายย่อยหลาย ๆ คนที่ หนี หรือขายหุ้นไม่ทันก่อนที่มันจะตกลงมา
ถ้าถามว่าผมเชื่อในทฤษฎีทั้งสองหรือไม่? คำตอบก็คือ ผมคิดว่ามันมีส่วนที่เป็นจริงอยู่พอสมควรทีเดียว แต่ถ้าถามว่าผมจะมีปฏิกริยาอย่างไร? คำตอบสำหรับทฤษฎีของ ปีเตอร์ ลินช์ ก็เช่นเดียวกับความคิดของตัว ปีเตอร์ ลินช์ เอง นั่นก็คือ ผมไม่สนใจเรื่องภาวะตลาดหุ้น ผมคิดว่าหากหุ้นที่ผมถือนั้นเป็นกิจการที่ดีเยี่ยม มันก็มักดูแลตัวมันเองได้ไม่ว่าในภาวะตลาดไหน ส่วนในทฤษฎีที่สองนั้น ผมก็ต้องสร้าง วินัย ให้กับตัวเองว่า เราจะไม่เป็น ปลาเล็ก จริงอยู่ เราอาจจะ อิ่มท้อง หรือทำกำไรได้ง่าย ๆ จากการ หากิน หรือซื้อหุ้นตาม ปลาใหญ่ หรือรายใหญ่ที่กำลัง โปรโมต หุ้น เพราะผมคิดว่าการทำแบบนี้มีความเสี่ยงพอสมควร และถ้ามันเกิดขึ้น คุณก็จะกลายเป็น อาหาร นั่นก็คือ เสียหายหนักจากการลงทุนได้
- simpleBE
- Verified User
- โพสต์: 2335
- ผู้ติดตาม: 0
บทความ ของท่านอาจรย์ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 21สค 2010
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณครับ
- SunShine@Night
- Verified User
- โพสต์: 2196
- ผู้ติดตาม: 0
บทความ ของท่านอาจรย์ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 21สค 2010
โพสต์ที่ 13
ขอบคุณครับ
VI ฝึกหัด สำนักปีเตอร์ ลินช์
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
- hsf
- Verified User
- โพสต์: 256
- ผู้ติดตาม: 0
บทความ ของท่านอาจรย์ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 21สค 2010
โพสต์ที่ 14
ขอบคุณมากครับบทความเตือนสติ
อ่านแล้วหนาวชอบกล แถมใกล้โดนซื้อเงินสดด้วย
:shock: :shock: :shock: :shock:
เอาไงดี ถือต่อละกัน ต้นทุนต่ำแถมเหตุผลที่ซื้อเพราะชอบในสินค้าของ บ. ไม่ใช้ปลาใหญ่ซื้อนำ เพราะซื้อไว้ก่อน งั้นไม่ขายละกันปล่อยไป
อ่านแล้วหนาวชอบกล แถมใกล้โดนซื้อเงินสดด้วย
:shock: :shock: :shock: :shock:
เอาไงดี ถือต่อละกัน ต้นทุนต่ำแถมเหตุผลที่ซื้อเพราะชอบในสินค้าของ บ. ไม่ใช้ปลาใหญ่ซื้อนำ เพราะซื้อไว้ก่อน งั้นไม่ขายละกันปล่อยไป
ฟ้าหลังฝนย่อมสดใส แต่ทำไมฝนตกนานจัง
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
บทความ ของท่านอาจรย์ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 21สค 2010
โพสต์ที่ 15
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
- unnop.t
- Verified User
- โพสต์: 924
- ผู้ติดตาม: 1
บทความ ของท่านอาจรย์ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 21สค 2010
โพสต์ที่ 18
ช่วงนี้อาจารย์มาสะกิดเตือนบ่อย ๆ
นึกถึงคำพูดที่บอกว่า เมื่อใดที่คนที่มีอำนาจเงินซื้อตาม เปลี่ยนมาเป็นผู้ซื้อนำ ราคาจะวิ่งไปสูงเกินจริง ตามแรงความโลภ
นึกถึงคำพูดที่บอกว่า เมื่อใดที่คนที่มีอำนาจเงินซื้อตาม เปลี่ยนมาเป็นผู้ซื้อนำ ราคาจะวิ่งไปสูงเกินจริง ตามแรงความโลภ
ตลาดหุ้นมักจะหลอกเราด้วย ความโลภ และความกลัว.....
-
- Verified User
- โพสต์: 166
- ผู้ติดตาม: 0
บทความ ของท่านอาจรย์ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 21สค 2010
โพสต์ที่ 20
ค่อนข้างเห็นด้วยกับอาจารย์เลยครับ ว่า ณ ขณะนี้ อยู่ในช่วงที่สามแล้ว
แต่จะสามต้นๆหรือปลายๆ อันนี้ไม่ทราบครับ เพราะ กลุ่มคนรู้จักไม่กว้างขวาง
ผมไม่ได้มีพฤติกรรมฝูงนะครับ 55+ แต่เหตุการณ์มันเกิดขึ้นจริงกับคนใกล้ตัวหลายๆคน :lol:
แต่จะสามต้นๆหรือปลายๆ อันนี้ไม่ทราบครับ เพราะ กลุ่มคนรู้จักไม่กว้างขวาง
ผมไม่ได้มีพฤติกรรมฝูงนะครับ 55+ แต่เหตุการณ์มันเกิดขึ้นจริงกับคนใกล้ตัวหลายๆคน :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 94
- ผู้ติดตาม: 0
บทความ ของท่านอาจรย์ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 21สค 2010
โพสต์ที่ 22
ใกล้ได้ซื้อแล้วใช่มั๋ย อิอิ
- boat37564
- Verified User
- โพสต์: 105
- ผู้ติดตาม: 0
บทความ ของท่านอาจรย์ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 21สค 2010
โพสต์ที่ 24
เอาเวบมาฝากครับ
www.nidambe11.net
สำหรับคนที่สนใจอยากจะอ่านบทความของอาจารย์ย้อนหลัง
รู้สึกว่าจะมีของ 2-3 ปีย้อนหลังเลยนะครับ
www.nidambe11.net
สำหรับคนที่สนใจอยากจะอ่านบทความของอาจารย์ย้อนหลัง
รู้สึกว่าจะมีของ 2-3 ปีย้อนหลังเลยนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 503
- ผู้ติดตาม: 0
บทความ ของท่านอาจรย์ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 21สค 2010
โพสต์ที่ 26
เป็นความรู้สึกจากประสบการณ์ที่เจอมรสุมมาหลายครั้ง
เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะครับ
คนกลัวๆเเล้วราคาก็ดูไม่ถูกเลยเเต่มันก็sideway up ไปเรื่อยๆ จนบรรดา
ไทยมุงทนไม่ไหวเเปลงร่างกลายเป็นเเมลงยอดฮิต
สถานะการณ์เสียวๆเเต่ได้เงินไปอีกพักใหญ่
ก่อนนำข้อมูลนี้ไปใช้ขอเน้นเป็นความรู้สึก ล้วนๆ อาจจะอ้างอิงกับประ
สบกราณ์ส่วนตัว เเต่ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะเป็นไปตามนี้ โปรดพิจารณา
เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะครับ
คนกลัวๆเเล้วราคาก็ดูไม่ถูกเลยเเต่มันก็sideway up ไปเรื่อยๆ จนบรรดา
ไทยมุงทนไม่ไหวเเปลงร่างกลายเป็นเเมลงยอดฮิต
สถานะการณ์เสียวๆเเต่ได้เงินไปอีกพักใหญ่
ก่อนนำข้อมูลนี้ไปใช้ขอเน้นเป็นความรู้สึก ล้วนๆ อาจจะอ้างอิงกับประ
สบกราณ์ส่วนตัว เเต่ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะเป็นไปตามนี้ โปรดพิจารณา
-
- Verified User
- โพสต์: 20
- ผู้ติดตาม: 0
บทความ ของท่านอาจรย์ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 21สค 2010
โพสต์ที่ 27
หนังสือหุ้นติด best sellerในร้านหนังสือใหญ่ๆหลายเล่ม เท่าที่เคยสังเกตุมาหลายปี ไม่เคยเจอมาก่อน คนพูดถึงตลาดหุ้นมากขึ้น มีคนลาออกจากงานมาเล่นหุ้นเต็มตัว
-
- Verified User
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 1
บทความ ของท่านอาจรย์ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 21สค 2010
โพสต์ที่ 28
ในนี้ใครจะสร้างทฤษฎีใหม่บ้างนะ :D
-
- Verified User
- โพสต์: 46
- ผู้ติดตาม: 1
บทความ ของท่านอาจรย์ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 21สค 2010
โพสต์ที่ 30
ผมคิดว่าดร.นิเวศน์ออกบทความนี้มาได้ถูกจังหวะ สะท้อนบรรยากาศที่เกิดขึ้นตอนนี้จริงๆ ผมเองก็ิถามตัวเองมาได้สักพัก จะลดพอร์ตดีหรือเปล่า
ผมเห็นว่า คนใหม่ๆเข้ามาสนใจหุ้นเยอะจนน่ากลัว เพราะคนที่เข้ามาที่เข้ามาไม่นานเนื่่องจากเห็นว่าน่าจะกำไรได้ง่ายจากหุ้น มักจะ (แต่ไม่เสมอไป)ไม่ได้ศึกษาข้อมูลมากนัก จึงมีแนวโน้มจะเข้ามาซื้อไล่เพื่อหวังกำไรในอนาคต ตามข่าวเป็นหลัก จนอาจจะกลายเป็นคนดันให้ราคาหุ้นสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นคนเหล่านี้เป็นตัวเร่งราคาหุ้น
คำถามที่อยากจะขอให้ช่วยกันวิเคราะห์ครับ
1. คนที่เข้ามาใหม่ๆ เหล่านี้ จะส่งผลอะไรกับผลประกอบการของหุ้น หรือไม่ นอกจากราคา
2. ถ้าไม่มี เราคาดการว่ามูลค่ากับรับราคาที่เป็นอยู่ ยังเหลือ Upside ที่น่าสนใจหรือเปล่า
3. ที่เหลือผมคิดว่า พวกเราตอบกันได้ทุกคนครับ ว่าต้องทำอะไรต่อ
ส่วนตัวผม หุ้นที่ไม่มั่นใจนัก ผมทำการบ้านมากขึ้นเืพื่่่อตอบข้อสองให้ได้อย่างมั่นใจ ถ้าทำการบ้านแล้วยังไม่มั่นใจ ผมทยอยขายออกครับ
ถ้าท่านอื่นเห็นว่าที่ผมคิดมาไม่ค่อยเหมาะ ช่วยชี้แนะด้วยครับ เพราะยังมือใหม่เหมือนกัน
ผมเห็นว่า คนใหม่ๆเข้ามาสนใจหุ้นเยอะจนน่ากลัว เพราะคนที่เข้ามาที่เข้ามาไม่นานเนื่่องจากเห็นว่าน่าจะกำไรได้ง่ายจากหุ้น มักจะ (แต่ไม่เสมอไป)ไม่ได้ศึกษาข้อมูลมากนัก จึงมีแนวโน้มจะเข้ามาซื้อไล่เพื่อหวังกำไรในอนาคต ตามข่าวเป็นหลัก จนอาจจะกลายเป็นคนดันให้ราคาหุ้นสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นคนเหล่านี้เป็นตัวเร่งราคาหุ้น
คำถามที่อยากจะขอให้ช่วยกันวิเคราะห์ครับ
1. คนที่เข้ามาใหม่ๆ เหล่านี้ จะส่งผลอะไรกับผลประกอบการของหุ้น หรือไม่ นอกจากราคา
2. ถ้าไม่มี เราคาดการว่ามูลค่ากับรับราคาที่เป็นอยู่ ยังเหลือ Upside ที่น่าสนใจหรือเปล่า
3. ที่เหลือผมคิดว่า พวกเราตอบกันได้ทุกคนครับ ว่าต้องทำอะไรต่อ
ส่วนตัวผม หุ้นที่ไม่มั่นใจนัก ผมทำการบ้านมากขึ้นเืพื่่่อตอบข้อสองให้ได้อย่างมั่นใจ ถ้าทำการบ้านแล้วยังไม่มั่นใจ ผมทยอยขายออกครับ
ถ้าท่านอื่นเห็นว่าที่ผมคิดมาไม่ค่อยเหมาะ ช่วยชี้แนะด้วยครับ เพราะยังมือใหม่เหมือนกัน