หน้า 1 จากทั้งหมด 1

รบกวนช่วยสอนปรับพอร์ตหน่อยค่ะ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 28, 2010 10:43 pm
โดย tanlak
เคยอ่านในกระทู้ต่างๆพูดกันเรื่องปรับพอร์ต แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ

อ่านกระทู้คุณหมอฝน พูดประมาณว่าตอนแรกๆซื้อละนั่งทับไว้เฉยๆ ไม่งอกเงยเท่าตอนที่เริ่มปรับพอร์ต

เลยอยากจะปรับพอร์ตเป็นกะเขาบ้าง เพราะทุกวันนี้ซื้อละทิ้งไว้เฉยๆ อย่างเดียวจริงๆค่ะ

อยากจะทราบว่า
*ส่วนมากแล้วจะทำการปรับพอร์ตกันตอนไหน หรือปรับพอร์ตตอนไหนแล้วจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด

*ปรับพอร์ตนี้เป็นกระบวนการทำอย่างไรบ้างคะ รบกวนช่วยเล่าพร้อมตัวอย่างด้วยนะคะ>>>
-ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกไหม เช่นเรามีหุ้นA 100หุ้น วันนี้หุ้นAขึ้นกว่าทุน เราขาย ละซื้อใหม่แพงก่าทุน แต่ถูกกว่าที่ขายไปวันนี้ แบบนี้เรียกปรับพอร์ตไหมคะ
-ปกติเราถือหุ้นA แต่วันนี้หุ้นB กิจการแลดูมีอนาคตกว่าเราขายA ไปซื้อB
แบบนี้เรียกว่าปรับพอร์ตไหมคะ แล้วมันจะส่งผลอย่างไรในระยะยาวคะ
-ขายทิ้งทุกตัวเอาเงินสดมาถือ เรียกล้างพอร์ตใช่ไหมคะ

และก็ขอคำแนะนำเพิ่มอีกนิดค่ะ ว่าถ้าเราเจอหุ้นที่อยากซื้อแล้วควรรอ รอจนวันที่ราคามันตก(ไม่รู้วันไหน เพราะเล่นหุ้นมายังไม่ถึงครึ่งปี) หรือซื้อไปเลย โดยค่อยๆเฉลี่ยซื้อไปเรื่อยๆคะ แบบไหนจะดีกว่ากัน

รบกวนขอคำแนะนำและช่วยสอนให้ด้วยค่ะ(ต้องขอโทษด้วยนะคะที่คำถามไม่ค่อยmake sense แต่ไม่รู้จะถามที่ไหนแล้วค่ะ)
ขอบคุณค่ะ

รบกวนช่วยสอนปรับพอร์ตหน่อยค่ะ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 29, 2010 12:56 am
โดย เด็กเลี้ยงไม้
-ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกไหม เช่นเรามีหุ้นA 100หุ้น วันนี้หุ้นAขึ้นกว่าทุน เราขาย ละซื้อใหม่แพงก่าทุน แต่ถูกกว่าที่ขายไปวันนี้ แบบนี้เรียกปรับพอร์ตไหมคะ

ซื้อ-ขายก็คงเรียกปรับทั้งั้น แต่แบบนี้น่าจะเรียกว่า short and again  port มั้งครับ
-ขายทิ้งทุกตัวเอาเงินสดมาถือ เรียกล้างพอร์ตใช่ไหมคะ
ถูกต้อง

ใครว่า VI ไม่มีจังหวะซื้อขาย
ผมเคยเข้าใจว่าการวิเคราะห์พื้นฐานนั้นช่วยในการเลือกหุ้น ส่วนการวิเคราะห์เทคนิคนั้นเอาไว้ช่วยดูจังหวะซื้อขาย และผมก็เชื่อว่าหลายๆคนคงมีหรือเคยมีความคิดแบบนี้อยู่ในหัว แต่พอเอาเข้าจริงๆ ผมลงทุนมาเกือบ 7 ปีแล้ว ยังไม่เคยวิเคราะห์เทคนิคมาเป็นจังหวะซื้อขายหุ้นเลยซักครั้ง ความเชื่อผมเปลี่ยนไปแล้ว เพราะผมได้รู้ว่าการวิเคราะห์พื้นฐานแบบ VI ก็สามารถบอกจังหวะการซื้อขายได้ดีไม่แพ้วิธีไหนๆ

ผมเอาที่ผม post ตอบไว้ในกระทู้ที่ Thaivi มาแปะไว้เพื่อให้ได้อ่านกันถ้วนหน้านะครับ ข้อเขียนนี้ถือเป็นการต่อยอดจากบทความเรื่องการบริหาร port style yoyo ที่เคยเขียนเอาไว้ใน Blog มาพักนึงแล้ว

____________

ถาม. คุณ yoyo ใช้อะไรในการดูจังหวะซื้อขายครับ เพราะไม่ได้ดูกราฟหลักการของคุณ Yoyo บอกจังหวะในการลงทุนอย่างไรบ้างครับยกตัวอย่างของจริงที่เคยทำมาแล้วให้หน่อยได้ไหมครับตัวอย่างในอดีตน่ะครับจะได้ไม่เป็นการชี้นำ

ตอบ. จังหวะซื้อขายของผมเกิดมาจากการประยุกต์ portfolio management ครับ การบริหาร port นั้นทำโดยการถือหุ้นกระจายหลายๆตัวเพื่อลดความเสี่ยง แรกๆผมก็ทำการจัด port เพื่อลดความเสี่ยง แต่ไปๆมาๆ พอจัดไปจัดมาอยู่ๆ ผมก็เห็นว่าเอ๊ะ... ไอ้การจัด port โดยดูจากความถูกความแพงของหุ้นนี่มันช่วยบอกจังหวะซื้อขายให้เราได้ดีมากๆ ซึ่งผมอ่านหนังสือมาหลายเล่ม ฟังสัมมนามาหลายงาน ก็ยังไม่เคยเจอใครที่เอาเรื่องนี้มาเขียนหรือมาพูดเป็นชิ้นเป็นอัน ผมถือว่าเรื่องนี้สำคัญเป็นอันดับ 2 รองจาก Stock Selection เลยครับ

ผมเคยเขียนไว้ใน Blog www.yoyoway.com "การบริหาร Port style yoyo" ลองไปอ่านดู
ผมจะเอามา Replay ใหม่อีกรอบแบบมีภาพประกอบด้วย เพื่อจะได้เข้าใจง่ายขึ้น

หลักการคร่าวๆคือ
สมมติผมถือหุ้น 2 ตัว คือ
หุ้น A ราคา 10 บาท เป้าหมาย 16
และ B ราคา 10 บาท เป้าหมาย 16
ทั้ง 2 ตัวมี Upside ที่ 60% เท่ากัน


รูปภาพ

ผมแบ่งสถานะ port ออกมาเป็น 7 ช่วงเวลา

1. ผมควรจะถือหุ้นทั้ง 2 ตัว ตัวละกี่ % ดีครับ... ใช้ common sense ทั่วไปก็พอจะเดาได้ว่าควรจะถือหุ้นอย่างละครึ่ง เพราะทั้งคู่มี Upside เท่ากัน

2. ที่นี้สมมติว่าหุ้น A ขึ้นไป 12 บาท หุ้น B ลงมาเหลือ 8 บาท ณ จุดนี้หุ้น A จะมีสัดส่วน 60% ในขณะที่ B จะลดเหลือ 40% แต่เมื่อดู upside แล้ว A จะมี upside ที่ 33% ขณะที่ B จะมี 100%ในเมื่อ B มี Upside ที่สูงกว่า A ตั้งเยอะ ทำไมเราจะไม่ถือ B เยอะกว่า A ล่ะครับ...

3. ที่นี้ผมก็จะขายหุ้น A มาซื้อหุ้น B เพื่อปรับสัดส่วนใหม่ สมมติว่าเป็น 30:70

4. เมื่อเวลาผ่านไป สมมติต่ออีกว่าหุ้น A ลดลงมาเหลือ 8 บาท หุ้น B วิ่งขึ้นไปเป็น 12 แทน สัดส่วนหุ้น B ใน port ผมจะยิ่งสูงขึ้นจาก 70 กลายมาเป็น 84% ...

5. แน่นอนครับ ในเมื่อ Upside หุ้น A กลับมาสูงถึง 100 แล้ว B ลดลงเหลือ 33% ผมก็ขายหุ้น B แล้วก็ไปซื้อหุ้น A อีกครั้ง เพื่อปรับสัดส่วนหุ้นใน port ใหม่เป็น 70:30

6. ตลาดหุ้นเล่นตลกกับเราอีกแล้วครับ... หุ้น A เพิ่มขึ้นมาเป็น 10 หุ้น B ลดลงมาเหลือ 10 บาท....

7. ในเมื่อ Upside มันเท่ากับ ผมก็ขายหุ้น A ซื้อหุ้น B จนกลายเป็น 50:50 สุดท้ายผมถือหุ้นไปตั้งนาน ราคาหุ้นมันกลับมายืนที่เดิมอีกแล้วมันน่าเซ็งมั๊ยล่ะ ... แต่เอ๊ะ มาดูมูล port รวมของผมซิครับ ทั้งๆที่ ราคาหุ้นทั้ง 2 ตัวไม่ไปไหนเลย port ผมโตขึ้นมา 40% จาก 1 ล้านบาท กลายเป็น 1.4 ล้านบาท

เห็นมั๊ยครับ ไม่ต้องดูกราฟ ไม่ต้องดู Fund flow ... ใช้หลักการแบบ VI ง่ายๆ ซื้อหุ้นถูกขายหุ้นแพง แม้ว่าหุ้น A และ B มันจะต่ำกว่ามูลค่าเหมาะสมที่ 16 บาทอยู่ตลอดเวลา แต่ความถูกความแพงมันเป็นเรื่องของการเปรียบเทียบ

เมื่อ A ถูกกว่า B ผมก็ขาย B ซื้อ A ...
เมื่อ B ถูกกว่า A ผมก็ขาย A ซื้อ B ...

เค้าบอกกันว่า VI ถือหุ้นระยะยาว ถือแล้วไม่ขายจนกว่าราคาหุ้นจะเกินพื้นฐาน ... ผมบอกว่าผมขายถ้ามีตัวอื่นที่น่าสนใจกว่า

สุดท้ายหลักการข้อนี้เลยทำให้หลักการซื้อหุ้นพื้นฐานแบบ VI สามารถบอกจังหวะซื้อขายได้ด้วยตัวมันเอง และช่วยทำให้ port ผมโตได้ แม้ราคาหุ้นโดยรวมอาจจะไม่ได้ไปไหนเลย แบบตัวอย่างข้างต้น
ตัวอย่างนี้เป็นแบบง่ายๆมีหุ้น 2 ตัว... ปกติถ้าผมจะมีหุ้นประมาณ 4-5 ตัว ก็ใช้หลักการเดียวกันครับ Upside เยอะกว่าก็ควรจะมีสัดส่วนสูงกว่า
มาจากพี่โย ครับ
http://www.yoyoway.com

รบกวนช่วยสอนปรับพอร์ตหน่อยค่ะ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 29, 2010 1:14 am
โดย AleAle
แต่การจะปรับพอร์ท  เราต้องหามูลค่าหุ้นให้ได้ก่อนนะครับ  สู้ต่อไปครับ  :o

Re: รบกวนช่วยสอนปรับพอร์ตหน่อยค่ะ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 29, 2010 9:45 am
โดย HARINLUX
tanlak เขียน:เคยอ่านในกระทู้ต่างๆพูดกันเรื่องปรับพอร์ต แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ

อ่านกระทู้คุณหมอฝน พูดประมาณว่าตอนแรกๆซื้อละนั่งทับไว้เฉยๆ ไม่งอกเงยเท่าตอนที่เริ่มปรับพอร์ต

เลยอยากจะปรับพอร์ตเป็นกะเขาบ้าง เพราะทุกวันนี้ซื้อละทิ้งไว้เฉยๆ อย่างเดียวจริงๆค่ะ

อยากจะทราบว่า
*ส่วนมากแล้วจะทำการปรับพอร์ตกันตอนไหน หรือปรับพอร์ตตอนไหนแล้วจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด

*ปรับพอร์ตนี้เป็นกระบวนการทำอย่างไรบ้างคะ รบกวนช่วยเล่าพร้อมตัวอย่างด้วยนะคะ>>>
-ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกไหม เช่นเรามีหุ้นA 100หุ้น วันนี้หุ้นAขึ้นกว่าทุน เราขาย ละซื้อใหม่แพงก่าทุน แต่ถูกกว่าที่ขายไปวันนี้ แบบนี้เรียกปรับพอร์ตไหมคะ
-ปกติเราถือหุ้นA แต่วันนี้หุ้นB กิจการแลดูมีอนาคตกว่าเราขายA ไปซื้อB
แบบนี้เรียกว่าปรับพอร์ตไหมคะ แล้วมันจะส่งผลอย่างไรในระยะยาวคะ
-ขายทิ้งทุกตัวเอาเงินสดมาถือ เรียกล้างพอร์ตใช่ไหมคะ

และก็ขอคำแนะนำเพิ่มอีกนิดค่ะ ว่าถ้าเราเจอหุ้นที่อยากซื้อแล้วควรรอ รอจนวันที่ราคามันตก(ไม่รู้วันไหน เพราะเล่นหุ้นมายังไม่ถึงครึ่งปี) หรือซื้อไปเลย โดยค่อยๆเฉลี่ยซื้อไปเรื่อยๆคะ แบบไหนจะดีกว่ากัน

รบกวนขอคำแนะนำและช่วยสอนให้ด้วยค่ะ(ต้องขอโทษด้วยนะคะที่คำถามไม่ค่อยmake sense แต่ไม่รู้จะถามที่ไหนแล้วค่ะ)
ขอบคุณค่ะ

ในความคิดของผม  คนที่จะนำเงินมาซื้อหุ้น จะต้องถามตนเองก่อนว่า จะลงทุนในหุ้น  หรือเล่นหุ้น
         การเล่นหุ้น  ก็คงเป็นไปในแนวการหากำไรในหุ้น ในลักษณะการเก็งกำไรในหุ้น  หาส่วนต่าง โดยซื้อมาขายไป  ไม่ค่อยในได้สนใจในข้อมูลพื้นฐานของหุ้นเท่าใดนัก
         ส่วนการลงทุนในหุ้น ก็เป็นไปแนวการซื้อหุ้นเป็นเสมือนการลงทุนในธุรกิจ มีแนวการลงทุนของปรมาจารย์หลายท่าน  ที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนหลายท่าน  สามารถเลือกศึกษาเรียนรู้ได้
        ฉะนั้น  แนวความคิดของเราต้องชัดเจนเสียก่อน  ว่าเป็นอย่างไร  หากแนวความคิดสับสน หรือยังไม่เข้าใจ  แล้วนำเงินมาลงทุนก็อาจประสบความผิดหวังได้
        คุณ tanlak บอกว่า ซื้อหุ้นแล้วทิ้งไว้เฉยๆ  ก็คงไม่ใช่นักเก็งกำไรในหุ้น
        ถ้ายังงั้น  ผมว่าลองไปอ่าน บทความของคุณนรินทร์ โอฬารกิจอนันต์ ในหัวข้อเรื่อง  growth investing   ลง  5 ส.ค.53  ศึกษาแนวความคิดของคุณนรินทร์ แล้วลองมาปรับกับการลงทุนของคุณ tanlak
        ผมว่า  เป็นแนวการลงทุนที่น่าสนใจครับ


-----------------------------
ความรู้  คู่คุณธรรม

รบกวนช่วยสอนปรับพอร์ตหน่อยค่ะ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 30, 2010 1:02 am
โดย tanlak
ขอบคุณทุกท่านมากค่ะ
จะพยามอ่านหนังสือให้มากขึ้นนะคะ แต่มันก็ยังรู้ไม่ทัน เท่าที่อยากจะรู้อยู่ดี

ส่วนหัวข้อที่ให้อ่านก็ตามเข้าไปอ่านแล้วนะคะ
แต่บอกตรงๆเลยว่า ได้อ่าน จำได้ แต่ปัญหาคือไม่เข้าใจค่ะ
ไม่มีพื้นทางตัวเลขจริงๆ
แต่ก็จะพยามจนกว่าจะเข้าใจค่ะ

ขอบคุณทุกๆท่านอีกครั้งค่ะ

รบกวนช่วยสอนปรับพอร์ตหน่อยค่ะ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 30, 2010 2:53 am
โดย BIG87
อย่างนี้นี่เอง

ขอขอบคุณ "เด็กเลี้ยงไม้"มากครับ


ทำให้เข้าใจอะไรมากขึ้นเยอะ ผมขาดตรงนี้ไปมากๆ เลยครับ
วันนี้รู้และจะนำไปปรับบ้างครับ :bow:

รบกวนช่วยสอนปรับพอร์ตหน่อยค่ะ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 30, 2010 10:37 am
โดย tanlak
ที่นี้สมมติว่าหุ้น A ขึ้นไป 12 บาท หุ้น B ลงมาเหลือ 8 บาท ณ จุดนี้หุ้น A จะมีสัดส่วน 60% ในขณะที่ B จะลดเหลือ 40% แต่เมื่อดู upside แล้ว A จะมี upside ที่ 33% ขณะที่ B จะมี 100%ในเมื่อ B มี Upside ที่สูงกว่า A ตั้งเยอะ ทำไมเราจะไม่ถือ B เยอะกว่า A ล่ะครับ...

UP side คืออะไรคะ รบกวนช่วยบอกด้วยค่ะ
หุ้นBราคาตก แล้วทำไมUP side สูงกว่าA หล่ะคะ (หรือหมายถึงว่ามีโอกาสที่ราคาจะขึ้นอีก งั้นก็หมายความว่าเราต้องมีราคาที่แท้จริงหุ้นตัวนี้ไว้ในใจแล้วใช่ไหมคะ)

ขอบคุณมากๆค่ะ

รบกวนช่วยสอนปรับพอร์ตหน่อยค่ะ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 30, 2010 10:52 am
โดย sakura525
กระทู้นี้เป็นประโยชน์มากสำหรับมือใหม่สุดๆอย่างผม ว่าจะถามเรื่องการปรับพอร์ตอยู่พอดี ไม่งั้นได้ปรับมั่วแน่เผลอๆไม่ขึ้นหรือขาดทุนก็ได้

รบกวนช่วยสอนปรับพอร์ตหน่อยค่ะ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 30, 2010 11:19 am
โดย Renne
tanlak เขียน:ที่นี้สมมติว่าหุ้น A ขึ้นไป 12 บาท หุ้น B ลงมาเหลือ 8 บาท ณ จุดนี้หุ้น A จะมีสัดส่วน 60% ในขณะที่ B จะลดเหลือ 40% แต่เมื่อดู upside แล้ว A จะมี upside ที่ 33% ขณะที่ B จะมี 100%ในเมื่อ B มี Upside ที่สูงกว่า A ตั้งเยอะ ทำไมเราจะไม่ถือ B เยอะกว่า A ล่ะครับ...

UP side คืออะไรคะ รบกวนช่วยบอกด้วยค่ะ
หุ้นBราคาตก แล้วทำไมUP side สูงกว่าA หล่ะคะ (หรือหมายถึงว่ามีโอกาสที่ราคาจะขึ้นอีก งั้นก็หมายความว่าเราต้องมีราคาที่แท้จริงหุ้นตัวนี้ไว้ในใจแล้วใช่ไหมคะ)

ขอบคุณมากๆค่ะ
Upside ก็คือราคาที่ควรจะเป็นที่น่าจะปรับขึ้นไปได้ในอนาคตแหละครับ กรณีที่หุ้นBราคาตก แต่พื้นฐานไม่เปลี่ยน upsideของราคาก็มากขึ้น จากตารางนั่น ราคาที่ประเมินไว้ของหุ้่น A และ B ในอนาคตคือ 15บาททั้งคู่  หุ้น aขึ้นไป 12 บาท upsideก็เหลือ3บาท หุ้่นbตกไป8บาท Upsideจึงเำิำิพิ่มขึ้นเป็น 7บาท

--------------------------------------------------------------------------
งั้นก็หมายความว่าเราต้องมีราคาที่แท้จริงหุ้นตัวนี้ไว้ในใจแล้วใช่ไหมคะ
--------------------------------------------------------------------------
ครับ โดยปรกติเราก็ควรจะมีราคาในใจตั้งแต่ก่อนเข้าซื้่อแล้ว (นั่นคืออย่างน้อยๆก่อนเข้าซื้่อหุ้นสักตัว เราควรประเมินพื้นฐานของหุ้นตัวนั้นก่อนว่าราคาที่เข้าซื้อนั้น มีMOSเผื่อไว้ขนาดไหน และราคาที่เหมาะสมคือเท่าไหร่) ถ้าซื้อทั้งๆที่ไม่รู้ว่าราคาที่เหมาะสมคือเ่ท่าไหร่ อันนั้นคือความเสี่ยงเหมือนกับแทงไฮโลครับซึ่งคงไม่เหมาะสมที่เราจะซื้อหุ้นหรือคิดจะลงทุนในหุ้นสักตัวหนึ่ง

ปล.ในส่วนของUpside,Downsideในใจ สามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอครับ เมื่องบการเงินออกมาดีกว่าหรือแย่กว่าที่เราคิดไว้ กอรปกับภาพรวมของศก.และอะไรหลายๆอย่าง เราสามารถปรับประเมินการของเราใหม่ได้ครับ :8)

ในความเป็นจริงการปรับพอร์ตไม่มีสูตรตายตัวหรอกครับ เราสามารถปรับได้ตลอดเวลา แต่ผมแนะนำว่าไม่ควรปรับบ่อยจนเกินไป หากหุ้นของเราไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนมีนัยยะสำคัญอะไร ส่วนหนึ่งคือเราจะเสียคาคอมมิชชั่นมากขึ้น ถ้ามีการปรับพอร์ตบ่อยขึ้นครับ

รบกวนช่วยสอนปรับพอร์ตหน่อยค่ะ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 30, 2010 11:22 am
โดย เด็กเลี้ยงไม้
tanlak เขียน:ที่นี้สมมติว่าหุ้น A ขึ้นไป 12 บาท หุ้น B ลงมาเหลือ 8 บาท ณ จุดนี้หุ้น A จะมีสัดส่วน 60% ในขณะที่ B จะลดเหลือ 40% แต่เมื่อดู upside แล้ว A จะมี upside ที่ 33% ขณะที่ B จะมี 100%ในเมื่อ B มี Upside ที่สูงกว่า A ตั้งเยอะ ทำไมเราจะไม่ถือ B เยอะกว่า A ล่ะครับ...

UP side คืออะไรคะ รบกวนช่วยบอกด้วยค่ะ
หุ้นBราคาตก แล้วทำไมUP side สูงกว่าA หล่ะคะ (หรือหมายถึงว่ามีโอกาสที่ราคาจะขึ้นอีก งั้นก็หมายความว่าเราต้องมีราคาที่แท้จริงหุ้นตัวนี้ไว้ในใจแล้วใช่ไหมคะ)

ขอบคุณมากๆค่ะ
อีกหน่อยจะได้ยิรคำพวกนี้บ่อยๆครับ เช่น up side / down side / margin of safety

up side ก็คือเมือเราประเมินราคาหุ้น โดยจะใช้วิธีอะไรก็แล้วแต่แล้วมากกว่าราคาหุ้น ณ ตอนนั้นก็จะเรียกว่า up side
ลองยกตัวอย่างกันดูนะครับ แบบผมใช้วิธีคิด p/e โดยการประเมิน
เพราะฉะนั้น ราคาจะสูงขึ้นได้ก็เนื่องจาก กำไร โตขึ้น หรือไม่ก็ ซื้อหุ้นประเภท pe ต่ำๆแล้วรอตลาดปรับ pe ให้

down side คือ การประเมินส่วนกลับของ up side นี่หละครับ
เช่นการที่เราคิดว่า บริษัทนั้นเกินแย่สุดๆจะเป็นเช่นไร  เช่นถ้า บ.ถูกไฟไหม้ บลาๆๆ

margin of safety(mos)จริงๆคำนี้ผมก็ไม่แน่ใจเท่าไร แต่จะพยามอธิบายแบบที่เข้าใจแล้วกันนะครับ
margin of safety  คือ ส่วนเผื่อความปลอดภัย บางท่านจะบอกว่า ถายิ่งซื้อราคาได้ถูกกว่า ที่ประเมินไว้มากๆ ก็มี mos สูง
แต่ส่วนตัวใช้วิธีคิด upside แบบ conservative ซะมากกว่าหนะครับ

ลองตอบคำถามดูนะครับ
UP side คืออะไรคะ รบกวนช่วยบอกด้วยค่ะ
หุ้นBราคาตก แล้วทำไมUP side สูงกว่าA หล่ะคะ (หรือหมายถึงว่ามีโอกาสที่ราคาจะขึ้นอีก งั้นก็หมายความว่าเราต้องมีราคาที่แท้จริงหุ้นตัวนี้ไว้ในใจแล้วใช่ไหมคะ)
การจะหรับพอร์ทไปมา เราจะต้องรู้หรือประเมินราคาหุ้นที่เราถือซะก่อนว่ามันจะใกล้เต็มมูลค่ารึยัง
จากโจทย์  มูลค่าที่ประเมินไว้ทั้ง a และ b คือ 16บาท
คำตอบ
A 12 บาท เหลือ up แค่ 33 %
B  8 บาท มี up 100%

เท่านี้เราก็เลือกได้แล้วว่าตัวไหนน่าถือจำนวนมากกว่ากัน ณ ปัจจุบันครับ
ฟังดูเหมือนมันช่างง่ายดาย จริงๆแล้วหลักสำคัญคือ การประเมินมูลค่าหุ้นที่แท้จริงให้ได้ต่างหากครับ

ปล.ถ้าผิดถูกยังไงรบกวนแก้ไขให้ด้วยนะครับ มือใหม่เช่นกัน

อยากทราบวิธีหามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 30, 2010 7:47 pm
โดย kongkam1
เค้ามีวิธีหากันยังไงครับ ว่าหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าราคาในปัจจุบัน