หน้า 1 จากทั้งหมด 1

อาจารย์ของผม ชาลีมังเจอร์(3):ValueWay วิบูลย์ พึงประเสริฐ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 29, 2010 1:53 am
โดย PERFECT LUCKY
Value Way ฉบับวันที่ 30 สิงหาคม 2553
โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ

อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์ (3)

โดยธรรมชาติแล้วชาร์ลีเป็นคนที่มีพลังอย่างมหาศาล ชาร์ลีมีอายุ 72 ปี ขณะที่ผมพบเขาในปี 1996 และขณะนี้เขามีอายุ 86 ปี ตลอดหลายสิบปีที่ผมได้รู้จักชาร์ลี ระดับพลังงานของเขาไม่เคยเปลี่ยน เขายังดูมีพลังอยู่เสมอและเป็นคนตื่นเช้า การนัดหมายตอนอาหารเช้าของเขามักเริ่มที่เวลา 7.30 น. ในขณะเดียวกันก็มีนัดในช่วงค่ำ เขาจึงนอนน้อยกว่าคนทั่วไปโดยเฉลี่ย แต่นั่นไม่ได้มีผลต่อพลังที่เหลือเฟือของเขาเลย ความจำของเขาน่าทึ่งมาก เขายังคงจำตัวเลขในการดำเนินงานของบริษัทบีวายดีที่ผมได้ถกเถียงด้วยหลายปีก่อน ในขณะที่ผมจำไม่ค่อยจะได้แล้ว

การที่คนอายุ 86 ปี ยังคงมีความจำดีกว่าคนหนุ่ม ถือเป็นข้อได้เปรียบที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่ความสำเร็จของเขากลับได้มาจากการทำงานหนักที่มาพร้อมด้วยคุณลักษณะที่พิเศษ เมื่อชาร์ลีสนใจในสิ่งใด เขาสามารถทำมันได้ตลอดชีวิตสำหรับผมแล้วชาร์ลีไม่ใช่แค่หุ้นส่วน แต่เขาเป็นทั้งญาติผู้ใหญ่ อาจารย์ เพื่อน และต้นแบบในความสำเร็จและการใช้ชีวิต ผมไม่เพียงแต่เรียนรู้หลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า แต่ผมยังได้เรียนรู้หลักในการดำรงชีวิตจากเขา เขาทำให้ผมเข้าใจอย่างหนึ่งว่า ความสำเร็จไม่ได้มาโดยบังเอิญ แน่นอนช่วงเวลาและโอกาสก็เป็นสิ่งสำคัญ แต่คุณภาพที่ได้สืบทอดมาสำคัญยิ่งกว่า

ชาร์ลีมักนัดหมายผู้คนในช่วงเวลาอาหารเช้า ปกติเริ่มที่เวลา 7.30 น. ผมจำได้ในครั้งแรกที่ผมนัดทานอาหารเช้ากับชาร์ลี ผมมาตรงเวลา ปรากฎว่าชาร์ลี นั่งอยู่ที่นั่นแล้ว และอ่านหนังสือพิมพ์ของวันนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าผมจะไปสายนิดหน่อย แต่ผมก็รู้สึกแย่ที่ปล่อยให้ผู้ใหญ่ที่เคารพต้องนั่งรอผม พอครั้งที่สองผมมาก่อนเวลา 15 นาที ผมพบชาร์ลีนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ก่อนแล้วอีกเช่นกัน พอครั้งที่สามผมมาถึงก่อนครึ่งชั่วโมง ผมก็พบชาร์ลีกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่อีกเช่นเดิมราวกับว่าเขาไม่ได้ลุกไปจากที่นั่งเลย พอครั้งที่สี่ ผมมานั่งรอตั้งแต่เวลา 6.30 น. พอเวลา 6.45 น. ชาร์ลีก็ค่อยๆ เดินมานั่งพร้อมกับหนังสือพิมพ์กองโต และไม่ทันสังเกตเห็นผมที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว หลังจากนั้นผมถึงเข้าใจว่าชาร์ลีจะมาก่อนเวลานัดหมายเสมอ แต่เขาก็จะอ่านหนังสือพิมพ์ที่พกมาด้วยเพื่อไม่ยอมให้เสียเวลาเช่นกัน

ในการพบปะครั้งหนึ่งกับชาร์ลีที่มีผลกับผมมาก ชาร์ลีกับผมต้องไปประชุมที่นอกรัฐ หลักจากเสร็จงานประชุม ผมต้องรีบบินกลับนิวยอร์ค ผมบังเอิญพบกับชาร์ลีที่ประตูทางเข้าสนามบิน เมื่อร่างที่ใหญ่ของเขาผ่านเครื่องตรวจสัญญาณรักษาความปลอดภัย ปรากฎว่าเกิดสัญญาณดังขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุชาร์ลีต้องกลับมาตรวจซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเครื่องบินของเขาออกไปแล้ว แต่ชาร์ลีไม่ได้เร่งรีบใดๆ เขานำหนังสือที่พกมาด้วยและนั่งอ่านขณะที่เขารอเครื่องลำถัดไป ซึ่งบังเอิญที่เที่ยวบินของผมก็ล่าช้าทำให้เราต้องอยู่รอด้วยกัน

ผมถามชาร์ลีว่า "คุณมีเครื่องบินส่วนตัวเช่นเดียวกับคนอื่นที่เบิร์คไชน์ไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องมานั่งปวดหัวกับสายการบินอย่างนี้ ?"
ชาร์ลีตอบ "อย่างแรกเลย สำหรับผมคือมันเปลืองน้ำมัน และอย่างที่สองผมรู้สึกปลอดภัยกว่า" แต่เหตุผลที่แท้จริงคือเหตุผลที่สามคือ "ผมต้องการมีชีวิตที่มีส่วนร่วม ผมไม่ต้องการมีชีวิตที่อยู่อย่างแปลกแยก โดดเดี่ยว"
สิ่งที่ชาร์ลีทนไม่ได้คือการขาดการติดต่อกับโลกภายนอกอันเนื่องมาจากการที่เขามีเงินและความมั่งคั่ง เขาทนไม่ได้ในการแยกตัวออกมาอยู่คนเดียวในห้องของสำนักงาน หรือผ่านขั้นตอนหลายชั้นในการอนุมัติการประชุม หรือหลบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังระบบราชการอันซับซ้อนที่ทำให้คนอื่นเข้าพบได้ยาก นั่นคือสิ่งที่ทำให้คุณสูญเสียการติดต่อกับความเป็นจริงของชีวิต

"ตราบใดที่ผมมีหนังสือในมือ ผมไม่รู้สึกเลยว่ากำลังเสียเวลา" ชาร์ลีมักนำหนังสือติดตัวไปด้วยเสมอ ถึงแม้เขาจะนั่งที่นั่งตรงกลางในชั้นประหยัดบนเครื่องบิน ตราบใดที่เขามีหนังสือ เขาจะไม่บ่นเลย ครั้งหนึ่งเขาไปประชุมที่ซีแอตเทิล ด้วยชั้นประหยัดเช่นเดิม เขานั่งข้างๆ เด็กผู้หญิงชาวจีนที่กำลังนั่งทำการบ้านตลอดทาง เขาประทับใจมากกับเด็กหญิงชาวจีน ขณะที่เขากำลังจินตนาการอย่างยากลำบากว่าจะมีเด็กหญิงชาวอเมริกันคนไหนที่จะมีพลังในการที่จะจดจ่อและไม่สนใจเสียงเครื่องบินขณะทำการอ่านหนังสือได้ ซึ่งเขาจะไม่ได้มีโอกาสได้เห็นเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ถ้าเขานั่งเครื่องบินส่วนตัว