Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ถ้าเราเลือกลงทุนในบริษัทที่มั่นคง  ฐานะทางการเงินดี  มีกำไรและจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ  เราก็แทบไม่มีโอกาสขาดทุนเลย  เพียงแต่จะได้รับผลตอบแทนมากหรือน้อยแค่ไหน

เช่น

ถ้าบริษัทจ่ายเงินปันผลในอนาคต ดังนี้

ปีที่ 1  จ่าย  1.00 บาท
ปีที่ 2  จ่าย  1.10 บาท
ปีที่ 3  จ่าย  1.20 บาท
ปีที่ 4  จ่าย  1.00 บาท
ปีที่ 5  จ่าย  1.10 บาท
ปีที่ 6  จ่าย  1.20 บาท
ปีที่ 7  จ่าย  1.40 บาท
ปีที่ 8  จ่าย  1.50 บาท
ปีที่ 9  จ่าย  1.30 บาท
ปีที่ 10 จ่าย 1.50 บาท
ปีที่ 11 จ่าย 1.60 บาท
ปีที่ 12 จ่าย 1.80 บาท

ถ้าเราซื้อหุ้นของบริษัทนี้ในปีที่ 0  ในราคา 10 บาท  เท่ากับว่าเราจะคืนทุนในระยะเวลา 8 ปีกว่า

แต่ถ้าเราซื้อในราคาที่ 15 บาท  เราก็แค่ได้ผลตอบแทนที่น้อยลง  คืนทุนในปีที่ 11

แล้วจะเจ๊งหุ้นกันได้อย่างไร  จริงๆแล้วก็แค่ผลตอบแทนที่ลดลงเท่านั้น

[quote="chatchai"]ถ้าเราเลือกลงทุนในบริษัทที่มั่นคง

หรืออาจจะซื้อในราคาที่แพงมาก แล้วขายไม่ทันเลยติดดอย
พอราคากลับขึ้นไปหน่อยก็รีบขาย พอขายเสร็จก็นิวไฮ

เป็นเพราะกลยุทธการลงทุนของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันรึเปล่าครับ
เช่น บางคนอยากได้ผลตอบแทนเร็วในระยะสั้น ก็เน้นไปที่ capital gain มากกว่าปันผล  พอซื้อหุ้นแล้วหุ้นไม่ขึ้น แถมราคาลงก็เลยต้องขายขาดทุน  เพราะไม่ได้คิดว่าจะถือยาว 5 ปี 10 ปีเพื่อรอปันผล

รบกวนพี่ฉัตรชัยชี้แนะด้วยครับ

ก่อนอื่นเราต้องแยกแยะให้ออกว่าบริษัทที่ดีกับการลงทุนที่ดีนั้นต่างกัน

การที่เรารู้ว่าบริษัทที่ดีและมั่นคงนั้นน่าจะเป็นการลงทุนที่ดี เท่ากับว่าเราเดินมาในทางที่ถูกต้องแล้วเป็นบางส่วน แต่ยิ่งจะดีขึ้นอีกถ้าเราพอจะทราบปัจจัยที่จะทำให้บริษัทนั้นยังคงดีอยู่และดีขึ้น ๆ ไปในอนาคตข้างหน้า รวมถึงสามารถประเมินมูลค่าของบริษัทได้ รวมถึงการเข้าลงทุนในราคาที่มีส่วนต่างจากมูลค่านั้นพอสมควรตามแต่จิตใจและอารมณ์ที่รับได้ของแต่ละบุคคล หากวันนึงราคาตลาดเกินมูลค่าทั้งที่ปัจจัยที่รองรับนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ก็อาจจะขายออกมาทั้งหมดหรือบางส่วนหากพบว่ามีการลงทุนอื่นที่ดีกว่า

เมื่อมองไปตามนักลงทุนที่มีอยู่ในตลาด น้อยมากที่จะสามารถยึดกับหลักที่ว่าทำให้มีทั้งการติดดอย ขายหมูหรือตกรถอยู่เป็นประจำ ผมเองก็ยังเป็นเลยครับ :lol:

ดังนั้นการที่จะลงทุนให้ได้ผลที่ดีต้องมีหลักยึด อารมณ์และจิตใจที่มั่นคง ไม่แห่ไปตามมวลชนหมู่มาก รวมถึงต้องมีวินัยอย่างเคร่งครัดครับ

เหตุเพราะความโลภและความกลัวครับ ทำให้ซื้อแพงขายถูก เป็นไปตามภาวะตลาด
และที่คิดได้อีกอย่างคือ ต้นทุนของเงินที่นำมาลงทุนครับ เช่นกู้เงินมา หรือใช้ Margin แล้วค่าดอกเบี้ยสูงกว่าเงินปันผลที่ได้รับครับ

เพราะนักลงทุนบางท่าน เลือกหุ้นที่เคยปันผลได้ในอดีต แต่มิได้เลือกหุ้นที่จะมีศักยภาพในการสร้างกระแสเงินสดมากพอที่จะปันผลได้อย่างสม่ำเสมอในอนาคต

ปัญหาคือ ณ จุดที่เราลงทุน เราหาได้ว่าบริษัทมั่นคง ฐานะการเงินดี กำไรและจ่ายปันผลสม่ำเสมอที่ผ่านมา

แต่เราไม่สามารถหยั่งรู้ได้จริงๆ ว่าบริษัทนี้จะจ่ายปันผลในอนาคตได้เท่าไร วิกฤตเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ และเมื่อเราลงทุนไปแล้วเราก็เกิดความกลัวความโลภ เช่น บริษัทกำไรลด จ่ายปันผลลดลง ราคาหุ้นตกลง เราก็กลัวยอมขายขาดทุนไป และคิดว่าขาดทุนไม่ป็นไรไปซื้อตัวที่คาดหวังว่าจะทำเงินได้มากกว่าหลังจากนี้ดีกว่า หรือเห็นบริษัทอื่นกำไรมากขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังที่เราลงทุนไปแล้ว เราก็โลภอยากได้บ้าง ก็ขายขาดทุน ไปซื้อบริษัทอื่นนั้น

คนที่ลงทุนเก่งที่สุดยังขาดทุนเช่นกัน บัฟเฟตต์ขาดทุนจากการลงทุนในบริษัทโคโนโคฟิลิปป์ เป็นต้น นับประสาอะไรกับนักลงทุนทั่วไปหรือนักเล่นหุ้น ขาดทุนเป็นเรื่องที่น่าจะเข้าใจได้ ไม่เห็นแปลกอะไร

ด้วยความเคารพ

คงเป็นเพราะเป้าหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
คนที่พอร์ตเล็กๆ ก็ย่อมต้องการการเจริญเติบโตที่รวดเร็วถ้าทำได้
คนที่พอร์ตอยู่ตัวในระดับหนึ่งการได้ปันผลเพิ่มขึ้นตามผลงานบริษัทที่ดีต่อเนื่อง ยังไม่รวมถึงส่วนต่างที่จะได้รับ
และอื่นๆ นานาจิตตัง แล้วแต่ความต้องการของแต่ละคน
แต่สิ่งสำคัญคือการอดทนรอผลตอบแทนที่เราจะได้รับและมีวินัยในการลงทุนซึ่งในระยะยาวจะได้ผลตอบแทนที่ดีแน่นอนครับ

[quote="chatchai"]ถ้าเราเลือกลงทุนในบริษัทที่มั่นคง

DemonInvesting เขียน:แต่คนส่วนใหญ่ตอนหุ้นราคาต่ำๆกลับไม่ชอบซื้อ ดันไปชอบเฮโลซื้อกันตอนหุ้นราคาสูงๆกันแล้ว

+1

นานๆจะเห็นพี่ ฉัตรชัย โพสซะที  :lol:

ผมมองในมุมกลับ ว่าจุดประสงค์ของพี่เค้า

น่าจะต้องการ สอนกับนักลงทุนรุ่นใหม่ ในแนวคิดของ VI ที่เน้นมองระยะยาวมากกว่า

ส่วนคนที่ขาดทุนก็ต้องลองถามกลับเข้าตัวเองว่า ทำไมเราจึงถึุงขาดทุน ทั้งๆที่ถ้ายึดหลักของ vi (ซื้อถูกขายแพง หรือ ลงทุนในธุรกิจระยะยาว) แล้วทำไมตัวเรายังถึงขาดทุนอยู่ (เพราะโรภ? กลัว? หรือไม่รู้?)

ส่วนนักลงทุนที่เก๋าเกมส์แล้ว ก็จะเป็นแบบข้างบน
ที่บอกได้ว่า ทำไมถึงขาดทุน

ปล.หรือผมคิดมากไป  :oops:

เห็นด้วยกับพี่ฉัตรครับ

นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่มักไม่อดทนพอที่จะกำไรอย่างช้าๆ

เลยเลือกที่จะขาดทุนอย่างรวดเร็ว

ขาดทุนเพราะซื้อที่ 15 บาท แต่ขายไปที่ 10 บาท ในระยะเวลาอันสั้น และทำเช่นนี้กับหุ้นตัวอื่นวนเวียนไปเรื่อย ๆ ครับ โดยไม่ทราบว่าหุ้นตัวที่ถือเป็นกิจการที่ดี หรือไม่ดี

ขาดทุนเพราะถ้าคิดลดเงินปันผลด้วยอัคราเงินเฟ้อบวกกับอัตราดอกเบี้ยฝากประจำแล้วมันน้อยกว่าครับ

reiter เขียน:เห็นด้วยกับพี่ฉัตรครับ

นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่มักไม่อดทนพอที่จะกำไรอย่างช้าๆ

เลยเลือกที่จะขาดทุนอย่างรวดเร็ว

+100

กระทู้ดีดีอีกแล้วครับ  :lol:

เห็นด้วยครับพี่ ผมว่าลงทุนให้ขาดทุนนั้นยากกว่าลงทุนให้กำไรมาก
ดังนั้นหากใครขาดทุนควรจะต้องคิดให้มากๆๆๆๆ ว่าเป็นเพราะอะไร เราพลาดอะไร

เพราะไม่ได้เลือกลงทุนในในบริษัทที่มั่นคง  ฐานะทางการเงินดี  มีกำไรและจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ  

แต่เลือกเล่นหุ้น VI .....

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ครับ

เพราะส่วนหนึ่งเราคิดว่าบริษัทไม่ดีพอหรือไม่มั่นใจมากกว่า เลยทำให้ขายทิ้งตอนหุ้นลง ซึ่งตรงนี้ทำให้ขาดทุน

ถ้าเรามั่นใจบริษัทนี้จริง ตอนที่หุ้นลงต้องซื้อเพิ่มเพื่อให้การคืนทุนจากปันผลเร็วขึ้น และสามารถสร้างผลกำไรเป็นกอบเป็นกำเมื่อหุ้นเข้าภาวะกระทิงอีกครั้ง

reiter เขียน:เห็นด้วยกับพี่ฉัตรครับ

นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่มักไม่อดทนพอที่จะกำไรอย่างช้าๆ

เลยเลือกที่จะขาดทุนอย่างรวดเร็ว

เห็นด้วยอย่างแรงครับ  

บางที  เหมือนที่เขาบอกว่า

" ยิ่งเร่ง กลับ ยิ่งช้า "

ผมพยายามแนะนำให้เพื่อนๆน้อง เห็นว่าระยะยาว จริงๆถ้าเลือกหุ้นที่มั่นคง จ่ายเงินปันผล ดีตามหลัก ฯลฯ และเงินเย็นแล้ว และไม่รีบใช้เงิน >>> มันก็เหมือนฝากเงินในออมทรัพย์ แต่ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

แม้จากตัวอย่างราคาจะไม่ขึ้น ก็ได้ปันผล ก็ยิ้มได้แล้ว เมื่อดอกเบี้ยเงินฝาก)
เหมาะกับเพื่อนๆน้องๆที่ทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต ทำงานมุมานะเก็บเงินเพื่ออนาคต

ขอนำกระทู้นี้ไปแนะนำต่อครับ

ขอบคุณมากครับพี่ฉัตรชัย

เล่นหุ้นเลยเจ้ง แต่ลงทุนหุ้น คงได้ผลตอบแทนอย่างพี่ฉัตรชัยว่าครับ

ขอบคุณค่ะ

[quote="manza125"]นานๆจะเห็นพี่ ฉัตรชัย โพสซะที

อะไรที่เป็นปัจจัยให้คนส่วนใหญ่สนใจเข้ามาในตลาดหุ้น

ผมคิดว่าเป็นเพราะคนเหล่านั้นต้องการผลตอบแทนมากๆในระยะเวลาสั้นๆ  หรือ  ต้องการรวยมากๆเร็วๆ

ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องเข้าไปในเกมส์ที่เสี่ยงมากๆ  และไม่สนใจการลงทุนที่ปลอดภัยและสม่ำเสมอ

ผมคิดว่าเป็นเพราะคนเหล่านั้นต้องการผลตอบแทนมากๆในระยะเวลาสั้นๆ  หรือ  ต้องการรวยมากๆเร็วๆ

จริงเลยครับ คนเราชอบทางลัด แถมยังชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น
แข่งกับคนอื่น อยากชนะคนอื่น จนลืมไปว่า ในการลงทุน การเข้าเส้นชัย
ได้เร็วไม่สำคัญเท่ากับการได้เข้าเส้นชัยแน่ๆ

ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องเข้าไปในเกมส์ที่เสี่ยงมากๆ  และไม่สนใจการลงทุนที่ปลอดภัยและสม่ำเสมอ

นิยามความปลอดภัยของแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ หลายๆคนคิดว่า
การซื้อหุ้นตามคนดังถือว่าปลอดภัย  บางคนไม่ได้เข้าใจในตัวหุ้นนั้นๆเลย
หรือเข้าใจน้อยมาก แต่ก็ซื้อเพราะคิดว่าราคามันต้องขึ้นเพราะคิดว่าคนแบบตัวเองมันมีเยอะ

เวลาเราซื้อหุ้นตามคนอื่น โดยไม่ได้รู้อะไรมากคือแค่รู้เท่าที่อ่านมา
เวลาราคาผันผวน เราคงต้องหวั่นไหวหวาดผวาแน่นอน เพราะ
การตัดสินใจซื้อหุ้นของเราไม่ได้มาจากการตัดสินใจที่รอบด้านพอ

หุ้นอะไรปันผล 10% และเติบโต 10% ทุกปีครับ  บอกหน่อย หุ้นในอุดมคติ มีแบบนี้ผมจะซื้อทั้งพอร์ทไว้เลย  ยังไงราคาหุ้นก็โตมหาศาลแล้ว

ขอบคุณสำหรับคำตักเตือนครับผม

สังเกตุได้ว่า ช่วงนี้ บรรดาเซียนวีไอ ค่อนข้างจะออกมาแสดงความคิดเห็น

ด้วยประสบการณ์ บวก ด้วยความหวังดี ไม่อยากเห็นแมงเม่าต้องถูกไฟเผา

และไม่ใช่แค่ พี่ chatchai  ก็ยังมีอีกหลายๆท่าน บทความของอาจารย์

ก็แย้มมานิดๆแระ อืมมมม สถานการณ์แบบนี้ วีไออย่างเราๆ คงต้องติดตามข้อมูล

ให้มากๆเข้าไว้  ลงทุนด้วยเหตุด้วยผล ไม่โลภไม่กลัวจนเกินไป

ก็จะประสบความสำเร็จเอง (ซึ่งตัวผมเองก็พยายามเรียนรู้อยู่ครับ)