หน้า 1 จากทั้งหมด 1
เงินบาทแข็ง
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 30, 2010 4:31 pm
โดย FlyLeaf
ช่วงนี้เงินบาทแข็งค่า จะส่งผลกับธุรกิจใดบ้างครับ
ธุรกิจใดจะรุ่ง ธุรกิจใดจะร่วงบ้างครับ
เงินบาทแข็ง
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 30, 2010 5:52 pm
โดย thaloengsak
หลักๆ คือพวกนำเข้าและส่งออก
แต่ควรศึกษาธุรกิจให้ดีก่อนตัดสินใจนะ
เงินบาทแข็ง
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 30, 2010 5:55 pm
โดย เด็กเลี้ยงไม้
อีกพวกนึงน่าจะดีเป็น บ. ที่มีหนี้เป็นdollarเยอะๆ ถ้าจ่ายคือได้อะนะ
เงินบาทแข็ง
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 30, 2010 10:03 pm
โดย FlyLeaf
ขอบคุณ ทุกความเห็นครับ :D
เงินบาทแข็ง
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 30, 2010 10:38 pm
โดย Paul VI
เงินบาทแข็ง ธุรกิจที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบ จะได้เปรียบครับ ขณะที่ตรงข้ามกันก็คือ ส่งออก ก็จะแย่ลง เพราะ ได้เงิน เป็น ดอลลาร๋ หรือ ยูโร หรือ เยน อะไรก็แล้วแต่ มาแลกกลับเป็นเงินไทยก็ได้น้อยลงครับ
แล้ว ถ้ายิ่งนำเข้ามาแล้ว ผลิตขาย ในประเทศเป็นหลัก ก็จะยิ่งได้ประโยชน์ เลยครับ
เงินบาทแข็ง
โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 31, 2010 10:36 am
โดย thaloengsak
ต้องสัญญาซื้อขายล่วงหน้าป้องกันกำไรขาดทุนจากอัตรแลกเปลี่ยนแค่ไหน
เงินบาทแข็ง
โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 31, 2010 12:22 pm
โดย Anti-Aircraft
[quote="Paul VI"]เงินบาทแข็ง ธุรกิจที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบ จะได้เปรียบครับ ขณะที่ตรงข้ามกันก็คือ ส่งออก ก็จะแย่ลง เพราะ ได้เงิน เป็น ดอลลาร๋ หรือ ยูโร หรือ เยน อะไรก็แล้วแต่
เงินบาทแข็ง
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 06, 2010 9:05 pm
โดย navapon
ขอถามนักเศรษฐศาสตร์ด้วยครับว่า มาตรการยับยั้งเงินบาทแข็งมันมีอะไรบ้าง และได้ผลแค่ไหน และข้อดีข้อเสียของการกีดกั้นค่าเงินมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง กรุณาช่วยชี้แนะด้วยครับ
เงินบาทแข็ง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 10, 2010 8:13 pm
โดย navapon
พอดีอ่านเจอข่าวตามนี้ครับ ให้ความรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ดี
เอกชนเร่งรัฐบาลหามาตรการสกัดบาทแข็ง
Posted on Friday, September 10, 2010
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) บอกว่า ต้องการให้รัฐบาลส่งสัญญาณที่แรงและชัดเจนในการดูแลเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เงินบาทแข็งค่าเร็วกว่าประเทศคู่แข่ง หลังจากเห็นว่า ช่วงที่ผ่านมารัฐบาลยังไม่มีความชัดเจนในการดูแลค่าเงินบาท ส่งผลให้ภาคเอกชนปรับตัวไม่ทัน
นายพยุงศักดิ์บอกอีกว่า ภาคเอกชนต้องการเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้ามาแทรกแซงค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวน และให้สอดคล้องกับเงินสกุลอื่นๆในภูมิภาค พร้อมกับต้องการให้รัฐมีมาตรการฉุกเฉิน ป้องกันเงินทุนต่างชาติที่จะเข้ามาเก็งกำไร รวมทั้งต้องการให้ลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการ เช่น การลดค่าธรรมเนียมศุลกากร เป็นเวลา 3 เดือน และขอให้รัฐบาลยอมให้ผู้ส่งออกสามารถชำระค่าระวางเรือเป็นเงินสกุลเงินต่างประเทศ
ด้านนายธนิต โสรัตน์ รองประธานส.อ.ท. บอกว่า เงินบาทนับจากต้นปีที่ผ่านมาแข็งค่าแล้วประมาณ 7% ซึ่งหากรัฐบาลยังไม่มีมาตรการในการดูแล อาจทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 1% และทำให้ในช่วงเดือนตุลาคมนี้เงินบาทอาจแข็งค่าแตะระดับ 29.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ ซึ่งจะยิ่งกระทบกับผู้ประกอบการส่งออก
นายธนิตบอกอีกว่า ธปท. ไม่ควรขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในปีนี้ เนื่องจากขณะนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ระดับ 1.75% ถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีนที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 0.65% , ญี่ปุ่นอยู่ที่ 0.1% จึงเป็นเหตุให้มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาเก็งกำไรอย่างต่อเนื่อง
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งข้าวออกไทย ที่เห็นว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกอย่างมาก ดังนั้นรัฐบาลจึงควรออกมาตรการ เพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออก โดยเฉพาะการควบคุมเงินทุนไหลเข้า ออก ด้วยการกำหนดระยะเวลาในการไหลเข้าของเงินทุน และต้องการให้แบงก์ชาติส่งสัญญาณให้ชัดเจนว่า จะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอีก 6 เดือนข้างหน้า เพื่อไม่ให้เงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไป โดยเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในขณะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออกข้าวของไทยในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐแล้วประมาณ 6% และในรูปของเงินบาทลดลงประมาณ 10% พร้อมกับคาดว่าในปีหน้าสถานการณ์
ส่งออกข้าวไทยจะประสบปัญหามาก หลังจากขณะนี้ราคาข้าวไทยกับเวียดนามห่างกันมาก แต่คาดว่า ภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ไทยจะสามารถส่งออกข้าวได้ 6 ล้านตัน และเฉลี่ยทั้งปีนี้จะสามารถส่งออกได้ตามเป้าหมายที่ 8.5 ล้านตัน แม้ตลาดแอฟริกาจะเริ่มชะลอตัวลง เนื่องจากราคาข้าวค่อนข้างแพง และหันไปบริโภคธัญญาหารชนิดอื่น เช่น ข้าวโพด ลูกเดือย มากขึ้น
ด้านนางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ส (ไทย) บอกว่า ขณะนี้มีทุนเงินต่างชาติไหลเข้ามายังประเทศไทยแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท จึงกดดันให้เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเห็นว่า ภาครัฐควรใช้นโยบายการสร้างสมดุลของการไหลเข้า ออก ของเงินทุนมากกว่าการใช้มาตรการแทรกแซงค่าเงิน ควบคู่ไปกับการออกนโยบายกระตุ้นให้นักลงทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น
ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ควรชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปีนี้ เพื่อลดการแข็งค่าของเงินบาทในระยะยาว เพราะมีแนวโน้มที่เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นในอีก 6 - 9 เดือน
นางสาวอุสรา บอกด้วยว่า กระแสเม็ดเงินไหลเข้าไทยนั้น ส่วนใหญ่เข้ามาเก็งกำไรในตลาดพันธบัตร เห็นได้จากที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น 7% เทียบจากปี 2552 ที่ขยายตัวเพียง 2%
ขณะที่นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย บอกว่า ในสิ้นปี 2553 มีแนวโน้มที่ค่าเงินบาทจะแข็งค่าแตะ 30.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่า ในปีหน้าจะแข็งค่าแตะระดับ 29.50 บาทต่อ
ดอลลาร์ พร้อมกับคาดว่า เงินบาทมีโอกาสที่จะแข็งค่าไปแตะระดับ 25 บาทเช่นเดียวกับช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เนื่องจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจไทย และเอเชียมีความแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจในยุโรปและอเมริกาที่ยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน
นายกวี บอกด้วยว่า มาตรการที่ธปท.เริ่มส่งสัญญาณในการดูแลค่าเงินบาท จะส่งผลให้มีการสกัดกั้นการไหลเข้าของเงินต่างประเทศไทยระยะสั้นเท่านั้น เพราะปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง และมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ ซึ่งหากภาครัฐเน้นการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อส่งเสริมการนำเข้าสินค้าทุนจากต่างประเทศ จะเป็นการลดแรงกดดันการแข็งค่าเงินบาทในระยะยาว
จบข่าวครับ
ทีนี้ความเห็นส่วนตัว
เวลาbubble ค่าเงินบาทแตกถือครองทรัพย์สินต่อไปนี้น่าจะได้ประโยชน์สูงสุดหรือเปล่า ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ ช่วยวิจารณ์ด้วย
1 หุ้นกลุ่มส่งออก เพราะตอนค่าเงินแข็งสุดๆ กลุ่มนี้ผลประกอบการน่าจะแย่สุด พอค่าเงินตกฮวบฮาบ กลุ่มส่งออกน่าน่าจะพลิกกลับมาดี
2 เรื่องสกุลค่าเงิน ให้ซื้อสกุลค่าเงินที่คิดว่าจะไม่ตกไปพร้อมกับค่าเงินบาทไว้ตอนเงินบาทแข็งสุดๆ เดาว่าเป็นUS dollarหรือ เงินหยวน พอค่าเงินบาทลดมากๆ ก็ให้ขายเงินสกุลอื่นทิ้งกลับมาแลกเป็นเงินไทย ดูกฎหมายด้วยนะครับว่าทำได้ไหม ผิดกฎหมายหรือเปล่าอย่างนี้ แต่ถ้าเงินน้อยๆคงไม่น่าจะเป็นไร
3 ล่อเป้านิดหนึ่งครับ สมัยเปลี่ยนค่าเงินบาทเป็นลอยตัว เขาว่า มีคนรู้ข่าววงในก่อนจะเกิดเหตูการณ์นี้ แล้วทำให้รวยมหาศาล จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ และเขาทำอย่างไรกัน อยากรู้บ้าง จะได้รวยมากๆกับเขาบ้าง ใครรู้ช่วยบอกทีครับ
เงินบาทแข็ง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 10, 2010 8:26 pm
โดย Warantact
ให้เปลี่ยนจากเหรียญเป็นแบงค์ มันจะได้แข็งน้อยลง
อุ๋ย!?เกรียนอีกแล้ว :twisted:
เงินบาทแข็ง
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 11, 2010 10:48 am
โดย freedomlife
สำหรับการจัดการกับบาทแข็งนะ ในความคิดผม คิดว่าต้องทำประมาณนี้
1. การส่งเสริมการลงทุนต่างประเทศของภาคเอกชน ให้ไปซื้อกิจการหรืออะไรต่าง ๆ เอาเงินออกนอกประเทศได้มากขึ้น หรือพวกแนว M&A เยอะ ๆ ขึ้น
2. สนับสนุนบริษัท ที่นำเข้าสินค้าเพื่อการลงทุน หรือซื้อเครื่องจักรลดหยอ่นภาษีนำเข้า ให้เขาซื้อได้เต็มที่
3. การไม่ขึ้นดอกเบี้ยอีกจนกว่าจะปีหน้า อันนี้ คงมีผลไม่ค่อยเยอะเท่าไร หรืออาจจะไม่ได้ผล
4. มาตรการกันสำรองที่เคยใช้ปี 2549 แต่อันนี้โหดไปหน่อย ไม่ควร
5. รัฐบาลกู้เงิน USD มาก ๆ หนอ่ย แต่เป็นระยะสั้นไปสร้าง โครงการต่าง ๆ และกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
ตามที่กล่าวมาจะทำให้ไทยขาดดุลการค้า แล้วเงินบาทจะอ่อนค่าตามมาครับ แต่ในระยะยาว ควรปรับให้กลับมาสมดุลครับ
เงินบาทแข็ง
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 11, 2010 10:54 am
โดย freedomlife
บริษัททีจะได้รับผลดีจากบาทแข็ง
พวกมีหนี้ต่างประเทศ อันนี้ลองไปอ่านดูนะครับ ตามรายงานประจำปี หรือตามบทสัมภาษที่เขาให้ไว้ เช่น เราไม่กังวลเพราะเรามีทั้งซื้อวัตถุดิบเป็นเงินต่างประเทศ และ ขายต่างประเทศ และมีหนี้สินเงินต่างประเทศ อันนี้ก็ช่วยให้ กำไรสุทธิดีขึ้นด้วยครับ
พวกนำเข้าผลิตจะดีมาก นำเข้าทอง นำเข้าเพชร นำเข้าถั่วเหลือง อื่น ๆ
พวกมีหนี้ต่างประเทศก็ดี หนี้ พวก EURO and USD เพราะพวกนี้อ่อน ไป เรื่อย แต่ส่วนมากเขาเป็นหนี้ USD กันเพราะ USD คือสกุลเงินโลก เหมือนกับ ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาโลก
เงินบาทแข็ง
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 11, 2010 12:59 pm
โดย ArtTheOracle
3 ล่อเป้านิดหนึ่งครับ สมัยเปลี่ยนค่าเงินบาทเป็นลอยตัว เขาว่า มีคนรู้ข่าววงในก่อนจะเกิดเหตูการณ์นี้ แล้วทำให้รวยมหาศาล จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ และเขาทำอย่างไรกัน อยากรู้บ้าง จะได้รวยมากๆกับเขาบ้าง ใครรู้ช่วยบอกทีครับ
เท่าที่ผมทราบ ตอนช่วงนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นคนวงในนะครับที่รู้ข่าว คนไทยเนี่ยแหละ ทุกคนที่รู้ข่าว ซื้อดอลล่าร์แล้วก็เทขายบาทออกมาอย่างหนัก กันทั้งนั้น ....เหตุผลก็ง่ายนิดเดียว เงินประเทศชาติ ไม่ใช่เงินตัวเอง
ปล.ตอนนั้นยังกินนมกล่องอยู่เลยครับ ก็เลยไม่เจอกับตัว อาศัยถามคนอื่นเอา
เงินบาทแข็ง
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 11, 2010 5:12 pm
โดย FlyLeaf
freedomlife เขียน:สำหรับการจัดการกับบาทแข็งนะ ในความคิดผม คิดว่าต้องทำประมาณนี้
1. การส่งเสริมการลงทุนต่างประเทศของภาคเอกชน ให้ไปซื้อกิจการหรืออะไรต่าง ๆ เอาเงินออกนอกประเทศได้มากขึ้น หรือพวกแนว M&A เยอะ ๆ ขึ้น
2. สนับสนุนบริษัท ที่นำเข้าสินค้าเพื่อการลงทุน หรือซื้อเครื่องจักรลดหยอ่นภาษีนำเข้า ให้เขาซื้อได้เต็มที่
3. การไม่ขึ้นดอกเบี้ยอีกจนกว่าจะปีหน้า อันนี้ คงมีผลไม่ค่อยเยอะเท่าไร หรืออาจจะไม่ได้ผล
4. มาตรการกันสำรองที่เคยใช้ปี 2549 แต่อันนี้โหดไปหน่อย ไม่ควร
5. รัฐบาลกู้เงิน USD มาก ๆ หนอ่ย แต่เป็นระยะสั้นไปสร้าง โครงการต่าง ๆ และกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
ตามที่กล่าวมาจะทำให้ไทยขาดดุลการค้า แล้วเงินบาทจะอ่อนค่าตามมาครับ แต่ในระยะยาว ควรปรับให้กลับมาสมดุลครับ
มาตรการกันสำรองเมื่อปี 49 ที่่ทำให้ set ตกอย่างหนัก ไม่ทราบว่าหุ้นทุกตัวตกหมดเลย หรือว่าเป็นเฉพาะกลุ่มครับ และมีกลุ่มไหนบ้างหรือไม่ครับที่ยังยืดหยัดอยู่ได้ครับ
เงินบาทแข็ง
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 11, 2010 10:16 pm
โดย Boyadvance
มองๆ บริษัทที่มีเงินสดเหลือเยอะ แล้วต้องการขยายกิจการ ไปต่างประเทศด้วยก็ดีนะครับ
เงินบาทแข็ง
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 14, 2010 1:54 pm
โดย FlyLeaf
เปิดโผหุ้นรับผลดี-ผลเสียบาทแข็งค่า
เงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่อง หลัง Fed ปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน หนุนเงินไหลเข้า กรณ์'ลั่นไม่พบการเก็งกำไรค่าบาทผ่านตลาดหุ้น สั่งธปท.จับตาตลาดบอนด์ใกล้ชิด กูรูชี้อสังหาฯ -รับเหมา-วัสดุ รับอานิสงส์บาทแข็งค่า ส่วนชิ้นส่วนอิเลคฯ -อาหาร กระทบหนักสุด เตือนระวังแรงขายหุ้น หากเงินบาทแตะ 29 บาท/ดอลล์
****'กรณ์'เผยไม่พบการเก็งกำไรค่าบาทผ่านตลาดหุ้น สั่งธปท.จับตาตลาดบอนด์ใกล้ชิด
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ผ่านมายังไม่พบว่ามีการเข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยเพื่อหวังส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน แต่ในส่วนของตลาดตราสารหนี้ที่มีการซื้อขายเพิ่มขึ้นได้สั่งการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด
'เก็งกำไรผ่านตลาดหลักทรัพย์ไม่มี เพราะถ้าจะมาเอากำไรจากแค่ส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน มันยังมีความเสี่ยงเรื่องราคาหุ้น ไม่คุ้มที่จะลงทุน...ส่วนตราสารหนี้ที่เข้ามาซื้อขายเปลี่ยนมือมากขึ้น ก็ได้สั่งการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย เข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด' นายกรณ์ กล่าว
ส่วนเงินบาทที่แข็งค่าขณะนี้ ยังไม่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออก ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) มีมาตรการในการดูแลเงินบาทอยู่แล้ว และมีอำนาจที่สามารถจะดำเนินการได้
'ตอนนี้แบงก์ชาติมีมาตรการที่จะเข้ามาดูแล ไม่ให้เงินบาทผันผวนมากเกินไปอยู่แล้ว ก็เป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของแบงก์ชาติ ที่สามารถดำเนินการได้' รมว.คลังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ต้นปีนี้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้วราว 8% เป็นอันดับ 3 ในภูมิภาครองจากเยน ญี่ปุ่น และ ริงกิต มาเลเซีย โดยล่าสุดเงินบาท/ดอลลาร์ อยู่ที่ 30.73/76
ซึ่งอยู่ในระดับแข็งค่าสุดในรอบ 13 ปี ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยในปีนี้ปรับขึ้นมาแล้วกว่า 26% โดยเมื่อสัปดาห์ก่อน ขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบเกือบ 14 ปี ที่ 944.64 และล่าสุดอยู่ที่ 936.54 จุด
****กูรูฟันธงเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง หลัง Fed ปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน หนุนเงินไหลเข้า
บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ(FOMC) มีมติล่าสุดให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ไว้ที่ระดับ 0-0.25% และยังมีมติเห็นชอบมาตรการการนำรายได้จากตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยรองรับ (MBS) และตราสารที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันของเฟนนี เม และเฟรดดี แมคซึ่งครบกำหนดไถ่ถอนจำนวน 1.3-2 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐในระยะเวลานับจากนี้ไปซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาล การดำเนินงานในครั้งนี้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินครั้งสำคัญจากเดิมที่คณะกรรมการ Fed วางแผนที่จะใช้ยุทธศาสตร์ถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ(Exit Strategy) แบบค่อยเป็นค่อยไป สู่การตรึงอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดในประวัติการณ์ไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง การล่าช้าของการใช้อัตราดอกเบี้ยแบบปกติ (Interest rate normalization) ไปกว่าประเทศในภูมิภาคเอเชียหรือแม้กระทั่งในยุโรป จะนำไปสู่การอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์เมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินหลักในระยะเวลายาวนานและเร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ รายงานฉบับนี้เราจึงได้ปรับคาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐเพื่อสะท้อนมุมมองต่อการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบกับค่าเงินบาท และทำให้เราเชื่อมั่นมากขึ้นต่อการไหลเข้าของเงินทุนโลกจะเข้าสู่ประเทศในเอเชีย
เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนหน้าการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของสหรัฐฯ เจ้าหน้านี้ถกเถียงกันในเรื่องของการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใช้เมื่อคราวที่สหรัฐเผชิญวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตามตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดได้บ่งชี้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2010 อาทิ ตัวเลขการว่างงานในระดับสูงมากและการที่ตำแหน่งงานว่าจ้างใหม่ในระดับต่ำรวมไปถึงตัวเลขยอดขายบ้านใหม่ที่หดตัวลงล้วนเป็นปัญหาสำคัญที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขและอาจนำไปสู่การหดตัวของการใช้จ่ายภาคเอกชนและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐมากยิ่งขึ้น ด้วยสาเหตุดังกล่าวการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2010 ด้วยเสียง 9 ต่อ 1 เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามคณะกรรมการฯยังคงมีความเชื่อว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปัจจุบันและนโยบายการเงินที่จะทำดำเนินการต่อไปนี้จะช่วยไม่ให้สหรัฐฯประสบกับภาวะตกต่ำของเศรษฐกิจเป็นครั้งที่สองหรือแม้แต่ภาวะเงินฝืด ทั้งนี้คณะกรรมการยังมีมติเห็นชอบที่จะให้ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขั้นต้นด้วยการใช้เงินที่จะได้จากการไถ่ถอนตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันและตราสารหนี้ของรัฐบาลไปลงทุนต่อในพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว ซึ่งหากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงอ่อนแอต่อไปอีก Fed ยังมีความพร้อมที่จะลงทุนเพิ่มในพันธบัตรระยะยาวเพิ่มเติม
ในวันก่อนหน้าที่ Fed จะประกาศนโยบายการเงิน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐผันผวนอ่อนค่าลงมากน้อยตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปที่ประกาศออกมาในแต่ละสัปดาห์ แต่เนื่องจากความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าทรงตัวไม่สะท้อนถึงพื้นฐานเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงทั้งจากยอดขาดดุลแฝด (Twin deficits), ภาวะหนี้ต่างประเทศที่มากขึ้น และภาวะตกต่ำของตลาดแรงงานที่มีอัตราการว่างงาน 10% เป็นต้น เราเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายของ Fed ในครั้งนี้จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลัก ค่าเงินของประเทศในภูมิภาคเอเชียซึ่งรวมถึงค่าเงินบาทจะแข็งค่ามากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากนี้เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชียเริ่มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว
ค่าเงินของประเทศในภูมิภาคเอเชียแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ สหรัฐเฉลี่ยราว 7.4% จากต้นปี โดยค่าเงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้น 9.4%YTD เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งมากที่สุดในบรรดา 10 ประเทศที่เราทำการศึกษา ทั้งนี้ ค่าเงินริงกิตประเทศมาเลเซีย (+9.2%), ค่าเงินบาท (+7.4%), ค่าเงินรูเปี๊ยของอินโดนีเซีย (+5.3%), ค่าเงินเปโซ ฟิลิปปินส์ (+4.4%), ค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์ (+4.3%) แข็งค่าขึ้นเป็นอันดับ 2, 3, 4, 5 และ 6 ตามลำดับ ในส่วนของค่าเงินหยวนประเทศจีน ค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกง ค่าเงินวอนเกาหลี และค่าเงินรูปีอินเดียไม่มากก็น้อยผูกติดกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นค่าเงินของประเทศเหล่านี้จึงแข็งค่าน้อยกว่าค่าเงินประเทศอื่น
ฝ่ายกลยุทธ์ของเราได้ปรับคาดการณ์ค่าเงินบาทต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเป็น 30.25 บาทในปี 2010 และเป็น 29.13 บาทในปี 2011 จากเดิมที่คาดการณ์ที่ 32.74 บาท และ 32 บาทตามลำดับ แม้ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าแล้ว 7.4% YTD แต่มีแนวโน้มว่าเงินบาทยังจะแข็งค่าได้อีกต่อเนื่อง
****อสังหาฯ -รับเหมา-วัสดุ รับอานิสงส์บาทแข็งค่า
บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอีก กลุ่มอสังหาฯ รับเหมา และวัสดุได้รับผลบวก
1)กลุ่มอสังหาฯ รับเหมา และวัสดุก่อสร้าง รายได้เป็นเงินบาททั้งหมด แต่มีการนำเข้าวัตถุดิบ เหล็ก และเครื่องจักรซึ่งจะนำเข้าได้ถูกลง หากพิจารณาจากราคาหุ้นปัจจุบัน LPN, SPALI, STEC, CK น่าสนใจเพราะราคาหุ้นได้ปรับฐานลงมาแล้ว
2) กลุ่มเหล็ก ส่วนใหญ่นำเข้าวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูปจากต่างประเทศทั้งหมด โดย SSI ได้รับผลบวกมากสุด แต่เนื่องจาก SSI ยังมีประเด็นเรื่องเพิ่มทุนรออยู่ข้างหน้า เราจึงไม่แนะนำ SSI ในขณะนี้ แต่เห็นว่า TSTH เป็นทางเลือกที่ดีกว่า
3)กลุ่มสื่อสาร รายได้ทั้งหมดเป็นเงินบาทแต่มีการนำเข้าอุปกรณ์โครงข่าย และโทรศัพท์มือถือจากต่างประเทศ จึงได้รับผลบวกเมื่อบาทแข็งค่า โดยเฉพาะ TRUE ซึ่งมีหนี้ต่างประเทศด้วย จึงได้รับผลบวกมากที่สุด
4)อื่นๆ TVO, TASCO
****เปิดโผหุ้นรับผลลบๆสุด หลังบาทแข็ง
บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอีก มีกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทางลบได้แก่
1)กลุ่มอิเล็คทรอนิคส์ ได้รับผลกระทบจำกัด เพราะแม้จะส่งออก 100% แต่ก็นำเข้าวัตถุดิบ 100% เช่นกัน และหลายบริษัทมีการทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไว้บ้างแล้ว ผลกระทบจึงค่อนข้างจำกัด เราประเมินว่าทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าขึ้นจะกระทบกับกำไรของกลุ่มนี้ 2% - 8% หุ้น KCE, DELTA ยังเป็น Top picks ในกลุ่มนี้
2)กลุ่มอาหาร STA ได้รับผลกระทบทางลบมากสุดเพราะต้นทุนเป็นเงินบาททั้งหมด แต่ส่งออกประมาณ 80% ขณะที่ GFPT และ TUF ได้รับผลกระทบค่อนข้างจำกัด ส่วน CPF ไม่ได้รับผลกระทบเพราะ Natural hedge กันพอดี
3)กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ได้รับผลกระทบจำกัด ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า กำไรของกลุ่มนี้จะลดลงเพียง 2% - 4% หุ้นที่ราคามี upside เมื่อเทียบกับเป้าหมายของเราคือ PTTCH, PTTAR และ PTTEP
4)THCOM ได้รับผลกระทบทางลบมากสุดในกลุ่มสื่อสาร เพราะมีรายได้ในรูปดอลลาร์ถึงประมาณ 70%
5)อื่นๆ AOT, VNG
****โบรกฯเตือนระวังต่างชาติเทขายหุ้น หากเงินบาทแตะ 29 บาท/ดอลล์
นายพิชัย เลิศสุพงษ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาด บล. ธนชาต กล่าวว่า สาเหตุการแข็งค่าของค่าเงินบาทขณะนี้ เนื่องจากดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศเกินดุลอย่างต่อเนื่อง สะท้อนได้ว่ามีเงินทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนสินทรัพย์ในประเทศไทยมากขึ้น เป็นไปตามทิศทางเดียวกับประเทศในแถบภูมิภาคเอเชีย หลังจากที่เศรษฐกิจไทยและประเทศเอเชียขยายตัวดีกว่าประเทศกลุ่มหลัก ได้แก่ ประเทศยุโรป และประเทศสหรัฐฯ จึงทำให้รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ต้องมีมาตรการมาควบคุมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย เพราะเกรงว่าภาวะเงินเฟ้อจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ดังนั้น ผลตอบแทนจึงเพิ่มมากขึ้นทำให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ในประเทศไทยสูง ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยเติบโตเป็นที่น่าพอใจ ทำให้เม็ดเงินดังกล่าวเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ แต่จากการประเมินเม็ดเงินดังกล่าวส่วนใหญ่จะเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้
สำหรับปัจจัยบวกจากเงินทุนต่างชาติไหลเข้า ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มหลัก อาทิ กลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคารพานิชย์ ส่วนบริษัทฯที่ทำธุรกิจส่งออกและนำเข้าในตลาดฯมีจำนวนไม่มากนัก ดังนั้น ภาพรวมการได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งจึงยังมีไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มค่าเงินบาทยังมีสัญญาณที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง โดยหากค่าเงินบาทแข็งค่าหลุด 30 บาท จนอยู่ระดับแถวๆ 29 บาทกว่า ซึ่งเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะเริ่มทยอยขายหุ้นออกมาเพื่อทำกำไร แม้ว่าแนวโน้มค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น แต่หากยังไม่แข็งค่าอย่างรวดเร็วจนเกินไป การลงทุนในตลาดหุ้นก็ยังน่าสนใจอยู่เนื่องจากประเมินว่าดัชนีฯยังอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่ขณะเดียวกันหากแข็งค่ารวดเร็วจนเกินไป ก็จะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการลงทุน เพราะอาจจะเผชิญแรงเทขายจากนักลงทุนต่างชาติ ทั้งนี้ หากค่าเงินบาทแข็งค่ารวดเร็วจนเกินไปโดยแตะที่ระดับ 30 บาท ก็เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกมาตรการออกมาดูแลค่าเงินบาท โดยเฉพาะกรณีการสกัดกั้นเงินทุนต่างชาติไหลเข้า ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ
ด้านนายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า จากแนวโน้มของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องในส่วนของปัจจัยบวกประเมินว่าน่าจะส่งผลดีต่อกระแสเงินลงทุนจากต่างชาติ (Fund Flow) ให้ไหลเข้ามาเก็งกำไรทั้งในตลาดหุ้นและค่าเงิน รวมทั้งยังส่งผลดีต่อบริษัทที่นำเข้าให้มีความได้เปรียบแต่ยังถือภาคธุรกิจนำเข้ามีสัดส่วนน้อยเมื่อดูภาคธุรกิจอื่น
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาถึงปัจจัยเสี่ยงพบว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีฯในขณะนี้ถือว่าเกินปัจจัยพื้นฐานที่คาดว่าน่าจุดสูงสุดของปีนี้จะอยู่ที่ 950 จุดจาก Fund Flow ที่ไหลเข้ามาโดยขาดปัจจัยพื้นฐานรองรับมีโอกาสที่ดัชนีฯที่ปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 1,000 จุดได้ โดยในระยะสั้นหากค่าเงินบาทยังคงมีทิศทางแข็งค่าต่อเนื่องหลุดที่ลงไปต่ำกว่า 31 บาท มีโอกาสที่รัฐบาลอาจออกมาตรการแทรกแซงค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่ามากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของประเทศซึ่งภาคที่สัดส่วนสูงและส่งผลรวมต่อการขยายทางเศรษฐกิจ(GDP)ของประเทศ และยังกระทบต่อธุรกิจพลังงาน หลังจากที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปที่ระดับ 31.50 บาท เริ่มมีผู้ประกอบการส่งออกเริ่มออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการดูแลเงินบาท ซึ่งหากรัฐบาลไม่มีนโยบายออกมาก็อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล
ประกอบกับหากเงินบาทยังคงแข็งค่าต่อไปอาจมีความกังวลที่จะส่งผลกระทบต่อดัชนีฯให้ปรับตัวลดลงได้ เนื่องจากประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่มีสัดส่วรนการส่งออกสูง
กลยุทธ์การลงทุนจากทิศทางเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องถือเป็นจังหวะดีแนะนำทยอยขายลดพอร์ต ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นแนะนำให้เทรดดิ้งจบในวัน
เงินบาทแข็ง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 17, 2010 6:46 pm
โดย FlyLeaf
'กรณ์' เผย ธปท. เสนอ 5 มาตรการดูแลค่าเงินบาท เบื้องต้น เล็งใช้ 3 มาตรการดูแล
ระบุ จะคำนึงถึงความเหมาะสม
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ธนาคารแห่ง
ประเทศได้นำเสนอมาตรการ ดูแลปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า ให้กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว
5 มาตรการเบื้องต้น จะใช้มาตรการ 3 ใน 5 มาตรการเข้ามาดูแลค่าเงินบาท โดยจะพิจารณาถึง
ในแง่ของความเหมาะสมในการช่วยลดแรงกดดันในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยน
'ทั้ง 5 มาตรการ ธปท.ได้เสนอมาให้กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว ซึ่งโดยหลัก
การไม่ได้มีปัญหาอะไร โดยเบื้องต้นจะนำ 3 มาตรการภายใน 5 มาตรการออกมาใช้เพื่อมาดูแล
ค่าเงินบาท โดยจะคำนึงในเรื่องของความเหมาะสมเพื่อลดความกดดันในเรื่องของอัตราแลก
เปลี่ยน โดยที่ผ่านมาแบงก์ชาติได้ดำเนินการอยู่แล้ว' รมว.คลัง กล่าว
นายกรณ์ กล่าวต่อว่า การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลดอลลาร์ เนื่องจาก
เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังมีความอ่อนแอกว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย ดังนั้นจึงส่งผลให้อัตรา
แลกเปลี่ยนสกุลเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อนึ่ง 5 มาตรการดูแลค่าเงินบาท ที่ ธปท. นำเสนอกระทรวงการคลัง
1 การพิจารณาให้นิติบุคคลหรือบุคคลไทยลงทุนในบริษัทที่อยู่ในต่างประเทศได้
มากขึ้น
2 การให้นิติบุคคลหรือบุคคลไทยสามารถให้นิติบุคคลหรือบุคคลที่อยู่ต่างประเทศ
กู้ยืมเงินเป็นสกุลต่างประเทศในจำนวนมากขึ้น เพื่อทำให้เงินทุนต่างประเทศไหลออกเพื่อลดแรง
กดดันอัตราแลกเปลี่ยน
3 การพิจารณาที่จะเพิ่มวงเงินที่นิติบุคคลหรือบุคคลโอนออกไปซื้ออสังหาริมทรัพย์
ในต่างประเทศ จากเดิมที่จำกัดไว้ที่ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีข้อเสนอจาก ธปท.เพื่อเพิ่มเพดาน
เป็น 10 ล้านเหรียญสหรัฐ
4 การให้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดามีความคล่องตัวในการฝากเงินสกุลเงินตรา
ต่างประเทศไว้กับสถาบันการเงินในประเทศ ให้มียอดเงินคงค้างในบัญชีได้สูงถึง 5 แสนเหรียญ
สหรัฐ
5 มาตรการขยายวงเงินค่าสินค้าส่งออกที่ไม่จำเป็นต้องนำกลับมาในประเทศเพิ่มขึ้น
จาก ณ ปัจจุบัน 2 หมื่นเหรียญสหรัฐ เป็น 5 หมื่นเหรียญสหรัฐ